🌻風險管理
跌了幾十趴的個股還要繼續抱下去嗎? 去年飆漲的SPAC, 今年還漲的回來嗎?(可以跟下篇一起看).
開始玩成長股後, 我學到最難的一堂課是風險控制. 每個人對風險控制的觀念不一樣, 這跟每個人的心理素質也有關係.
風險管理, 也就是"留得青山在, 不怕沒柴燒".
風險管理:
https://zh.wikipedia.org/wiki/%E9%A3%8E%E9%99%A9%E7%AE%A1%E7%90%86
🌻There Are Too Many Defenseless(無防禦性的) Stocks
(可以的話, 我希望您可以好好讀一下這篇文章. 我希望能夠幫您守住些財富, 減少些損失, 甚至創造些獲利. "Too many", 也就代表了股票沒有稀有性)
The underwriters just created too many stocks. There's too many new companies, too many companies that help you with analytics(分析), too many that offer video, too many data collectors and too many real-time analysis, and too many cybersecurity companies. There's been too many new electric vehicle derivatives, too many cannabis (大麻) plays and way too many new fintechs(金融科技).
The effect? We are now facing a bewildering number of companies that simply do the same things and can't be differentiated (無差異性的) and, frankly, are too hard to understand unless you are deeply involved in the transfer of data from on your premises to the cloud(雲端).
Why does this matter?
Because these stocks are defenseless. They are defenseless against inflation (通膨) because so many of them sell at a multiple to sales and any company that trades as a multiple to sales (指的是以P/S為估值方式, 非傳統的P/E. 軟體公司主要是用P/S) will see its value erode more quickly than any other in this stock market because the company has to graduate from a multiple to sales to a multiple of earnings, or just keep losing money. So many new investors have not experienced real inflation where these kinds of stocks can't be given away.
They are defenseless against an economic boom. I have been reading through countless software as a whatever with a go to market strategy and a huge TAM (total addressable market, 指的是市場大小) to land and expand(指的是雲端公司的商業模式), and my eyes glaze over. Who needs a company with all of those buzzwords that's growing at 27% and losing money when I have plenty of high quality industrials that are growing at 27% and spewing cash to the point the biggest issue is how much should be put to growth versus rewarding shareholders.
They are defenseless against older companies with a balanced policy toward dividends and buybacks, so that supply is mopped up while demand is bolstered by a yield. The land and expanders don't have anything backing them up which makes them vulnerable to sudden shocks down as we have seen.
They are defenseless against insider selling. If capital gains rates are going up, these are the companies with the most vulnerable stocks because so many of the people in these new companies have stocks that are still up substantially from when they got stock so a company with a stock down 30%-40% is vulnerable from scads of insider selling, including secondaries I am now expecting with increasing frequency.
They are defenseless against SPACs. While there are many good SPACs there are too many SPACs with too much stock sloshing around. I keep thinking about that MP Materials (MP) secondary offering in late March, where entities controlled by CEO James Litinsky sold 4.6 million shares of his company in a deal priced at $35. Now it is a small percentage of his holdings and many others involved with the company sold small amounts, too. That's not the point. It's more of a statement: this stock traded at $50. You might have been inclined to buy on the pullback but you would have been massacred as the stock is now at $27. If you have a so-called successful SPAC its success might be measured by how much money you took out of it before its stock fell by 50%. There are hundreds of things and when you consider all of the warrants out there, you know this market is going to be overwhelmed with this stuff.
You aren't going to see these kinds of secondaries at Deere (DE) or Caterpillar (CAT) , that's for certain.
Now there are people out there willing to buy the incredibly almost stupidly risky stocks, people like Cathie Wood, who demonstrated her unflappable conviction to her method of buying stocks that worked when there's scarcity value but there's anything but that now.
Maybe she can take down tens of billions of dollars worth and save the day. I wouldn't count on it. I am sorry to question her stock picking, lord knows she's been amazing. But unless others copy her, we know the stocks she is buying resemble what's not working at all. Maybe someday, but not now.
I try to figure out what the end game for these stocks might be if the economy keeps heating up and inflation accelerates. There's simply not enough money from young people or ETFs based on high growth or Cathie Wood to keep these stocks higher, and there's too much opportunity for the insiders to do what MP did, something that crunched the stock even as it reported a quarter ahead of expectations, which meant something at one point but means absolutely nothing now. Nothing at all.
文章來源: https://realmoney.thestreet.com/jim-cramer/jim-cramer-there-are-too-many-defenseless-stocks-15649142
Picture來源:
https://society6.com/product/boxing-cat_print
capital one wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
รู้จัก ลี กาชิง จากเด็กโรงงาน สู่มหาเศรษฐี 1 ล้านล้าน /โดย ลงทุนแมน
ในปัจจุบัน หากพูดถึงชื่อมหาเศรษฐีเชื้อสายจีน
หลายคนคงนึกถึง Jack Ma ผู้ปลุกปั้นอาณาจักร Alibaba
หรือ Pony Ma ผู้ปลุกปั้นอาณาจักร Tencent
แต่อีกคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของทวีปเอเชียมาอย่างยาวนาน คือ คุณ “ลี กาชิง” หรือ “Li Ka-shing”
เขาคนนี้ เริ่มต้นจากศูนย์ ก่อนก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าของธุรกิจหลากหลายประเภท
ไม่ว่าจะเป็น อสังหาริมทรัพย์, ท่าเรือขนส่ง, สื่อสารโทรคมนาคม, ร้านค้าปลีก หรือแม้กระทั่ง แพลตฟอร์มออนไลน์
ความสำเร็จต่างๆ ที่ผ่านมา ทำให้เขาได้รับฉายาว่า “ซูเปอร์แมน” แห่งเกาะฮ่องกง
และถูกยกย่องให้เป็นเหมือน วอร์เรน บัฟเฟตต์ แห่งเอเชีย เลยทีเดียว
เรื่องราวชีวิตของชายคนนี้ น่าสนใจอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
คุณ Li Ka-shing เป็นนักธุรกิจและนักลงทุน ชาวฮ่องกง
เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1928 ปัจจุบันมีอายุ 93 ปี
เขามีชีวิตวัยเด็กที่ค่อนข้างลำบาก โดยครอบครัวอาศัยอยู่ในมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
แต่พอเกิดสงครามระหว่าง ญี่ปุ่น-จีน เขาและครอบครัวจึงต้องอพยพไปอยู่ที่เกาะฮ่องกง ในปี 1940
หลังจากย้ายมาได้ไม่นาน พ่อของเขาก็เสียชีวิตลง ทำให้คุณ Li Ka-shing จำเป็นต้องลาออกจากโรงเรียน เพื่อหางานทำเลี้ยงครอบครัว ทั้งๆ ที่มีอายุเพียง 15 ปี เท่านั้น
เขาเริ่มทำงานในโรงงานผลิตพลาสติกแห่งหนึ่ง ซึ่งต้องทำงานหนักถึง 16 ชั่วโมงต่อวัน
แต่มันก็กลายเป็นโอกาสให้เขาเรียนรู้ขั้นตอนการดำเนินงานทั้งหมดภายในโรงงาน
ซึ่งต่อมาในปี 1950 คุณ Li Ka-shing ก็ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทโรงงานผลิตสินค้าพลาสติกเป็นของตัวเอง ชื่อว่า Cheung Kong
ตอนแรก เขาเลือกผลิตสินค้าของเล่นพลาสติก
แต่ต่อมาได้เห็นข่าวความนิยมในดอกไม้พลาสติกที่ประเทศอิตาลี
จึงเปลี่ยนมาผลิตดอกไม้พลาสติกราคาถูก ที่มีคุณภาพดีสีสันเหมือนจริงแทน
ปรากฏว่า ธุรกิจประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ส่งผลให้ Cheung Kong กลายเป็นผู้ผลิตดอกไม้พลาสติกรายใหญ่ของเอเชีย
และทำให้คุณ Li Ka-shing มีฐานะร่ำรวยขึ้น
พอเริ่มมีเงินทุนในมือมากขึ้น เขาก็ลองมองหาโอกาสลงทุนในธุรกิจอื่นบ้าง
ในปี 1967 ได้เกิดการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลฮ่องกง
ซึ่งบานปลายไปสู่เหตุจลาจล และลอบวางระเบิด
ประชาชนจำนวนมากในฮ่องกง ยอมทิ้งบ้านเรือนและธุรกิจ ย้ายออกจากฮ่องกงเพื่อความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม คุณ Li Ka-shing มองว่านี่เป็นเพียงเหตุการณ์ชั่วคราวที่สักวันต้องจบลง จึงหาจังหวะเข้าซื้อที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งที่ราคาตกต่ำลง และนำมันไปพัฒนาโครงการต่างๆ ซึ่งสร้างมูลค่าเพิ่มได้
นอกจากนั้น ในปี 1979 บริษัท Cheung Kong ที่เขาก่อตั้งขึ้นมา ก็ได้เข้าซื้อหุ้น Hutchison Whampoa บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ประกอบธุรกิจหลากหลายในฮ่องกง เช่น ท่าเรือขนส่ง ซึ่งบริษัทครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 70%, ค่ายสัญญาณโทรศัพท์ และร้านค้าปลีกสินค้าความงาม Watsons
ซึ่งในขณะนั้นเอง เศรษฐกิจฮ่องกงก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากความได้เปรียบเชิงทำเลที่ตั้งและภาคการเงินที่แข็งแกร่ง
จนทำให้พวกเขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสี่เสือเศรษฐกิจแห่งเอเชีย
ปี 1971-1980 GDP ฮ่องกงโตเฉลี่ย 9.1% ต่อปี
ปี 1981-1990 GDP ฮ่องกงโตเฉลี่ย 6.8% ต่อปี
และแน่นอนว่าทุกธุรกิจที่คุณ Li-Ka shing ซื้อกิจการมา
ก็ได้รับประโยชน์ล้อไปกับการเติบโตของเศรษฐกิจฮ่องกง
ส่งผลให้เขากลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของฮ่องกงและทวีปเอเชีย นับตั้งแต่นั้นมา
มาถึงปัจจุบัน ฮ่องกงกำลังเผชิญปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหม่
จากเหตุชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่รุนแรงและยืดเยื้อมาตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2019
ประกอบกับการระบาดของโควิด 19 ที่ทำให้ GDP ฮ่องกงในปี 2020 หดตัวถึง 6.1%
ซึ่งมีการประเมินว่า ธุรกิจในฮ่องกงของคุณ Li Ka-shing ได้รับความเสียหายไปไม่ต่ำกว่า 90,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวอาจส่งผลกระทบแค่เพียงเล็กน้อย
เพราะก่อนหน้านี้ เขาได้กระจายการลงทุนไปในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่เป็นเทรนด์หลักของโลกยุคใหม่
โดยเขาได้ก่อตั้งบริษัท Venture Capital ชื่อว่า Horizons Ventures ขึ้นเมื่อปี 2002 เพื่อลงทุนในสตาร์ตอัปที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจได้ไม่นานแต่มีศักยภาพที่น่าสนใจ
ตัวอย่างของบริษัทที่ Horizons Ventures ไปลงทุนด้วย ก็อย่างเช่น
- Facebook แพลตฟอร์มโซเชียลเน็ตเวิร์ก ในปี 2007 ที่ตอนนั้นยังมีผู้ใช้งานทั่วโลกแค่ 50 ล้านคน
- Spotify แพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลง และพอดแคสต์ ในปี 2009 ที่ในตอนนั้นเพิ่งก่อตั้งกิจการมาแค่ 3 ปี
- Siri ระบบสั่งการอัจฉริยะ ในปี 2009 ก่อนที่จะถูก Apple ซื้อกิจการไป
แต่การลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุด คงจะเป็น “Zoom” แพลตฟอร์มประชุมออนไลน์
ซึ่งกองทุนได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท สัดส่วน 8.6% ในการระดมทุนเมื่อปี 2015
ซึ่งในปีที่ผ่านมา Zoom กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากการระบาดของโควิด 19 ทำให้ผู้คนต้องติดต่อสื่อสารกันผ่านออนไลน์แทน
ผลจากการลงทุน ส่งผลให้หุ้นที่คุณ Li Ka-shing ถือครองอยู่ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นสูงถึง 330,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดของตัวเขา
โดยจากการประเมินทรัพย์สินล่าสุด โดย Forbes
คุณ Li Ka-shing มีทรัพย์สินอยู่ที่ประมาณ 1,020,000 ล้านบาท
ถือเป็นบุคคลที่รวยอันดับ 2 ของฮ่องกง และอันดับ 39 ของโลก
เรื่องราวนี้นับเป็นตัวอย่างที่ดีว่า
ไม่ว่าเราจะเป็นใคร หรือมีต้นทุนชีวิตมากน้อยเท่าไร
หากตั้งใจเรียนรู้ประสบการณ์ทำงานจริง และคอยปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
เราก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน
เหมือนอย่างคุณ Li Ka-shing
ที่สูญเสียหัวหน้าครอบครัว เรียนไม่จบ และต้องทำงานในโรงงานตั้งแต่เด็ก
แต่เขาก็มุ่งมั่นที่จะสร้างและลงทุนในธุรกิจที่คิดว่าน่าสนใจอยู่ตลอดเวลา
จนสามารถพัฒนาจากศูนย์ มาสู่ 1 ล้านล้าน ได้ในวันนี้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-01-28/hong-kong-faces-difficult-road-to-recovery-after-record-slump?sref=x0EQiAMH
-https://en.wikipedia.org/wiki/Li_Ka-shing
-https://www.techinasia.com/li-ka-shing-story
-https://empirics.asia/from-factory-worker-to-richest-man-in-asia-the-story-of-li-ka-shing/
-https://www.forbes.com/profile/li-ka-shing/?list=hong-kong-billionaires&sh=4b98bf3e523f
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-09-02/one-third-of-li-ka-shing-s-wealth-is-an-11-billion-zoom-stake
-https://en.wikipedia.org/wiki/Hutchison_Whampoa
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.KD.ZG?locations=HK
capital one wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
รู้จัก “ปีเตอร์ ธีล” นักลงทุนรายแรกของ Facebook /โดย ลงทุนแมน
ปีเตอร์ ธีล ชายที่เป็นหนึ่งใน “PayPal มาเฟีย”
ซึ่ง PayPal มาเฟีย คือ ฉายาที่ใช้เรียกอดีตพนักงานที่ร่วมกันพัฒนาบริษัท PayPal
ที่ถูกเรียกว่ามาเฟีย ก็เนื่องจากพวกเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อธุรกิจอินเทอร์เน็ต ถึงขนาดที่บางคนยกย่องว่าพวกเขามีส่วนช่วยให้อุตสาหกรรมฟื้นตัวกลับมาได้ หลังจากเกิดวิกฤติฟองสบู่ Dot-Com
โดย ปีเตอร์ ธีล คือคนที่ถูกเปรียบเทียบให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม PayPal มาเฟีย
ซึ่งเขาคนนี้ ยังเป็นนักลงทุนรายแรกของ Facebook อีกด้วย
เรื่องราวของชายคนนี้น่าสนใจอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
อีกครั้งกับกรณีศึกษาธุรกิจมากมายที่จะช่วยเปิดกว้างมุมมองความรู้ของคุณ
ใน ลงทุนแมน 13.0 เล่มล่าสุด สั่งซื้อได้แล้ววันนี้ที่
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/130-i1587474257-s4309842746.html
Shopee: https://shopee.co.th/Longtunman-หนังสือลงทุนแมน-13.0-i.116732911.7453767586
╚═══════════╝
ปีเตอร์ ธีล (Peter Thiel) เป็นนักธุรกิจและนักลงทุน ชาวเยอรมัน-อเมริกัน
เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1967 ปัจจุบันมีอายุ 53 ปี
เขาจบการศึกษาด้านกฎหมาย จากมหาวิทยาลัย Stanford และทำงานเป็นผู้ช่วยของผู้พิพากษา
แต่ต่อมา ตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพ มาเป็นเทรดเดอร์ตราสารอนุพันธ์ที่บริษัทหลักทรัพย์ Credit Suisse แทน
ซึ่งขณะนั้นเอง ธีลได้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจอินเทอร์เน็ต โดยเฉพาะการซื้อขายสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ แต่กลับพบว่า ยังไม่ค่อยมีระบบจ่ายเงินออนไลน์ที่รองรับธุรกรรมดังกล่าวสักเท่าไร
เขาจึงได้ก่อตั้งบริษัท Confinity Inc. ร่วมกับเพื่อน เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการจ่ายเงินออนไลน์ ในปี 1998
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ก็มีอีกบริษัทที่ตั้งขึ้นมาประกอบธุรกิจ Online Banking โดยบริษัทนั้นคือ X.com ที่มี อีลอน มัสก์ เป็นตัวตั้งตัวตีในการก่อตั้งบริษัทนี้
ซึ่งหนึ่งปีถัดมา Confinity และ X.com ที่ต่างบริษัทต่างก็มีชื่อเสียงด้านแพลตฟอร์มให้บริการธุรกรรมการเงินออนไลน์ในขณะนั้น ก็ได้ควบรวมกิจการกัน และเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น “PayPal”
ในปี 2002 บริษัท PayPal จดทะเบียนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ และต่อมาไม่นาน ก็ตกลงขายกิจการให้กับ eBay เว็บไซต์ซื้อขายสินค้าออนไลน์ ด้วยมูลค่าสูงถึง 47,000 ล้านบาท
ทำให้ ปีเตอร์ ธีล ที่ถือหุ้นของ PayPal ณ ขณะนั้นอยู่ 3.7% ได้รับเงินจากดีลครั้งนี้ไปราว 1,700 ล้านบาท
ในเวลาต่อมา เขาได้นำเงินก้อนนั้นไปก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ และ Venture Capital เพื่อหาโอกาสลงทุนในกิจการสตาร์ตอัปต่างๆ ที่น่าสนใจ
และเหตุการณ์สำคัญ ก็เกิดขึ้นในปี 2004
เมื่ออดีตเพื่อนร่วมงานที่ PayPal แนะนำให้ธีลรู้จักกับ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ในวัย 20 ปี
หลังจากการพูดคุยกัน ทำให้ธีลสนใจในธุรกิจโซเชียลเน็ตเวิร์กแบบใหม่ของ Facebook เป็นอย่างมาก และตกลงเข้าร่วมลงทุนด้วยเงิน 15.6 ล้านบาท เพื่อแลกกับหุ้นสัดส่วน 10.2% ของบริษัท
ซึ่งการลงทุนในครั้งนั้น คือการที่ Facebook ได้รับเงินลงทุนจากคนนอกเป็นครั้งแรก จึงทำให้ ธีล กลายเป็นนักลงทุนรายแรกของ Facebook นั่นเอง
ทั้งนี้ ธีลยังได้เข้ามาเป็นผู้บริหาร Facebook และมีบทบาทสำคัญในเรื่องการเงิน โดยเฉพาะการจัดระดมทุนได้สำเร็จ ก่อนจะเกิดวิกฤติซับไพรม์ในปี 2008
จนกระทั่งปี 2012 Facebook ได้ดำเนินการ IPO เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ โดยขณะนั้นบริษัทมีมูลค่าอยู่ที่ราว 3.1 ล้านล้านบาท
ซึ่งธีลก็ตัดสินใจขายหุ้นที่เขาถืออยู่จำนวนมากออกไป ทำให้เขาได้รับเงินไปประมาณ 31,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่ามหาศาลเมื่อเทียบกับมูลค่าที่เขาลงทุนไปในตอนแรก
นอกจากนั้น ธีลยังลงทุนในสตาร์ตอัปชื่อดัง อีกกว่า 80 บริษัท ตั้งแต่ช่วงแรกของกิจการ ตัวอย่างเช่น
Airbnb แพลตฟอร์มจองที่พักแบบ Sharing Economy
Linkedin แพลตฟอร์มโซเชียลสำหรับคนทำงาน
SpaceX บริษัทขนส่งทางอวกาศ
Spotify แพลตฟอร์มฟังเพลง Streaming ออนไลน์
Quora แพลตฟอร์มโซเชียล ถาม-ตอบ
Yammer แพลตฟอร์มโซเชียลสำหรับองค์กร
DeepMind บริษัทพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
รวมถึงการลงทุนใน Cryptocurrency อย่าง Bitcoin ที่เขามองว่าน่าจะเป็นสกุลเงินสำคัญของธุรกรรมการเงินออนไลน์ในอนาคตอีกด้วย
ล่าสุด จากการประเมินทรัพย์สินและจัดอันดับของ Forbes
ปีเตอร์ ธีล มีทรัพย์สินส่วนตัวอยู่ที่ประมาณ 78,000 ล้านบาท
ซึ่งถูกจัดเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลก อันดับที่ 391
ทั้งนี้ ธีลเคยให้มุมมองเอาไว้ว่า บริษัทที่ประสบความสําเร็จ และสร้างผลตอบแทนมหาศาลให้กับผู้ถือหุ้น มักจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันอยู่หนึ่งอย่าง
นั่นคือ การเป็นผู้สร้างสินค้า นวัตกรรม หรือตลาด ขึ้นมาใหม่
จึงทำให้บริษัทยังไม่มีคู่แข่งมากนักในช่วงแรกๆ เหมือนกรณีของ PayPal และ Facebook
ในขณะที่อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีผู้เล่นหลายราย เช่น ธุรกิจสายการบิน แม้จะมีขนาดใหญ่ แต่ก็เต็มไปด้วยการแข่งขันด้านราคา ซึ่งส่งผลให้กำไรไม่เติบโต และมูลค่าบริษัทปรับตัวลงมาต่ำกว่าสตาร์ตอัปเกิดใหม่บางรายเสียอีก
ปิดท้ายด้วยเรื่องที่น่าสนใจ
นอกเหนือจาก ปีเตอร์ ธีล แล้ว กลุ่ม PayPal มาเฟีย ยังแยกย้ายกันไปสร้างธุรกิจ จนประสบความสำเร็จอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น
รีด ฮอฟฟ์แมน ผู้ร่วมก่อตั้ง LinkedIn และ เดวิด แซกส์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Yammer
ซึ่งธีลร่วมลงทุนในทั้งสองบริษัท และสุดท้ายทั้ง LinkedIn และ Yammer ก็ถูก Microsoft ซื้อกิจการไป
แชด เฮอร์ลีย์, สตีฟ เฉิน และ ยาวีด คาริม ร่วมกันก่อตั้งแพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์ YouTube จนถูก Google ซื้อกิจการไป
และคนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของกลุ่ม คงหนีไม่พ้น อีลอน มัสก์
เขาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ PayPal และได้รับเงินจากการขายกิจการให้ eBay สูงถึง 5,100 ล้านบาท
ซึ่ง อีลอน มัสก์ ได้นำเงินที่ได้มาไปลงทุนในบริษัท SpaceX ซึ่งก็มีธีลร่วมลงทุน
และ อีกบริษัทที่อีลอน มัสก์ ได้ลงทุนก็คือ Tesla ที่ตอนนี้กลายเป็นบริษัทรถยนต์มูลค่ามากสุดในโลกไปแล้ว นั่นเอง..
╔═══════════╗
อีกครั้งกับกรณีศึกษาธุรกิจมากมายที่จะช่วยเปิดกว้างมุมมองความรู้ของคุณ
ใน ลงทุนแมน 13.0 เล่มล่าสุด สั่งซื้อได้แล้ววันนี้ที่
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/130-i1587474257-s4309842746.html
Shopee: https://shopee.co.th/Longtunman-หนังสือลงทุนแมน-13.0-i.116732911.7453767586
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.businessinsider.com/peter-thiel-facebook-trump-biography-2018-2
-https://en.wikipedia.org/wiki/Peter_Thiel
-https://www.forbes.com/sites/stephenmcbride1/2020/10/05/peter-thiel-built-his-fortune-on-this-one-business-secret/