剛剛Cate Blanchett開始了一個名叫#Filmsofhope (希望電影)嘅campaign,希望在疫症期間,與其他人分享曾經給你自己希望嘅電影,使大家就算被困在家,也可以藉此得到一些希望、一點力量去面對說不出的未來。
我在imdb有一些自己的心水電影list,一看有關人性希望和信念的list,原來剛好已經有廿齣!以下就是啟發了我,在我人生不同的時間給予我希望,讓我憑著信念繼續走下去的二十套電影!
1. Groundhog Day (1993)
2. It’s a Wonderful Life (1946)
3. Jojo Rabbit (2019)
4. City Lights (1931)
5. Knives Out (2019)
6. Forrest Gump (1994)
7. Neon Genesis Evangelion: The End of Evangelion (1997)
8. The Terminal (2004)
9. Schindler’s List (1993)
10. WALL•E (2008)
11. The Great Dictator (1940)
12. The Little Prince (2015)
13. The Shawshank Redemption (1994)
14. Modern Times (1936)
15. Life is Beautiful (1997)
16. Pan’s Labyrinth (2006)
17. The Pursuit of Happyness (2006)
18. The Secret Life of Walter Mitty (2013)
19. One Flew Over Cuckoo’s Nest (1975)
20. The Truman Show (1998)
嘩!數數吓,發現原來有五套戰爭電影,三套差利,同埋三套卡通!我從來都唔算係戰爭片迷,真的有點驚訝... 或者戰爭嘅時候特別黑暗,所以人性的光輝也特別閃亮吧!
你的Films of Hope 又是哪些?大家不妨也分享吓吧!
#Filmsofhope
forrest gump imdb 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最讚貼文
ในปัจจุบันคนอาจจะคุ้นเคยกับ The Shawshank Redemption ในฐานะหนังที่ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของเว็บ IMDb และรู้จักกันในฐานะหนังเข้าชิง 7 รางวัลออสการ์ในปีเดียวกับ Forrest Gump แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าในปีที่หนังออกฉาย ชื่อ The Shawshank Redemption ถูกจับเข้ากลุ่มหนังเจ๊งแห่งปี หนังเข้าฉายวงกว้าง 3 วันแรกยังทำเงินได้น้อยกว่า Exit to Eden หนังแนวคอมเมดี้ทะลึ่งตึงตังของผู้กำกับ Pretty Woman, ทำเงินน้อยกว่า Forrest Gump ที่ฉายมาเกือบ 3 เดือนแล้ว, และทำเงินมากกว่า Quiz Show ที่เข้าฉายสัปดาห์ 2 เพียงนิดเดียว โดยทำเงินเฉลี่ยตอนฉายวงกว้างสัปดาห์แรกเพียง 3,541เหรียญสหรัฐฯ ทั้งที่ตอนฉายจำกัด 33 โรง สามารถทำเงินเฉลี่ยถึง 31,465 เหรียญฯ และในสัปดาห์ต่อมาก็ยังได้เงินเฉลี่ยถึง 23,636 เหรียญฯ แทบไม่เห็นวี่แววว่าจะล้มเหลวในการฉายวงกว้างเลย
.
ตลอดการฉายในสหรัฐอเมริกา The Shawshank Redemption ทำรายได้เพียง 16 ล้านเหรียญฯ ก่อนที่หลังประกาศผลรางวัลออสการ์ จะมีคนสนใจหาดูเพิ่มจนทำเงินไปอีก 12 ล้านเหรียญฯ รวมเป็น 28 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้าง 25 ล้านเหรียญฯ ไม่รวมค่าการตลาดและส่วนแบ่งให้โรงหนัง จึงกลายเป็นหนังเจ๊งแห่งปี
.
ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับหนังพยายามคาดเดาสาเหตุที่หนังล้มเหลวในการฉายโรง เริ่มจาก ลิซ กล็อตเซอร์ โปรดิวเซอร์ของหนังเชื่อว่ารีวิวจากนักวิจารณ์ที่บอกว่าหนังขาดความสดใส/น่าเบื่อ ทำให้คนดูจำนวนไม่น้อยเลือกจะข้ามหนังไป, ทิม ร็อบบินส์และมอร์แกน ฟรีแมน สองนักแสดงนำเชื่อว่าชื่อหนังจำยากเกินไป มีบางคนเดินมาบอกว่าชอบหนังของเขามาก เรื่อง Scrimshaw Reduction, Shinkshonk Reduction, หรือเลวร้ายกว่านั้นคือเรียกชื่อหนังว่า Shimmy, Shimmy, Shake (เพี้ยนอะไรขนาดนั้น), ในขณะที่อีกปัจจัยสำคัญคือหนังเข้าฉายพร้อมกับการเปิดตัวสัปดาห์แรกของ Pulp Fiction ที่เพิ่งชนะรางวัลปาล์มทองคำ จากเทศกาลหนังเมืองคานส์, บ้างก็ว่าเพราะหนังไม่มีนักแสดงหญิง, และบางคนก็วิเคราะห์ว่าหนังเกี่ยวกับคุกไม่ใช่ที่นิยมอยู่แล้ว
.
หลังจากล้มเหลวในการฉายโรงแล้ว สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นคือ The Shawshank Redemption กลายเป็นหนังที่มีคนเช่าดูมากที่สุดอันดับหนึ่งของปี 1995 จากกระแสปากต่อปาก ได้รับคำชมจากคนดูทั้งเพศชายและหญิง แถมมีคนจำนวนไม่น้อยเช่าดูซ้ำอีก ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าหนังดีแม้จะไม่ทำเงินตอนฉาย แต่หากมีคนได้ลองดูแล้วชอบจนเกิดการบอกต่อแนะนำให้คนรอบข้างดูตาม มันจะเกิดปรากฎการณ์เป็นกระแสปากต่อปากที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จในแง่เสียงตอบรับจากคนดูได้อยู่ดี
.
เบื้องหลังความสำเร็จขึ้นแท่นหนังอันดับ 1 ของเว็บ IMDb อาจจะต้องย้อนไปถึงปี 1980 เมื่อนักเรียนหนังหน้าใหม่ไฟแรงนามว่า 'แฟรงค์ ดาราบอนท์' ในวัย 21 ปี ได้ติดต่อสตีเฟน คิง เพื่อขอซื้อลิขสิทธิ์เรื่องสั้น The Woman in the Room ไปทำเป็นหนังสั้นในราคาเพียง 1 เหรียญฯ หลายคนอาจจะตกใจว่าทำไมราคาถูกขนาดนั้น นั่นเป็นเพราะคิงมีโปรเจ็คต์ส่วนตัวที่เรียกว่า The Dollar Deal หรือ Dollar Baby เป็นโครงการขายลิขสิทธิ์เรื่องสั้นให้นักศึกษาเอาไปทำหนังในราคาแค่ 1 เหรียญฯ จุดประสงค์ตรง ๆ เลยคือช่วยเหลือคนทำหนังหน้าใหม่ด้วยการให้โอกาสเอาเรื่องสั้นไปดัดแปลงในราคาสบายกระเป๋า
.
จุดเริ่มต้นของ Dollar Baby เกิดขึ้นในช่วงปี 1977 ซึ่งสตีเฟน คิง เริ่มมีชื่อเสียงจาก Carrie ที่เขียนในปี 1974 ก่อนจะถูกนำไปสร้างเป็นหนังปี 1976 กำกับโดย ไบรอัน เดอ พาลมา และ The Shining ก็เป็นนิยายที่ตีพิมพ์ปี 1976 โดยในช่วงนั้นเริ่มมีนักศึกษาหนังเขียนมาสอบถามเขาถึงความเป็นไปได้ในการเอาเรื่องสั้นไปทำเป็นหนังสั้น แต่ฝ่ายบัญชีคัดค้านเพราะกังวลความยุ่งยากหลายประการด้านกฎหมาย สตีเฟน คิงจึงกำหนดนโยบายส่วนตัวขึ้นมา คือยินดีให้สิทธิ์นักศึกษาเอาเรื่องสั้นของเขาไปดัดแปลงเป็นหนังในราคา 1 เหรียญฯ โดยลิขสิทธิ์ในตัวหนังจะเป็นของเขา และยังให้นักศึกษาเซ็นสัญญายอมรับข้อตกลงว่าไม่สามารถเอาไปฉายเชิงพาณิชย์ ยกเว้นคิงอนุญาต
.
ซึ่งพอดาราบอนท์ทำหนังสั้น The Woman in the Room ออกมาให้สตีเฟน คิง ประทับใจ ก็เหมือนเป็นการผูกมิตรกันเรียบร้อย จนกระทั่งปี 1987 ดาราบอนท์ก็เริ่มเข้าวงการหนังเต็มตัวด้วยการเป็นหนึ่งในคนเขียนบท A Nightmare on Elm Street 3: Dream Warriors จากงานของเวส คราเวน ซึ่งเป็นแนวสยองขวัญ แต่เขาก็ยังไม่ได้กำกับหนังสักที ตอนนั้นเขาสนใจนิยายเรื่อง The Mist ของสตีเฟน คิง ที่ว่าด้วยหมอกปกคลุมเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งแล้วยังมีสัตว์ประหลาดกระหายเลือดอยู่ในหมอก แต่กลัวว่าถ้าเขากำกับหรือเขียนบทเรื่องนี้จะทำให้ตัวเองถูกตีตราว่าเป็นผู้กำกับสายสยองขวัญ ซึ่งเขาไม่ต้องการเช่นนั้น (ภายหลังในปี 2007 เขาก็ได้กำกับและเขียนบทเรื่องนี้สมใจ)
.
ดังนั้นเขาเลยติดต่อสตีเฟน คิง ขอซื้อสิทธิ์เรื่องสั้น Rita Hayworth and the Shawshank Redemption ที่ตีพิมพ์ในปี 1982 มาทำเป็นหนังแทน โดนสตีเฟน คิง ไม่ค่อยมั่นใจว่าเรื่องสั้นนี้จะสามารถดัดแปลงเป็นหนังยาวได้ แต่อาจจะด้วยความไว้วางใจดาราบอนท์จึงยอมขายสิทธิ์ให้ในราคา 1,000 เหรียญฯ ซึ่งภายหลังคิงก็ได้คืนเช็คเงินดังกล่าวให้ดาราบอนท์ พร้อมเขียนโน้ตขำขันบอกว่า "เผื่อคุณต้องใช้เงินประกันตัว" ทำให้ในทางปฏิบัติจริง ๆ ดาราบอนท์เหมือนได้ลิขสิทธิ์เรื่องสั้นจากคิงมาทำหนัง The Shawshank Redemption ฟรี ๆ
.
เขาใช้เวลาหลายปีเหมือนกันในการเขียนสคริปต์บทหนัง ก่อนจะส่งไปให้ Castle Rock บริษัทที่ทำหนังเรื่อง Stand by Me ที่ดัดแปลงจากนิยายของสตีเฟน คิง กำกับโดยร็อบ ไรเนอร์ ซึ่ง ลิซ กล็อตเซอร์ โปรดิวเซอร์อ่านสคริปต์แล้วชอบมาก เช่นเดียวกับไรเนอร์ที่แสดงความสนใจจะกำกับหนังเรื่องนี้เอง โดยยื่นข้อเสนอ 2.5 ล้านเหรียญฯ ในการขอซื้อสิทธิ์บทหนังต่อจากดาราบอนท์ และเตรียมให้ทอม ครูซ มาประกบคู่กับแฮริสัน ฟอร์ด (นึกภาพสองคนนี้มาแทน ทิม ร็อบบินส์ กับมอร์แกน ฟรีแมน) แต่สุดท้ายดาราบอนท์ยืนกรานเสียงแข็งว่าเขาจะต้องได้กำกับเอง แม้ไม่เคยมีเครดิตกำกับหนังยาวมาก่อนแต่เขาก็เชื่อว่าตัวเองในฐานะคนคลุกคลีกับบทหนังเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นน่าจะเป็นคนที่เข้าใจวัตถุดิบได้ดีที่สุด
.
แม้ว่าในตอนหนังฉายโรงจะไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ แต่การที่ดาราบอนท์ มีชื่อเข้าชิงออสการ์ในฐานะคนเขียนบทหนัง และการที่หนังได้กระแสบอกปากต่อปากตอนลงม้วนวิดีโอ น่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความสำเร็จได้เป็นอย่างดี แม้จะไม่มีอันดับ 1 ของเว็บ IMDb มาช่วยยืนยันก็ตาม
อ้างอิง
- https://www.mentalfloss.com/article/597842/the-shawshank-redemption-box-office-bomb-to-hit
- https://www.indiewire.com/2019/10/tim-robbins-blames-shawshank-box-office-flop-bad-title-1202181602/
- https://en.wikipedia.org/wiki/Dollar_Baby
#หนังโปรดของข้าพเจ้า
forrest gump imdb 在 地下電影 Facebook 的精選貼文
【#地下情報】
『對全世界的影迷來說,1994年就是影史的奇蹟年無誤!』
榮獲奧斯卡六項大獎的《阿甘正傳》(Forrest Gump)、美國鬼才導演昆丁塔倫提諾一戰成名的《黑色追緝令》(Pulp Fiction)、迪士尼經典動畫《獅子王》(The Lion King)、法國巨匠盧貝松的經典代表作《終極追殺令》(Léon)、波蘭大師奇士勞斯基『藍白紅』三部曲中的《白色情迷》(Trois couleurs: Blanc)、《紅色情深》(Trois couleurs: Rouge)
當然,還有至今仍無人能超越的IMDB冠軍《刺激1995》(The Shawshank Redemption),全都是1994年的電影!
這些電影都歷經了時代的考驗及影迷的認證,就算擺在現代仍毫不遜色。但或許大家不知道,其實當年華語電影的表現也不遑多讓,許多影史上的重要導演都在這年大放異彩↓↓↓
🇹🇼台灣:
李安交出享譽國際的父親三部曲最後一部《飲食男女》,並在坎城影展的『導演雙週』單元成為首部擔綱開幕片的台灣電影,也是繼《喜宴》後,二度入圍金球獎最佳外語片,後來則有《臥虎藏龍》、《色,戒》入圍,並以《臥虎藏龍》順利拿獎。
蔡明亮帶著第二部劇情長片《愛情萬歲》前進威尼斯,並擒下象徵最高榮譽的金獅獎,從此打開歐洲市場,奠定蔡式風格,且在該屆金馬獎拿下最佳劇情片和最佳導演,皆是蔡明亮的第一次,之後蔡明亮再拿金馬導演,要等到19年後的《郊遊》了。
楊德昌則拿出《獨立時代》順利入圍坎城影展主競賽單元,但楊德昌的首度坎城行則因為《黑色追緝令》錯失了金棕櫚獎,不過卻在金馬獎上拿走最佳男女配角及最佳原著劇本等三項大獎,更讓金燕玲拿下第一座女配角,之後再拿金馬女配角,要等到22年後的《一念無明》了。
🇭🇰香港:
王家衛同時交出了文藝愛情的《重慶森林》以及武俠動作的《東邪西毒》,並雙雙入圍該屆多項金馬獎,梁朝偉更以此順利拿下首座金馬影帝,之後則以《無間道》、《色,戒》三度封帝,成為金馬史上唯一達成此紀錄的男演員。《重慶森林》日後則被美國權威媒體《時代雜誌》選入『百大電影』。
🇨🇳中國:
1993年,陳凱歌的《霸王別姬》順利在坎城拿下至今華語史上第一部的金棕櫚獎,隔年,同為中國第五代導演張藝謀帶著《活著》前進坎城,雖然同樣強碰《黑色追緝令》,但收下了評審團大獎並將葛優推上坎城影帝之位,成為首位達成此殊榮的華人。
------
從這些電影中,你可以陪著阿甘經歷二十世代美國的動盪、跟著安迪走過一段自我救贖的路程,也可以盡情享受昆丁式暴力美學帶來的快感、為了納塔莉波曼與尚雷諾之間跨越年齡的溫柔情感而動容,當然也可以讓自己沈浸於王家衛的迷幻愛情世界,或是從李安的傳統價值中見識家庭的解體與再建,讓這些經典再次衝擊你的靈魂,共同見證那美好偉大的1994!
附註:
因為看見國外網站做了對於1994年的電影短聞,卻對華語電影著墨不多,所以特別另外推薦當年華語重點電影,希望讓更多喜愛電影的人看見。
(參考資料:http://bit.ly/2zotiOr)
forrest gump imdb 在 Charlie is not the one to play games - YouTube 的推薦與評價
Donato and Daughter 1993https://www. imdb.com/title/tt0106748/Now the largest movie quote ... Forrest Gump : Named after his dad (HD CLIP). ... <看更多>