Den of Thieves (2018) สามารถดูได้ใน Netflix
• พอดูหนังปล้นแบบนี้ยิ่งทำให้เห็นว่า Rififi กับ Heat มันคลาสสิกขึ้นหิ้งยากจะหาใครมาเทียบได้
• ฉากปล้นจนถึง shootout กลางถนนตอนท้าย ลากยาวต่อเนื่อง 1 ชั่วโมงเต็ม จุใจจริง
• ไม่ค่อยซื้อแผนปล้นเท่าไร ถึงจะบ้าบิ่นเต็มตัว รายละเอียดเหมือนจะดูน่าเชื่อถือแต่ก็เอ๊ะตลอดว่าการรักษาความปลอดภัยเข้มขนาดนั้น ไม่น่าปล่อยหลุดง่าย ๆ แต่ก็ช่างมันเถอะ ตั้งใจมาดูฉากแอ็คชั่น
• มวยเทียบเคียงจริง ๆ ยังคิดว่า Den of Thieves สู้ The Town ไม่ได้เลย
• ฉากยิงกันตอนท้ายเคยดูคนตัดมาลงยูทูปแล้ว เรียกว่าดีเลย พอมาดูจริงก็ไม่ได้ตื่นเต้นกว่าเดิม เพราะการดำเนินเรื่องมันไม่ได้บิ๊วมา shootout เดือดขนาดนั้น
• หนังเก๊กมากไปจนดูไม่คูล
-------------------------------------
'เมอร์ริเมน' (Pablo Schreiber) นำทีมปล้นธนาคารลอยนวลจากตำรวจมาตลอด จนกระทั่งแผนการปล้นรถหุ้มเกราะเกิดผิดพลาด มีตำรวจถูกยิงตาย ทำให้ 'บิ๊กนิค' (Gerard Butler) ทีมปฏิบัติภารกิจสุดโฉดเข้ามาทำหน้าที่สืบสวน และล็อคเมอร์ริเมนเป็นผู้ต้องสงสัยทันที ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังวางแผนการใหญ่ หวังปล้นธนาคารกลางที่ไม่เคยมีใครปล้นได้สำเร็จ
.
หนังพยายามจะเป็น Heat แบบไม่ปกปิดท่าทีเลยสักนิดเดียว ต่อให้ไม่นับเรื่องบารมีนักแสดง (อัล ปาชิโน กับ เดอ นีโร มาเจอกันคือ The Godfather) แต่ใน Den of Thieves ดูโคตรพยายามจะเอาสองตัวเอกมาเผชิญหน้ากันนอกเวลางาน อารมณ์แบบ กูรู้แล้วนะว่ามึงเป็นโจร แต่รอกูมีหลักฐานก่อน ส่วนอีกฝั่งก็ไม่ปกปิดท่าทีว่าตัวเองเป็นโจร แถมเย้ยหยันกลับไปว่าอย่าหวังว่าจะได้จับกูเลย ส่วนที่เหลือก็ปั้นให้ฝั่งตำรวจมีปัญหาครอบครัวต้องหย่าร้าง ส่วนฝั่งโจรดูจะมีชีวิตราบเรียบปกติตามแบบกันมา ซึ่งเอาจริงตัดส่วนนี้ไปก็แทบไม่มีผลกับเนื้อเรื่อง เพราะหนังพาคนดูเข้าสู่แผนปล้นตอนจบรวดเร็วเหลือเกิน
.
องก์สุดท้ายของหนังที่เป็นแผนปล้นจนถึงตอนหลบหนีคือจัดเต็มจริง ส่วนตัวว้าวกับแผนปล้นธนบัตรที่กำลังถูกทำลาย แต่อาจจะตะหงิด ๆ กับภาคปฏิบัติพอสมควร การเขียนบทค่อนข้างช่วยฝั่งโจรมากเกินไป เยอะจนบางทีรู้สึกว่าที่คุยไว้ว่าการป้องกันแน่นหนาดูจะเกินจริงไปเลยทีเดียว เพราะในส่วนมนุษย์ที่ปฏิบัติงานมีความบกพร่องหรือหละหลวม จนทำให้แก๊งโจรดำเนินตามแผนได้ไม่มีสะดุด จึงไม่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ายาก ๆ ให้ต้องลุ้นมากมาย
.
อย่างไรก็ตามไฮไลท์จุดขายจริง ๆ ของหนังคงหนีไม่พ้นฉาก shootout บนถนนที่ยิงกันสนั่นลั่นเมือง ความยาวประมาณ 11 นาที ที่ความอมตะอาจจะยังเทียบ Heat ไม่ได้ แต่รับรองว่าเดือดจนเป็นภาพจำของหนัง (ลองไปเปิดดู Heat ฉากยิงกันกลางถนนก็ยังรู้สึกเดือดกว่าเยอะ ขนาดเป็นหนังปี 1995) และเวลาคิดถึงฉาก shootout เข้ม ๆ จะต้องมีฉากนี้ให้นึกถึงอย่างแน่นอน
Director: Christian Gudegast
story: Paul T. Scheuring
screenplay: Christian Gudegast (เขียนบท London Has Fallen)
Genre: action, thriller
6.5/10
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...