【World Contraception Day (世界避孕日)】
之前文科生講過今年會多投放資源推廣女性健康,今日想藉著世界避孕日(World Contraception Day)跟大家淺談女性自主的避孕方法。
從前大家都覺得避孕責任全在男方,女士能否避孕取決於男士能否正確使用安全套(典型使用的避孕率只有82%)[1][2][3]。不少女士們每個月提心吊膽的等待月經來臨,月經遲了的話便寢食難安深怕還未準備好便不小心懷孕。
但是!時至今日,這個概念是錯的!
避孕責任不應只在男方或女方,就像一段感情一樣,避孕應該是兩個人的事。那麼,到底女士們有什麼可靠的避孕方法?就讓我們一起分析女性主導的避孕方法。
不少婦女都以為避孕只有口服避孕藥,不過其實避孕藥有分好多種。
1. 口服避孕藥
口服避孕藥透過荷爾蒙抑制排卵、影響子宮內膜和子宮頸黏膜的厚度作避孕、主要分為兩種
(i) 只含黃體酮的Progestogen Only Pill(POP)
(ii) 含黃體酮(Progestogen)和雌激素(Estrogen)的Combined Oral Contraceptive Pill (COCP)。
不同的口服避孕藥有不同的服用方法,一般來說Combined OCP的避孕率較POP高。同時越正確越一致服用的話,避孕率越高(COCP典型服用避孕率為93%,正確完美服用則可達至99.7%)[1][2[3]。另一方面,COCP除避孕外,亦是婦科醫生經常處方用作調理嚴重經痛、經期不穩定或經血過量等婦科問題。
常見副作用為乳房腫痛、頭痛、水腫、雄激素(androgenic)的副作用如出油、長毛、生暗瘡等,大部份為適應期反應,一般服用數個月後便會減輕或消失。
那麼為什麼避孕藥有分那麼多種,還越出越多?雖然口服避孕藥的副作用大多為適應期反應,但仍可對婦女造成困擾。為了減輕這些副作用,較新的避孕藥如第四代口服避孕藥的黃體酮有
(a) 抗雄激素 (Anti-androgenic )效果:可抗衡因雄激素過量導致的出油、長毛、生暗瘡等副作用。
(b) 抗礦物質皮質醇作用(anti-mineralcorticoid)效果:可抗衡水腫的副作用。
口服避孕藥亦是家庭或婦科醫生經常採用作治療多囊性卵巢綜合症(PCOS)藥物。
*不同的避孕藥有不同成份、荷爾蒙和副作用,適用於不同的婦女。如對不同口服避孕藥的成份或副作用有疑問,請諮詢藥劑師、家庭或婦科醫生。
2. 注射式荷爾蒙避孕(Depot Injection )
注射式黃酮體是非常有效抑制排卵的荷爾蒙類避孕方法。跟每天要服用的口服避孕藥不同,注射式荷爾蒙避孕為每三個月注射一次,較適合容易忘記服藥的婦女。
使用初期陰道會出現不規律的少量出血(Irregular Spotting),需時一到兩年不等才會達至完全停經(Amenorrhea)的效果,另外亦有常見副作用為體重增加和骨質密度變低*。
避孕率高達99% [1][2][3],不過停藥後需時6-12個月不等才能回復懷孕能力,未必適合隨時想再生育的女士。
*研究顯示降低了的骨質密度於停藥後似乎是可以逆轉的(Appears to be substantially or fully reversible)[4]
3. 子宮內環(Intrauterine Device)
子宮內環主要分為兩種,一種為含銅子宮內環(Copper-IUD),另一種為含黃酮體內環(Progesterone-Releasing IUS)。兩款子宮環都可以持續用上五年避孕,避孕率超過99% [1][2][3]。這些子宮內環可由醫生在門診置入,屬低風險的程序。
含銅子宮內環主要作用為殺精以及影響精子的活動能力作避孕,非常有效但容易有加劇經痛和經血量的副作用。
含黃體酮內環主要作用為透過荷爾蒙影響排卵以及子宮內膜和子宮頸的厚度作避孕,同樣非常有效。跟含銅子宮內環最大的分別是,除了沒有加劇經痛和經血量的副作用,荷爾蒙式內環是婦科醫生經常用以治療嚴重經痛、經血過量、子宮內膜增生症(Endometrial Hyperplasia)等婦科病。
須注意,婦女們在置入子宮內環前必需先經醫生進行身體及盤腔檢查以評估是否適合使用。
最後藉著世界避孕日跟大家分享一些有趣的數據。
1. 研究發現每年全球接近44%的懷孕為意外懷孕(Unintended Pregnancy)[5]
2. 全球約3300萬個意外懷孕是由於懷孕措施失效或不正確使用避孕方法導致 [5][6]
另外除避孕外,預防性病亦非常重要。以上提及的避孕措施雖然非常有效,正確使用比安全套更有效避孕,但是無法預防性病(如HIV、梅毒、淋病和依原體等),須知道
1. 全球約36%年輕人曾進行不安全的性行為 [7]
2. 24歲或以下年輕人佔全球約50%的性病感染 [8]
最有效預防性病的仍然是進行安全性行為、戴上安全套和定期進行性病篩查。
2020年的今日,避孕不再是男方或女方的事,而是雙方一同承擔的責任,女性主導的避孕方法有很多,各有不同的優點和注意事項,如果想知更多,請諮詢你的家庭或婦科醫生!
[1] Family Planning - A global handbook for provider 2018 Edition. World Health Organization.
[2] Trussell, J, Glob. libr. women's med., (ISSN: 1756-2228) 2014; DOI 10.3843/GLOWM.10375
[3] Effectiveness of Family Planning Methods. Centre for Disease Control and Prevention. https://www.cdc.gov/reproductivehealth/UnintendedPregnancy/PDF/Contraceptive_methods_508.pdf
[4] Depot Medroxyprogesterone Acetate and Bone Effects. The American College of Obstetricians and Gynecologists. Depot Medroxyprogesterone Acetate and Bone Effects
[5] Bearak J, Popinchalk A, Alkema L et al. Global, regional, and subregional trends in unintended pregnancy and its outcomes from 1990 to 2014: estimates from a Bayesian hierarchical model. Lancet Glob Health 2018;6(4):e380-e389.
[6] Contraceptive Failure Rates in the Developing World: An Analysis of Demographic and Health Survey Data in 43 Countries. Guttmarch Institute. From https://www.guttmacher.org/report/contraceptive-failure-rates-in-developing-world#
[7] World Contraception Day Survey
[8] Sexually Transmitted Disease Surveillance 2018. Centre for Disease Control and Prevention. https://www.cdc.gov/std/stats18/default.htm
Photo: Online Source
hierarchical organization 在 EZ Talk Facebook 的最讚貼文
#EZTalk #一分鐘職場單字
扁平化組織指在基層人員和決策層之間,盡量精簡中間管理(middle management)階層的組織形式,常用於小型公司。這類組織讓基層員工能參與更多決策(decision making)過程,使企業更有效率。
與 flat organization 相對的是 hierarchical organization 層級式組織。hierarchical 是「等級制的」。hierarchical organization 為較傳統的組織形態,員工處於不同等級中,由上級指導下屬,資訊則集中在公司高層。
【 ✍相關單字】
1. startup (n.):新創公司
2. executive (n.):決策者,主管階層
【 ✍更多例句】Communication is often faster and more effective in a flat organization. 在扁平化組織中,溝通通常會更迅速而有效率。
--
👉 想加強英語實力,請看:http://bit.ly/EZTalk
【一分鐘職場單字】每週二上線,充實商務英語力與多益字彙力!
hierarchical organization 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳解答
รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีสถานะสูงสุดของประเทศ การที่รัฐธรรมนูญมีสถานะสูงกว่ากฎหมายอื่นทั้งหลายย่อมไม่อาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้ เพื่อให้ความสูงสุดของรัฐธรรมนูญมีความศักดิ์สิทธิ์ในการประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ไม่ถูกละเมิดหรือทำลายหลักความสูงสุดของรัฐธรรมนูญ จึงต้องมีการควบคุมกฎหมายมิให้
ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งอำนาจใน “การควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ” (Power of Judicial Review) ได้วางหลักไว้ว่า เมื่อใดที่รัฐธรรมนูญรับรองว่าตนเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ หรือบัญญัติให้เห็นโดยอ้อมว่าตนเป็นกฎหมายสูงสุด ด้วยการห้ามบทบัญญัติกฎหมายอื่นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เมื่อนั้นย่อมเกิดอำนาจในการพิทักษ์รักษาความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญและอำนาจในการควบคุมมิให้กฎหมายอื่นขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ โดยมีระบบการควบคุมหรือการตรวจสอบมิให้กฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงแนวคิดและหลักการทั่วไปการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญว่ามีองค์กรใดบ้างในการควบคุมกฎหมาย มีวิธีการควบคุมอย่างไร ผลของการควบคุมกฎหมายหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไรและการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งของประเทศไทย ดังนี้
องค์กรที่ทำหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
องค์กรที่ทำหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ แยกพิจารณาองค์กรที่ทำหน้าที่ดังกล่าวออกได้เป็น 2 ประเภท คือ องค์กรที่มีลักษณะเป็นองค์กรตุลาการกับองค์กรที่ไม่มีสถานะเป็นองค์กรตุลาการ ดังนี้
1.1 องค์กรที่มีลักษณะเป็นองค์กรตุลาการ
องค์กรที่ถือว่าเป็น “องค์กรตุลาการ” (Judiciary) ผู้เขียนขอแยกพิจารณาองค์กรที่มีลักษณะเป็นองค์กรตุลาการกับประเภทขององค์กรตุลาการที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ดังต่อไปนี้
1.1.1 ลักษณะที่จะเป็นองค์กรตุลาการ
องค์กรที่ถือว่าเป็นองค์กรตุลาการได้นั้นหาใช่เพียงมีชื่อเรียกว่า “ตุลาการ” หรือ “ศาล” เท่านั้น แต่ยังต้องเป็นองค์กรที่มีลักษณะที่เป็นสาระสำคัญขององค์กรตุลาการครบถ้วนด้วยจึงถือว่าเป็นองค์กรตุลาการได้ในลักษณะต่าง ๆ เหล่านี้ คือ
1.1.1.1 ใช้อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท
ต้องเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการหรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ ใช้อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทในกรณีที่มีการกล่าวหาว่ามีการกระทำละเมิดต่อบทบัญญัติของกฎหมายในระหว่างเอกชน ระหว่างองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐ และระหว่างเอกชนกับองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งในกรณีหลังนี้คือ การพิจารณาตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำต่าง ๆ
ขององค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อมีการกล่าวหาว่าการกระทำที่ก่อให้เกิดผลกระทบสิทธิเสรีภาพ
ของประชาชนนั้นเป็นการกระทำที่ล่วงละเมิดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย
1.1.1.2 คำวินิจฉัยจะต้องถึงที่สุด
คำวินิจฉัยจะต้องถึงที่สุด เด็ดขาดและไม่อาจจะถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิกถอนได้โดยองค์กรเจ้าหน้าที่องค์กรใดอีก ซึ่งหมายความว่า เมื่อองค์กรเจ้าหน้าที่
ซึ่งมีอำนาจพิจารณาชี้ขาดข้อพิพาทได้ทำคำวินิจฉัยชี้ขาดแล้ว คำวินิจฉัยนั้นจะต้องไม่อยู่
ในสถานะที่จะถูกกลับหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้อีก ทั้งนี้ไม่ว่าจะโดยองค์กรเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำวินิจฉัยนั้นเองหรือองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐองค์กรอื่นใด เว้นแต่องค์กรตุลาการ
ซึ่งอยู่ในระดับสูงขึ้นไปตามกระบวนการวิธีพิจารณาตามปกติของการอุทธรณ์ ฎีกา เท่านั้น และเมื่อมีคำวินิจฉัยขององค์กรตุลาการซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว คำวินิจฉัยขององค์กรนั้นจะต้องถือเป็นที่สุดไม่อาจโต้แย้งไปได้แม้จะมีความไม่เหมาะสมก็ตาม
1.1.1.3 กระบวนการพิจารณาโดยเปิดเผย
กระบวนการพิจารณาทำคำวินิจฉัยชี้ขาดจะต้องเป็นกระบวนการที่เปิดเผยต่อสาธารณชน เปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปเข้าฟังได้ การพิจารณาลับจะกระทำได้เฉพาะที่มีเหตุผลสมควรเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมทั่วไปหรือพิจารณาโดยเปิดเผย
จะไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเท่านั้น และจะต้องเปิดโอกาสให้คู่กรณีสามารถนำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์ส่วนได้เสียของตนได้อย่างเต็มที่ ทั้งในกรณีที่เป็นการสนับสนุนข้ออ้างของตนและในกรณีที่เป็นการหักล้างข้อกล่าวหาของฝ่ายตรงกันข้าม
1.1.1.4 ความเป็นอิสระในการวินิจฉัยข้อพิพาทของตุลาการหรือผู้พิพากษา
องค์กรนั้นจะต้องทำหน้าที่วินิจฉัยข้อพิพาทอย่างเป็นอิสระ กล่าวคือ การวินิจฉัยของตุลการหรือผู้พิพากษาล่าวจะต้องไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลหรืออำนาจบังคับบัญชาจากองค์กรหนึ่งองค์กรใด ทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นองค์กรฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการด้วยกันเองหรือจากกลุ่มผลประโยชน์อื่นๆในสังคม ด้วยเหตุนี้ระบบ “การบังคับบัญชาตามลำดับชั้น” (Hierarchical control) อย่างที่ใช้อยู่ในองค์กรของฝ่ายบริหารจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจนำมาใช้กับระบบงานขององค์กรตุลาการได้ เพราะในระบบซึ่งผู้บังคับบัญชามีอำนาจที่จะให้คุณให้โทษแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ เช่นนี้ไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะทำงานอย่างอิสระ
ได้อย่างแท้จริง
เมื่อพิจารณาแล้วองค์กรตุลาการต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนทั้ง 4 ประการข้างต้น ถ้าขาดคุณสมบัติเพียงประการใดประการหนึ่งหรือหลายประการ ก็ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเป็นองค์กรตุลาการ
1.1.2 องค์กรตุลาการที่จะทำหน้าที่ควบคุมมิให้กฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
องค์กรตุลาการที่จะทำหน้าที่ควบคุมมิให้กฎหมายขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญโดยทั่วไปที่ใช้กันอยู่ทั่วโลก มีอยู่ 2 รูปแบบองค์กร คือ ศาลยุติธรรมกับศาลรัฐธรรมนูญ ดังนี้
1.1.2.1 ศาลยุติธรรม
ศาลยุติธรรม (Court of Justice) มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีโดยทั่ว ๆ ไปทุกคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมทั้งสิ้น เป็นการวางหลักควบคุมแบบ “การกระจายอำนาจทางศาล” โดยศาลยุติธรรมทุกศาลมีอำนาจควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
แยกพิจารณาออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. ศาลยุติธรรมทั่วไป (General Court of Justice) ซึ่งพิจารณาคดีพิพาททางรัฐธรรมนูญร่วมกับคดีอื่น ๆ โดยไม่มีการแบ่งแยกเจ้าหน้าที่ไว้เป็นการเฉพาะเจาะจง รัฐธรรมนูญบางประเทศมอบหมายอำนาจในการพิจารณาควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญให้ไว้แก่ศาลยุติธรรมทุกศาลอย่างชัดแจ้ง ส่วนใหญ่มักเปิดช่องว่าจะต้องมีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้ระบุว่าให้เป็นอำนาจขององค์กรใดควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรมซึ่งมีอยู่เพียงเป็นองค์กรเดียวที่มีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีทั้งปวง จึงอ้างว่าเป็นอำนาจของตนเอง โดยการตีความเอาจากตัวบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ได้เปิดช่องไว้นั้น
คดีตัวอย่างที่เป็นต้นแบบของการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญของประเทศสหรัฐอเมริกา คือ คดี Marbury v. Madison ผู้พิพากษา John Marshall ในคดีนี้ก็ได้อ้างหลักตรรกวิทยาอย่างง่ายๆ ในการตีความกฎหมายว่า “...องค์กรตุลาการนั้นเป็นองค์กรที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีอำนาจและเป็นหน้าที่ที่จะต้องพิจารณาว่าอะไรบ้างที่มีฐานะเป็นกฎหมายอันจะนำมาใช้เป็นหลักในการทำคำวินิจฉัยและถ้ามีความขัดแย้งกันในระหว่างบทบัญญัติทั้งหลายที่ใช้ในเรื่องเดียวกันแล้ว ตุลาการก็จะต้องมีอำนาจเป็นผู้ตัดสินว่าจะใช้
บทกฎหมายใดบังคับ และในกรณีที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นในระหว่างรัฐบัญญัติซึ่งจะต้องใช้บังคับในกรณีเดียวกันแล้ว ศาลก็จะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเลือกเอาทางใดทางหนึ่งระหว่าง
การที่จะต้องตัดสินตามรัฐบัญญัติโดยไม่คำนึงถึงรัฐธรรมนูญหรือยึดถือไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญละเลยต่อรัฐบัญญัติ..” จากเหตุผลดังกล่าว Marshall ได้สรุปว่า เพราะประเทศสหรัฐอเมริกายึดถือรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่มีค่าบังคับสูงสุด ดังนั้นกฎหมายใดก็ตามที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญจึงไม่มีค่าบังคับเป็นกฎหมายที่ศาลจะต้องนำมาใช้ตัดสินคดีและหลังจากที่คดี Marbury v. Madison นี้ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ รัฐต่างๆทั้งในยุโรปและเอเชียต่างก็รับเอาระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญโดยศาลยุติธรรมเข้ามาใช้ในรัฐของตน
ในทำนองเดียวกันกับที่ปรากฏอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา
2. ศาลยุติธรรมเฉพาะ (Specialized Court of Justice) ซึ่งได้แยกเจ้าหน้าที่ไว้โดยเฉพาะเจาะจงในการพิจารณาข้อหานั้นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญต่างหากจากการพิจารณาคดีอื่น ๆ ตามปกติ เช่น ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ การพิจารณาคดีเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญจะถูกแยกไว้เป็นแผนกหนึ่งต่างหากจากคดีประเภทอื่นๆ ทำนองเดียวกันกับการจัดตั้งศาลเด็กหรือศาลแรงงานในประเทศไทยด้วยเหตุผลที่ว่า คดีรัฐธรรมนูญเป็นคดีที่มีความสำคัญมีความละเอียดอ่อนเกี่ยวพันทั้งผลประโยชน์ของเอกชนและของรัฐ ต้องอาศัยความรู้ความสามารถเฉพาะด้านค่อนข้างสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางกฎหมายมหาชนซึ่งมีวิธีคิด วิธีตีความแตกต่างไปจากเอกชน หากปล่อยให้เป็นอำนาจขององค์กรของรัฐที่ทำหน้าที่ชุดเดียวกับที่พิจารณาคดีแพ่งและคดีอาญาตามปกติ องค์กรเจ้าหน้าที่นั้นก็อาจจะมองข้ามความสำคัญหรือนำเอาวิธีคิดวิธีตีความที่ใช้อยู่กับคดีเหล่านั้นมาใช้ อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ไม่สมควรขึ้นได้ สมควรที่จะจัดให้มีองค์กรเจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความชำนาญในทางกฎหมายมหาชน (Public Law) เป็นผู้ทำหน้าที่ดังกล่าว
แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการจัดตั้งแผนกพิเศษไว้ก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงในศาลชั้นต้นเท่านั้น ส่วนในชั้นอุทธรณ์ ฎีกาก็ยังเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามปกติอยู่จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นศาลเฉพาะที่แยกต่างหากจากศาลยุติธรรมตามปกติศาล
ประเทศที่ใช้ศาลยุติธรรมเข้ามาควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ประเทศเอสโทเนีย ประเทศนิวซีแลนด์ประเทศอิหร่าน ประเทศโบลิเวีย ประเทศญี่ปุ่น ประเทศนอร์เวย์ ประเทศสวีเดน ประเทศฟิจิ ประเทศอิสราเอล ประเทศเม็กซิโก ประเทศเนปาล ประเทศเคนยา ประเทศมาเลย์เซีย ประเทศอินเดีย เป็นต้น
1.1.2.2 ศาลรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลที่ได้ถูกจัดตั้งขึ้นมาให้มีเขตอำนาจจำกัดอยู่แต่เพียงการพิจารณาข้อพิพาทเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ มีอำนาจพิจารณาและ
ทำคำวินิจฉัยชี้ขาดในปัญหาที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะ ศาลเฉพาะหรือที่เรียกว่า “ศาลรัฐธรรมนูญ” (Constitution Court) เป็นอำนาจตุลาการที่ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษและเฉพาะเจาะจงเพื่อพิจารณาปัญหาหรือข้อขัดแย้งในทางรัฐธรรมนูญ ซึ่งถูกวางตัวอยู่นอกขอบเขตของศาลยุติธรรมในระบบปกติและเป็นอิสระซึ่งอำนาจในทางมหาชนอื่นๆ ซึ่งเป็นการวางหลัก “การควบคุมแบบรวมศูนย์อำนาจศาล” ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญถูกจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในรัฐธรรมนูญของประเทศออสเตรีย ฉบับวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1920 โดยคำเสนอแนะของ ฮันส์ เคลเซน (Hans Kelsen) นักรัฐธรรมนูญผู้มีชื่อเสียงของออสเตรีย เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดจากการรับเอาระบบการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญโดยศาลยุติธรรมตามระบบของประเทศสหรัฐอเมริกามาใช้ในประเทศออสเตรียและประเทศเยอรมนีนำมาใช้จนเป็นที่ได้รับความนิยมต่อมา ทั่วโลกอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประเทศที่ใช้ศาลรัฐธรรมนูญควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ ได้แก่ ประเทศออสเตรีย ประเทศเยอรมนี ประเทศเบลเยี่ยม ประเทศตุรกี ประเทศไซปรัส ประเทศศรีลังกา ประเทศโปแลนด์ ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศโครเอเชีย ประเทศโรมาเนีย ประเทศอัฟริกาใต้ ประเทศชิลี ประเทศสเปน ประเทศไทย เป็นต้น
1.2 องค์กรที่ไม่มีลักษณะเป็นองค์กรตุลาการ
องค์กรที่ไม่มีลักษณะเป็นองค์กรตุลาการ (Non –Judicial Organization) หรือ เรียกว่า “องค์กรทางการเมือง” (Political organization) กล่าวคือ องค์กรที่ไม่มีลักษณะครบที่จะเป็นองค์กรตุลาการก็ต้องถือว่าไม่ใช่องค์กรตุลาการทั้งสิ้น ซึ่งเป็นองค์กรที่มีสมาชิกดำรงตำแหน่งโดยวิถีทางการเมืองอยู่ด้วย แบ่งออกได้ 2 รูปแบบ ดังนี้
1.2.1 คณะกรรมการตุลาการรัฐธรรมนูญ
องค์กรที่ไม่มีลักษณะเป็นองค์กรตุลาการ ที่เรียกว่า “คณะกรรมการรัฐธรรมนูญ” (Committee on the Constitution) หรือ “คณะตุลาการรัฐธรรมนูญ”
(The jury is unconstitutional) ที่ทำหน้าที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ องค์กรที่ไม่มีลักษณะเป็นองค์กรตุลาการ ที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ ประเทศฝรั่งเศส
ประเทศแอลจีเรีย ประเทศโมร๊อคโค ประเทศโมซัมบิค เป็นต้น
1.2.2 รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติ
แนวคิดที่ให้รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้มีอำนาจวินิจฉัยควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นจากการอ้างเหตุผลว่า รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้แทนของประชาชนและมีหน้าที่จัดทำหรือบัญญัติกฎหมายย่อมทราบได้ดีว่ากฎหมายฉบับใดมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ บางประเทศที่ให้รัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติ
มีอำนาจควบคุมกฎหมายมิให้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เช่น ประเทศจีน ประเทศลาว ประเทศเวียดนาม ประเทศคิวบา ประเทศเกาหลีเหนือ ประเทศเอธิโอเปีย ประเทศฟิลแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ประเทศบาเรนห์ ประเทศซิมบับเว ประเทศโอมาน ประเทศตูนิเซีย เป็นต้น