เศรษฐีรวยสุดในเอเชีย มีน้องชาย เป็นบุคคลล้มละลาย ได้อย่างไร ? /โดย ลงทุนแมน
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Mukesh Ambani เจ้าของ Reliance Industries กลุ่มธุรกิจที่ใหญ่สุดในอินเดียและเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในเอเชีย มีน้องชายชื่อ Anil Ambani
สำหรับน้องชายของมหาเศรษฐีคนนี้ ก็เป็นเจ้าของธุรกิจที่แยกตัวออกมาจาก Reliance Industries ของพี่ชาย มีชื่อบริษัทว่า Reliance ADA Group
ในปี 2008 Mukesh Ambani มีทรัพย์สิน 1.4 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลก
ในขณะที่ Anil Ambani ตามมาติด ๆ ด้วยทรัพย์สิน 1.37 ล้านล้านบาท และรวยเป็นอันดับ 6 ของโลก
โดยในปีนั้น เศรษฐี 4 อันดับแรกของโลก ได้แก่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (อเมริกัน), คาร์ลอส สลิม (เม็กซิโก),
บิลล์ เกตส์ (อเมริกัน) และลักษมี นิวาส มิตตัล (อินเดีย)
หลังจากผ่านไป 13 ปี Mukesh Ambani มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านล้านบาท
กลายมาเป็นมหาเศรษฐีรวยสุดในอินเดียและเอเชีย และรวยเป็นอันดับ 10 ของโลก
แต่ในปี 2019 Ambani คนน้องกลับมีทรัพย์สิน เพียง 5.6 หมื่นล้านบาท
จนล่าสุด มีหลายคนกล่าวว่าความมั่งคั่งตอนนี้ของ Ambani คนน้อง ลดลงจนเกือบเป็นศูนย์
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับน้องชาย ของคนที่รวยสุดในเอเชีย ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปในปี 1948 หรือเมื่อ 73 ปีก่อน ชายชาวอินเดียวัย 16 ปี
ที่ชื่อ Dhirubhai Ambani ได้ตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านเกิดไปทำงานที่ประเทศเยเมน
ผ่านไป 10 ปี Dhirubhai กลับมาที่อินเดียพร้อมกับเงินเก็บ เพื่อมาเริ่มสร้างธุรกิจเอง
Dhirubhai เริ่มจากการนำเข้าเส้นใยสังเคราะห์และส่งออกเครื่องเทศ ก่อนจะเริ่มทำธุรกิจสิ่งทอ ซึ่งก็เติบโตอย่างรวดเร็ว จน Dhirubhai ได้ขยายกิจการไปในอุตสาหกรรมอื่น และเปลี่ยนมาใช้ชื่อบริษัทว่า “Reliance Industries” ในปี 1973
Reliance Industries สามารถ IPO ได้ในปี 1977 ซึ่งหุ้นของบริษัทก็มีชาวอินเดียสนใจลงทุนเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดเคยจัดประชุมผู้ถือหุ้นที่สเตเดียม
ตั้งแต่ที่กิจการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว Dhirubhai ก็เริ่มให้ลูกชายทั้ง 2 คนของเขา เข้ามาช่วยบริหารงานที่บริษัท
Mukesh Ambani ลูกชายคนโต เป็นประธาน
Anil Ambani ลูกชายคนรอง เป็นกรรมการผู้จัดการ
แต่แล้วในปี 2002 Dhirubhai ได้เสียชีวิตลงและได้ทิ้งกิจการ Reliance Industries ไว้กับลูกชายทั้ง 2 คน
Dhirubhai ที่จากโลกนี้ไปไม่ได้ทำพินัยกรรมและข้อตกลงแบ่งกิจการให้กับลูกแต่ละคนไว้ ซึ่งเขาก็คงไม่คิดว่า จะเกิดปัญหาตามมา
โดยปัญหาที่ว่านั้นเริ่มเกิดขึ้นเพราะลูกชายทั้ง 2 คน ที่เริ่มเข้าทำงานและมีบทบาทในบริษัทมาพร้อม ๆ กัน
กลับตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะเป็นเจ้าของและใครจะดูแลและรับผิดชอบบริษัทไหนบ้าง
สุดท้ายแล้ว ในช่วงปี 2004 ถึง 2005 ผู้เป็นแม่ต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหา
โดยการจ้างบุคคลที่ 3 ให้เข้ามาจัดการเรื่องการแยกบริษัทออกจากกันไปเลย
Mukesh Ambani คนพี่ได้ธุรกิจหลักคือปิโตรเลียม ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการขยายกิจการในส่วนนี้มาตั้งแต่แรก และยังได้ธุรกิจอื่น ๆ อย่างเช่นปิโตรเคมี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจยุคเก่า โดยกลุ่มบริษัทของ Mukesh ใช้ชื่อว่า Reliance Industries
Anil Ambani คนน้องได้ธุรกิจหลักคือ Reliance Communications ธุรกิจโทรคมนาคมที่เพิ่งเริ่มกิจการได้ไม่นาน แต่ก็กลายเป็นบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอินเดีย ซึ่งแม้ว่า Mukesh จะมีบทบาทสำคัญมาตั้งแต่ต้น แต่ Anil ก็อยากได้ธุรกิจนี้เช่นกัน
นอกจากธุรกิจเทเลคอมแล้ว กิจการอื่นที่ Anil Ambani ได้รับไปดูแลอีกก็อย่างเช่น ธุรกิจพลังงาน และบริการทางการเงิน ซึ่งส่วนมากจะเป็นธุรกิจยุคใหม่ โดยกลุ่มธุรกิจของ Anil Ambani ใช้ชื่อว่า “Reliance ADA Group”
หลังจากจบเรื่องการแบ่งธุรกิจแล้ว แต่ละคนก็เริ่มต่อยอดธุรกิจตามเส้นทางของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น
Mukesh Ambani เริ่มทำธุรกิจค้าปลีกในปี 2006 จน Reliance Retail กลายมาเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่สุดในอินเดีย
ในขณะที่ Anil Ambani ก็ได้ต่อยอดทำธุรกิจบันเทิง อย่างเช่นในปี 2005 ได้ซื้อบริษัท Adlabs Films ที่เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ Big Cinemas ซึ่งกลายมาเป็นโรงภาพยนตร์ที่มีสาขามากสุดในอินเดียในอีก 3 ปีถัดมา
ในปี 2008 Reliance Entertainment ของ Anil Ambani ก็ได้เซ็นสัญญากับบริษัทผลิตภาพยนตร์ DreamWorks ของผู้กำกับ Steven Spielberg ซึ่งได้ร่วมผลิตภาพยนตร์ที่ได้รางวัลมากมาย อย่างเช่น The Help และ Lincoln
และปีเดียวกันนี้ Anil Ambani ก็ได้นำบริษัทพลังงานอย่าง Reliance Power จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยมูลค่าการระดมทุนที่สูงเป็นประวัติการณ์ในขณะนั้น
ผ่านไป 6 ปีหลังจากการเสียชีวิตของ Dhirubhai
ดูเหมือนว่าลูกชายของเขาทั้งคู่ก็ต่อยอดกิจการไปได้อย่างสวยงาม
จนทำให้ในปี 2008 Mukesh มีทรัพย์สิน 1.4 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลก และ Anil มีทรัพย์สิน 1.37 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 6 ของโลก
แต่หลังจากนั้น เส้นทางความมั่งคั่งของพี่น้องคู่นี้ กลับเริ่มมีทิศทางที่สวนทางกัน
คนพี่รวยขึ้น ส่วนคนน้องความมั่งคั่งหายไปเกือบหมด
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ?
เรื่องทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจากเงินที่บริษัท Reliance Power ของ Anil Ambani ได้มาจากการ IPO มีแผนจะใช้สร้างโรงไฟฟ้าที่ส่วนใหญ่จะผลิตจากก๊าซ
โดยก๊าซที่ Reliance Power ใช้ ก็มาจากบริษัทก๊าซธรรมชาติในเครือ Reliance Industries ของ Mukesh นั่นเอง
ซึ่งในตอนที่แยกบริษัทกัน สองพี่น้องก็ได้เซ็นสัญญาว่าบริษัทก๊าซของ Mukesh Ambani จะขายก๊าซให้โรงไฟฟ้าของน้องชายที่ราคาหนึ่ง
แต่ในวันที่โรงไฟฟ้าสร้างใกล้จะเสร็จและถึงเวลาที่พี่ชายจะขายก๊าซให้กับน้อง ราคาก๊าซในตลาดโลกกลับเพิ่มสูงขึ้นไปเกือบเท่าตัว
Anil Ambani จึงต้องการซื้อก๊าซในราคาที่ตกลงกัน เพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญต้นทุนก๊าซที่สูงขึ้น
แต่ทาง Mukesh Ambani ไม่สามารถขายก๊าซตามราคาที่ตกลงกันไว้ได้เพราะบริษัทของเขาจะขาดทุน
แต่แทนที่จะเจรจาตกลงกัน Anil Ambani กลับเลือกที่จะยื่นฟ้องบริษัทพี่ชายในปี 2010 เพื่อให้ซื้อก๊าซได้ในราคาเดิมที่เคยตกลงกัน
แต่ศาลก็ได้มีคำสั่งให้ Anil Ambani ซื้อก๊าซในราคาใกล้เคียงกับราคาตลาดโลก ซึ่งเป็นไปตามนโยบายราคาก๊าซของประเทศ
สุดท้ายแล้ว Anil Ambani ที่ต้องแบกรับต้นทุนก๊าซเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จึงไม่สามารถจัดหาก๊าซเพื่อไปใช้ผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าที่สร้างรอไว้แล้วได้
Reliance Power จึงกลายเป็นบริษัทที่มีหนี้มหาศาล จนต้องขายทรัพย์สินและกิจการบางส่วนออกไป เพื่อเอามาใช้หนี้ ซึ่งรวมถึงกิจการโรงภาพยนตร์ Big Cinemas ที่ซื้อมาเมื่อปี 2008 ด้วย
แต่ความผิดพลาดทางธุรกิจของ Anil Ambani ยังไม่ได้จบลงแค่นี้ เพราะเรื่องราวที่ร้ายแรงกว่านั้น เกิดขึ้นกับธุรกิจโทรคมนาคมอย่าง Reliance Communications (RCom)
ในปี 2002 ซึ่งเป็นช่วงที่ RCom เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ RCom เลือกใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่เรียกว่า CDMA ซึ่งใช้เงินลงทุนน้อยกว่า ขณะที่บริษัทคู่แข่งอย่างเช่น Airtel เลือกใช้เทคโนโลยีที่ชื่อ GSM
แม้เทคโนโลยีทั้ง 2 แบบจะใช้ได้ดีกับ 2G และ 3G เหมือนกัน แต่ปัญหาก็คือ CDMA ที่ RCom เลือกใช้ ไม่สามารถรองรับ 4G และ 5G ได้แบบ GSM ที่เหล่าคู่แข่งเลือกใช้
นั่นจึงทำให้ช่วงเวลาที่ทั่วโลกเปลี่ยนผ่านจาก 3G มาเป็น 4G อย่างรวดเร็ว RCom เลยตามคนอื่นไม่ทัน จน RCom กลายเป็นบริษัทที่เริ่มมีหนี้มากขึ้น
และจุดพลิกผันครั้งใหญ่ของ RCom รวมไปถึงทั้งอุตสาหกรรมเทเลคอมของอินเดีย ก็เกิดขึ้นในปี 2016
เมื่อ Mukesh Ambani ได้ก่อตั้งบริษัทย่อยของ Reliance Industries ในชื่อ “Jio” ซึ่งเป็นบริษัท
ที่เน้นบริการด้านเทคโนโลยี รวมถึงการให้บริการโทรคมนาคมแบบเดียวกับ RCom ด้วย
ด้วยชื่อเสียงของ Reliance Industries ก็ทำให้ Jio มีจำนวนผู้ใช้งานเครือข่ายโทรศัพท์เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้กำไรของบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอย่าง Airtel ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้อีก 2 บริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดรองลงมาอย่าง Vodafone และ Idea ต้องควบรวมกิจการกัน
ในเวลาต่อมาบริษัท Jio ของ Mukesh Ambani ก็กลายมาเป็นบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่สุดในอินเดีย ส่วน RCom ของ Anil ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ก็หายไปจากการแข่งขันในตลาดเทเลคอม จนทำให้บริษัทขาดทุนและกลายเป็นหนี้มหาศาล
RCom ต้องยอมขายสินทรัพย์ของกิจการบางส่วนให้กับ Jio เพื่อลดหนี้
แต่นั่นก็ยังไม่ช่วยให้สถานการณ์ของ RCom ดีขึ้น
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 RCom ได้ทำข้อตกลงกับ Ericsson โดยจ้างให้ Ericsson มาเป็นผู้บริหารเครือข่ายในบริเวณทางเหนือและตะวันตกของอินเดีย แต่ผลจากการขาดทุนต่อเนื่องก็ทำให้ RCom ไม่มีเงินจ่ายให้ Ericsson ตั้งแต่ปี 2016
RCom ติดหนี้ Ericsson 2.46 พันล้านบาท ซึ่ง RCom ก็ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนด และขอเลื่อนเวลาการจ่ายหนี้ออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้ว RCom จ่ายหนี้ได้เพียง 528 ล้านบาท นำไปสู่การถูกฟ้องร้องในเวลาต่อมา
ศาลสูงสุดจึงมีคำตัดสินว่า ถ้าภายใน 1 เดือน RCom ยังจ่ายหนี้ให้ Ericsson ไม่ได้ Anil จะต้องถูกจำคุก 3 เดือน
สุดท้ายแล้วพี่ชายของ Anil Ambani อย่าง Mukesh ก็เข้ามาช่วย
โดยการจ่ายหนี้ที่เหลือ มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาทให้
ในขณะที่ บริษัท RCom ก็ต้องยื่นล้มละลาย
แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น เพราะ RCom ยังมีหนี้ก้อนใหญ่อีกก้อน ที่กู้ยืมมาจาก 3 ธนาคารขนาดใหญ่ของจีน ทั้ง ICBC, China Development Bank และ EXIM Bank of China เป็นมูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท
ทั้ง 3 ธนาคารจึงยื่นฟ้อง RCom และ Anil Ambani..
ช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่ง Anil ได้พูดระหว่างพิจารณาคดีออนไลน์กับศาลของประเทศอังกฤษว่า เขาไม่มีเงินใช้หนี้ เพราะความมั่งคั่งของเขาตอนนี้ใกล้จะเป็นศูนย์แล้ว.. ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเขาจะหาเงินจากไหนมาใช้หนี้
จากความขัดแย้งเพื่อแย่งกิจการกันเองในครอบครัว บวกกับการบริหารธุรกิจที่ผิดพลาด การทุ่มเงินลงทุนขนาดใหญ่แต่ได้ผลลัพธ์แย่กว่าที่คาด ทำให้บริษัทก่อหนี้ก้อนโต
ทั้งหมดนี้ก็ได้ส่งผลไปยังทรัพย์สินของผู้ที่เคยรวยติดอันดับ 6 ของโลกอย่าง Anil Ambani ได้หายไปเกือบหมด ในขณะที่พี่ชายที่เติบโตมาพร้อมกัน กลับเดินสวนทางกัน เพราะประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นเศรษฐี ที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย นั่นเอง
ถ้าใครเชื่อว่าชีวิตของเราถูกกำหนดมาแล้วตั้งแต่เกิด
เกิดมาในครอบครัวที่รวย ก็ย่อมมีแรงส่งให้พวกเขารวยขึ้น
ซึ่งมันก็เป็นจริงในหลายกรณี
แต่ในบางกรณี มันก็อาจเป็นตรงกันข้าม
ซึ่งอย่างน้อย มันก็เกิดขึ้นแล้วกับ Anil Ambani น้องชายของ มหาเศรษฐี ที่รวยสุดในเอเชีย นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.businessinsider.in/thelife/personalities/news/anil-ambanis-journey-from-42-billion-net-worth-to-claiming-poverty/articleshow/74028627.cms
-https://www.scmp.com/magazines/style/celebrity/article/3093874/mukesh-vs-anil-why-did-one-ambani-brother-go-bankrupt
-https://economictimes.indiatimes.com/industry/telecom/telecom-news/from-glory-to-dust-an-ambani-brands-journey-to-bankruptcy/articleshow/67837769.cms?from=mdr
-https://www.businesstoday.in/latest/economy-politics/story/anil-ambani-road-to-bankruptcy-how-the-brother-of-indias-richest-man-lost-his-way-271119-2020-08-25
-https://www.moneycontrol.com/news/business/a-timeline-of-reliance-communications-versus-ericsson-case-3661261.html
-https://youtu.be/dBH0E20kc30
-https://www.forbes.com/forbes/2008/0324/080.html?sh=3e185f910f2e
-https://en.wikipedia.org/wiki/Reliance_Industries
-https://en.wikipedia.org/wiki/Reliance_Group
同時也有30部Youtube影片,追蹤數超過202萬的網紅Marioverehrer,也在其Youtube影片中提到,♫ Original Performance: https://youtu.be/MRfdL6-VBMc ► Learn piano songs quick and easy: http://tinyurl.com/flowkey-marioverehrer1 * ► Submit Your Mus...
「dreamworks twitter」的推薦目錄:
dreamworks twitter 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
สตีเวน สปีลเบิร์ก หนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์ รวยสุดในโลก /โดย ลงทุนแมน
จากคนที่เคยถูกปฏิเสธจากมหาวิทยาลัยในการเข้าเรียนสาขาภาพยนตร์ ถึงสองครั้ง
ได้เข้าฝึกงานกับ Universal Studios โดยไม่รับค่าจ้างเพียงเพราะอยากเรียนรู้การสร้างภาพยนตร์
แถมการสร้างภาพยนตร์ครั้งแรกในชีวิต ก็ทำกำไรได้เพียง 1 ดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวในอดีตของสตีเวน สปีลเบิร์ก
ผู้ที่ปัจจุบัน ได้รับฉายาว่าเป็น “พ่อมดแห่งฮอลลีวูด”
และได้กลายมาเป็นเศรษฐีที่มีทรัพย์สินเกินกว่า 1 แสนล้านบาท
แล้วพ่อมดคนนี้ เปลี่ยนชีวิตตัวเองได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะมาเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
สตีเวน สปีลเบิร์ก เกิดเมื่อปี 1946 ที่เมืองซินซินแนติ
รัฐโอไฮโอ ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันอายุ 74 ปี
ในวัยเด็ก เขาไม่ใช่เด็กที่มีอะไรโดดเด่นมาก
มีผลการเรียนกลาง ๆ เหมือนเด็กคนอื่นทั่วไป
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาหลงรักมาตั้งแต่เด็ก คือ “การสร้างภาพยนตร์”
เขาจึงได้เริ่มสร้างภาพยนตร์สั้น ๆ เองที่บ้าน ด้วยวัยเพียง 12 ปี
หลังจากนั้น โอกาสการกำกับหนังครั้งแรกในชีวิตของสตีเวน สปีลเบิร์ก ก็เกิดขึ้นในวัยเพียง 16 ปี
กับภาพยนตร์ที่มีชื่อเรื่องว่า Firelight
ภาพยนตร์ดังกล่าวได้เข้าฉายในโรงหนังท้องถิ่น โดยใช้ต้นทุนสร้าง 15,000 บาท และทำกำไรได้เพียงแค่ 30 บาท (อิงกับอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน)
ด้วยผลการเรียนที่ไม่ได้โดดเด่น ทำให้เขาถูกปฏิเสธจากมหาวิทยาลัยในสาขาภาพยนตร์ถึง 2 ครั้ง
แต่ด้วยความไม่ยอมแพ้ทำให้เขาได้เข้าฝึกงานที่ Universal Studios แต่มีเงื่อนไขคือจะไม่ได้รับค่าจ้าง
แม้ว่าจะดูเป็นการเดินทางที่ไม่สวยหรู
แต่การเข้ามาฝึกงานของสตีเวน สปีลเบิร์ก ครั้งนี้
ก็ได้กลายมาเป็นก้าวสำคัญในชีวิตที่ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จัก
เพราะในปี 1974 สตีเวน สปีลเบิร์ก ได้มีโอกาสทำงานร่วมกับ จอห์น วิลเลียมส์ นักประพันธ์เพลงชื่อดัง
ในภาพยนตร์เรื่อง The Sugarland Express ที่มีทุนสร้างราว 90 ล้านบาท
แต่สามารถสร้างรายได้มากถึง 360 ล้านบาท
นอกจากผลตอบแทนที่ดีแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัล Best Screenplay
ซึ่งทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักในวงการ
แต่เหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อเสียงของ สตีเวน สปีลเบิร์ก เป็นที่รู้จักอย่างมาก
เกิดขึ้นในปี 1975 เขาได้มีโอกาสกำกับภาพยนตร์เรื่อง “Jaws” หนังสยองขวัญฉลามกินคน
ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้สูงถึง 14,000 ล้านบาท โดยมีต้นทุนในการสร้างเพียง 90 ล้านบาท
หลังจากนั้นมา เขาได้สร้างผลงานระดับโลกอีกมากมาย โดยมีผลงานที่เรารู้จักกันดีคือ
- Jurassic Park รายได้ 31,000 ล้านบาท ต้นทุน 1,890 ล้านบาท
- The Lost World: Jurassic Park รายได้ 18,500 ล้านบาท ต้นทุน 2,190 ล้านบาท
และภาพยนตร์ชุด Indiana Jones ที่ร่วมสร้างกับทางจอร์จ ลูคัส ผู้สร้าง Star Wars
โดยที่จอร์จ ลูคัส เป็นคนเขียนเนื้อเรื่อง
สตีเวน สปีลเบิร์ก ทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ
รวมผลงานร่วมกันทั้งหมด 4 ภาค กวาดรายได้ไปมากถึง 59,600 ล้านบาท
โดยมีต้นทุนในการสร้าง 8,370 ล้านบาท
ซึ่งในภายหลัง ทั้งจอร์จ ลูคัส และสตีเวน สปีลเบิร์ก ก็ได้ขึ้นแท่นมหาเศรษฐี Billionaires
ที่มีทรัพย์สินมูลค่าเกินกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 32,000 ล้านบาท
จากทั้งความสำเร็จในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ รวมถึงธุรกิจที่ก่อตั้งขึ้นมา
แล้วสตีเวน สปีลเบิร์ก เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทอะไรบ้าง ?
บริษัทแห่งแรกก็คือ “DreamWorks Pictures”
ในปี 1994 สตีเวน สปีลเบิร์ก กับ Jeffrey Katzenberg และ David Geffen
ได้ทำการก่อตั้ง DreamWorks Pictures ซึ่งเป็นบริษัท ผู้ผลิตแอนิเมชันและภาพยนตร์
โดยมีผลงานที่เรารู้จักกันดี เช่น Shrek, Madagascar และ How to Train Your Dragon
ด้วยผลงานที่โดดเด่น บริษัทสามารถสร้างรายได้ กว่า 3,000 ล้านบาทต่อปี
ในปี 2005 Viacom บริษัทคอนเทนต์ด้านความบันเทิงระดับโลก
ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Paramount Pictures
ประกาศเข้าซื้อ DreamWorks เป็นมูลค่ากว่า 50,000 ล้านบาท
บริษัทถัดมาก็คือ “Amblin Partners”
เป็นอีกบริษัทที่ก่อตั้งโดย สตีเวน สปีลเบิร์ก
ซึ่งทำหน้าที่ผลิตภาพยนตร์ แอนิเมชัน ผ่านแบรนด์ต่าง ๆ
ซึ่งในช่วงแรกส่วนใหญ่เป็นบริษัทในเครือของเขาเอง เช่น Amblin Entertainment และ DreamWorks
แต่ต่อมาด้วยผลงานที่มีคุณภาพ ทำให้มีลูกค้าหลากหลายมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น Warner Bros. Pictures, Universal Pictures
ล่าสุดได้ประกาศว่าจะร่วมงานกับทาง Netflix ในเรื่อง The Trial of the Chicago 7
ซึ่งคาดว่าจะเริ่มฉายในเดือนกันยายน 2021
นอกจากนี้เขายังมีรายได้อื่นอีก เช่น ส่วนแบ่ง 5% ของรายได้จากสวนสนุกจากการเป็นที่ปรึกษาให้ Universal Studios อีกด้วย
เรื่องราวทั้งหมดนี้ ก็ได้ทำให้สตีเวน สปีลเบิร์ก กลายมาเป็นหนึ่งในผู้กำกับภาพยนตร์
ที่มีทรัพย์สินมูลค่ามากที่สุดในโลก โดยปัจจุบันมีทรัพย์สินรวมกันกว่า 1.2 แสนล้านบาท
ทั้ง ๆ ที่ในอดีต โดนทั้งมหาวิทยาลัยปฏิเสธและต้องเข้าฝึกงานโดยที่ไม่ได้ผลตอบแทนอะไรเลย
และผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีทรัพย์สินมากกว่าเขาก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
นั่นก็คือ จอร์จ ลูคัส เจ้าของทรัพย์สิน 2 แสนล้านบาท
ผู้สร้างสรรค์จักรวาล Star Wars ขึ้นมานั่นเอง
ปิดท้ายด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ
ครั้งหนึ่ง จอร์จ ลูคัส เคยพนันกับ สตีเวน สปีลเบิร์ก ไว้ว่า “เขาจะให้ 2.5% จากรายได้ของ Star Wars ภาค 4 ชื่อภาค A New Hope หาก สตีเวน สปีลเบิร์ก ให้ 2.5% จากรายได้ของ Close Encounters ก่อนที่ภาพยนตร์ทั้ง 2 เรื่องจะฉาย”
จากเหตุการณ์ครั้งนั้น Star Wars ได้กลายมาเป็นภาพยนตร์ระดับโลก
จึงทำให้สตีเวน สปีลเบิร์ก ได้ส่วนแบ่ง 1,200 ล้านบาทจากการตกลงกันในครั้งนั้น
โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://celebanswers.com/how-did-steven-spielberg-make-his-money/
-https://www.forbes.com/profile/steven-spielberg/?sh=4fbe9cfa228a
-https://www.businessinsider.com/steven-spielberg-net-worth-lifestyle-career-home-photos-2019-6
-https://en.wikipedia.org/wiki/Steven_Spielberg
-https://www.tradeschool.com/blog/steven-spielbergs-education-background/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Firelight_(1964_film)
-https://en.wikipedia.org/wiki/The_Sugarland_Express
-https://en.wikipedia.org/wiki/Indiana_Jones
-https://en.wikipedia.org/wiki/Jurassic_Park
-https://www.theverge.com/2021/6/21/22543807/netflix-amblin-partners-steven-spielberg-film-deal
-https://en.wikipedia.org/wiki/DreamWorks_Pictures
-https://en.wikipedia.org/wiki/Amblin_Entertainment
-https://en.wikipedia.org/wiki/Amblin_Partners
-https://www.nytimes.com/2005/12/09/business/media/viacoms-paramount-to-buy-dreamworks-for-16-billion.html
-https://www.businessinsider.com/george-lucas-star-wars-bet-made-steven-spielberg-millions-2014-3
dreamworks twitter 在 Facebook 的最讚貼文
#葉郎每日讀報 #娛樂產業國際要聞揀三條
1.致命武器導演Richard Donner過世
2.Facebook等公司揚言退出香港市場
3.翻新老片廠MGM的好萊塢雙人組
____________________________________
▼1. Richard Donner Dies: ‘Superman’, ‘Lethal Weapon’ And ‘The Goonies’ Director Was 91(https://flip.it/2WO3gv)
│
導演 Richard Donner 傳出在昨日過世,享年91歲。 Richard Donner 以電視導演起家,參與了1960年代包含《The Twilight Zone 陰陽魔界》、《The Man From U.N.C.L.E 打擊魔鬼》和《The Wild Wild West》等著名電視影集。接下來1970年代和1980年代,Richard Donner 開創了許多電影類型公式,包含宗教驚悚片《The Omen 天魔》、警探動作片《Lethal Weapon 致命武器》、青少年冒險片《The Goonies 七寶奇謀》以及超級英雄電影《Superman 超人》。如果把他的製片妻子 Lauren Shuler Donner 開創的《X-men X戰警》系列電影也算進去,Donner 夫妻倆也等於開創了2000年以後的好萊塢超級英雄電影產業的基本規格。另一個值得一提的事是 Warner 然後對 Zack Snyder 做過的事,當年在 Richard Donner 身上也發生過:他的《Superman II 超人2》在第一集開拍的同時就已經企劃好,並在續集拍攝將近75%的時候被製片開除。直到2006年 Donner 版的《超人2》才以導演版 DVD 的方式問世。
│
│
▼ 2.Tech Firms Threaten to Quit Hong Kong Over Data Law Plan(https://flip.it/x4jBHr)
│
華爾街日報報導由 Facebook、Twitter 和 Google 組成的 Asia Internet Coalition 亞洲網路聯盟發出信件給香港政府表達他們對於修訂隱私條例的憂慮。香港政府在今年5月提出修法,希望打擊2019年以來抗爭者動輒利用網路平台對個別警察的「起底」行為。新法生效後類似行為將可處5年徒刑和最高100萬港幣的罰款。亞洲網路聯盟在信件中表示他們同樣不認可起底的行為,但新法中定義模糊的用語可能會使網路平台和其員工也可能受到刑事調查和起訴。他們同時關切新法可能會有抑制言論自由的結果,將網路上分享資訊的單純行為定義成為犯罪。這些科技公司並警告不排除退出香港市場,說他們「避免這些制裁的唯一辦法就是不要在香港投資以及提供服務」。
│
│
▼ 3.They Resurrected MGM. Amazon Bought the Studio. Now What?(https://flip.it/A4Culf)
│
Michael De Luca 和 Pamela Abdy 這兩位好萊塢片廠老兵登陸 MGM 才一年多,不僅已經為 MGM 帶來眾多重量級導演的新片製作,讓這家百年老片廠的招牌改頭換面,甚至還讓整家片廠以遠超過估值的84.5億美元出售給科技巨頭 Amazon。New Line 和 DreamWorks 出身的 Michael De Luca 到任 MGM 主席的第一件事是和他的副手一起列出36個他們想合作的導演。一年後他們已經談下其中五分之一,包含 Darren Aronofsky、Sarah Polley、Melina Matsoukas 和 George Miller.等導演的合約,同時也陸續準備推出 Ridley Scott、Joe Wright 和 Paul Thomas Anderson 等導演的新片。當然還有最新一集龐德電影《No Time To Die 007:生死交戰》。Michael De Luca 的說法是他們的任務絕對不只是讓 MGM 變得賣相更好而已,所有的大方向將繼續推行下去。但 Amazon 的入主仍然帶來不確定因素,尤其是 Amazon 作為串流產業的重要成員很可能讓 MGM 電影的重點發行通路從電影院轉移到串流上。龐德電影的兄妹檔製片 Michael Wilson 和 Barbara Broccoli 在聲明中表示:Amazon 像我們保證龐德仍將在電影首映。兄妹倆並在聲明中直接點名期望 Amazon 能給予 Michael De Luca 和 Pamela Abdy 充分的權限,讓他們繼續帶領 MGM。但一切仍有待 Jeff Bezos 和今天剛剛上任的 Amazon 執行長 Andy Jassy 定奪。
dreamworks twitter 在 Marioverehrer Youtube 的最佳解答
♫ Original Performance: https://youtu.be/MRfdL6-VBMc
► Learn piano songs quick and easy: http://tinyurl.com/flowkey-marioverehrer1 *
► Submit Your Music: https://marioverehrer.aidaform.com/contact-form
► iTunes: https://apple.co/2HdMswA
► Spotify: https://spoti.fi/2JqvMVq
► Sheet Music: https://www.musicnotes.com/l/Marioverehrer
► Classical Sheet Music: https://gumroad.com/marioverehrer
► Support me on Patreon: http://www.patreon.com/Marioverehrer
► Facebook: http://www.facebook.com/Marioverehrer2
► Twitter: https://twitter.com/Marioverehrer
* Affiliate Link
Enjoy the song "Romantic Flight" from How to Train Your Dragon arranged by Stefan!
♫ Promote Your Music ♫
To submit your music on my channel:
➝ Send me a message with my contact form: https://marioverehrer.aidaform.com/contact-form
➝ Or write me a message on Facebook: https://www.facebook.com/Marioverehrer2
➝ Always send a link or music file of your work.
➝ If I'm interested, I will message you back.
Composer(s): John Powell
Arrangement © Stefan (2021)
Original Music © DreamWorks (2010)
dreamworks twitter 在 Marioverehrer Youtube 的最佳貼文
♫ Original Performance: https://youtu.be/O8zyISr5C90
► Learn piano songs quick and easy: http://tinyurl.com/flowkey-marioverehrer1 *
► Submit Your Music: https://marioverehrer.aidaform.com/contact-form
► iTunes: https://apple.co/2HdMswA
► Spotify: https://spoti.fi/2JqvMVq
► Sheet Music: https://www.musicnotes.com/l/Marioverehrer
► Classical Sheet Music: https://gumroad.com/marioverehrer
► Support me on Patreon: http://www.patreon.com/Marioverehrer
► Facebook: http://www.facebook.com/Marioverehrer2
► Twitter: https://twitter.com/Marioverehrer
* Affiliate Link
Enjoy the song "Ancient China / Story Of Shen" from Kung Fu Panda 3 arranged by KindOfPianoCovers!
♫ Promote Your Music ♫
To submit your music on my channel:
➝ Send me a message with my contact form: https://marioverehrer.aidaform.com/contact-form
➝ Or write me a message on Facebook: https://www.facebook.com/Marioverehrer2
➝ Always send a link or music file of your work.
➝ If I'm interested, I will message you back.
Composer(s): Hans Zimmer, John Powell
Arrangement © KindOfPianoCovers (2021)
Original Music © DreamWorks Animation (2011)
dreamworks twitter 在 Marioverehrer Youtube 的最佳貼文
♫ Original Performance: https://youtu.be/OUmeg9VdiWM
► Learn piano songs quick and easy: http://tinyurl.com/flowkey-marioverehrer1 *
► Submit Your Music: https://marioverehrer.aidaform.com/contact-form
► iTunes: https://apple.co/2HdMswA
► Spotify: https://spoti.fi/2JqvMVq
► Sheet Music: https://www.musicnotes.com/l/Marioverehrer
► Classical Sheet Music: https://gumroad.com/marioverehrer
► Support me on Patreon: http://www.patreon.com/Marioverehrer
► Facebook: http://www.facebook.com/Marioverehrer2
► Twitter: https://twitter.com/Marioverehrer
* Affiliate Link
Enjoy this medley of songs from "How To Train Your Dragon" arranged by Yoshi Sugiyama!
♫ Promote Your Music ♫
To submit your music on my channel:
➝ Send me a message with my contact form: https://marioverehrer.aidaform.com/contact-form
➝ Write me a PM on Facebook: https://www.facebook.com/Marioverehrer2
➝ Always send a link or music file of your work.
➝ If I'm interested, I will message you back.
Composer(s): John Powell
Arrangement © Yoshi Sugiyama (2021)
Original Music © DreamWorks (2010)