ฟองสบู่ vs Reflexivity theory ของจอร์จ โซรอส ดูยังไงว่าสินทรัพย์ไหนฟองสบู่เเล้ว
ตามปกติของวัฎจักรเศรษฐกิจย่อมเป็นปกติอยู่เเล้วที่สภาวะมูลค่าสินทรัพย์ทุกชนิด จะต้องมีการเพิ่มขึ้นเเละลดลง หรือที่เราเรียกกันว่า Boom and Bust Cycle จึงไม่น่าจะใช่เรื่องเเปลกใจที่คุณจะเห็น วัฎจักรเศรษฐกิจในหลายๆครั้ง
เเต่ถ้าหากระดับราคาของสินค้าบางอย่างอยู่สูงกว่ามูลค่าที่เเท้จริง(intrinsic value)อย่างมาก เเละรวดเร็วจนเกินไป หรือที่เราเรียกว่า ฟองสบู่ เเละย่อมไม่เเปลกที่การกลับเข้าสู่ราคาที่ควรจะเป็น หรือที่เรียกกันว่า Correction ของตลาด (การปรับฐาน) ซึ่งจะมีทั้งครั้งใหญ่(ฟองสบู่เเตก)เเละครั้งเล็กอยู่เเล้ว ซึ่งก็ไม่ได้เคยเกิดขึ้นเเค่ครั้งเดียวในอดีต หากเเต่ มนุษย์ได้ผ่านเหตุการณ์เหล่านี้มาเเล้วนับครั้งไม่ถ้วน อันมีเหตุมาจากความโลภของมนุษย์เองล้วนๆ
เเต่ก็มีอีกทฤษฎีหนึ่งของผู้จัดการกองทุนที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง บอกไว้ว่า การตกลงเเละเข้าใจผิดร่วมกันของคนหมู่ใหญ่ๆ ย่อมนำไปสร้างความเป็นจริงได้ เพราะมนุษย์มักได้รับข้อมูลที่ ไม่จริง(Fallibility) เเละ ผลสืบเนื่อง (Reflexivity) โดยผู้จัดการกองทุนที่เป็นเจ้าของทฤษฎีนี้คือ George Soros ถ้าเป็นเช่นนั้นเเล้วก็หมายความว่า การเติบโตที่เร็วไปของระดับราคาอาจจะทำให้มูลค่าที่เเท้จริงเติบโตตามได้ ถ้าอย่างนั้นเเล้ว ฟองสบู่ก็จะไม่เเตก?
เเล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่คุณเห็นเป็น ฟองสบู่ หรือ reflexivityที่อาจทำให้พื้นฐานตามราคาได้ทัน?
ซึ่งถ้ามาย้อนมองในปัจจุบัน มีหลายสินทรัพย์ที่ราคาพุ่งขึ้นมาอย่างน่าตกใจ เเละ พื้นฐานธุรกิจนั้นๆก็ไม่ได้วิ่งเเรงเท่าราคา เพราะฉะนั้นการที่คุณจะเเยกเเยะสิ่งต่างๆได้ชัดเจนคุณก็ต้องเข้าใจขั้นตอนของมันก่อน
ฟองสบู่(Bubble)ในทางเศรษฐศาสตร์ก็คือสภาวะที่ระดับราคาของสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เเละ สูงมาก ซึ่งเเซงหน้าพิ้นฐานของสินทรัพย์นั้นไปเเล้ว ซึ่งอาจจะนำไปสู่ผลลัพธ์ของฟองสบู่เเตกถ้าผู้คนหมดความเชื่อมั่น
โดยวัฎจักรฟองสบู่เป็นดังนี้....
1.การเเทนที่(displacement)
การเกิดเเนวความคิดใหม่ๆเกี่ยวกับสินทรัพย์นั้นๆ ไม่ว่าจะเป็น รูปเเบบใหม่ กิจการดีขึ้น หรือ มีเทคโนโลยีใหม่ หรือ อาจจะความเชื่อใหม่ๆ
สิ่งนี่ย่อมทำให้สินทรัพย์ได้รับความสนใจ
2.การเติบโต (Boom)
เมื่อมีคนมาสนใจ ระดับราคาของสินทรัพย์ย่อมเติบโต
3.มั่นใจหรือสบายใจ (Euphoria)
ระดับราคาวิ่งอย่างไม่หยุดยั้ง โดยไม่สนใจความไม่เเน่นอนต่างๆเลย เเละ ตลาดเชื่อมั่นในสิ่งนั้นๆมาก
4.ทำกำไร (Profit taking)
เริ่มมีคนขายทำกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำ รายใหญ่เริ่มขายออกมา
5.ตื่นกลัว (Panic)
เมื่อทุกคนเห็นระดับราคาลงมา ภาพที่เคยเชื่อย่อมสั่นคลอน เเละเมื่อมีหนึ่งคนเชื่อ ตลาดย่อมได้รับผลกระทบ เเละ ท้ายที่สุด เกิดเป็น ฟองสบู่เเตกคือการที่ระดับราคาร่วงอย่างรุนเเรง
ดังจะได้เห็นมาในประวัติศาสตร์ชาติเราหลายๆครั้ง เช่น ฟองสบู่ทิวลิป วิกฤติดอทคอม วิกฤติหนี้บ้านของสหรัฐ เเละอื่นๆอีกมาก
เเล้วทางฝั่งของทฤษฎี Reflexivity ของSorosหละ จะเป็นยังไง
ทฤษฎีที่โซรอสตั้งขึ้นนั้น เป็นตัวที่ทำให้เขาหาเงินจาก เเนวความคิดนี่อย่างมากมาย ซึ่งเเนวความคิดนี้ อยู่บนพื้นฐานว่า เราไม่สามารถ รับรู้ข้อมูลครบทุกด้าน เเละ ข้อเท็จจริง อย่าง100% เเละพิสูจน์มันได้เหมือนหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ว่า โลกกลม เเละ เมื่อโดนพิสูจน์ว่าเเบน เพียงครั้งเดียวก็เพียงพอจะทำลายความเชื่อนั้นๆ
เเต่โซรอสบอกว่าในวิทยาศาสตร์สังคมไม่เป็นเช่นนั่น เราจะถูกบอดเบือน เเละ ไม่ครบถ้วน ซึ่งเขาเรียกมันว่า Fallity เเละ เมื่อมันมีหลายๆคนเชื่อสิ่งนั้นจะสะท้อนภาพของความเชื่อนั้น เรียกว่า Reflexivity ซึ่งสามารถ สะท้อนได้ทั้งภาพที่ดีเเละร้าย
หมายความว่า เมื่อราคาของสินทรัพย์นำพื้นฐาน ก็อาจจะทำให้พื้นฐานของสิ่งๆนั้นเติบโตมาทัน อย่างเช่น ราคาหุ้นนำพื้นฐานบริษัท เพราะความเชื่อว่ามันจะดี คนในบริษัทก็จะตั้งใจทำงานเเละทำให้กำไรเติบโต ราคาก็จะทันกับกำไร
หรือถ้าคนเชื่อว่าสินทรัพย์นั้นไม่ดี สุดท้ายคนก็อาจจะไม่ซื้อสินค้านั้น เเละกำไรลดลงตาม ราคาหุ้นก็จะตกไปเรื่อยๆ
ซึ่งคุณจะเห็นได้ว่า ท้ายที่สุดเเล้ว ทฤษฎีของโซรอสไม่ได้เเยกขาดออกจากกับ ความเป็น ฟองสบู่ หากเเต่ นำมาช่วยในการวิเคราะห์ว่า ความเชื่อของตลาดสามารถพาพื้นฐานสินทรัพย์ไปได้จริงไหม ถ้าหากไม่ คุณก็ควรรับรู้สัญญาณนั้นก่อน เพื่อคุณจะได้อยู่ในช่วง Profit taking ก่อนที่ความรับรู้(Fallity) จะเกิดเเล้วในไปสู่ผลสืบเนื่อง(Reflexivity) เเล้วทำให้เกิดฟองสบู่
หรือ ถ้าส่วนใหญ่เชื่อว่ากิจการจะดีเเล้วราคาวิ่งขึ้นไป พื้นฐานของกิจการนั้นตามไปเเค่ไหน ถ้าตามไปมากพอก็มีเเนวโน้มว่าราคาจะสูงขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้ทังนั้นบทความนี้ทำมาเพื่อเเสดงมุมมองหลายๆมุมให้กับนักลงทุนทุกคน เพราะในยุคที่เต็มไปด้วยความไม่เเน่นอน การได้เห็นมุมมองจากหลายๆคนย่อมเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่ดี เเละ ไม่มั่นใจบางอย่างมากจนเกินไป ตอนนี้อาจจะเป็นฟองสบู่เเล้วหรือไม่ ไม่มีใครรู้เเต่ฟองสบู่จะรู้เมื่อมันเเตกเท่านั้น
ขอให้มีความสุขกับการลงทุนนะครับ
เเอดตฤณ
อ้างอิง
https://www.investopedia.com/terms/b/bubble.asp
https://www.ft.com/content/0ca06172-bfe9-11de-aed2-00144feab49a
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「boom and bust cycle」的推薦目錄:
boom and bust cycle 在 不負責任金融研究中心 Facebook 的最讚貼文
梧:If one reads Dalio's book, It's not hard to realized that Jay Powell is currently prescribing what Ray Dalio had recommended in his debt cycle model towards the US economy, and Powell actually followed it to the word.
Can I now assume that Ray Dalio is a Keynesian 大政府膠 as well?
And, oh, by the way, Dalio's debt cycle model resembles a lot of what Soros had dubbed "Boom/ Bust cycles" and theory of reflexivity in Alchemy of Finance.
boom and bust cycle 在 貓的成長美股異想世界 Facebook 的最讚貼文
我前陣子在股感介紹的Winnebago(WGO)這家公司, 今天發表財報, 漲了14.87%, 也帶動了THO(昨天在StockFeel 股感,來自生活有發表介紹文.)
我有一些話想要說:
我在股感介紹過的公司, 並不是明牌😂
我發文介紹美國上市公司的主要目的, 就像我之前說的, 是破除語言的隔閡, 介紹美國的公司給華語的投資人, 大家也可以一起成長&交流. 買賣還是要自行負責(有讀者要我負責, 又說我介紹的公司的股價不好, 我覺得有點摸不著頭緒, 而我也有在文章末寫了免責聲明呀)~
如果覺得我的文章不好, 那........請您自己來寫寫看, 或是靠自己來蒐集資料做研究. 寫分析文很花時間, 也要有組織能力去做整合, 是不好寫的呢.......😂
股價不好看, 有時候是一時的. 股價也有季節變換. 沒有人會一直是常勝軍, 也沒有股票會這樣.
Anyways. 很高興WGO今天的表現很好:) 其實股感也有功.....因為有些產業是股感那邊想出來的, 我只是將idea具體呈現而已. 這次研究RV產業, 也讓我學到了很多, 是個很好的學習經驗. 感恩~
**********
以下是我在聊天室, 針對WGO以及THO所發表的一些看法. 供參.
RV是個很特別的產業, 我建議這幾隻一起觀察(上下游供應鏈), 因為股價連動性很大: THO,WGO,LCII,SKY,SPAR,PATK,NAV, CWH
You can read my THO analysis- consumers prefer newer RV models, so the RV purchase cycle is shorter than regular cars, whether a company can have newer models is important.
RV is a very cyclical industry, and the stock price is sensitive to employment rate, oil price, aluminum price, economic indicators, etc. that’s why I said it’s unique.
Some people say it’s in a boom and bust industry. You can check the historical charts. The price fluctuates a lot (big 波浪). So if you or someone wants to be in, please be aware of this.
“挑個股也要把眼光放遠放寬 總體經濟發展跟個體經濟一樣重要 “—-> I talked about this not long ago. This is also my 感想 after studying RV industry. RV’ sales is very, very sensitive to economic conditions.
And you can see WGO and THO’s PE is very low vs. other growth stocks. I guess this is because of the concerns mentioned above, institutional investors try to avoid them. My two cents:)
若投資這RV類股, 除了注意產業上下游的財報外, 也要注意RV shipment(出貨量)的data(每個月底公布).
這個RVIA網頁的資料可能比較慢: https://www.rvia.org/news-insights/rv-shipments-april-2018
所以要看RVIA的即時新聞稿會比較好:
https://www.rvia.org/news-insights