รู้จัก ฝรั่งเศส ผ่าน 10 บริษัท ที่ใหญ่สุดในประเทศ /โดย ลงทุนแมน
เมื่อเอ่ยถึง ฝรั่งเศส สิ่งแรกที่คนทั่วโลกจะนึกถึงก็คือ “ความหรูหรา”
วงการศิลปะแทบทุกแขนงของยุโรปล้วนมุ่งหน้าสู่ฝรั่งเศส
และผู้คนที่นี่ก็คลั่งไคล้ศิลปะมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรม วรรณกรรม เครื่องแต่งกาย หรือแม้แต่อาหารการกิน
ในยุคก่อนที่วัฒนธรรมอเมริกันจะครองโลก ฝรั่งเศสคือผู้ส่งออกวัฒนธรรมที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด
และแน่นอนว่าวัฒนธรรม ก็ยังคงสร้างมูลค่าให้ฝรั่งเศสอย่างมหาศาลในปัจจุบัน..
10 บริษัทที่มีมูลค่าตลาดมากที่สุดของประเทศฝรั่งเศส เป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรูถึง 6 บริษัท
ทั้งเครื่องแต่งกาย เครื่องดื่ม เครื่องประดับ และเครื่องสำอาง
แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ นอกจากบริษัทแบรนด์หรูทั้งหลายแล้ว
ก็ยังมีบริษัทยา และบริษัทเทคโนโลยีอยู่ใน Top 10 ด้วย
เรื่องราว 10 บริษัท ที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ราชสำนักฝรั่งเศสคือจุดเริ่มต้นของความหรูหรา
ศตวรรษที่ 15 พระนางแคทเธอรีน เดอ เมดิชี เป็นผู้ริเริ่มอุตสาหกรรมน้ำหอมในฝรั่งเศส
ศตวรรษที่ 16 พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้ริเริ่มนำวิกมาสวมศีรษะ และใส่รองเท้าส้นสูง
และศตวรรษที่ 19 จักรพรรดินีเออเฌนี เป็นผู้ผลักดันให้เกิดโรงเรียนสอนการออกแบบ และผลักดันให้เกิดแบรนด์แฟชั่นชั้นนำมากมาย
ถึงแม้ราชสำนักฝรั่งเศสจะต้องประสบกับการปฏิวัติหลายต่อหลายครั้ง แต่ความหรูหราที่ได้ทิ้งไว้ก็ยังถูกนำมาสานต่อ และผ่านการพัฒนาอย่างเป็นระบบ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเครื่องแต่งกาย ที่มีการจัดตั้งสถาบันสอนออกแบบ ให้กำเนิดการเดินแฟชั่นโชว์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
ดึงดูดนักออกแบบเสื้อผ้าจากทั่วฝรั่งเศสและทั่วโลกให้เข้ามาแสดงฝีไม้ลายมือ จนทำให้กรุงปารีสกลายเป็นเมืองศูนย์กลางแฟชั่นระดับโลก
การวางแผนอย่างเป็นระบบระเบียบนี้เอง ส่งผลให้วิถีชีวิตแบบฝรั่งเศสกลายเป็น Story และนำมาสู่การสร้างแบรนด์ที่เป็นตำนานระดับโลก
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หาก 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส จะเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์หรูถึง 6 บริษัท
ซึ่งหลายบริษัทเกิดจากการควบรวมหลายแบรนด์เข้าไว้ด้วยกัน
หากเรียงตามลำดับอายุที่ก่อตั้ง จะได้เป็น..
- LVMH
ถึงแม้บริษัทนี้จะเกิดจากการควบรวมบริษัทในปี 1987 แต่ประวัติของแต่ละบริษัทที่อยู่ในเครือถูกย้อนไปไกลกว่านั้น
Moët & Chandon เป็นผู้ผลิตแชมเปญ ก่อตั้งในปี 1743
Hennessy ผู้ผลิตบรั่นดีคอนญัก ก่อตั้งในปี 1765
และ Louis Vuitton ผู้ผลิตกระเป๋าเดินทางแบบทรงเหลี่ยม ในปี 1854 เพื่อให้ชนชั้นสูงวางบนรถม้าได้อย่างสะดวกสบาย ก่อนจะกลายเป็นตำนานของกระเป๋าในเวลาต่อมา
ทั้ง 3 บริษัทได้ควบรวมกันในปี 1987 แต่หลังจากนั้น 2 ปีก็เกิดสงครามแย่งกิจการ จนท้ายที่สุดก็ได้ Bernard Arnault บุคคลภายนอก เข้ามามีอำนาจในการบริหาร LVMH นับตั้งแต่นั้นมา
Arnault ได้ขยายอาณาจักร LVMH ด้วยการเข้าครอบครองกิจการแบรนด์หรูชื่อดังอย่างต่อเนื่อง
ทั้งเครื่องแต่งกาย ไวน์ นาฬิกา จน LVMH ครอบครองแบรนด์หรู กว่า 75 แบรนด์
ปัจจุบัน LVMH กลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจแบรนด์หรูที่ใหญ่สุดในโลก และถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในฝรั่งเศสและยุโรป ด้วยมูลค่า 13.5 ล้านล้านบาท
- Hermès
กิจการนี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1837 โดย Thierry Hermès
แรกเริ่มบริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตอานม้าสำหรับชนชั้นสูง ต่อมาลูกชายก็ได้ขยายธุรกิจ และให้กำเนิดกระเป๋าเพื่อแบกสัมภาระไปกับการเดินทางบนหลังม้า จนกลายเป็นกระเป๋าที่มีรูปแบบเอกลักษณ์ และขยายไปสู่เครื่องแต่งกายต่าง ๆ
ปัจจุบัน Hermès เป็นแบรนด์หรูที่ไม่ได้ควบรวมกับแบรนด์อื่น ๆ
ซึ่งถึงแม้จะเป็นแบรนด์เดี่ยว แต่มูลค่าของ Hermès ก็สูงถึง 5.3 ล้านล้านบาท
- EssilorLuxottica
สมาคมช่างทำแว่นตาแห่งปารีส หรือ Société des Lunetiers (SL) หรือ Essel ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 1849 ให้เป็นศูนย์รวมของช่างฝีมือ เพื่อพัฒนากระบวนการทำแว่นตา ทั้งกรอบแว่นและเลนส์แว่นตา
ต่อมา Essel ได้ควบรวมกับบริษัททำเลนส์ Silor กลายเป็น Essilor
และก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายเลนส์สายตา โดยเฉพาะกลุ่มเลนส์ตระกูล Varilux และล่าสุดได้ควบรวมกับบริษัท Luxottica บริษัทผลิตกรอบแว่นตาที่ใหญ่สุดในโลกของอิตาลี
ทำให้บริษัทนี้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเรื่องแว่นตาของโลก ที่ครอบคลุมตั้งแต่เลนส์ ไปจนถึงแว่นตา
และมีมูลค่าตลาด 2.6 ล้านล้านบาท
- Kering
เช่นเดียวกับ LVMH ถึงแม้ Kering จะก่อตั้งในปี 1963 แต่ประวัติของแต่ละบริษัทที่อยู่ในเครือถูกย้อนไปไกลกว่านั้น
บริษัทที่เก่าแก่ที่สุดในเครือ ก็คือ Boucheron แบรนด์เครื่องประดับสุดหรูของฝรั่งเศส ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1858 และเป็นที่โปรดปรานอย่างมากของชนชั้นสูงในยุคนั้น
Kering ยังเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องแต่งกายและเครื่องประดับชั้นนำอีกมากมาย
ทั้ง Yves Saint Laurent ของฝรั่งเศส และของประเทศอื่น ๆ เช่น Gucci และ Bottega Veneta ของอิตาลี
ด้วยความที่มีแบรนด์หรูระดับโลกมากมาย มูลค่าบริษัทของ Kering จึงสูงถึง 3.7 ล้านล้านบาท
- L'Oréal
ก่อตั้งในปี 1909 โดยนักเคมีชาวฝรั่งเศส ชื่อ Eugène Schueller ได้คิดค้นน้ำยาย้อมสีผม แล้วได้รับเสียงตอบรับจากช่างทำผมในเมืองปารีสเป็นอย่างมาก
จนทำให้เขาตั้งเป็นบริษัท Société Française de Teintures Inoffensives pour Cheveux ขึ้นมา และต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็น L'Oréal
แต่หลังจากที่ Eugène Schueller เสียชีวิต แล้ว François Dalle ได้เข้ามาบริหารงานแทน
Dalle ก็ได้ขยายตลาดด้วยการซื้อบริษัทเครื่องสำอางแบรนด์อื่น โดยมีจุดประสงค์เพื่อเจาะกลุ่มตลาดใหม่ และเพิ่มช่องทางการกระจายสินค้า
หลังจากนั้น L'Oréal ก็ซื้อบริษัทอื่นเข้ามาเรื่อย ๆ ทั้งผลิตภัณฑ์ความงามชั้นสูง เวชสำอาง เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ช่างผมมืออาชีพ
จนในที่สุด L'Oréal ก็กลายเป็นบริษัทเครื่องสำอางที่มีมูลค่าบริษัทมากที่สุดในโลก ด้วยมูลค่าบริษัทกว่า 8.4 ล้านล้านบาท
- Dior
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง Christian Dior ดีไซเนอร์อิสระ ได้รับจ้างออกแบบหมวกให้กับแวดวงไฮโซ ที่ผ่านชีวิตล้มลุกคลุกคลานจนได้เปิดห้องเสื้อของตัวเองในปี 1946
เขาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับวงการแฟชั่นของปารีส ด้วยคอลเลกชันแรก ที่มีชื่อว่า “New Look” เป็นชุดเข้ารูป และกระโปรงสุ่มบาน ก่อนจะขยายผลิตภัณฑ์ไปสู่น้ำหอม “Miss Dior” อันโด่งดัง
หลังจากนั้นแบรนด์ Dior ก็ผ่านการล้มลุกคลุกคลาน จนท้ายที่สุดก็ได้มาอยู่ภายใต้การบริหารของ Bernard Arnault แห่ง LVMH ในปี 1984
Dior ก็เติบโตจนเป็นอาณาจักรแฟชั่นที่มียอดขายหลักล้านล้านบาท และมีมูลค่าตลาด 4.8 ล้านล้านบาท..
แต่ฝรั่งเศสไม่ได้มีแค่แบรนด์หรูเท่านั้น..
นอกจากทั้ง 6 บริษัทแบรนด์หรูที่กล่าวมาข้างต้น บริษัท Top 10 ของฝรั่งเศสยังประกอบไปด้วย
- อุตสาหกรรมไฟฟ้า 1 บริษัท
- ยารักษาโรค 1 บริษัท
- ก๊าซ 1 บริษัท
- และพลังงาน 1 บริษัท
และเช่นเดียวกับแบรนด์หรู หากเรียงลำดับอายุของการก่อตั้ง จะเริ่มต้นจาก..
- Schneider Electric
ในช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ถึงแม้อุตสาหกรรมในฝรั่งเศสจะไม่ได้โดดเด่นเท่าอังกฤษหรือเยอรมนีในยุคเดียวกัน แต่องค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ของฝรั่งเศสก็ไม่น้อยหน้าใคร
นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส Pierre-Émile Martin เป็นผู้พัฒนาเตากระทะ หรือ Open Hearth Furnace เพื่อใช้สำหรับหลอมเหล็กกล้าซึ่งต้องใช้อุณหภูมิสูงมาก
2 พี่น้องครอบครัว Schneider เดินทางจากเมืองบ้านเกิดที่อยู่ไม่ไกลจากชายแดนเยอรมนี มาลงทุนสร้างเตาหลอมเหล็กในเมือง Le Creusot ในปี 1836 จนกลายเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมเหล็กกล้าและเครื่องจักร
ไม่นานก็ได้ขยายเข้าสู่อุตสาหกรรมก่อสร้างและไฟฟ้า
ปัจจุบัน Schneider Electric คือผู้นำในอุตสาหกรรมไฟฟ้า ระบบอัตโนมัติ การควบคุมอาคาร และการบริหารจัดการพลังงานระดับโลก มีมูลค่าบริษัท 3.3 ล้านล้านบาท
- Sanofi
ปี 2020 ฝรั่งเศสส่งออกยารักษาโรค มากเป็นอันดับ 4 ของโลก คิดเป็นมูลค่ากว่า 9.3 แสนล้านบาท
หนึ่งในจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมยาในฝรั่งเศส มาจากห้องทดลองของนักวิทยาศาสตร์ ที่คนทั้งโลกจะต้องคุ้นเคยกับชื่อของเขา คือ Louis Pasteur ผู้ให้กำเนิดกระบวนการพาสเจอไรซ์ หรือการใช้ความร้อนฆ่าเชื้อโรค
Louis Pasteur เป็นผู้วิจัยและพัฒนาวัคซีนพิษสุนัขบ้า และผู้ก่อตั้ง Pasteur Institute สถาบันวิจัยด้านวัคซีนในปี 1887
จนในปี 1974 Pastuer Production ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นโรงงานผลิตวัคซีน และได้ถูกควบรวมเข้ากับบริษัทยาอีกหลายแห่ง จนท้ายที่สุดก็อยู่ภายใต้บริษัทยา Aventis
ต่อมาในปี 2004 Aventis ก็ได้ควบรวมกับบริษัท Sanofi และทำให้ Sanofi กลายเป็นบริษัทยาที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย ทั้งยารักษาโรคเรื้อรัง ยารักษาโรคมะเร็ง วัคซีน
รวมถึงวัคซีนโควิด 19 ที่กำลังทำการวิจัยอยู่ในระยะที่ 3 ด้วย
ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย Sanofi จึงมีมูลค่าตลาดมากถึง 4.3 ล้านล้านบาท
- Air Liquide
Georges Claude วิศวกรชาวฝรั่งเศส ได้พัฒนากระบวนการทำให้อากาศกลายเป็นของเหลว เพื่อแยกส่วนประกอบสำคัญในอากาศ คือก๊าซไนโตรเจน และก๊าซออกซิเจนออกจากกัน
กระบวนการนี้ทำให้ได้ก๊าซบริสุทธิ์ ซึ่งจะมีส่วนสำคัญอย่างมากสำหรับอุตสาหกรรมต่าง ๆ
ก๊าซไนโตรเจน ใช้สำหรับการถนอมอาหาร อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี
ในขณะที่ก๊าซออกซิเจน นอกจากจะใช้ทางการแพทย์แล้ว ยังสำคัญในอุตสาหกรรมเหล็กและกระจกอีกด้วย
ความสำเร็จนี้ทำให้ Georges Claude ได้ก่อตั้งบริษัท Air Liquide ในปี 1902
ปัจจุบัน Air Liquide ให้บริการแก๊สสำหรับอุตสาหกรรมและทางการแพทย์ เคมี และอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก และมีมูลค่าบริษัทกว่า 2.8 ล้านล้านบาท
- TotalEnergies
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กองทัพฝรั่งเศสประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมันอย่างหนัก จนต้องขอความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งในเวลานั้น อุตสาหกรรมน้ำมันในสหรัฐอเมริกาครองสัดส่วนกว่า 70% ของโลก
เมื่อสงครามสิ้นสุดลง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้มอบหมายให้ Ernest Mercier จัดตั้งบริษัทปิโตรเลียมแห่งฝรั่งเศส (CFP) ในปี 1924 เพื่อความมั่นคงทางพลังงานของฝรั่งเศสเอง
ในปัจจุบัน CFP ได้เปลี่ยนชื่อเป็น TotalEnergies เป็นบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส
เป็นผู้ผลิตน้ำมันเครื่อง และผลิตภัณฑ์หล่อลื่นทั้งกับยานยนต์และอุตสาหกรรม
มีมูลค่าบริษัทกว่า 3.9 ล้านล้านบาท
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประเทศฝรั่งเศส
ทุกบริษัทล้วนมีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1.1 ล้านล้านบาท
ซึ่งเป็นมูลค่าที่ใหญ่กว่าบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในประเทศไทย อย่างบริษัท ปตท.
หลายคนอาจคิดว่า แบรนด์ฝรั่งเศส สร้างเพียงแค่ Story ก็เพียงพอแล้วที่จะสามารถส่งออกไปขายได้ทั่วโลก
แต่ทั้งหมดจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ วิจัยและพัฒนาต่อยอดอย่างเป็นระบบ
และผ่านการบริหารกิจการ โดยเฉพาะการควบรวมแบรนด์ ที่ทำให้การบริหารมีประสิทธิภาพ และเพิ่มช่องทางกระจายสินค้าได้มากขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ประเทศฝรั่งเศสไม่ได้เชี่ยวชาญแต่แวดวงศิลปะเท่านั้น
เพราะการพัฒนาศิลปะจะเติบโตได้ ส่วนหนึ่งจะต้องเกิดจากการพัฒนาองค์ความรู้ในด้านอื่น ๆ ควบคู่กันไป โดยเฉพาะองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
จากการสังเกตบริษัทชั้นนำ 10 บริษัทของแต่ละประเทศ เราก็สามารถบอกได้คร่าว ๆ ว่าประเทศเหล่านั้นมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมด้านไหน และให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมอะไรในอนาคต
สำหรับฝรั่งเศส คงบอกได้ว่า
ประเทศนี้สามารถนำโลกแห่งศิลปะ กับวิทยาศาสตร์ ซึ่งดูเหมือนอยู่คนละขั้วกัน
มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://companiesmarketcap.com/france/largest-companies-in-france-by-market-cap/
-https://www.essilor.co.th/about-essilor
-https://www.vogue.co.uk/article/christian-dior
-https://www.airliquide.com/shareholders/stock-share/focus-on/air-liquide-118-years-history-individual-shareholders
-https://www.se.com/th/en/about-us/company-profile/history/schneider-electric-history.jsp
-https://www.worldstopexports.com/drugs-medicine-exports-country/
-https://www.sanofi.com/en/about-us/through-time
-https://totalenergies.com/group/identity/history
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過2萬的網紅Fai Supats,也在其Youtube影片中提到,ความสุขของสาวๆอย่างเราจะมีอะไรดีไปกว่าการได้SHOPPING! ซึ่งคลิปนี้ก็เป็นครั้งแรกเลยนะคะที่ฝ้ายจะมารีวิวเปิดถุงที่ได้ไปSHOPมา ซึ่งครั้งนี้ แบรนด์ที่ฝ้าย...
เครื่องประดับ dior 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的精選貼文
มีใครในที่นี้ เคยหรือกำลังทำงานไม่ตรงสายจากที่เรียนมา แต่กลับรักงานนี้มากและมันก็ทำให้คุณประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้บ้างหรือเปล่า ?
“Chiara Ferragni” บล็อกเกอร์สาวตัวท็อปจากอิตาลี ที่ไม่ว่าจะมีงานแฟชั่นวีคระดับโลกที่ไหน มักมีภาพเธอปรากฏเป็นแขกอยู่ในงานนั้นเสมอ แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่เธอจะโลดแล่นอยู่ในวงการแฟชั่น เธอเป็นเพียงนักศึกษากฎหมายในมหาวิทยาลัยท้องถิ่นในอิตาลี แต่เพราะรักในแฟชั่น จึงผันตัวสู่การเป็นบล็อกเกอร์อย่างเต็มตัว
.
จากการถ่ายภาพไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันของตัวเองลงโซเชียลมีเดียอย่าง Instagram ที่มีตั้งแต่ด้านแฟชั่น เครื่องสำอาง ความสวยความงาม อาหาร ภาพคนในครอบครัว และด้วยการคุมโทนที่เป็นเอกลักษณ์ บวกกับทักษะการถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยมส่งผลให้มีคนให้ความสนใจกับไลฟ์สไตล์ของเธอเพิ่มขึ้น และจำนวนผู้ติดตามใน Instagram ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
.
ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้เธอตัดสินใจว่าจะทำบล็อกแฟชั่นเป็นของตัวเอง โดยใช้ชื่อว่า “The Blonde Salad” มีที่มามาจากคำว่า Mixed Salad หรือการผสมผสานของวัตถุดิบที่หลากหลายแต่ลงตัว เช่นเดียวกับบล็อกของเธอที่เปรียบเสมือนเป็นศูนย์รวมความชอบ ความหลงใหลส่วนตัวของเธอ และต้องการบอกเล่า ถ่ายทอดให้กับคนที่มีความสนใจในสิ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ไลฟ์ไสตล์ แฟชั่น ความสวยความงาม เป็นต้น
.
ซึ่งแน่นอนว่าบล็อกของเธอได้รับความสนใจจากบรรดาแฟนคลับ ผู้ติดตาม จนทำให้เธอได้รับงานโฆษณาในระดับที่ใหญ่ขึ้น ทั้งสปอนเซอร์คอนเทนต์, รีวิวสินค้า โปรโมทสินค้า ไปจนถึงการเป็นนางแบบและทำการตลาดร่วมกับแบรนด์ดังระดับโลก เช่น Dior, Gucci, Louis Vuitton เป็นต้น โดยเธอเคยมีรายได้จากการเขียนบล็อกสูงถึง 6 ล้านยูโร หรือราว 228 ล้านบาท ติดอันดับบล็อกเกอร์ที่มีรายได้มากที่สุดในโลกปี 2014
.
และเมื่อความเป็นบล็อกเกอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ชื่อเสียง เติบโตอย่างไม่หยุด ซึ่งส่งผลให้รายได้ของเธอก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน เธอจึงเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องขยับขยาย สร้างรายได้เพิ่มอีกหนึ่งช่องทาง เพื่อความมั่นคงของเธอในอนาคต ด้วยการเปิดตัวแบรนด์สินค้าแฟชั่น และเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซขายสินค้าออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้ชื่อเดียวกับชื่อของเธอก็คือ “Chiara Ferragni”
.
โดยมีสินค้าแฟชั่นที่ครอบคลุมหลายประเภท ตั้งแต่ รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ เสื้อผ้าผู้หญิง ไปจนถึงเสื้อผ้าเด็ก ภายในระยะเวลา 4 ปี แบรนด์ที่เธอทุ่มเทตั้งใจทำก็กลายเป็นแบรนด์ที่ทำเงินให้เธอกว่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 600 ล้านบาท ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอได้ตำแหน่งเศรษฐีร้อยล้านด้วยมูลค่าทรัพย์สินปัจจุบันกว่า 8.5 ล้านยูโร หรือราว 323 ล้านบาท
.
นับว่าเธอคือหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลของวงการแฟชั่นระดับโลกเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเธอจะใส่เสื้อผ้า เครื่องประดับอะไร ก็ทำให้กลายเป็นกระแสนิยมอยู่ตลอด ทั้งเธอยังมีแฟนคลับที่คอยติดตามผลงานเธออยู่ทั่วโลก ส่งผลให้ในตอนนี้ยอด Follow ใน Instagram ของเธอสูงถึง 23 ล้านคน และแพลตฟอร์มอื่น ๆ รวมทั้งหมดกว่า 31 ล้านคน
.
นอกจากนี้เธอยังได้รับรางวัลติดอันดับโลกมากมาย ได้แก่
- ปี 2015 “30 Under 30 - Art & Style” ได้รับการจัดอันดับจาก Forbes ให้เป็นบุคคลอายุต่ำกว่า 30 ปีที่ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง ด้าน Art และ Style
- ปี 2016 “30 Under 30 – Europe - Art & Style” และ “30 Under 30 - Europe – Fashion”
- ปี 2017 “Top Influencers – Fashion”
.
เชื่อว่าเธอจะต้องเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของสาวๆ หลายคน ทั้งในด้านแฟชั่น และการทำในสิ่งที่รักแล้วประสบความสำเร็จมากขนาดนี้ แต่รู้อะไรหรือไม่? ว่าเบื้องหลังความสำเร็จของเธอก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด บางคนอาจมองว่า ก็แค่ต้องหุ่นดี แต่งตัวสวย ถ่ายรูปสร้างคอนเทนต์ เดี๋ยวก็มีคนมากดไลค์เอง ซึ่งถูกต้อง! แต่มันเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของการทำงานแบบเธอเท่านั้น
.
แท้จริงแล้ว มันยังมีส่วนประกอบอีกหลายส่วนที่ทำให้เธอเป็นเธออย่างทุกวันนี้ คือ ความพยายาม มีวินัย ช่างสังเกต ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ เพราะแฟชั่นไม่ใช่ว่าจะหยิบอะไรมาใส่ก็ได้ แต่ต้องคิดตลอดว่า ถ้าหยิบอันนี้มา Mix&Match กับอันนู้นจะเข้ากันจนสามารถเตะตาลูกค้าหรือเหล่าแฟนคลับจนเกิดเป็นกระแสได้หรือเปล่า ต้องสังเกตและคอยติดตามเทรนด์ต่างๆ อยู่เสมอ
.
ที่สำคัญที่สุดคือ “ความเป็นตัวเอง” Chiara Ferragni เคยบอกว่า มีหลายคนที่ประหลาดใจเมื่อเจอเธอในชีวิตจริงแล้วพบว่า เธอตลกและเป็นมิตร เพราะเคยคิดมาตลอดว่า ตัวจริงน่าจะหยิ่งและเข้าถึงยาก แต่ความจริงเธอเป็นแบบเดียวกันทั้งในโซเชียลและชีวิตจริง ดังนั้น ใครก็ตามที่กำลังอยากทำตามความฝันหรือสิ่งที่ชื่นชอบ ขอให้คุณก้าวไปอย่างมั่นใจอย่ากลัวที่จะเริ่ม และอย่ากลัวกับผลลัพธ์ที่ยังมาไม่ถึง เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม การทำในสิ่งที่รักย่อมดีที่สุด
.
ที่มา : https://www.forbes.com/profile/chiara-ferragni/?sh=9f60f835a547
https://www.spearswms.com/chiara-ferragni-net-worth/
https://www.ceochannels.com/make_money/chiara-ferragni/
https://praew.com/people/celeb-story/237709.html
.
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan
#ChiaraFerragni #Fashion #TheBlondeSalad #Blogger #Influencer #เศรษฐีร้อยล้าน #บล็อกเกอร์ร้อยล้าน
เครื่องประดับ dior 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的精選貼文
เคยเป็นไหมหลายครั้งจะซื้อสินค้าหรือพูดถึงแบรนด์หรูๆ ดังๆ หลายแบรนด์ก็ไม่กล้าที่จะออกเสียง เพราะไม่รู้ว่าแบรนด์เหล่านั้นออกเสียงว่าอย่าง ถ้าพูดไปแล้วผิดก็กลัวคนอื่นจะว่า แต่การที่เราผิดทั้งๆ ที่ไม่รู้ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายอะไร วันนี้เลยนำเอา 30 แบรนด์หรูแบรนด์ดังที่คนไทยมักอ่านชื่อผิดมาฝากให้ทุกท่านได้ลองเช็คกันดูว่าที่เคยสงสัยว่าจริงๆ แล้วต้องอ่านว่าอย่างไรกันแน่
.
🔹 AESOP มักผ่านผิดเป็น เออีสพ ที่ถูกต้องคืออ่านว่า เอสอบ หรือจะเรียกว่าอีสปก็ได้ เป็นแบรนด์สกินแคร์และเทียนหอมเอาใจสายรักธรรมชาติจากประเทศออสเตรเลีย
🔹 BALENCIAGA แบรนด์แฟนชั่นสุดหรูสัญชาติสเปน โดยที่ชื่อแบรนด์นั้นสามารถอ่านออกเสียงได้ 2 แบบ แบบภาษาฝรั่งเศสจะอ่านออกเสียงว่า บาลองซิเอก้า และแบบภาษาสเปนจะอ่านออกเสียงว่า บาเลนเซียก้า
🔹 BURBERRY มักอ่านผิดเป็น บลูเบอร์รี่ ที่ถูกต้องคืออ่านว่า เบอเบอรี่ เป็นแบรนด์แฟชั่นสุดหรูจากประเทศอังกฤษที่มีเอกลักษณ์คือลายตาราง Burberry Check ที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องนึกถึง
🔹 BVLGARI ไม่รู้ว่าจะต้องอ่านออกเสียงว่าอย่างไรเลยกับแบรนด์หรูสัญชาติอิตาลีที่มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านอัญมณีและเครื่องประดับ โดยคนมักอ่านผิดเป็น บวัลการี ที่ถูกต้องคือต้องอ่านว่า บุลการี
🔹 Calvin Klein แบรนด์เสื้อผ้าและชุดชั้นในชื่อดังจากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการอ่านชื่อที่ถูกต้องอ่านว่า คลาวิน ไคลน์
🔹 CHANEL NO.5 L’EAU น้ำหอมชื่อดังจากแบรนด์ชาแนลที่ชื่อรุ่นของเขานั้นอ่านยากมากเช่นกัน โดยที่ถูกต้องจะต้องเป็นการอ่านตามภาษาฝรั่งเศส ซึ่งอ่านว่า ชาแนล นัมเบอร์ไฟว์ โลว
🔹 CHARLES & KEITH แบรนด์แฟชั่นจากฝั่งเอเชียที่โด่งดั่งเรื่องกระเป๋าและสินค้าแฟชั่นซึ่งเป็นแบรนด์ที่มาจากประเทศสิงคโปร์ โดยอ่านว่า ชาร์ล แอนด์ คีธ
🔹 CHLOE หลายคนมักอ่านผิดเป็น โชเล่, โคลอี้ แต่จริงๆ แล้วต้องอ่านว่า โคลเอ้ เป็นแบรนด์น้ำหอมสัญชาติอิตาลีที่มีติดท็อปน้ำหอมสำหรับผู้หญิงที่ขายดีตลอดกาลแถมกระเป๋าของแบรนด์นี้ก็ยังได้รับความนิยมอย่างมากอีกด้วย
🔹 CLARINS แบรนด์สกินแคร์สุดหรูจากประเทศฝรั่งเศส ที่คนส่วนมากมักอ่านผิดเป็น คารินส์ ซึ่งจริงๆ แล้วต้องอ่านว่า คลาแรงส์
🔹 CLE DE PEAU BEAUTE แบรนด์เครื่องสำอางสุดหรูราคาหลักหมื่นจากประเทศญี่ปุ่น แต่การตั้งชื่อนั้นต้องอ่านตามภาษาฝรั่งเศสโดยต้องอ่านว่า เคล เดอ โป โบเต้
🔹 DIOR แบรนด์แฟชั่นขวัญใจสาววัยรุ่นทั่วโลกจากประเทศฝรั่งเศสที่มีสินค้าขายดีหลากหลายชิ้นอาทิเช่น น้ำหอม เสื้อผ้า และกระเป๋า โดยที่ชื่อแบรนนั้นต้องอ่านว่า ดิออร์
🔹 DOLCE & GABBANA แบรนด์แฟชั่นดีไซน์หรูจากอิตาลีที่ชื่อแบรนด์นั้นถูกตั้งมาจากนามสกุลของผู้ก่อตั้งทั้ง 2 คน โดยที่ชื่อแบรนด์ต้องอ่านว่า โดลเช่ แอนด์ กาบบานา
🔹 ESPRIT แบรนด์แฟชั่น เครื่องประดับ และของใช้ในบ้านจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่หลายคนมักอ่านผิดเป็น อีสปิริท ซึ่งที่การอ่านชื่อที่ถูกต้องจะต้องอ่านว่า เอสพรี
🔹 ESTEE LAUDER แบรนด์สกินแคร์เครื่องสำอางระดับไฮเอนด์จากประเทศสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการยอมรับในคุณภาพของผลิตภัณฑ์จากทั่วโลก โดยชื่อแบรนด์อ่านว่า เอสเต้ ลอเดอร์
🔹 GIORGIO ARMANI แบรนด์แฟชั่นจากอิตาลีที่กล้าฉีกกรอบการทำแฟชั่นจนพาแบรนด์ก้าวสู่ระดับโลก โดยที่ชื่อแบรนด์ต้องอ่านว่า จิออร์จิโอ อาร์มานี่ ซึ่งเป็นชื่อของดีไซเนอร์ผู้ก่อตั้งแบรนด์นั่นเอง
🔹 GIVENCHY หลายคนอาจจะเคยอ่านว่า ฟีเว่นชี แต่จริงๆ แล้วต้อง อ่านว่า ชีวองชี แบรนด์แฟชั่นจากประเทศฝรั่งเศสที่ได้รับขนานนาว่า เป็นนักปฎิวัติแฟชั่นกลางยุคศตวรรษที่ 20
🔹 HERMES แบรนด์กระเป๋าราคาหลักล้านที่ไม่ว่าใครก็ต้องอยากได้เป็นเจ้าของกับชื่อแบรนด์ที่มาจากเทพเจ้ากรีกที่คนมักอ่านผิดเป็น เฮอร์เมส ซึ่งจริงๆ ต้องอ่านว่า เออร์เมส หรือ แอร์เมส
🔹 JASPAL แบรนด์แฟชั่นที่ก่อตั้งโดยชาวอินเดียก่อนที่จะย้ายเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย โดยที่ชื่อแบรนด์ต้องอ่านว่า ยัสปาล หรือ จัสปาล
🔹 JUICY COUTURE แบรนด์ไฮเอนด์สไตล์วัยรุ่นจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่หลายคนมักอ่านผิดเป็น จุ๊ยซี่ คูทัวร์ ซึ่งจริงๆ แล้วต้อง อ่านว่า จูซี่ กูตูร์
🔹 LAMER แบรนด์สกินแคร์และเครื่องประทินผิวราคาสุดแพงจากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ได้อ่านว่า ลาเมอร์ แต่ต้องอ่านว่า ลาแมร์
🔹 LANCOM เครื่องสำอางแบรนด์ดังสุดหรูหราจากประเทศฝรั่งเศส ที่หลายคนอาจจะอ่านว่า แลนคัม หรือ แลนโคม แต่จริงๆ แล้วต้องอ่านว่า ลังโคม
🔹 LANVIN แบรนด์แฟชั่นชั้นสูงจากฝรั่งเศสที่มีอายุยาวนานกว่า 100 ปี วึ่งคนมักจะอ่านผิดเป็น แลนวิน แต่การอ่านที่ถูกต้อง ต้องอ่านว่า ลองแวง นั่นเอง
🔹 LAURA MERCIER แบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำจากอเมริกาที่ต้องอ่านออกเสียงว่า ลอร่า เมอร์ซิเย่
🔹 LONGCHAMP แบรนด์กระเป๋าทรงอิทธิพลจากฝรั่งเศสที่นอกจากดีไซน์จะสวยก็ยังใช้สะดวกได้ทั้งหญิงและชาย ซึ่งคนส่วนมากมักอ่านออกเสียงผิดเป็น ลองแชมป์ แต่จริงๆแล้วต้องอ่านว่า ลองฌอมป์
🔹 GUERLIAN แบรนด์เครื่องสำอางชั้นสูงจากประเทศฝรั่งเศส ที่สามารถอ่านได้ 2 แบบ แบบภาษาฝรั่งเศสอ่านว่า เกอร์แลง และแบบภาษาจีนต้องอ่านว่า เจี้ยวหลาน
🔹 GUY LAROCHE แบรนด์แฟชั่นผู้ชายจากฝรั่งเศส ที่หลายคนเหมือนเห็นชื่อและสินค้าก็คิดว่าคงต้องอ่านออกเสียงตรงตัวว่า กาย ลาโรเช่ ซึ่งจริงๆ แล้วต้องอ่านออกเสียงว่า กีลาโรช
- MIU MIU แบรนด์สุดหรูจากอิตาลี เป็นแบรนด์ลูกของ PRADA ที่เป็นที่ถกเถียงกันหลายต่อหลายครั้งเพราะเมื่อเห็นโลโก้ของแบรนด์ คนไทยก็มักจะอ่านเป็นภาษาไทยว่า กาเบ กาเบ แต่จริงๆ แล้วแบรนด์นี้ต้องอ่านว่า มิวมิว
- MONT BLANC แบรนด์นาฬิกาและน้ำหอมสุดหรูสำหรับคุณผู้ชายจากประเทศฝรั่งเศส ที่ต้องอ่านออกเสียงว่า มองบลองซ์
- SEANJOHN แบรนด์เสื้อผ้าผู้ชายจากประเทศอเมริกาที่คำว่า SEAN ต้องอ่านว่า ฌอน ตามแบบภาษาฝรั่งเศส และคำว่า JOHN ต้องอ่านว่าจอห์น ตามภาษาอังกฤษ ทำให้แบรนด์นี้ต้องอ่านออกเสียงว่า ฌอนจอห์น
- YVES ROCHER แบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามออแกนิกจากฝรั่งเศสที่ขึ้นชื่ออย่างมากในภาพลักษณ์ของเป็นแบรนด์ที่รักษ์โลก ซึ่งชื่อแบรนด์ต้องอ่านว่า อีฟส์โรเช่
- YVESSIANT LAURENT อีกหนึ่งแบรนด์แฟชั่นชั้นนำจากฝรั่งเศส ที่หลายคนมักอ่านผิดเป็น อีฟ แซง ลอเร๊นซ์ ซึ่งจริงๆแล้วต้อง อ่านว่า อีฟส์แซงต์ โลรองต์
.
และนี่ก็คือตัวอย่างของชื่อแบรนด์สุดหรูที่คนไทยหลายคนมักอ่านชื่อผิด อย่าว่าแต่ทุกคนเลยบางแบรนด์แอดมินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องอ่านออกเสียงว่าแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นการออกเสียงไม่ถูกต้องไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือเป็นความผิดอะไร แค่เมื่อเรารู้ว่าผิด ก็แค่เรียนรู้ที่จะทำให้ถูกเท่านี้ก็พอแล้ว เป็นอย่างไรบ้างมีแบรนด์ไหนที่คุณเคยอ่านชื่อผิดกันบ้างไหม? แต่ยังไงแล้ววันนี้ทุกท่านก็ได้รู้แล้วว่าวิธีการอ่านออกเสียงที่ถูกต้องเป็นอย่างไร หลังจากนี้เวลาจะช้อปปิ้งทุกท่านก็จะสามารถได้กล้าออกเสียงได้อย่างมั่นใจและถูกต้องอย่างแน่นอน
.
ที่มา : https://www.sanook.com/women/129537/
.
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan #อายุน้อยร้อยล้านNEWS
#Business #ธุรกิจ #แบรนด์เนม #แบรนด์หรู #อ่านชื่อแบรนด์เนม #AESOP #BALENCIAGA #BURBERRY #BVLGARI #CalvinKlein #CHANEL #CHARLESKEITH #CHLOE #CLARINS #CLEDEPEAUBEAUTE #DIOR #DOLCEGABBANA #ESTEELAUDER #GIORGIOARMANI #GIVENCHY #HERMES #JASPAL #JUICYCOUTURE #LAPRAIRIE #LAMER #LANCOME #LANVIN #LAURAMERCIER #LOCCITANE #GUERLIAN #LONGCHAMP #MIUMIU #MONTBLANC #SEANJOHN #YVESROCHER #YVESSIANTLAURENT
เครื่องประดับ dior 在 Fai Supats Youtube 的精選貼文
ความสุขของสาวๆอย่างเราจะมีอะไรดีไปกว่าการได้SHOPPING!
ซึ่งคลิปนี้ก็เป็นครั้งแรกเลยนะคะที่ฝ้ายจะมารีวิวเปิดถุงที่ได้ไปSHOPมา
ซึ่งครั้งนี้ แบรนด์ที่ฝ้ายไปซื้อมาก็จะมี
DIOR/ CHANEL/ LOUIS VUITTIN และ HERMES นะคะ
มีทั้งน้ำหอม เครื่องประดับ รองเท้า กระเป๋า
ของแต่ละอย่างจะเป็นยังไงบ้าง น่าซื้อน่าไปตำตามขนาดไหน
ต้องดูค่าา
จ่ายเอง SHOPเอง เจ็บเองจากกระเป๋าตังตัวเองล้วนๆๆ
ฝากติดตามเพจเป็นกำลังใจให้ฝ้ายด้วยน้า
Facebook: Faisupats
Instagram: Faisupats
ขอบคุณมากค่าาา : )
#Faisupats #Dior #Chanel #LouisVuitton #Hermes #ฝ้ายป้ายยา