ที่มากฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” ของประเทศสหรัฐอเมริกา
หมายเหตุ ข้อมูลส่วนหนึ่งในรายงานวิจัยเรื่อง ปัญหาสถานะและลำดับชั้นทางกฎหมายภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 : กรณีศึกษาพระราชกฤษฎีกา เสนอต่อมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี,2562 โดยสิทธิกร ศักดิ์แสงและอภิรดี กิตติสิทโธ
ประเทศสหรัฐอเมริกาอีกประเทศหนึ่งที่ประเทศไทยได้รับอิทธิเกี่ยวกับความคิดการจัดทำกฎหมายลำดับรองที่มีมีฐานะเป็น “กฎ” โดยเฉพาะในเรื่องการกระทำในฐานะประมุขของรัฐ ดังนั้นจำเป็นต้องศึกษาถึงที่มากฎหมายลำดับรองของประเทศสหรัฐอเมริกา อำนาจออกฎหมายลำดับรองของฝ่ายบริหารในสหรัฐอเมริกา ศาลได้ยอมรับและรับรองให้รัฐสภามอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารออกกฎหมายลำดับรองภายใต้เงื่อนไขว่า รัฐสภาต้องวางมาตรฐานหรือนโยบายเพื่อเป็นแนวทางในการตรากฎหมายขององค์กรผู้รับมอบอำนาจและการมอบอำนาจจะต้องไม่คลุมเครือและตรวจสอบได้ นอกจากนี้การมอบอำนาจจะต้องไม่เป็นการสละหรือโอนอำนาจนิติบัญญัติซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา[1] ภายใต้หลักการแบ่งแยกอำนาจที่ค่อนข้างเคร่งครัดในระบบรัฐบาลแบบประธานาธิบดี ซึ่งมีความเป็นมาดังนี้
การพัฒนาทฤษฎีห้ามมอบอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ค.ศ. 1789 ในระยะแรก
กฎหมายลำดับรองของประเทศสหรัฐอเมริกาในระยะเริ่มแรกรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกา ค.ศ. 1789 ภายใต้แนวคิดการแบ่งแยกอำนาจ มาตรา 1 บัญญัติว่า “อำนาจนิติบัญญัติทั้งปวงที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้เป็นอำนาจของรัฐสภาสหรัฐ และมีอำนาจออกกำหมายที่จำเป็นและเหมาะสมสำหรับการปฏิบัติภารกิจของรัฐ”ถูกหยิบยกเป็นประเด็นปัญหาในทางรัฐธรรมนูญว่า การมอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารจะต้องมีลักษณะใดบ้าง เกิดจากพัฒนาทฤษฎีห้ามมอบอำนาจ ซึ่งศาลสูงได้วางหลักไว้ เช่น[2]
คดีที่ 1 คดี Wayman v. Soutthard (1825) โดยความเห็นของผู้พิพากษา Marschall ว่า เราไม่เคยโต้แย้งเลยว่า รัฐบาล (ฝ่ายบริหาร) สามารถมอบอำนาจให้ศาลหรือคณะกรรมการวินิจฉัย (tribunal) กำหนดกฎเกณฑ์ในเรื่องเฉพาะและอย่างเคร่งครัดและรัฐสภาก็อาจมอบอำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งรัฐสภาควรจะใช้ด้วยตนเองและอำนาจที่มอบให้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องกำหนดไว้ในขณะที่ตนมอบอำนาจ ซึ่งผู้พิพากษา Marschall ได้แยกขอบเขตของอำนาจระหว่างรัฐสภามอบอำนาจให้ศาลกับรัฐสภามอบอำนาจให้องค์กรอื่น ๆ ว่ารัฐสภาต้องกำหนดเนื้อหาสาระของกฎหมายไว้เป็นบทบัญญัติทั่วไป และให้องค์กรที่ได้รับมอบอำนาจกำหนดรายละเอียดเพื่อให้บทบัญญัติทั่วไปของรัฐสภาสมบูรณ์
คดีที่ 2 คดี Cincinnati W.& Z. R. Co. v. Commissioner, (1852) ได้ชี้ให้เห็นความแตกต่างที่แท้จริงระหว่างการมอบอำนาจนิติบัญญัติและการใช้ดุลพินิจของผู้รับมอบอำนาจว่า การมอบอำนาจนิติบัญญัติเป็นการตัดสินใจของรัฐสภาว่าอะไรควรเป็นกฎหมายและให้อำนาจหรือดุลพินิจแก่องค์กรผู้รับมอบอำนาจเพียงเพื่อปฏิบัติภาระหน้าที่ภายใต้กฎหมายและให้บรรลุวัตถุประสงค์ของกฎหมาย
การมอบอำนาจของรัฐสภาให้กับฝ่ายบริหารจัดทำกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” ต้องกำหนดหลักเกณฑ์หรือมาตรฐานของกฎหมายในระยะที่ 2
การมอบอำนาจของรัฐสภาให้กับฝ่ายบริหารจัดทำกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” ต้องกำหนดหลักเกณฑ์หรือมาตรฐานของกฎหมายในระยะที่ 2 ถือเป็น “ยุครัฐสวัสดิการ”เป็นการวางหลักการมอบอำนาจต้องกำหนดหลักเกณฑ์หรือมาตรฐานของกฎหมายไว้ด้วย ถือเป็นการพัฒนาการจัดทำกฎหมายลำดับรองในระยะที่ 2 มีคำวินิจฉัยของศาลสูงได้วางหลักในเรืองการมอบอำนาจว่า การมอบอำนาจที่ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์หรือมาตรฐานของกฎหมายไว้ถือเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นโมฆะ ดังเช่นในคดี ต่อไปนี้[3]
คดี Buttfied v. Stranahan (1904) ศาลสูงได้วินิจฉัยว่า การมอบอำนาจจะทำได้ต่อเมื่อผู้ร่างกฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์และขอบเขตในการใช้ดุลพินิจของผู้รับมอบอำนาจในเรื่องของการที่กฎหมายมอบให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดมาตรฐานความบริสุทธิ์ ความเหมาะสมและคุณภาพของชา ที่เป็นสินค้านำเข้า กฎหมายดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะยกเว้น ชาคุณภาพต่ำที่สุด ดังนั้นการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังใช้อำนาจที่ได้รับมอบมานี้จึงเป็นเพียงการปฏิบัติการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์เบื้องต้นตามเจตนารมณ์ของรัฐสภา[4]
คดี Panama Refining Co. v. Ryan (1935) รัฐสภาได้ให้อำนาจประธานาธิบดีออกกฎหมายห้ามจำหน่ายน้ำมันระหว่างรัฐ ศาลสูงวินิจฉัยว่า รัฐบัญญัติไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐสภาไม่ได้กำหนดนโยบายหรือมาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ใดไว้เลย รัฐสภาไม่ได้กำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตหรือห้ามการจำหน่ายน้ำมันเลย ประธานาธิบดีได้รับอำนาจอย่างไม่จำกัดไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
ความจำเป็นของฝ่ายบริหารต้องออกกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” : ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นระยะที่ 3 ที่ศาลสูงได้ยอมรับความจำเป็นของฝ่ายบริหารที่ต้องออกกฎหมายลำดับรอง การมอบอำนาจจึงจำเป็นไปอย่างกว้างขวาง ทั้งนี้เพราะศาลเริ่มตระหนักว่ารัฐสภาไม่อาจคาดการณ์ล่วงหน้าได้ และฝ่ายบริหารมีความจำเป็นต้องปรับใช้กฎหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่นในคดีในคดีต่อไปนี้[5]
คดี Sunshine Anthracite Coal Co. v. Adkinds (1940) ศาลสูงยอมรับว่ารัฐสภาอาจมอบอำนาจนิติบัญญัติให้องค์กรเจ้าหน้าที่อื่นใดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยวินิจฉัยว่า การมอบอำนาจโดยรัฐสภาถูกตระหนักว่าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อที่ว่าการใช้อำนาจนิติบัญญัติจะไม่กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์หรือเป็นสิ่งที่ปราศจากเหตุผล
คดีLichter v. United States (1948) กฎหมาย Renegation Act. 1942 ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐในการทำสัญญาระหว่างสงครามได้ เมื่อปรากฏว่าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้รับกำไรมากเกินควรเจ้าหน้าที่ของรัฐอาศัยอำนาจตามรัฐบัญญัติฉบับดังกล่าวออก กฎหมายลำดับรอง กำหนดนิยามของ “กำไรมากเกินควร”และต่อมารัฐสภาได้แก้ไขเพิ่มเติมคำนิยามดังกล่าว ในปี ค.ศ. 1944 ศาลสูงได้วินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงที่ฝ่ายปกครองกำหนดนิยามขึ้นและรัฐสภาได้ตราคำนิยามดังกล่าวลงไว้ในรัฐบัญญัติย่อมแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของคำนิยามนี้ แต่ก็หาได้ทำความจำเป็นที่ต้องกำหนดคำนิยามที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
คดี Amalgamate Cutter v. Connally (1971) เกี่ยวกับการมอบอำนาจให้ประธานาธิบดีกำหนดอัตราจ้างและราคาตามเศรษฐกิจของชาติ ศาลสูงวินิจฉัยว่า ปัญหาการมอบอำนาจไม่ใช่ปัญหาว่าเจ้าหน้าที่รับบาลใช้อยู่โดยลักษณะเป็นการนิติบัญญัติหรือไม่ หรือรัฐสภาได้กำหนดหลักเกณฑ์หรือมาตรฐานให้พอเข้าใจได้หรือไม่ แต่การพิจารณาว่านโยบายของการมอบอำนาจนั้นสามารถตรวจสอบได้ทั้งในทางเนื้อหาและวิธีการ เพื่อเป็นการจำกัดอำนาจของผู้รับมอบอำนาจ คือ การควบคุมการใช้อำนาจที่ได้รับมอบและการจะบรรลุวัตถุประสงค์ในการมอบอำนาจได้ก็โดยจำกัดขอบเขตทางเนื้อหรือวิธีการทั้ง 2 อย่าง
เมื่อพิจารณาสรุป การจัดทำกฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ”ของประเทศสหรัฐอเมริกาเราจะพบประเด็นสำคัญ ของการวางหลักการแบ่งแยกอำนาจ (Separation of Powers) คือ การแยกอำนาจนิติบัญญัติออกจากอำนาจบริหารอย่างเด็ดขาด อีกด้านหนึ่งความจำเป็นของการปกครองสมัยใหม่ทำให้ทฤษฎีเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ศาลจึงได้ยอมรับให้รัฐสภามอบอำนาจได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า รัฐสภาจะต้องวางมาตรฐานหรือนโยบายเพื่อเป็นแนวทางในการตรากฎหมายลำดับรองที่มีฐานะเป็น “กฎ” ขององค์กรผู้รับมอบอำนาจ และการมอบอำนาจจะต้องไม่คลุมเครือ และตรวจสอบได้ และที่สำคัญการมอบอำนาจจะต้องไม่เป็นการสละหรือโอนอำนาจนิติบัญญัติซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐสภา
[1] รดาวรรณ เกื้อกูลเกียรติ "กฎหมายลำดับของประเทศไทย" วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2534, หน้า 24-26
[2] K.C. David “Administrative Law : Case – Text – Problems”, 6 th ed (St.Poul, Minn : West Publishing Co., 1971 p. 33 34)
[3] รดาวรรณ เกื้อกูลเกียรติ อ้างแล้ว หน้า 25
[4]K.C.Davis, op.cit., footnote 1, p.36
[5] รดาวรรณ เกื้อกูลเกียรติ อ้างแล้ว หน้า 25
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
case law คือ 在 JZB Studio Facebook 的最佳解答
เตรียมย้ายไปพรฮับ
RIP Youtube
เอาจริง ๆ เรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับแอดตรง ๆ หรอก
เพราะว่ามันเกี่ยวกับ Youtube
.
แต่การเปลี่ยนแปลงใน Youtube ครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อ Caster หลายคนในบ้านเรา
แต่ก็ยังไม่มีการพูดถึงกันนัก
.
วันนี้จะพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้ Creator ส่วนใหญ่ในบ้านเราเสียรายได้ไป 90 %
(ข้อมูลอาจไม่สมบูรณ์ถูกต้อง 100% เพราะแอดไม่ได้เรียนกฏหมาย ใครสนใจก็สามารถศึกษาข้อมูลและมาพูดคุยกันได้)
.
.
เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ปี 1998
FTC หน่วยงานหลักที่บริหารควบคุมกิจกรรมต่างๆในพาณิชย์อิเลคโทรนิกส์
ที่มีหน้าที่หลักในการปกป้องผู้บริโภคใน สหรัฐอเมริกา
ได้ออกกฏหมายใหม่ชื่อย่อว่า COPPA
(The Children's Online Privacy Protection)
ซึ่งเป็นกฏหมายที่ปกป้องข้อมูลส่วนตัวของเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี
.
จุดประสงค์ของ COPPA คือป้องกันไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปีเอาข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ไปให้กับเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยผู้ปกครองไม่ยินยอม
เพราะกลัวว่าข้อมูลเหล่านั้นจะถูกใช้ในทางผิดกฏหมาย
.
แต่ผ่านไป 15 ปี ในปี 2013
FTC เล็งเห็นว่าภัยที่แท้จริงไม่ใช่การที่เด็กจะเอาข้อมูลไปบอกเว็บต่าง ๆ หรอก
แต่เป็น Cookies ข้อมูลที่อยู่บนคอมพิวเตอร์/มือถือเรา
ที่มีข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ เบอร์โทร
ซึ่งเว็บไซต์ต่างมักเก็บข้อมูลจาก Cookies เราแล้วนำไปขาย ให้กับคนที่ลงโฆษณาออนไลน์ เพื่อที่จะสามารถแสดงโฆษณาได้ตรงกับที่แต่ละคนสนใจ
.
ซึ่งเว็บต่าง ๆ รวมทั้ง Youtube เองก็เก็บ Cookies และที่ FTC เล็งเห็นเว็บไซต์ต่าง ๆ เก็บ Cookies ที่สร้างโดยเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี จึงแก้กฏหมาย COPPA
.
โดยให้ รวม Cookies เป็นข้อมูลส่วนตัวที่ไม่สามารถเก็บได้หากถูกสร้างโดยเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี
ซึ่งหลาย ๆ เว็บก็ปรับตัวตามและเลิกเก็บ Cookies
แต่ว่า Youtube ไม่ปรับตามกฏแล้วอ้างว่า Youtube เป็นสื่อสำหรับคนที่อายุมากกว่า 13 ปีนะ ไม่ได้มีเด็กเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก
.
ซึ่ง FTC ก็เชื่อและปล่อย Youtube ไป
.
.
แต่ก็อย่างที่เรารู้กัน Youtube มันเก็บข้อมูลทุกอย่างจริง ๆ เพื่อเอาไปขายให้กับคนอยากยิงโฆษณา และ เอาโฆษณาลงตามคลิปกันเพียบเลย
.
โฆษณาที่มีเป้าหมายเฉพาะบุคคลนั้น ๆ เรียก Personalize Ads เป็นการเอาข้อมูลจากเราแต่ละคนไปดูว่าสนใจอะไรอยู่แล้วก็ยิงโฆษณาที่เราน่าจะสนใจมาให้เรา
.
Personalize Ads เนี่ยสามารถทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้มากกว่าการโฆษณาแบบยิงสุ่ม ๆ ให้ทุกคนเห็น
มันจึงเป็นแหล่งเงินชั้นดีของ Youtube ซึ่ง Youtube ก็ได้แบ่งรายได้ส่วนนั้นให้กับ Creator Youtuber แคสเตอร์ต่าง ๆ เพื่อให้คนเหล่านี้ทำวีดีโอลงให้คนมาดูอีกเยอะ ๆ
.
แต่ในช่วงปีนี้ Youtube ก็เปลี่ยนนโยบายเรื่องความหยาบคาย
คือถ้าคลิปมีเนื้อหาผู้ใหญ่ เช่นเนื้อหาทางเพศ คำหยาบ การใช้คำรุนแรง มุข 18+ จะทำให้ไม่สามารถหารายได้จากคลิปนั้นได้
.
.
การเปลี่ยนนโยบายนี้สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เพราะมันทำให้ Youtuber ต่าง ๆ หันมาสร้างเนื้อหาที่สามารถให้เด็กดูได้เป็นหลักแทน ก็เพราะมันทำเงินได้
.
เนื้อหาที่เป้าหมายเป็นเด็กกลายเป็นเนื้อหาที่หารายได้มากที่สุดใน Youtube
ลองไปกดมาแรง หมวดเกมบน Youtube สิ
เกือบทั้งหมดเป็นเกมที่เด็ก ๆ ชอบเล่นทั้งนั้น Roblox Minecraft เกมที่เด็ก ๆ ชอบดู เห็นได้ชัดว่าเล็งกลุ่มเป้าหมายไปที่เด็ก
.
Youtuber ที่ทำเงินได้มากที่สุดในโลกก็คือช่อง
Ryan ToysReview ซึ่งก็เป็นช่องรีวิวของเล่นเด็ก
.
เห็นได้ชัดว่าเด็กกลายเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของ Youtube ไป
.
.
ในปี 2019 Youtube เลยโดนฟ้องเพราะไปโกหกหน้าตายว่าเด็กไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายหลัก
แต่เห็น ๆ กันว่าใช่ แถมยังไปเก็บ Cookies มาทำโฆษณาให้เด็กดูอีก ผิดกฏหมาย COPPA เห็น ๆ
ซึ่งขอพูดกันตรง ๆ ว่าที่ Youtube แพ้เพราะปากตัวเองแท้ ๆ เลย ทั้ง ๆ ที่ในเงื่อนไขการใช้งาน Youtube ก็เขียนบอกว่าต้องอายุ 13 ปีขึ้นไป ใช่เด็กอาจจะโกหกอายุและมาแอบดู Youtube ได้ แต่ว่านั้นก็เป็นเพราะเด็กอยากดูเอง เพราะพ่อแม่ยอมให้เด็กเล่นเอง Youtube ไม่ได้ผิด
แต่ที่ Youtube ผิดก็เพราะดันไปเที่ยวป่าวประกาศว่า Youtube เป็นเว็บที่เด็กดูมากที่สุดให้กับผู้ลงโฆษณา ทั้งที่ก่อนหน้านี้บอกว่าให้ไม่ให้เด็กต่ำกว่า 13 ดู
ดูยังไงก็แพ้คดีแน่นอน
.
Youtube จึงโดนปรับเงิน 170,000,000 $ พร้อมกับทำข้อตกลงกับ FTC ในการจัดการกับเนื้อบน Youtube ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ซึ่งบอกเลยว่าแย่มาก ๆ เพราะมันจะทำให้ Creator ขาดรายไปจนถึงช่องบินได้เลย
.
ตอนนี้ Youtube มีการตั้งค่าใหม่ให้กับผู้สร้างเนื้อบน Youtube ทุกคนว่า เนื้อหาของคุณเป็นเนื้อหา สำหรับเด็กหรือไม่ เพื่อปรับตามกฏหมาย COPPA โดย Youtube จะไม่เก็บข้อมูลจากคลิปคุณ และจะไม่ลงโฆษณาแบบ Personalize Ads ด้วย แปลว่าเนื้อหาคุณจะเสียรายได้ถึง 90% เลย
OMG
.
และถ้าคุณฝ่าฝืน หรือโกหกปรับไม่ตรงกับเนื้อหาของคุณ
เนื้อหาของคุณจะโดนลบ ช่องอาจโดนแบน และถ้าคุณอยู่สหรัฐอเมริกาคุณอาจโดนฟ้องโดย FTC และเสียค่าปรับ 40,000+ $
.
แล้วคุณจะรู้ได้ไงว่าเนื้อหาของคุณเข้าข่ายเนื้อหาเด็กหรือไม่
Youtube ก็ได้ให้กฏมาด้วยว่าเนื้อหาใดเข้าข่าย
.
ก็มีตั้งแต่แบบว่า เนื้อหาคุณมีเป้าหมายเป็นเด็กโดยตรงหรือไม่ซึ่งอันนี้คนที่รู้ดีที่สุดคือคนทำคลิป
เนื้อหาคุณมีตัวการ์ตูน Animation หรือไม่
มีของเล่น ขนมขบเคี้ยว อาหารเช้า Cereal หรือไม่
มีเด็กอยู่ในคลิปหรือไม่
มีกิจกรรมที่เด็กสนใจหรือไม่ เช่นการละเล่น วีดีโอเกม
มีภาษาวัยรุ่นที่เด็กสนใจหรือไม่
มีข้อความแสงสีดึงดูดเด็กหรือไม่
มีตัวการ์ตูนหรือคนดังที่เด็กชอบหรือไม่
และถ้าคุณไม่แน่ใจ Youtube ก็ให้คุณปรึกษานักกฏหมายเอานะจ๊ะ
.
.
ซึ่งฟังมาจากทั้งหมดแล้ว โคตรแย่
ใช่อยู่เนื้อหาสำหรับเด็กอย่างนิทานหรือการ์ตูน ต้องตีเป็นเนื้อหาเด็กอยู่แล้ว
แต่ว่าวีดีโอเกมละ
การที่คุณมีเนื้อหาเล่น วีดีโอเกม ก็สามารถถูกตีความเป็นเนื้อหาเด็กได้
เหล่าแคสเตอร์งานงอกเลย
โดยเฉพาะที่เล่น Roblox Minecraft
พี่เอกที่เล่น Planet Zoo ยังไม่รู้จะรอดมั้ย
แถมยังมีอีกหลาย ๆ ช่องที่รีวิวของเล่นต่าง ๆ
VRZO ก็มีภาษาวัยรุ่น และข้อความแสงสีไม่น้อย
ทั้ง ๆ ที่หลายช่องไม่ได้เล็งเป้าหมายหลักเป็นเด็ก แต่ถ้าตรงตามเงื่อนไขก็มีความเป็นไปได้ที่จะโดนด้วยเช่นกันจากคำนิยามด้านบน
.
ถ้าช่องเหล่านี้ถ้าถูกนับว่าเป็นเนื้อหาสำหรับเด็กจะถูกลดรายได้ถึง 90%!! หนักเอามาก ๆ
.
มิหนำซ้ำ เนื้อหาที่เป็นของเด็กยังตัด Features ไปเกือบหมด
คลิปจะไม่สามารถค้นหาได้ในช่องค้นหา
จะไม่เด้งเป็นแจ้งเตือนให้เห็น ไม่มีในช่องแนะนำด้านข้าง
ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้
คือถ้าคุณอยากดูคลิปใหม่ คุณต้องกดเข้าไปใน Profile ช่องเท่านั้นอะ
.
หักเงินไม่พอ ยังลดคนดูอีกต่างหาก
.
และถ้าคุณไม่ยอมจำแนกว่าคลิปคุณเป็นคลิปเด็กหรือเปล่า Youtube จะใช้ Machine Learning มาจำแนกให้คุณ
ซึ่งบอกตามตรงว่าทำงานได้โคตรแย่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา
เตรียมเจอ Happy Tree Friends และ South Park ตีเป็นเนื้อหาเด็กแน่นอน
.
กฏหมาย COPPA โคตรแย่ FTC โคตรเลว
CEO ของ Youtube
Susan Wojcicki บอกว่าคนที่ออกกฏหมายของ FTC บางคนไม่มีมือถือด้วยซ้ำ
ให้คนที่ไม่มีแม้กระทั่งโทรศัพท์มือถือ มาออกกฏหมายในยุค 2019
.
.
และถ้าคุณคิดว่าอยู่ไทยคงไม่เป็นไรละก็
ไม่ Youtube บอกว่ากฏนี้มีผลใช้ทั่วโลก
แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง เรื่องนี้แอดไม่แน่ใจ
เพราะว่า FTC ยังเปิดรับฟังความเห็นเพื่อปรับแก้กฏหมายและข้อตกลงอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าเราในฐานะคนนอกสหรัฐอเมริกาจะสามารถทำอะไรได้บ้าง
แต่ถ้าสนใจก็ไปค้นหาเเพิ่มเติมได้
.
.
FTC ไม่ใข้คนผิดฝ่ายเดียวหรอก
Youtube เป็นตัวร้ายเช่นกันในเรื่องนี้
เพราะ Youtube เป็นคนที่เก็บข้อมูลจากเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปี
ทว่าพอตอนนี้กลับบอกว่า Youtuber ต้องมารับผิดชอบด้วยโดยตัดเงินโฆษณา ต้องบอกว่าเนื้อหาคุณเป็นเนื้อหาเด็ก และถ้าเนื้อหาคุณไม่ได้บอกว่ามีเป้าหมายเพื่อเด็ก แต่ FTC คิดว่ามันเป็น คุณก็มีโอกาสโดนฟ้อง โดนลบคลิปและปิดช่อง ทั้ง ๆ ที่สิ่งที่ Youtuber แค่ทำคลิปออกมา ซึ่งไม่ได้ผิดกฏหมาย COPPA เลย
Youtube เองต่างหากที่ผลักความรับผิดชอบในการจัดการเนื้อหามาให้ Youtuber เป็นหลัก
.
Youtube สามารถที่จะจัดการระบบโดยเคร่งครัดไม่ให้เด็กต่ำกว่า 13 ปี มาดูเนื้อหาบน Youtube ได้ไม่ยาก
แค่บังคับให้ทุกคนต้องมีบัญชีและต้องยืนยันว่าตนอายุ 13 ปีก็จบแล้ว
.
ไม่ Youtube ไม่ทำแบบนั้น
ที่จริงความผิดของ Youtube คือการเก็บข้อมูลจากเด็ก
แค่ Youtube ไม่เก็บก็จบ
ไม่เห็นจำเป็นต้อง ยกเลิกการหารายได้โดยการไม่ลงโฆษณา
ไม่จำเป็นต้องยกเลิกการแจ้งเตือน หรือทำให้คลิปถูกค้นหาไม่เจอเลย
สิ่งที่ Youtube ทำเหมือนบอกใบ้ให้พวก Creator เลิกทำเนื้อหาเด็กแบบอ้อม ๆ
ทำไมนะหรอ เพราะว่า Youtube ไม่สามารถเก็บข้อมูลเอาไปขายให้กับลูกค้าที่ลงโฆษณาได้ยังไงละ
.
.
Youtube โคตรใจร้ายกับ Creator เลย
คือก่อนหน้านี้ทำเนื้อหาผู้ใหญ่ไม่ได้
ตอนนี้ก็ทำเนื้อหาเด็กไม่ได้ด้วย
แล้วที่นี้จะเหลืออะไรให้ Youtuber ทำ
.
และที่เลวร้ายที่สุด คือ มันมีทางออกทางกฏหมายแต่ Youtube ไม่บอกด้วย
คือ FTC ได้ให้เงื่อนไขของกฏหมาย COPPA ไว้ในปี 2015 ว่า มันมีสิ่งที่เรียกว่า เนื้อหาสำหรับทุกเพศทุกวัย
ซึ่งหมายความว่า เป็นเนื้อหาที่ไม่ได้เล็งแค่เด็ก แต่วัยอื่น ๆ ก็ดูได้
และกฏหมาย COPPA ไม่สามารถมีผลต่อเนื้อหาจำพวกนี้ได้
เพราะกฏหมายนี้จะมีผลก็ต่อเมื่อเนื้อหาของคุณมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือเด็กที่อายุต่ำกว่า 13 และจงใจเก็บข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมายนี้โดยเฉพาะ
.
หมายความว่าช่องเกมต่าง ๆ สามารถบอกว่าเนื้อหาเป็นสำหรับทุกเพศทุกวัย ก็สามารถที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฏหมายได้แล้ว
.
.
แต่ Youtube กลับบีบบังคับให้คนแยกเลยว่าให้เด็กดู หรือ ไม่ให้เด็กดู ซึ่งเป็นการจำกัดเกินไป เช่น พี่เอก HRK ถึงจะเล่นเกมแต่วัยรุ่นผู้ใหญ่ก็ดูได้ เด็กหลายคนก็ชอบ แต่ถ้าทำตามกฏของ Youtube พี่เอกก็จะกลายเป็นเนื้อหาสำหรับเด็กและจะไม่แจ้งเตือน ให้ใครเห็นอีก
มันแย่นะ การเหมารวมเอาแบบนี้หมด
.
วงในจาก Youtube ก็ออกมาใบ้ว่าทำไม Youtube ถึงไม่ให้ทางเลือก เนื้อหาสำหรับทุกเพศทุกวัยละ
คำตอบคือ เพราะจะทำให้บริษัทได้กำไรน้อยลง
.
WTF การที่ Youtube ไม่สามารถเก็บข้อมูลแบบเจาะจงหรือการยิงโฆษณาตรงกลุ่มเป้าหมาย ทำให้เสียกำไร
จึงบีบบังคับ Youtuber ให้ดิ้นรนเพื่อจะได้กำไรมากขึ้น
Youtuber คนไหนอยู่ไม่ได้ก็ตายไป
.
.
Youtuber ทำคลิปที่เหมาะกับเด็กไม่ได้เพราะมันจะไม่แจ้งเตือนรายได้ก็ลดลง 90%
ทำคลิป 18+ ก็ไม่ได้เพราะจะะหารายได้ไม่ได้
คนที่หาเลี้ยงชีพด้วย Youtube อยู่ยากแน่ ๆ
ช่องใหญ่คงได้รับผลกระทบเยอะ
ช่องเล็ก ๆ คงดับเลย ไปหางานอื่นทำ
แล้วต่อไปจะเหลืออะไรบน Youtube ละ
.
.
.
สำหรับใครที่สนใจเรื่องนี้ก็มาดูคลิปที่แอดดูได้ที่นี่
https://youtu.be/pwnvjuCTb54
https://youtu.be/3GwDrHOe43E
https://youtu.be/pd604xskDmU
https://youtu.be/Ms2fXk7eaxQ
https://youtu.be/0veLrwd9CK4
https://youtu.be/xDJw4L1P_2s
https://youtu.be/GHMjD0Lp5DY
RIP Youtube
Seriously, this has nothing to do with add straight.
Because it's about Youtube
.
But this change on Youtube will impact many caster in our house.
But there is no mention yet.
.
Today I will talk about changes that will cost most creators in our home. 90 % of income.
(information may not be complete. 100 % correct because admin hasn't studied law. Anyone is interested can study information and let's talk)
.
.
The story started in 1998
Ftc main agencies that manage various activities in commercial electronics
The main duty to protect consumers in the United States.
Got a new law. Initials Coppa
(The Children's Online Privacy Protection)
Which is a law that protects personal information of children under 13
.
The purpose of coppa is to prevent children under the age of 13 years of 13 years of personal information such as names, addresses, phone numbers to websites without consent.
For fear that the information will be used in law.
.
But 15 years passed in 2013
The FTC sees that the real threat is not for kids to tell the web.
But cookies. Information on our computer / mobile phone.
With Personal Information, address, phone number.
Websites often collect information from cookies and sell to people who advertise online so they can show ads exactly what they are interested.
.
The Web, including Youtube, collect cookies and ftc, looking for websites that collect cookies created by children under the age of 13, so they solve coppa law.
.
Include cookies as personal information that cannot be collected if it is created by children under 13
Many web adapt and stop picking cookies
But Youtube doesn't adjust the rules and claims that Youtube is the media for people over 13 years old. They don't have kids as the main audience.
.
Ftc believes and releases Youtube
.
.
But as we know, Youtube really collect all the information to sell it to those who want to shoot ads and put ads on the clip at cuddle
.
Advertisement with a specific person called personalize ads to take information from each of us. See what they are interested in. Shoot us an ad we should be interested in.
.
Personalize Ads can make customers buy more products than random shooting advertising for everyone to see.
So it's a great source of Youtube, which youtube has shared that income for creator youtuber castor so these people can make videos for many people to watch.
.
But during this year, Youtube changed the policy on rudeness.
Well, if the clip contains adult content such as sexual content, profanity, using severe words, 18 + jokes will not earn money from that clip.
.
.
Changing this policy makes a huge change because it makes youtuber turn to create content that can show kids because they make money.
.
The content that targets kids becomes the most earning content on Youtube.
Try to hit the game category on Youtube
Most of them are games that kids love to play. Roblox Minecraft. The game that kids love to watch. Apparently aiming at kids.
.
Youtuber that makes the most money in the world is channel
Ryan toysreview which is also a review channel for children's toys.
.
Apparently kids become Youtube's main audience
.
.
In 2019, Youtube got sued because he lied to death that the kid is not the main audience.
But I see that it's right and I went to collect cookies to make advertisement for kids. It's illegal. Coppa. See.
Let me say that youtube lost because of his mouth. Even in terms of use, Youtube says that it has to be 13 years old or older. Yes, kids may lie to age and sneak peek at Youtube. But it's because kids want to watch it. Because parents let kids play by themselves. Youtube is not wrong.
But Youtube is wrong because I'm going to travel. I announced that Youtube is the most watched web for advertisers. I told you not to let kids under 13 watch.
No matter how I watch it, I will lose the case
.
So Youtube got paid 170,000,000 $ with ftc deal with meat on Youtube last September.
Which I can tell you that it's very bad because it will make creator to the flight channel.
.
Youtube now has a new set for all youtube meat creators whether your content is child content. to adjust according to coppa law. Youtube will not collect data from your clip and will not advertise ads. It means your content. I will lose 90 % of income.
OMG
.
And if you disobey or lie, adjust your content
Your content will be deleted. It may be banned and if you live in usa you may be sued by ftc and pay 40,000 + $
.
So how do you know if your content fits kid's content?
Youtube also gives rules which content fits.
.
It's like, is your content directly targeted as a kid. This is the one who knows best is the clip maker.
Content do you have an animation cartoon character?
Is there a cereal breakfast snack toy?
Is there a kid in the clip
Are there activities that kids are interested in such as playing video games
Is there a teenage language that children are interested in?
Is there a light message attracted to children?
Is there a cartoon character or celebrity that kids like?
And if you're not sure, Youtube will let you consult the lawyers.
.
.
Which has heard from all of them is so bad
Yes, kids content like tales or comics must be childish content
But video games
The way you have video game content can be interpreted as child content.
Castor. Work is growing.
Especially playing roblox minecraft
Brother Ek who plays planet zoo doesn't know if he will survive.
Plus, there are many more channels that review toys.
Vrzo also has teenage language and light messages
Although many channels are not aiming for the main goal as a kid, but if it meets the conditions, there is a possibility of getting hit as well from the definition above.
.
If these channels, if they are counted as content for children, they will be reduced to 90 %!! very heavy.
.
Repeated content that belongs to children still cut off most of the features
Clip will not be searched in search box
Won't bounce as a notification. No side suggestion.
Can't comment
Well, if you want to watch the new clip, you must click into profile channel only.
.
Not enough deduction. Still reduce the audience.
.
And if you don't classify that clip, are you a kid's clip? Youtube will use machine learning to classify you.
Which honestly works pretty bad from past experience
Get ready to meet happy tree friends and south park. It's content for sure.
.
Coppa law is so bad. FTC is so bad
CEO of Youtube
Susan Wojcicki says some ftc law people don't even have mobile phones
Let people who don't even have cell phones come to law in the 2019 s.
.
.
And if you think it's okay to live in Thailand.
No, Youtube says this rule is effective around the world.
So what can we do about this? I'm not sure.
Because the ftc is still open to hear opinions to solve laws and agreements, but not sure what we as outsiders can do.
But if interested, go find out more.
.
.
The FTC is not one on the wrong side.
Youtube is a villain as well on this
Because Youtube is the one who keeps data from children under 13
But now I say that youtuber is responsible by cutting off ad money. You have to say that your content is young content. and if your content is not saying that you are targeted for kids, but ftc thinks it is, you have a chance to be sued, deleted and close the whole channel What Youtuber just made a clip which is not illegal coppa
Youtube is primarily pushing the responsibility of managing content for youtuber.
.
Youtube can strictly manage the system from children under 13 years to watch content on Youtube.
Just forcing everyone to have an account and confirm that they are 13 years old is done.
.
No Youtube don't do that
In fact, Youtube's fault is keeping information from children.
Just Youtube doesn't keep it. It's done.
No need to cancel income without advertising
No need to cancel notifications or make the clip unsearchable
What Youtube does like hints for creators to stop making kid content indirectly
Why? Because Youtube can't sell it to customers who advertise
.
.
Youtube is so mean to creator
Well, I couldn't make adult content earlier.
Now can't make kids content too
So what's left for youtuber to do
.
And the worst thing is that there is a legal solution but youtube doesn't tell.
Well, the ftc provided coppa law conditions in 2015 that it has what is called content for all ages.
Which means it's content that is not only aiming for young but other ages can watch.
And Coppa law cannot affect these content
Because this law only applies when your content has a primary audience, children under 13 and deliberately collect information from this audience.
.
It means that game channels can say content is for all ages. It can avoid legal issues.
.
.
But Youtube forced people to separate whether they let kids watch or not to watch. Which is too limited. Such as brother ek hrk. Even if they play games, teenagers, adults can watch it. Many kids like it. But if they follow youtube rules, brother ek. Will become content for kids and won't notify anyone else
It's too bad. It's all like this.
.
The inner circle from Youtube also comes out why youtube doesn't provide content choices for all ages.
The answer is because it will make companies less profit.
.
WTF. Youtube can't store specific data or shooting ads straight to the audience makes profit.
So I forced youtuber to struggle to gain more profit.
Any Youtuber can't live then die
.
.
Youtuber can't make a clip that fits kids because they won't alert. Income is reduced by 90 %
I can't make a clip of 18 + because I can't earn money.
People who earn a living with Youtube will be hard to live.
The big channel must have affected a lot.
The small channel must have gone out so I went to find another job.
So what's left on Youtube
.
.
.
For those who are interested in this, check out the clip that you can watch here.
https://youtu.be/pwnvjuCTb54
https://youtu.be/3GwDrHOe43E
https://youtu.be/pd604xskDmU
https://youtu.be/Ms2fXk7eaxQ
https://youtu.be/0veLrwd9CK4
https://youtu.be/xDJw4L1P_2s
https://youtu.be/GHMjD0Lp5DYTranslated
case law คือ 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳解答
ประวัติศาสตร์กฎหมายสหรัฐอเมริกา : กลุ่มกฎหมายคอมมอนลอว์ (Common law)
ประวัติศาสตร์กฎหมายสหรัฐอเมริกา นี้ผู้เขียนจะกล่าวถึง ประวัติความเป็นมาของสหรัฐอเมริกา กฎหมายสหรัฐอเมริกาคริสต์ศตวรรษ ที่ 17 กฎหมายสหรัฐอเมริกาคริสต์ศตวรรษ ที่ 18 กฎหมายสหรัฐอเมริกาเมื่อประกาศอิสรภาพ ดังนี้
1.ประวัติความเป็นมาของสหรัฐอเมริกา
ชาวอังกฤษได้เข้าไปตั้งรกรากอยู่ในดินแดนที่เป็นสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 17 โดยแยกย้ายกันไปตั้งหลักแหล่งในท้องถิ่นต่างๆรวมกัน 13 กลุ่ม กล่าวคือ ชนชาวอังกฤษได้เข้าไปอยู่ใน Virginia เมื่อ ปี ค.ศ. 1607 ที่ Plymouth เมื่อ ปี ค.ศ. 1620 ที่ Massachusetts เมื่อปี ค.ศ. 1630 ที่ Maryland เมื่อปี ค.ศ. 1632 นอกจากนี้ยังมีชนชาวฮอลันดาไปตั้งหลักแหล่งที่ New York แต่ได้กลายเป็นชาวอังกฤษไปเมื่อปี ค.ศ. 1664 กลุ่มชาวสวีเดน ไปตั้งหลักแหล่งที่ Pennsylvania แล้วกลายเป็นอังกฤษเมื่อ ปี ค.ศ. 1681 จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1722 จึงมีชนชาติต่างๆ (ส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษหรือได้กลายมาเป็นชนชาติอังกฤษในภายหลัง) ไปตั้งรกรากอยู่รวม 13 กลุ่ม
การที่ชนชาติต่างๆหรือชาติเดียวกันก็ตามไปรวมกันอยู่จำนวนมาก ก็จำต้องมีกฎหมายเพื่อนำมาใช้บังคับให้เกิดความสงบเรียบร้อยความคิดที่จะนำกฎหมายมาใช้บังคับนี้ได้เริ่มขึ้นตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1607 ในขณะที่ชนชาวอังกฤษกลุ่มแรกได้เข้าไปตั้งรกรากอยู่ในสหรัฐอเมริกา โดยในปี ค.ศ. 1808 ได้มีคดีสำคัญเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นและคดีดังกล่าวนี้ได้เป็นคดีที่ถือเป็นบรรทัดฐานต่อมา ซึ่งคดีนั้นเรียกว่า “Cavil’s case”
Cavil’s case ได้วางหลักเกณฑ์ไว้ในคำพิพากษาว่า “โดยหลักการแล้วถ้ามีกรณีพิพาทเกิดขึ้นให้นำเอา Common law ของอังกฤษมาใช้บังคับ เพราะผู้ที่อพยพมาอยู่ในอเมริกาเป็นชนชาวอังกฤษอยู่แล้วและดินแดนที่เข้าไปตั้งรกรากอยู่ยังไม่มีอารยธรรม ดังนั้นการนำเอา Common law มาใช้บังคับจึงมีความจำเป็น นอกจากนั้นยังให้นำเอากฎหมายที่เคยมีอยู่ก่อนแล้วมาใช้บังคับประกอบด้วย เพื่อเพิ่มเติมหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลง Common law ให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ในขณะนั้น
อย่างไรก็ตามหลักการของ Cavil’s case มีข้อจำกัดบางประการ กล่าวคือ แม้ว่าจะให้นำเอา Common law ของอังกฤษมาใช้บังคับได้ก็จริง แต่การนำมาใช้บังคับนั้นต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า มาตรการหรือกฎเกณฑ์ต่างๆของCommon law นั้นจะต้องมีความเหมาะสมต่อสภาพการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ของการดำรงชีวิต (Colony) ชนในกลุ่มทั้ง 13 กลุ่มได้ด้วย
2.กฎหมายสหรัฐอเมริกาคริสต์ศตวรรษ ที่ 17
กฎหมายสหรัฐอเมริกาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 แม้ว่าจะได้มีการยอมรับเอา Common law มาใช้ในสหรัฐอเมริกา โดยถือหลักการของ Cavil’s case ก็ตาม แต่การนำมาใช้ก็ต้องมีข้อจำกัด คือ จะต้องมีความเหมาะสมต่อสภาพการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ของการดำรงชีวิตของชนในแต่ละกลุ่ม 13 กลุ่มด้วย ดังนี้
2.1 การใช้ Common law ไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเมื่อพิจารณาหลัก Common law ให้ความสำคัญกับหลักพิจารณาคดีมากความไม่เหมาะสมต่อสภาพการดำรงชีวิตและความเป็นอยู่ของการดำรงชีวิตของชนในแต่ละกลุ่ม 13 กลุ่ม คือ
2.1.1. การขาดความรอบรู้ของนักกฎหมายในการนำ Common law มาใช้บังคับ
การนำมาใช้ในสหรัฐอเมริกาได้เกิดปัญหาข้อขัดข้องขึ้นเพราะผู้ที่อพยพเข้าไปในสหรัฐอเมริกา ไม่มีนักกฎหมายที่มีความรอบรู้เพียงพอในกระบวนการของ Common law ทำให้เกิดความยุ่งยากในการนำเอา Common law มาใช้ ยิ่งกว่านั้นในส่วนที่เกี่ยวกับกฎหมายสาระบัญญัติของ Common law ก็เป็นเรื่องกฎหมายที่บัญญัติขึ้น ในขณะที่อังกฤษมีการปกครองระบบ feudalism ซึ่งไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่ได้ใช้การปกครองระบ บ feudalism เหมือนในอังกฤษในขณะนั้นและปัญหาที่เกิดขึ้นล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาใหม่ๆซึ่ง Common lawไม่สามารถแก้ปัญหาเหล่านั้นๆอย่างได้ผล
2.1.2 การยึดมั่นและเชิดชูหลักเสรีภาพส่วนบุคคลกลุ่มชน 13 กลุ่ม
เหตุผลที่ไม่อาจนำ Common law มาใช้ได้อย่างเต็มที่อีกประเด็นหนึ่งการที่กลุ่มต่าง 13 กลุ่มยึดมั่นและเชิดชูหลักเสรีภาพส่วนบุคคล ส่วน Common law เป็นกฎหมายที่มุ่งคุ้มครองความมั่นคงและประโยชน์ของกษัตริย์ ดังนั้นชนกลุ่ม 13 กลุ่มในสหรัฐอเมริกาจึงไม่นิยมใช้ Common law มากนัก
2.2 การแก้ไขข้อบกพร่อง โดยการจัดทำประมวลกฎหมาย (Code)
ถึงแม้ว่าโดยหลักการในสหรัฐอเมริกาจะยอมรับ Common law ก็จริง แต่ในทางปฏิบัติแล้ว การนำกฎหมายมาใช้บังคับขึ้นอยู่ความพอใจของผู้พิพากษา เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าว กลุ่มชนชาวอังกฤษต่างๆ 13 กลุ่ม ได้จัดทำประมวลกฎหมายขึ้น (Code) ขึ้นได้แก่ Code ของ Massachusetts เมื่อปี ค.ศ. 1634 และของ Pennsylvania ในปี ค.ศ. 1682 แต่อย่างไร Code ที่จัดทำนั้นยังไม่นับว่าเป็น Code ในรูปสมัยใหม่แบบ Code Napoleon ของประเทศฝรั่งเศส แต่ก็ได้แสดงให้เห็นว่ากลุ่มชนชาวอังกฤษต่างๆ 13 กลุ่มในสหรัฐอเมริกานั้นมีความนิยมกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งแตกต่างกับความนิยมของอังกฤษที่ไม่นิยมกฎหมายลายลักษณ์อักษร
3.กฎหมายสหรัฐอเมริกาคริสต์ศตวรรษ ที่ 18
ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 สถานการณ์ต่างๆทั้งทางด้านการดำรงชีพและทางเศรษฐกิจของประชานเริ่มมีสภาพดีขึ้น รวมทั้งความรู้สึกต่อต้านอังกฤษของกลุ่มต่างๆลดน้อยลง ทำให้ความพยายามที่จะยอมรับอิทธิพลจากประเทศภาคพื้นยุโรปลดน้อยลงและนอกจากจะไม่ยอมรับแล้วยังมีความหวาดระแวงบางประการ เช่นในขณะนั้นมีความหวาดระแวงต่ออิทธิพลของประเทศภาคพื้นยุโรปที่เข้ามาจากลุยเซียน่า และแคนาดาของฝรั่งเศส เป็นต้น ทำให้ชนชาวอังกฤษ กลุ่มต่างๆในสหรัฐอเมริกาหันมานิยมกฎหมาย Common law ของอังกฤษแต่การนำกฎหมายมาใช้ยังไม่ค่อยจะถูกหลัก Common law นักเพราะผู้พิพากษาในฐานะที่มีความรู้สึกว่าเป็นชาวอังกฤษได้รับการศึกษากฎหมาย Common law น้อยมาก และมีการศึกษาน้อยมากทำให้การศึกษากฎหมายไม่กว้างขวางถึงแม้ว่าจะได้มีการจัดพิมพ์ตำรากฎหมาย เช่น Commentaries on Laws of England ของ Blackstone ที่ Philadelphia เมื่อ ปี ค.ศ. 1771 -1772 เพื่อให้การศึกษากฎหมายได้แพร่หลายออกไปก็ตาม
4.กฎหมายสหรัฐอเมริกาเมื่อประกาศอิสรภาพ
สหรัฐอเมริกาได้ประกาศอิสรภาพเมื่อปี ค.ศ. 1776 และได้รอบรวมกลุ่มต่างๆขึ้นเป็นประเทศสหรัฐอเมริกาในที่สุด เมื่อ ปี ค.ศ. 1783 การสถาปนากลุ่มต่างๆขึ้นเป็นสหรัฐอเมริกาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายประการ ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านกฎหมายด้วย โดยได้รับความช่วยเหลือของประเทศฝรั่งเศส และฝรั่งเศสได้กลายเป็นมิตรและเป็นสัมพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองและถ่วงดุลย์อำนาจของอังกฤษซึ่งยังมีความรู้สึกเป็นศรัตรูกับสหรัฐอเมริกาเราะการประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกาแยกต่างห่างจากอังกฤษ
จากความต้องการที่จะต่อสู้กับอิทธิพลของอังกฤษ รวมทั้งแนวคิดที่จะจัดทำกฎหมายแห่งชาติขึ้น ทำให้เกิดความนิยมที่จะจัดทำประมวลกฎหมายขึ้นตามแบบของฝรั่งเศสและกฎหมายที่ทำขึ้นในรูปกฎหมายลายลักษณ์อักษร ได้แก่รัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาที่ประกาศใช้ใน ปี ค.ศ. 1787 นอกจากนี้ที่ New-Orleans ภายหลังการเข้ารวมเป็นสหรัฐ ได้ยอมรับประมวลกฎหมายแบบของฝรั่งเศสเป็นกฎหมายแห่งรัฐ
5.กฎหมายสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 19
ระยะนี้ความนิยมกฎหมายในสหรัฐอเมริกาขัดแย้งกันระหว่างความนิยมระบบกฎหมาย Common law ของอังกฤษกับความนิยมกฎหมายในรูปประมวลกฎหมาย (ระบบกฎหมาย Civil law) ของประเทศฝรั่งเศส แต่ดูเหมือนว่าความนิยมกฎหมายในรูปประมวลกฎหมายได้รับความนิยมมาก ดังจะเห็นได้ว่าใน ปี ค.ศ. 1836 คณะกรรมาธิการนิติบัญญัติแห่งรัฐ Massachusetts ได้ขอให้จัดทำประมวลกฎหมายประจำรัฐขึ้น รัฐ New York ได้จัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐเป็นลายลักษณ์อักษร ในปี ค.ศ. 1864 นอกจากนี้มลรัฐต่างๆอีกหลายมลรัฐมีแนวโน้มสนับสนุนระบบกฎหมายแบบประมวลกฎหมาย (Civil law) มากขึ้น โดยห้ามไม่ให้อ้างอิงคำพิพากษาของศาลอังกฤษที่ตัดสินไว้ภายหลัง ค.ศ. 1776 ซึ่งเป็นปีที่สหรัฐอเมริกาประกาศเอกราช
ความตื่นตัวในลักษณะที่ให้ความนิยมต่อกฎหมายในรูปประมวล เห็นได้เด่นชัดยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการแปลตำรากฎหมายที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศสในขณะนั้น คือ ตำราของ Pothier และ Domat ออกเป็นภาษาอังกฤษ และมีขบวนการเรียกร้องให้มีการจัดทำประมวลกฎหมายขึ้นในสหรัฐอเมริกา
6.ชัยชนะของอิทธิพล Common
เพื่อพิจารณาศึกษาพื้นฐานเบื้องหลังเราต้องยอมรับว่าคนที่เข้าไปตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกา เป็นชาวอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีความคุ้นเคยกับภาษา ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมต่างๆของอังกฤษ ย่อมมีความนิยมกฎหมายอังกฤษมากกว่ากฎหมายอื่น ถึงแม้จะไม่เห็นด้วยกับระบบกฎหมายอังกฤษ แต่สามารถศึกษากฎหมายอังกฤษได้สะดวก เนื่องจากสามารถศึกษาได้จากตำราหรือหนังสือภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาดั้งเดิมของตนอยู่แล้ว เช่น ตำราของนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงของอังกฤษ คือ Kent และ Story นอกจากนี้สำนักกฎหมายต่างๆในสหรัฐอเมริกาภายหลังการประกาศเอกราช ต่างก็นิยมที่จะนำเอาCommon law ของอังกฤษมาสอนเป็นหลัก
ดังนั้นถึงแม้ว่ามีการแข่งขัน ระหว่าง Common law ของอังกฤษกับระบบกฎหมายในรูปประมวลกฎหมาย (ระบบกฎหมาย Civil law) เป็นเวลานาน 50 ปี ระบบ Common law ของอังกฤษได้รับชัยชนะไปในที่สุดและรัฐต่างๆในสหรัฐอเมริกาต่างนำเอา Common law ของอังกฤษมาใช้ ยกเว้น New-Orleans ซึ่งกลายมาเป็นมลรัฐ Louisiana ในปี ค.ศ. 1812 ยังคงต้องใช้ระบบประมวลกฎหมายของประเทศฝรั่งเศส
แต่เมื่อพิจารณาจากวิวัฒนาการทางกฎหมายที่เกิดจากการแข่งขันระหว่างระหว่าง Common law ของอังกฤษกับระบบกฎหมายในรูปประมวลกฎหมาย (ระบบกฎหมาย Civil law) ทำให้สหรัฐอเมริการับเอา ระหว่าง Common law ของอังกฤษ มาใช้ก็จริง แต่ก็เป็น Common law ที่เป็นลักษณะเฉพาะและผิดแผกต่างกับ Common law ของอังกฤษ แต่เป็น Common law ของสหรัฐอเมริกาที่มีความใกล้เคียงกับกลุ่มกฎหมายโรมัน (กลุ่มประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมาย หรือ ระบบกฎหมาย Civil law) มากกว่าอังกฤษเพราได้รับอิทธิพลดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
7.การจัดทำประมวลกฎหมายอเมริกา
เนื่องจากกฎหมายที่ออกใช้บังคับทั้ง สหพันธรัฐ คือ federal laws) และ State laws มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จึงได้รวบรวมกฎหมายเข้าด้วยกัน ทั้งกฎหมายของมลรัฐและกฎหมายสหพันธรัฐ ทั้งนี้เพื่อให้กฎหมายมีระเบียบเรียบร้อยและทำให้เกิดความสะดวกแก่ประชาชนและผู้พิพากษาทั้งหลาย การรวบรวมกฎหมายในรูปแบบประมวลกฎหมายนโปเลียน เรียกว่า Revised Laws หรือ Consolidated laws แต่บางครั้งก็นิยมเรียกว่า Code เช่น United State Code Annotated (U.S.C.A.) ซึ่งเป็นกฎหมายสหพันธรัฐ (federal law)
ข้อสังเกต คำว่า Code ในที่นี้มีความหมายแตกต่างกับ Code ตามความหมายของกลุ่มกฎหมายภาคพื้นยุโรปภายใต้อิทธิพลกลุ่มกฎหมายโรมัน เพราะการจัดทำ Code ของสหรัฐอเมริกาได้จัดทำใช้วิธีเรียงตามตัวอักษร ไม่ได้จัดทำขึ้นเป็นหมวดหมู่โดยจัดแบ่งกฎหมายแต่ละลักษณะออกจากกันเหมือนประมวลกฎหมายภาคพื้นยุโรป
จากการจัดทำประมวลกฎหมายแบบประมวลกฎหมายแบบประมวลกฎหมายนโปเลียนของฝรั่งเศส ได้รับความสนใจในสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน ดังจะเห็นได้ว่ามลรัฐต่างๆได้จัดทำประมวลกฎหมายแพ่ง (Civil code) ขึ้นได้แก่ Califernia,NorthDagota, South Dagato,Georgia,Montana นอกจากนี้มลรัฐต่างอีก 25 รัฐ ได้จัดทำประมวลกฎหมายอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งของมลรัฐ และบางมลรัฐยังได้จัดทำประมวลกฎหมายอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของมลรัฐขึ้นอีกด้วย ซึ่งการจัดทำในรูปประมวลกฎหมายเหล่านี้ แต่ยังไม่ใช่ประมวลกฎหมายที่สมบูรณ์แบบของระบบกฎหมายของภาคพื้นยุโรป เพราะประมวลกฎหมายเหล่านี้บัญญัติขึ้นจากหลักกฎหมายที่เกิดจากคำพิพากษาของศาล ยิ่งกว่านั้นศาลเองเวลานำกฎหมายมาใช้ แทนที่จะตีความกฎหมายตามลายลักษณ์อักษรที่กฎหมายได้วางไว้เป็นหลัก กลับอ้างหลักคำพิพากษาบรรทัดฐานในคดีเรื่องก่อนๆมาเป็นหลัก ทำให้ระบบกฎหมายของสหรัฐอเมริกาบางมลรัฐซึ่งถึงแม้ว่าจะได้ทำขึ้นเป็นประมวลกฎหมายลายลักษณ์อักษร ไม่มีคุณค่าและความศักดิ์สิทธิ์เท่าที่ควร คงมีแต่ มลรัฐ Louisiana ประมวลกฎหมายและวิธีการใช้กฎหมายของศาลยังคงเป็นไปตามแบบของยุโรป คือ แบบประมวลกฎหมายของประเทศฝรั่งเศส จึงอาจกล่าวได้ว่ามลรัฐ Louisiana รวมอยู่ในกลุ่มกฎหมายโรมัน
8.การจัดทำกฎหมายเอกรูป คือ ประมวลกฎหมายพาณิชย์
เนื่องจากแต่ละมลรัฐต่างก็มีกฎหมายของตน จึงทำให้เกิดมีปัญหาการขัดกันของกฎหมายระหว่างรัฐขึ้น และทำให้เกิดความลำบากทั้งต่อประชาชน ผู้พิพากษา และนักกฎหมายทั่วไป จึงได้มีความพยายามที่จะจัดทำกำหมายให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันขึ้น โดยให้สามารถนำมาเป็นแบบอย่างให้ใช้ได้ในมลรัฐต่างๆทุกมลรัฐในสหรัฐอเมริกาขึ้น โดยมีการประชุมแห่งชาติของคณะกรรมการเพื่อกฎหมายเอกรูปของรัฐ (The Nation Conference of Commissioners on Uniform State Law) ซึ่งมีการประชุมครั้งแรกใน ปี ค.ศ. 1892 จากความริเริ่มของ American Bar Association แต่กระทั่ง ค.ศ. 1912 จึงมีผู้แทนตามทางราชการของทุกมลรัฐเข้าร่วมประชุมด้วย นอกจากนี้ยังมีองค์กรทางกฎหมายที่สำคัญอีกองค์กรหนึ่ง คือ American Law Institue ทำให้มีการจัดทำประมวลกฎหมายพาณิชย์ (Commercial Code) ขึ้นสำเร็จใน ปี ค.ศ. 1952 มีทั้งหมด 400 มาตรา
ประมวลกฎหมายพาณิชย์ได้รับการยอมรับทุกมลรัฐในสหรัฐอเมริกา (ยกเว้นรัฐ Louisiana) นอกจากประมวลกฎหมายพาณิชย์ ยังมีการจัดทำกฎหมายอาญา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎหมายลักษณะพยาน ขึ้นมาอีกด้วย ต่อมาในปี ค.ศ. 1962 ที่ประชุมของ The Nation Conference of Commissioners on Uniform State Law ได้เสนอให้ยอมรับกฎหมายเอกรูป 68 ฉบับ