รู้จัก “รูเพิร์ต เมอร์ด็อก” เจ้าพ่อแห่งวงการสื่อโลก /โดย ลงทุนแมน
รูเพิร์ต เมอร์ด็อก ชายที่ครองความยิ่งใหญ่ในวงการสื่อมานานหลายทศวรรษ
เรื่องราวของชายคนนี้เริ่มต้นจากธุรกิจหนังสือพิมพ์เล็กๆ ในประเทศออสเตรเลีย
ก่อนจะก้าวออกไปลงทุนซื้อกิจการสื่อชื่อดังมากมายทั่วโลก
รวมทั้งยังเกือบจะได้เป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด อีกด้วย
เรื่องราวของชายคนนี้เป็นอย่างไร
อาณาจักรของเขามีอะไรบ้าง?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
รูเพิร์ต เมอร์ด็อก (Rupert Murdoch) เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1931 ปัจจุบันมีอายุ 89 ปี
โดยเขาเป็นชาวออสเตรเลีย ที่ภายหลังเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน
พ่อของเมอร์ด็อกเป็นอดีตผู้สื่อข่าวที่หันมาเปิดบริษัทหนังสือพิมพ์ประจำท้องถิ่น จึงทำให้เขาคลุกคลีอยู่กับธุรกิจสื่อมาตั้งแต่เยาว์วัย
เมื่ออายุได้ 22 ปี เมอร์ด็อก ได้รับช่วงต่อกิจการจากคุณพ่อ และเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอข่าวใหม่โดยมุ่งเน้นเรื่องแนวอื้อฉาว ประเด็นที่กำลังเป็นที่สนใจในสังคม รวมทั้งพาดหัวข่าวด้วยข้อความชวนสงสัยน่าติดตาม
วิธีดังกล่าวดึงดูดความสนใจของผู้อ่านได้ดีมาก โดยเฉพาะในยุคที่โลกยังไม่มีอินเทอร์เน็ตไว้ค้นหาข้อมูล จึงส่งผลให้ยอดขายหนังสือพิมพ์ของเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว
ต่อมา เมอร์ด็อก เริ่มขยายธุรกิจไปในตลาดที่ใหญ่ขึ้น โดยก่อตั้งหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่ชื่อว่า “The Australian” ซึ่งมีการวางขายไปทั่วประเทศออสเตรเลีย
รวมทั้งเข้าซื้อกิจการหนังสือพิมพ์รายอื่นๆ ที่ตีพิมพ์ในออสเตรเลีย เช่น The Daily Telegraph, The Daily Mirror, The Sunday Times
เมื่อประสบความสําเร็จในบ้านเกิดพอสมควรแล้ว
เป้าหมายถัดไปของเมอร์ด็อก คือ การบุกตลาดต่างประเทศ
ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 บริษัทของเขาได้ซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ชื่อดังหลายแห่งในประเทศอังกฤษ เช่น News of the World, The Sun, The London Times
เมอร์ด็อก นำนโยบายที่เน้นเสนอข่าวอื้อฉาว มาปรับใช้กับหนังสือพิมพ์เหล่านี้ด้วย ซึ่งส่งผลให้ยอดขายแต่ละฉบับ พุ่งขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ของอังกฤษ
นอกเหนือจากสื่อสิ่งพิมพ์ เมอร์ด็อก ยังมีการลงทุนในสื่ออีกประเภทด้วย นั่นคือ สถานีโทรทัศน์
ในปี 1988 เขาก่อตั้งบริษัท Sky Television ซึ่งถือเป็นทีวีช่องแรกๆ ของอังกฤษ ที่มีการรายงานข่าวสารตลอด 24 ชั่วโมง
และสิ่งที่ทำให้ Sky Television ได้รับความนิยมสูงมาก คือ การชนะประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีก เป็นครั้งแรกเมื่อปี 1992
อีกประเทศที่ เมอร์ด็อก เข้าไปดำเนินธุรกิจ คือ สหรัฐอเมริกา
เขาได้ก่อตั้ง Holding Company ที่ชื่อว่า News Corporation เพื่อลงทุนในธุรกิจสื่อต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ The New York Post, บริษัท Dow Jones & Company ซึ่งเป็นเจ้าของนิตยสาร The Wall Street Journal
รวมทั้งซื้อกิจการค่ายภาพยนตร์ 20th Century Fox ด้วยเงินมูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท
ซึ่งเมอร์ด็อกได้นำชื่อแบรนด์ Fox มาต่อยอดเป็นธุรกิจสถานีโทรทัศน์ข่าวและรายการต่างๆ จนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในช่องทีวีเรตติ้งสูงของสหรัฐฯ ได้สำเร็จ
และในปี 2019 ที่ผ่านมา News Corp. ก็ทำกำไรมหาศาล จากการตกลงขายสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของ Fox ให้กับ The Walt Disney ในราคาสูงถึง 2.2 ล้านล้านบาท
ซึ่งคอนเทนต์สำคัญที่รวมอยู่ในดีลครั้งนี้ ประกอบไปด้วย ภาพยนตร์ X-Men และ Avatar, การ์ตูน The Simpsons, ช่องสารคดี National Geographic, แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิง Hulu
ส่วนธุรกิจเกี่ยวกับข่าว ยังคงอยู่กับ News Corp. ต่อไป
อ่านถึงตรงนี้ เราอาจเห็นเมอร์ด็อกประสบความสําเร็จในธุรกิจสื่อมาอย่างต่อเนื่อง แต่จริงๆ แล้ว เขาก็มีการลงทุนที่ล้มเหลวเช่นกัน
ในปี 2005 บริษัท New Corp. เข้าซื้อแพลตฟอร์มโซเชียลเน็ตเวิร์ก Myspace ด้วยเงินสูงถึง 18,000 ล้านบาท เพื่อรองรับพฤติกรรมการเสพสื่อบนโลกออนไลน์
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมสูงกว่าอย่าง Facebook เข้ามาแทนที่ ซึ่งสุดท้ายแล้ว เมอร์ด็อก ก็ต้องยอมขายหุ้นส่วน Myspace ทั้งหมดที่ซื้อมาออกไปในราคาเพียง 1,100 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม News Corp. ก็ถือเป็นบริษัทสื่อที่มีเครือข่ายขนาดใหญ่ของโลก โดยในช่วงปี 2000 เคยมีธุรกิจอยู่ภายใต้การบริหารกว่า 800 บริษัท ใน 50 ประเทศ
ทั้งหมดที่ว่ามานี้ จึงทำให้ เมอร์ด็อก มีอิทธิพลสูงต่อทั้งอุตสาหกรรมสื่อ จึงมักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ่อยครั้งว่า หนังสือพิมพ์และรายการทีวีของเขา นำเสนอข้อมูลเพื่อผลประโยชน์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ทั้งนี้ จากการประเมินทรัพย์สินล่าสุด โดย Forbes
รูเพิร์ต เมอร์ด็อก และครอบครัว มีทรัพย์สินอยู่ที่ประมาณ 467,000 ล้านบาท
ซึ่งร่ำรวยเป็นอันดับที่ 68 ของโลก
นอกจากนั้น มูลค่าทรัพย์สินดังกล่าว ยังสูงเป็นอันดับ 3 ของบุคคลในกลุ่มธุรกิจสื่อ
เป็นรองเพียงแค่ ไมเคิล บลูมเบิร์ก เจ้าของ Bloomberg และ เดวิด ทอมสัน เจ้าของ Thomson Reuters เท่านั้น
ปิดท้ายด้วยเรื่องที่น่าสนใจ
ในปี 1998 บริษัท Sky ของ รูเพิร์ต เมอร์ด็อก เคยยื่นข้อเสนอเพื่อซื้อสโมสรฟุตบอล “แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด” (แมนยู) ด้วยมูลค่า 623 ล้านปอนด์ หรือราว 37,000 ล้านบาท (คำนวณจากค่าเงิน เดือนธันวาคม 1998 ซึ่ง 1 ปอนด์ เท่ากับ 60 บาท)
ซึ่งตอนนั้น แมนยู ได้ตอบตกลงขายหุ้นให้กับ Sky แล้ว
แต่สุดท้ายคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าของอังกฤษ มีคำสั่งให้ระงับการซื้อขาย เพราะมองว่าสถานีโทรทัศน์ Sky Television จะผูกขาดตลาดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมากเกินไปหากบรรลุดีลนี้ และอาจก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน
เรื่องนี้ทำให้ รูเพิร์ต เมอร์ด็อก ไม่ได้เป็นเจ้าของสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
และเขาคงเสียดายโอกาสไม่น้อย
เพราะอีกไม่กี่เดือนถัดมา..
แมนยูก็สร้างประวัติศาสตร์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ภายในฤดูกาลเดียว
อย่างไรก็ตามถ้า รูเพิร์ต เมอร์ด็อก เห็นฟอร์มของทีมแมนยูในปัจจุบัน
ก็อาจจะไม่เสียดายแล้ว ก็เป็นได้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.investopedia.com/articles/investing/083115/how-rupert-murdoch-became-media-tycoon.asp
-https://www.businessinsider.com/rupert-murdoch-wife-net-worth-family-news-corp-companies-2019-2
-https://en.wikipedia.org/wiki/Rupert_Murdoch
-https://www.forbes.com/billionaires/
-https://uk.sports.yahoo.com/news/rupert-murdoch-manchester-united-bskyb-080000242.html
dow wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
กองทุนที่ได้กำไร 40 เท่า ในช่วงวิกฤติ COVID-19 /โดย ลงทุนแมน
สิ่งที่เราไม่เคยเห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มี
เหมือนในอดีต ที่โลกเคยมีความเชื่อว่า หงส์ทุกตัวเป็นสีขาว
แต่สุดท้ายกลับพบว่า หงส์ดำมีอยู่จริงในทวีปออสเตรเลีย
นี่คือคำอธิบายทฤษฎี “Black Swan”
เปรียบเทียบถึงเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ที่หากเกิดขึ้นแล้ว จะส่งผลกระทบมหาศาล
ในปัจจุบัน การระบาดของ COVID-19 น่าจะเข้าข่าย Black Swan อย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะคงไม่มีใครคิดมาก่อนว่า เชื้อไวรัสจะทำให้เศรษฐกิจและวิถีชีวิตมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป
แต่รู้หรือไม่ว่า มีกองทุนแห่งหนึ่ง ที่รอคอยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ มานาน 12 ปี
จนสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากถึง 40 เท่า
กองทุนนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร แล้วพวกเขาใช้วิธีไหนรับมือกับ Black Swan
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ผู้ที่คิดค้นทฤษฎี Black Swan ขึ้นมาคือ Nassim Nicholas Taleb นักคณิตศาสตร์ และนักซื้อขายหุ้น ชาวเลบานอน
เขาเขียนหนังสือ The Black Swan: The Impact of the Highly Improbable ในปี 2007 ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 12 หนังสือทรงอิทธิพลที่สุดในโลก นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
แต่ก่อนหน้านั้น Nassim Nicholas Taleb เคยทดสอบทฤษฎีนี้กับการลงทุนมาแล้ว
หลายปีก่อน เขาเป็นอาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ อยู่ที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และได้พบกับลูกศิษย์ชื่อ Mark Spitznagel
Mark Spitznagel นั้นเคยทำงานอยู่ธนาคาร ซึ่งต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่น่ากลัว ไม่ว่าจะเป็น วิกฤติการเงินในเอเชียปี 1997 และวิกฤติการผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรของรัสเซียปี 1998
ด้วยเหตุนี้ ตอนเรียนต่อปริญญาโทในคลาสของ Nassim Nicholas Taleb เขาจึงมีความสนใจเรื่องของ Black Swan เป็นอย่างมาก
ในปี 1999 ทั้งคู่ร่วมก่อตั้งบริษัทกองทุนชื่อ Empirica Capital
โดยมีหลักบริหารจัดการทรัพย์สินคือ การเตรียมตัวเพื่อรับมือวิกฤติที่ไม่คาดฝันโดยเฉพาะ
ปรากฏว่า หลังจากนั้นไม่นานตลาดหุ้นสหรัฐฯ เกิดฟองสบู่ดอตคอม จากการเก็งกำไรในบริษัทอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี ที่ร้อนแรงเกินกว่าพื้นฐานการดำเนินงาน ส่งผลให้ Empirica Capital สร้างกำไรทันที 60%
อย่างไรก็ตาม กองทุนได้ปิดตัวลงในปี 2005 เนื่องจาก Nassim Nicholas Taleb มีปัญหาสุขภาพ รวมทั้งต้องการไปทำงานด้านวิชาการแทน
ขณะที่ Mark Spitznagel ตัดสินใจเปิดบริษัทกองทุนของตัวเองในปี 2007 ชื่อว่า Universa Investments โดยได้เชิญอาจารย์ Nassim Nicholas Taleb มานั่งเป็นตำแหน่งที่ปรึกษา และแน่นอนว่า เขายังคงใช้หลักการแบบเดิม
มาถึงตรงนี้ หลายคนน่าจะสงสัยว่า กองทุนที่เตรียมตัวเจอเหตุการณ์ Black Swan ที่นานทีจะมีครั้ง กองทุนนี้มีวิธีการลงทุนอย่างไร?
Universa Investments จะซื้อสิทธิในการขายหุ้น หรือ Put Option ที่มีอายุสัญญาระยะสั้น เพื่อคอยป้องกันความผันผวนของตลาด
ดังนั้นหากตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น กองทุนก็จะขาดทุนส่วนต่างราคาไปทีละน้อย เหมือนกับการจ่ายค่าประกันความเสี่ยงไปเรื่อยๆ
แต่เมื่อเกิดวิกฤติขึ้น ราคาทรัพย์สินจะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง สวนทางกับ Put Option ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น คุ้มค่าเกินกว่าผลขาดทุนสะสมอยู่หลายเท่าตัว
ในปี 2008 หรือเพียง 1 ปีให้หลัง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เกิดวิกฤติ Subprime จากฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์และสินเชื่อด้อยคุณภาพ ส่งผลให้ Universa Investments ทำกำไรได้ 115%
แต่หลังจากนั้น ประเทศต่างๆ มีมาตรการกระตุ้นจนเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวเป็นขาขึ้นต่อเนื่องก็ทำให้กองทุนนี้มีผลตอบแทนแพ้ตลาด และ Mark Spitznagel ก็ได้แต่อดทนเฝ้ารอโอกาสต่อไป
จนในที่สุดผ่านไป 12 ปี วันนั้นก็มาถึง..
ในปี 2020 เกิดเหตุการณ์ระบาดของ COVID-19 ที่แพร่กระจายไปทั้งเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา
โดยล่าสุดมีผู้ติดเชื้อสะสมเกิน 4 ล้านรายทั่วโลก ทำให้ต้องมีการประกาศปิดเมืองเพื่อควบคุมสถานการณ์ จนระบบเศรษฐกิจหยุดชะงัก
ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ ตลาดหุ้นถูกเทขายออกมาอย่างหนัก เช่น ดัชนี Dow Jones ทำจุดต่ำสุด -35% หรือดัชนี S&P 500 ทำจุดต่ำสุด -31% เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี
แต่นั่นถือเป็นข่าวดีสำหรับ Universa Investments ที่ปัจจุบันมีมูลค่าทรัพย์สินอยู่ 140,000 ล้านบาท
เพราะในเวลา 4 เดือนของปีนี้ กองทุนสามารถทำกำไรให้ผู้ถือหน่วยลงทุนไปได้ 4,144% หรือ 41 เท่า คิดเป็นผลตอบแทนหลังหักค่าธรรมเนียมเท่ากับ 76% ต่อปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท
นอกจากนี้ ยังทำให้ Mark Spitznagel มีทรัพย์สินส่วนตัวร่ำรวยถึง 8,000 ล้านบาท อีกด้วย
เรื่องนี้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
เหตุการณ์ Black Swan เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น และขัดต่อความเชื่อของคนส่วนใหญ่
ก่อนหน้านี้ ถ้าใครบอกว่า จะยอมขาดทุนไปเรื่อยๆ เพื่อหวังกำไรระดับ 40 เท่าตัว คงถูกมองว่าเป็นเรื่องตลก
แต่อย่างน้อยในช่วงนี้ การขาดทุนเพื่อประกันความเสี่ยงลักษณะนี้
อาจกลายเป็นต้นทุนปกติ ที่ทุกคนยอมจ่าย ก็เป็นได้..
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://markets.businessinsider.com/news/stocks/black-swan-fund-universa-investments-4000-percent-return-hedging-coronavirus-2020-4-1029076165
-https://www.forbes.com/sites/antoinegara/2020/04/13/how-a-goat-farmer-built-a-doomsday-machine-that-just-booked-a-4144-return/
-https://en.m.wikipedia.org/wiki/Mark_Spitznagel
-https://en.m.wikipedia.org/wiki/Empirica_Capital
dow wiki 在 白經濟 TalkEcon Facebook 的最讚貼文
▍白經濟歷史小教室: 小熊的奪冠等待期(1908-2016)
相信很多讀者也跟小編一樣,今天見證芝加哥小熊自從1908年以來的首座美國職棒大聯盟冠軍,在這段百年奪冠期間,世界的經濟和商業已有許多變化,從圖中可以發現:
- 美國的實質GDP成長30倍,人均實質GDP從6千美元成長至5萬美元 (以2009年為基準校正)
- 工人的生產名目時薪(Production Workers Hourly Compensation (nominal dollars)) 從0.16成長至今日的30.55,將近是百年前的200倍
- 美國道瓊指數1908年大約是60點,昨日收盤則是將近18,000點,當時的30檔成分股,只有奇異(General Electric)時至今日還在道瓊指數
- 1908年當時幾位在世諾貝爾獎經濟學得主包括: Hayek (9歲)、Hicks (4歲)、Leontief (2歲),Friedman, Samuelson, Arrow等經濟學家都還沒出生。凱因斯當時還在劍橋大學跟隨 Arthur Pigou學習經濟和機率論
資料及圖表參考
"Graphing Various Historical Economic Series" MeasuringWorth, 2016.
https://www.measuringworth.com/datasets/usgdp/result.php
http://www.fedprimerate.com/dow-jones-industrial-average-hi…
https://en.wikipedia.org/wiki/Dow_Jones_Industrial_Average
https://en.wikipedia.org/wiki/John_Maynard_Keynes
dow wiki 在 dow - Wiktionary 的相關結果
VerbEdit. dow (third-person singular simple present dows, present participle dowing, simple past and past participle dowed or dought). ( ... ... <看更多>
dow wiki 在 美國陶氏化學公司 - MBA智库百科 的相關結果
美國陶氏化學公司(Dow Chemical,道氏化學公司)美國陶氏化學公司網站:http://www.dow.com/ 英文1897年創建於美國的陶氏化學公司是一家以科技為主的跨國性公司, ... ... <看更多>
dow wiki 在 陶氏化工- 维基百科,自由的百科全书 的相關結果
陶氏化学(Dow Chemical Company,NYSE:DOW,東證1部:4850)是一間跨國化學公司,總部設於美國密歇根州,1897年由赫伯特·亨利·道创建。以資產值計,是美国第二大、 ... ... <看更多>