LINE SHOPPING x ลงทุนแมน
กรณีศึกษา LINE SHOPPING จับมือ ไปรษณีย์ไทย ลดค่าส่ง เพิ่มกำไรให้ร้านค้าในทุกออร์เดอร์
ถ้าอยากขายของในราคาเท่าเดิม แต่ได้กำไรมากขึ้น ต้องทำอย่างไร ?
นี่คงเป็นคำถามที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์อยากรู้ เพราะขึ้นชื่อว่าทำการค้า ใคร ๆ ก็อยากเห็นผลกำไรที่งอกเงย
หนึ่งในวิธีที่ดีที่น่าจะตอบโจทย์ในช่วงที่เศรษฐกิจไม่เป็นใจแบบนี้ คงหนีไม่พ้นการลดต้นทุน
โดยที่ไม่กระทบต่อคุณภาพสินค้าและบริการ Win ทั้งในมุมผู้ซื้อและผู้ขาย
พอโจทย์เป็นอย่างนี้ LINE SHOPPING ซึ่งเป็น Social Commerce ที่ LINE พัฒนาขึ้น
เพื่อเป็นช่องทางให้ผู้ซื้อและร้านค้ามาเจอกัน สามารถทั้งช็อปและแช็ต ครบจบในแอปฯ เดียว
เลยไม่รอช้า ชวนพี่ใหญ่ในวงการขนส่งอย่างไปรษณีย์ไทย ที่อยู่คู่คนไทยมากว่าร้อยปี มาทำแคมเปญ “#ขายได้ส่งดี MyShop ขายดี ไปรษณีย์ส่งให้” กับร้านค้าใน LINE SHOPPING
แล้วแคมเปญนี้ จะช่วยเพิ่มกำไรในกระเป๋าให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ก่อนจะเฉลยคำตอบ คุณเลอทัด ศุภดิลก หัวหน้าฝ่ายธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ LINE ประเทศไทย ฉายให้เห็นถึงภาพรวมของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทยก่อนว่า การซื้อขายออนไลน์ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนไทยอีกต่อไป
คนไทยส่วนใหญ่คุ้นชินกับการช็อปออนไลน์ ซึ่งมีให้เลือกหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นทางเว็บไซต์, E-marketplace รวมไปถึง Social Commerce
ยิ่งมาเจอวิกฤติโรคระบาดแบบนี้ ทำให้การซื้อขายแบบไม่ต้องเจอหน้า กลายเป็นทางเลือกที่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสบายใจกว่า ยิ่งเป็นที่นิยม
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจที่ มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซในบ้านเราเติบโตขึ้นทุกปี
อย่างในปี พ.ศ. 2563 ตลาดอีคอมเมิร์ซมีมูลค่าประมาณ 270,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 10-15%
โดยหนึ่งในผู้เล่นที่น่าจับตามอง คือ LINE SHOPPING ซึ่งกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
พิสูจน์ได้จากสถิติของร้านค้าและนักช็อปที่เข้ามาใช้บริการ LINE SHOPPING
ในปี พ.ศ. 2563 มีจำนวนร้านค้าที่เข้าสู่แพลตฟอร์มเติบโตถึง 7 เท่า ปัจจุบันมีร้านค้ากว่า 2 แสนร้านค้า
ขณะที่จำนวนนักช็อปเพิ่มจาก 3 ล้านราย มาเป็น 7 ล้านรายในเวลาแค่ปีเดียว
มียอดขายรายเดือนเฉลี่ย 150,000-500,000 บาทต่อร้าน
ถามว่า ทำไมนักช็อปและร้านค้าออนไลน์ถึงถูกใจ LINE SHOPPING ?
หนึ่งในแต้มต่อสำคัญของ LINE SHOPPING การที่เป็นส่วนหนึ่งในแอปฯ LINE
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนยุคนี้ไปแล้ว ทำให้ใครที่อยากช็อปผ่าน LINE SHOPPING ไม่ต้องยุ่งยาก ไปโหลดแอปฯ มาเพิ่มให้หนักเครื่อง
แถมยังเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้ ที่เคยชินกับการซื้อขายด้วยการแช็ตอยู่แล้ว
แทนที่จะต้องมาแอด LINE เพื่อแช็ตกับร้านค้า จากนี้เราก็สามารถทั้งช็อปและแช็ตจบในแอปฯ เดียว
ในมุมของร้านค้าเอง ก็สะดวกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะขายของออนไลน์อยู่แล้ว หรือเพิ่งเริ่มธุรกิจ ก็สามารถสมัคร เพื่อ เปิดร้านบน LINE SHOPPING ได้ง่าย ๆ ด้วยปลายนิ้ว
แต่ถ้าเราอยากมีเครื่องมือในการจัดการธุรกิจที่ครอบคลุมมากขึ้น ก็แค่ลงทะเบียน MyShop ในแอปฯ
ก็จะมีระบบจัดการสต็อกสินค้า, ระบบการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต และการออกออร์เดอร์ผ่านแช็ต ให้เรียบร้อย
ซึ่งความสะดวกสบายทั้งหมดที่กล่าวมา คุณเลอทัด บอกเล่าด้วยความภาคภูมิใจว่า ออกแบบมาให้ใช้กันแบบฟรี ๆ ไม่มีการเก็บค่าสมัคร, ค่าคอมมิชชัน และค่า GP ใด ๆ กับทางร้านค้า
เพราะตั้งใจให้ LINE SHOPPING เป็นเสมือนตัวกลาง ที่ทำให้ผู้ใช้งานและร้านค้ามาเจอกัน
บนพื้นฐานของคอนเซปต์ที่ว่า “ง่ายและสะดวก”
นอกจากนี้ เพื่อให้มั่นใจว่า ร้านค้าที่อยู่ใน LINE SHOPPING จะยืนหยัดในโลกธุรกิจที่เต็มไปด้วยความท้าทายได้อย่างยั่งยืน LINE SHOPPING จึงเลือกใช้โมเดลธุรกิจแบบ Direct to Consumer หรือ D2C เพื่อให้ร้านค้า สามารถทำการซื้อขายโดยตรงกับลูกค้า
ข้อดี คือ ทำให้ร้านค้าสามารถสร้าง Brand Loyalty กับลูกค้าในระยะยาว และมีฐานลูกค้าอยู่ในมือ
ต่อให้อนาคตจะปรับโมเดลธุรกิจไปในรูปแบบไหน ก็ยังมีฐานแฟนที่เหนียวแน่น และส่งผลดีในระยะยาว
เพราะเป้าหมายใหญ่ของ LINE SHOPPING คือ สนับสนุนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อย ที่อาจจะยังมีข้อจำกัดหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจในการต่อรองหรืองบประมาณในการทำธุรกิจนั่นเอง
ฉายภาพให้เห็นเบื้องหลังแนวคิดของ LINE SHOPPING ไปแล้ว
คุณเลอทัด กลับมาตอบคำถามที่เปิดไว้ว่า แคมเปญที่ LINE SHOPPING ไปจับมือกับไปรษณีย์ไทย จะเพิ่มกำไรให้ร้านค้าได้อย่างไร ?
ที่ผ่านมา LINE SHOPPING ไม่เคยหยุดที่จะนำเสนอโซลูชัน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ
ไม่ว่าจะเป็นการแจก LINE POINTS เพื่อเพิ่มยอดขาย, เพิ่มช่องทางการจ่ายเงินให้ร้านค้าสามารถรองรับได้ทั้งบัตรเครดิต E-Wallet ผ่าน Rabbit LINE Pay และวิธีอื่น ๆ รวมไปถึงการจัดกิจกรรมให้ความรู้เกี่ยวกับการขายออนไลน์
แต่ที่ดูเหมือนว่าจะได้ใจ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ไม่น้อย คือ แคมเปญ “#ขายได้ส่งดี MyShop ขายดี ไปรษณีย์ส่งให้” เพื่อช่วยลดต้นทุนธุรกิจให้ร้านค้าที่ใช้ MyShop สามารถส่งพัสดุแบบด่วนราคาเริ่มต้น 19 บาท
เพียงพิมพ์ใบปะหน้าในระบบหลังบ้าน MyShop จากนั้นก็นำไปส่งที่ไปรษณีย์ไทยทุกสาขาก็จะได้อัตราค่าบริการราคาพิเศษทันที
เพราะอย่าลืมว่า นอกจากต้นทุนของสินค้าก็ผันแปรตามกลไกในตลาด
อีกหนึ่งต้นทุนสำคัญของการขายออนไลน์ คือ ต้นทุนค่าขนส่งที่เกิดขึ้นในทุกออร์เดอร์ที่เข้ามา
ดังนั้น การที่ LINE SHOPPING สามารถจับมือกับพันธมิตร เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระเรื่องต้นทุนขนส่งได้
เท่ากับว่า ต่อให้ร้านค้าจะขายสินค้าได้เท่าเดิม แต่ก็มีส่วนต่างของกำไรเพิ่มขึ้น
และด้วยความตั้งใจที่จะช่วยผู้ประกอบการไทยนี้ สอดคล้องกับเป้าหมายของไปรษณีย์ไทยเช่นกัน
เลยทำให้แคมเปญดี ๆ แบบนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
คุณพิษณุ วานิชผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจองค์กร บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด
กล่าวถึงที่มาของการร่วมมือในครั้งนี้ว่า นอกจากจุดยืนที่ตรงกัน ด้วยภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือและบริการที่เข้าถึงและตอบโจทย์ผู้ใช้บริการของไปรษณีย์ไทย น่าจะมาเสริมจุดแข็งให้กับ LINE SHOPPING ที่มีระบบที่ให้บริการทั้งร้านค้าและผู้บริโภคที่สมบูรณ์และมีศักยภาพ ได้เป็นอย่างดี
โดยในครั้งนี้ ไปรษณีย์ไทย เลือกนำบริการขนส่งยอดฮิตในกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ มาช่วยเสริมทัพ
“นอกจากค่าขนส่งในอัตราพิเศษ ที่เริ่มต้นเพียง 19 บาท ส่งได้มากสุดถึง 10 กิโลกรัม
เรายังมีระบบขนส่ง support ร้านค้า MyShop เป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็น มาตรฐานการจัดส่ง 1-3 วันทำการนับถัดจากวันที่ฝากส่ง, การตรวจสอบสถานะการขนส่ง ผ่าน LINE Official Account @Thailand Post หรือระบบ Track & Trace ได้ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมรับประกันกรณีสิ่งของสูญหายหรือเสียหายสูงสุด 1,500 บาทต่อชิ้น”
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วแคมเปญที่ว่านี้ ประสบความสำเร็จขนาดไหน ?
แม้จะยังไม่มีตัวเลขชัด แต่อย่างน้อยการที่ LINE SHOPPING ออกมาประกาศขยายเวลาแคมเปญออกไปจนถึง 30 กันยายนนี้ (จากเดิมที่หมดเขต 30 มิถุนายนที่ผ่านมา) ก็น่าจะทำให้เห็นว่ากระแสตอบรับแคมเปญนี้ดีแค่ไหน
เรียกได้ว่า เป็นอีกความร่วมมือเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ไม่เพียงน่าสนใจ แต่ยังมาถูกจังหวะ และถูกใจร้านค้า
เพราะด้วยสถานการณ์ตอนนี้ การซื้อขายออนไลน์ น่าจะเป็นทางเลือกที่สะดวกและปลอดภัย มากกว่าการเจอหน้า
ที่สำคัญ ถ้าสมมติเราเป็นแม่ค้าออนไลน์ ก็คงไม่มีอะไรทำให้มีความสุขไปกว่า ได้เห็นกำไรเข้ากระเป๋ามากขึ้น โดยที่ต้นทุนเพิ่มไม่มากนั่นเอง..
