Sean Quinn มหาเศรษฐีรวยสุดในไอร์แลนด์ ล้มละลายใน 3 ปี /โดย ลงทุนแมน
รู้หรือไม่ว่าเศรษฐกิจของประเทศไอร์แลนด์ เติบโตอย่างร้อนแรงในช่วงปี 1995 ถึง 2007
จนมีชื่อเรียกว่า “The Celtic Tiger” ซึ่งในช่วงเวลานั้น GDP ของไอร์แลนด์เติบโตขึ้นเกือบ 4 เท่า
ในเวลาเพียง 12 ปี โดยเฉพาะระหว่างปี 1995 ถึง 2000 ที่ GDP เติบโตเฉลี่ยปีละ 9.4%
นั่นจึงทำให้ไอร์แลนด์ กลายเป็นประเทศที่ประชากรโดยเฉลี่ยร่ำรวยติด 10 อันดับแรกของโลก
และผู้ที่ร่ำรวยสุดในไอร์แลนด์ ในเวลานั้นก็คือชายที่ชื่อว่า “Sean Quinn”
แต่เพียง 3 ปีหลังจากนั้น Sean Quinn กลับต้องกลายเป็นคนล้มละลาย
แล้วชีวิตของ Sean Quinn พลิกจากคนรวยสุดในไอร์แลนด์
จนไม่เหลืออะไรเลยใน 3 ปี ได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
“Sean Quinn” เกิดที่ประเทศไอร์แลนด์ในปี 1947 ในครอบครัวที่ไม่ได้มีฐานะดี
เขาจึงต้องออกจากโรงเรียนตอนอายุ 15 ปี เพื่อมาช่วยงานที่ฟาร์มเล็ก ๆ ของครอบครัว
ปี 1973 คุณ Quinn ในวัย 26 ปี ก็ได้เริ่มค้าขายครั้งแรก หลังจากที่เขาพบว่าที่ดินตรงเนินเขาหลังบ้าน มีหินกรวดที่ใช้ก่อสร้างอยู่ เขาเลยยืมเงินจากเพื่อน 4,500 บาท หรือคือเป็นมูลค่าราว 55,000 บาทในปัจจุบัน เพื่อซื้อเครื่องจักรมาขุดหินและกรวดไปขาย
แต่ในช่วงนั้นเศรษฐกิจของประเทศไอร์แลนด์ยังอยู่ในช่วงฟื้นฟูหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การทำธุรกิจจึงยากลำบากมาก จนกระทั่งมาถึงปลายทศวรรษ 1980 ที่เศรษฐกิจไอร์แลนด์เริ่มฟื้นฟูและกลับเข้าสู่ช่วงเติบโตอีกครั้ง
ปี 1989 คุณ Quinn ได้ต่อยอดมาทำธุรกิจซีเมนต์และคอนกรีต โดยใช้ชื่อว่า Quinn Cement ซึ่งได้กลายเป็นธุรกิจหลักที่สร้างรายได้ จนทำให้คุณ Quinn สร้างตัวขึ้นมาได้จนกลายเป็นเจ้าตลาดซีเมนต์ในประเทศ
หลังจากประสบความสำเร็จในขั้นแรกแล้ว คุณ Quinn ก็ได้ขยายธุรกิจไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ อย่างเช่น
โรงงานแก้วและพลาสติก ที่ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็วจนสามารถขยายโรงงานไปได้ทั่วยุโรป
รวมถึงกิจการโรงแรมอย่าง Quinn Hotel ที่เป็นเจ้าของโรงแรมหรู 7 แห่งทั่วยุโรป
ต่อมาในปี 1996 บริษัท Quinn ก็เริ่มให้บริการทางการเงินอย่างประกัน โดยตั้งเป็นบริษัท Quinn Insurance จนกลายเป็นบริษัทประกันที่มีลูกค้ามากเป็นอันดับ 3 ในไอร์แลนด์ในเวลา 10 ปี
ก่อนที่ในปี 2007 Quinn Insurance ก็ขยายใหญ่ขึ้นไปอีก จากการเข้าซื้อกิจการ Bupa Ireland ซึ่งเป็นบริษัทประกันสุขภาพที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไอร์แลนด์ในขณะนั้น
อาณาจักรธุรกิจของคุณ Quinn ที่ขยายไปในหลายอุตสาหกรรม มีชื่อเรียกรวมกันว่า “Quinn Group” ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเครือบริษัทที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในไอร์แลนด์
Quinn Group ครอบคลุมกิจการหลากหลาย ทั้งโรงงานวัสดุก่อสร้างและบรรจุภัณฑ์ ประกัน โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ ผับ ร้านอาหาร และอื่น ๆ อีกมากมาย จนเมืองที่เป็นที่ตั้งของบริษัท Quinn Group ถูกเรียกว่า “ประเทศ Quinn”
นอกจากนี้ คุณ Quinn ยังถูกยกย่องให้เป็นฮีโรของชาวเมือง เพราะการลงทุนมหาศาล ได้ช่วยพลิกฟื้นจากเมืองที่ไม่มีอะไรเลย ให้กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรม ที่สำคัญก็คือช่วยให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 8,000 คน
และความสำเร็จของ Quinn Group ก็ทำให้ในปี 2007 คุณ Quinn ในวัย 60 ปีและครอบครัวของเขา มีทรัพย์สิน 1.95 แสนล้านบาท ถูกจัดอันดับจาก Forbes ว่าเป็นคนที่รวยสุดในไอร์แลนด์และรวยเป็นอันดับที่ 164 ของโลก
แต่นอกจากการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจให้อาณาจักร Quinn Group แล้ว
คุณ Quinn ได้เข้าไปซื้อหุ้นของธนาคาร Anglo Irish Bank อย่างลับ ๆ ด้วย
Anglo Irish Bank เป็นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่มีสาขาทั่วยุโรปและในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี 1964 จากการปล่อยสินเชื่อให้ภาคธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก
ด้วยความที่คุณ Quinn ทำธุรกิจและยังมีกิจการที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์มากมาย เขาเลยตั้งใจที่จะเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Anglo Irish Bank โดยเริ่มเข้าซื้อหุ้น Anglo Irish Bank ในปี 2007
แต่ผ่านไปเพียง 1 ปี การครอบครอง Anglo Irish Bank กลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สิ่งที่คุณ Quinn สร้างมาทั้งชีวิต ต้องจบลง..
ช่วงครึ่งหลังของปี 2008 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาเกิดภาวะฟองสบู่แตก ทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ร่วงลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จนกลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของโลก
ซึ่งก็ลามมาถึงประเทศไอร์แลนด์ด้วย
Anglo Irish Bank ที่ปล่อยสินเชื่อให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ก็แน่นอนว่าได้รับผลกระทบหนัก จนทำให้ราคาหุ้นร่วงหนัก
ซึ่งในระหว่างนั้นคุณ Quinn ไม่ได้ตัดสินใจตัดขาดทุน แต่เขากลับมองว่าเป็นโอกาสในการเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้น Anglo Irish Bank เพราะหวังว่าเมื่อราคาหุ้นฟื้นกลับมาจะทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ
แต่ด้วยสภาพคล่องของเงินที่คุณ Quinn มีในตอนนั้นไม่เพียงพอ เขาเลยใช้เงินที่ยืมมา อย่างเช่นเงินกู้ เงินของบริษัท Quinn Insurance และที่สำคัญก็คือใช้เครื่องมือทางการเงินที่ทำให้ตัวเขาเองมีอำนาจในการเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนมากกว่าเงินทุนของเขา หรือที่เรียกกันว่าการ “Leverage”
ทำให้คุณ Quinn มีสัดส่วนการถือหุ้นของ Anglo Irish Bank เพิ่มขึ้นจาก 5% ไปเป็นกว่า 25%
แต่สุดท้ายแล้วคุณ Quinn ก็คิดผิด เพราะ Anglo Irish Bank โดนผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจจนดำเนินกิจการต่อไม่ไหว รัฐบาลจึงต้องเข้ามาช่วยเหลือในเดือนมกราคม ปี 2009 และ Anglo Irish Bank ก็ได้กลายเป็นธนาคารของรัฐนับแต่นั้นมา
เรื่องดังกล่าว ส่งผลให้ราคาหุ้น Anglo Irish Bank นับจากจุดสูงสุดในปี 2007 จนถึงต้นปี 2009 ลดลงกว่า 98%
ซึ่งถ้าการลงทุนนี้ มาจากเงินของคุณ Quinn เองทั้งหมด เขาจะแค่เงินหายในส่วนของการลงทุนใน Anglo Irish Bank แต่เงินที่เขาใช้ในการเพิ่มสัดส่วนการถือครองหุ้น ดันเป็นเงินที่เขายืมมา
สุดท้ายแล้ว คุณ Quinn และบริษัทจึงเป็นหนี้กับ Anglo Irish Bank 9.24 หมื่นล้านบาท และเป็นหนี้กับเจ้าหนี้รายอื่นอีกกว่า 3 หมื่นล้านบาท
เงินส่วนหนึ่งที่คุณ Quinn เตรียมนำมาใช้หนี้ ถูกพบว่าเป็นเงินที่มาจากบริษัท Quinn Insurance ราว 1 หมื่นล้านบาท คุณ Quinn และบริษัท Quinn Insurance จึงถูกปรับราว 130 ล้านบาท และคุณ Quinn ต้องออกจากตำแหน่งบริหารใน Quinn Insurance ไป
แต่นอกจากการนำเงินไปช่วยใช้หนี้แล้ว บริษัท Quinn Insurance ยังมีสัดส่วนการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สูงมาก นั่นจึงทำให้ในปี 2009 Quinn Insurance ขาดทุนจากการดำเนินงานเกือบ 2.5 หมื่นล้านบาท และยังส่งผลให้ Quinn Group ขาดทุนจากการดำเนินงานกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท
สถานะทางการเงินที่ย่ำแย่นี้ ก็ทำให้ในเดือนมีนาคม ปี 2010 หน่วยงานที่กำกับดูแลเลยมีคำสั่งให้ Quinn Insurance ขายกิจการให้กับ Anglo Irish Bank และบริษัทประกันของสหรัฐอเมริกาที่ชื่อ Liberty Mutual
ต่อมาในเดือนเมษายน ปี 2011 Anglo Irish Bank จึงเข้าควบคุมกิจการทั้งหมดของ Quinn Group โดยมีคำสั่งให้คุณ Quinn และครอบครัวไม่มีอำนาจบริหารและพ้นจากการเป็นเจ้าของ ส่วนเหล่าผู้บริหารก็ถูกไล่ออก และแต่งตั้งทีมบริหารที่เป็นคนนอกเข้ามาแทน
จนกระทั่งปลายปี 2011 คุณ Quinn ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเป็นบุคคลล้มละลาย แต่ในระหว่างขั้นตอนถูกยึดทรัพย์ เขากลับพยายามทยอยแบ่งขายสินทรัพย์ที่มีค่า เพื่อเก็บเป็นเงินสดก่อนที่จะถูกยึด ซึ่งผิดกฎหมาย เขาจึงถูกศาลตัดสินจำคุก 9 สัปดาห์ ตอนปลายปี 2012
จนถึงปัจจุบันคุณ Quinn ในวัย 74 ปี ได้อาศัยอยู่กับครอบครัวในเมืองเกิดของเขา โดยที่ไม่ได้เป็นมหาเศรษฐีเหมือนเดิมแล้ว แต่เรื่องนี้ก็เป็นบทเรียนให้กับทุกคนได้ดี
เรื่องราวของคุณ Quinn ที่เริ่มทำธุรกิจในจังหวะที่เติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจของไอร์แลนด์ และใช้กลยุทธ์ขยายกิจการไปสู่อุตสาหกรรมอื่น ๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง ไม่ให้พึ่งพากับอุตสาหกรรมก่อสร้างเพียงอย่างเดียว ถือเป็นความสำเร็จที่น่ายกย่อง
อย่างไรก็ตาม คุณ Quinn กลับตัดสินใจทุ่มเงินลงทุนด้วยความเสี่ยงที่สูงมาก ซึ่งไม่ต่างจากการพนันใน Anglo Irish Bank แบบหมดหน้าตัก แถมยังใช้เงินที่กู้ยืมมา ก็ถือเป็นความผิดพลาดขั้นรุนแรง
ที่ได้ทำให้อาณาจักรธุรกิจและความมั่งคั่งที่คุณ Quinn สร้างมากว่า 35 ปี หายวับไปกับตา
ในเวลาเพียง 3 ปี เท่านั้น..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.bloomberg.com/features/2020-sean-quinn-ireland/
-https://www.ft.com/content/9d61e078-927b-11e3-8018-00144feab7de
-https://www.forbes.com/forbes/2011/0509/focus-sean-quinn-group-anglo-irish-bank-biggest-loser.html?sh=66279e4d71fa
-https://www.bbc.com/news/uk-northern-ireland-49754980
-https://www.bbc.com/news/uk-northern-ireland-19063419
-https://www.bbc.com/news/world-europe-58075623
-https://www.thejournal.ie/sean-quinn-anglo-bankrupt-671638-Nov2012/
-https://www.thejournal.ie/quinn-group-reports-operating-loss-of-e888m-for-2009-144756-May2011/?utm_source=businessetc
-https://www.irishtimes.com/business/quinn-and-family-buying-15-of-anglo-irish-bank-1.945177
-https://en.wikipedia.org/wiki/Mannok
-https://www.investopedia.com/terms/c/celtictiger.asp
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.CD?locations=IE
同時也有18部Youtube影片,追蹤數超過0的網紅alex lam,也在其Youtube影片中提到,感謝有你支持 patreon https://www.patreon.com/ALEXLAM728 第四輪酒店 至8月底 華麗都會酒店 - Grand City Hotel 請大家FOLLOW,會一直制作更好的節目 https://youtu.be/_p1AH7yLbYc 隔離酒店PLAYLIS...
hotel wiki 在 horrorclub.net Facebook 的精選貼文
มีการสปอยเนื้อหาบางส่วนของซีรีส์!
.
"Harry นักเขียนนิยาย ตัดสินใจหอบครอบครัวมาอาศัยในเมือง Provincetown รัฐ Massachusetts บนคาบสมุทรเคปค้อด ด้วยหวังว่าบรรยากาศอันเงียบสงบของเมืองจะช่วยให้เขาสามารถเขียนงานได้ ที่นั้นเขาได้ยินข่าวการฆาตกรรมในเมืองข้างเคียงที่ชื่อ Truro ถึงสภาพศพเหยื่อที่มีลักษณะเหมือนถูกกัดกินจากสัตว์ร้าย... Harry กำลังจะได้เผชิญหน้ากับตำนานเมืองอันน่าสะพรึงขวัญซึ่งเกี่ยวโยงกับแวมไพร์ รวมไปถึงยาประหลาดที่สามารถบันดาลความคิดสร้างสรรค์ให้ผู้เสพได้ หากต้องแลกมาด้วยการกลายพันธุ์เป็นสิ่งมีชีวิตประหลาดกระหายเลือดแทน!"
.
ทุกคนทราบ แฟนคลับทราบ ว่าซีรีส์ American Horror Story ชอบหยิบยกเรื่องจริงชวนสยองในประวัติศาสตร์อเมริกามายำใหญ่ใส่จริตบิดพริ้วเพื่ออรรถรส ดังที่เราจะเห็นในซีซึ่นเก่า ๆ ทั้งฆาตกรรม Black Dahlia, คฤหาสน์ทรมานทาสของ Madame Lalaurie, โรงแรมปลิดชีพ the Cecil Hotel ฯลฯ
แล้วในซีซึ่น 10 ล่ะ ซ้อไรอัน และคณะหยิบยกเอาเรื่องสยองอะไรมาใส่ไว้ไหม
.
คำตอบคือมีแน่นอน และคราวนี้มาจากฆาตกรโหดที่ได้รับฉายาว่าเป็น "แวมไพร์แห่งคาบสมุทรเคปค้อด" จากพฤติกรรมวิปริตในการสังหาร และทรมานเหยื่อนั้นเอง
.
ปี 1969 ชาวบ้านละแวกคาบสมุทรเคปค้อด ในรัฐแมตซาซูเซตส์ ต้องมีอันอกสั่นขวัญผวา เมื่อพบศพหญิงสาวนามว่า Susan Perry ในสภาพถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ ในสุสานเก่าแก่ประจำเมืองทรูโร ไม่นานนับจากนั้น ตำรวจก็พบศพนักท่องเที่ยวสาว 2 คน Patricia Walsh และ Mary Anne Wysocki และหญิงเคราะห์อีก 1 ราย Sydney Monson ในสภาพน่าเวทนาไม่ต่างกัน
.
จากการสืบสวนของตำรวจ พบว่ามีบุคคลผู้หนึ่งที่มีความเชื่อมโยงกับเหยื่อทั้ง 4 นั้นก็คือ ช่างซ่อมนามว่า Tony Costa
- เขาเคยคบหากับ Susan ก่อนที่เธอจะหายตัวไป
- เขาอาศัยอยู่ในหอพักเดียวกับสองสาวนักท่องเที่ยวก่อนที่พวกเธอจะหายตัวไปเช่นกัน
- และที่สำคัญที่สุด ชิ้นส่วนศพของ 3 สาว Patricia, Mary Anne และ Sydney ถูกพบในเขตพื้นที่ส่วนตัวของเขาที่ใช้เป็นที่ปลูกกัญชา
.
แม้คำกล่าวที่ว่าฆาตกรฆ่าต่อเนื่องส่วนใหญ่ มีปมปัญหาทางใจในวัยเด็ก อาจจะฟังดูซ้ำซาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าปูมหลังของ Tony เป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าว
ในวัย 7 ขวบ เด็กชายโทนี่ผู้กำพร้าพ่อ มักบอกแม่ตัวเองเสมอว่ามีผู้ชายบุกเข้ามาหาเขาในห้องนอนยามดึก ในเวลาต่อมาเขาจึงทราบว่าชายผู้นั้นคือพ่อตัวเองที่เสียชีวิตไปตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 จากการเห็นรูปถ่ายพ่อในภายหลัง
ในวัย 12 ปี เขาตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศจากเด็กวัยรุ่นที่มีอายุมากกว่า
พฤติกรรมรุนแรงของ Tony เริ่มขึ้นเมื่อเขาอายุ 16 เขาบุกเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์ของผู้หญิงที่ตนเองแอบชอบ พยายามใช้กำลังลักพาตัวเธอออกมา แต่กลับถูกขัดขวางจากเพื่อนบ้านเสียก่อน
นับตั้งแต่นั้น Tony ก็ดูเหมือนเป็นไม้เบื่อไม้เมากับตำรวจ เขาก่อคดีลักทรัพย์ และทำร้ายร่างกาย ถูกคุมความประพฤติ 3 ปี รอลงอาญา 1 ปี
ในวัย 18 ปี Tony แต่งงานกับเด็กสาวอายุ 14 ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 3 คน ชีวิตของเขาทำท่าเหมือนจะดีขึ้น หากไม่ใช่เพราะปัญหาชีวิตครอบครัว จึงทำให้เขาหันไปพึ่งยาเสพย์ติดซึ่งบ่อนทำลายความเป็นคน และปลุกโฉมหน้าอสูรกายในตัวให้ตื่นขึ้น
.
นับตั้งแต่ปี 1966 - 1969 ตำรวจ และสื่อเชื่อว่า Tony อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของผู้หญิงจำนวนมากในแมตซาซูเซตส์ และเขาน่าจะลงมือสังหารเหยื่อไปแล้วทั้งหมด 8 ราย นับตั้งแต่คนแปลกหน้าริมทาง แฟนเก่า (Tony มีพฤติกรรมเปลี่ยนผู้หญิงบ่อย) นักท่องเที่ยว ไปจนถึงคู่ขานักเล่นยา
.
Edmund Dinis อัยการเขตให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า "หัวใจของเหยื่อหายไปจากศพ อีกทั้งยังไม่พบอยู่ในหลุมศพ ศพถูกหั่นออกเป็นหลายชิ้น ทั้งยังปรากฏรอยฟันอยู่บนชิ้นส่วนศพด้วย"
.
Tony ถูกวินิจฉัยว่ามีอาการจิตเภทประเภทบุคลิกภาพชนิดแยกตัว (schizoid personality) และอาจพ่วงถึงพฤติกรรมชอบเสพสมศพ และการกินเนื้อมนุษย์ร่วมด้วย แม้ Tony จะต้องสงสัยว่าลงมือสังหารเหยื่อ 8 คน แต่ศาลพิพากษาความผิดเขาเพียงแค่ 2 คดี จากการสังหาร Patricia Walsh และ Mary Anne Wysocki เขาได้รับโทษขังคุกตลอดชีวิตในเรือนจำ
.
ในระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำ Tony เขียนนิยายขึ้นมาเล่มหนึ่ง (ซึ่งไม่เคยได้รับการตีพิมพ์) ใช้ชื่อว่า Resurrection ซึ่งบรรยายถึงการฆาตกรรม Patricia Walsh และ Mary Anne Wysocki และเหยื่อคนอื่น บางส่วนของนิยายบอกว่าเหยื่อเสพแอลเอสดี และไฮโดรมอร์โฟน นอกจากนั้น Tony ยังอ้างว่าผู้ที่ลงมือสังหารเหยื่อ และหั่นศพ ไม่ใช่ตัวเอง แต่เป็น Carl ตัวตนที่สองของเขา (alter-ego)
.
4 ปีหลังจากต้องโทษในเรือนจำ Tony ก็จบชีวิตตัวเองด้วยการแขวนคอตาย เป็นอันจบตำนานฆาตกรแวมไพร์แห่งคาบสมุทรเคปค้อด
.
ความเกี่ยวโยงของคดี Tony Costa กับ American Horror Story: Double Feature ตอน Red Tide
- ตัวละครพระเอก และครอบครัว ย้ายมาพักในเมือง Provincetown รัฐ Massachusetts ซึ่งเป็นเมืองที่ Tony เคยพำนักสมัยมีชีวิต
- ในฉากที่พระเอกไปเที่ยวบาร์ เขาได้ยินข่าวลือเรื่องคดีฆาตกรรมชำแหละศพในเมืองข้างเคียงที่ชื่อ Truro ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงคดีของ Tony Costa
- เมืองในซีรีส์ถูกคุกคามจากแวมไพร์ ซึ่งเป็นฉายาของ Tony Costa
- ตัวละครพระเอกเป็นนักเขียนนิยาย ไม่ต่างจาก Tony Costa ที่เขียนนิยายในคุก
- ในซีรีส์มีการอ้างถึงยาประหลาดที่สามารถบันดาลความคิดสร้างสรรค์ได้ ไม่ต่างจากในคดีของ Tony ที่มีการใช้สารเสพติดเข้าร่วม
- ตัวละครพระเอกจะเริ่มกลายพันธุ์หลังใช้ยาประหลาด ไม่ต่างจากพฤติกรรมของ Tony Costa ที่ย่ำแย่ลงหลังจากมีพฤติกรรมเสพยา
- ผลพวงนึงจากการใช้ยาของพระเอกคือ เริ่มมีพฤติกรรมกระหายเลือด ไม่ต่างจากแวมไพร์
เรียบเรียงข้อมูล
https://www.digitalspy.com/tv/ustv/a37440625/american-horror-story-season-10-true-story-real-life/
http://maamodt.asp.radford.edu/Psyc%20405/serial%20killers/Costa,%20Antone%20-%20spring,%202006.pdf
https://criminalminds.fandom.com/wiki/Tony_Costa
https://the-line-up.com/tony-costa-garden-of-horror
https://www.aetv.com/real-crime/tony-costa-serial-killer-and-secret-past
hotel wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
J.W. Marriott ผู้ก่อตั้งเชนโรงแรมใหญ่สุดในโลก ที่เริ่มจากร้านขายรูตเบียร์ /โดย ลงทุนแมน
“Marriott” เป็นเชนโรงแรมที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกและมีโรงแรมในเครือกว่า 30 แบรนด์
แต่รู้หรือไม่ว่าอาณาจักร Marriott ที่ก่อตั้งโดยคุณ J.W. Marriott ไม่ได้เริ่มต้นจากธุรกิจโรงแรม แต่เขากลับมีจุดเริ่มต้นมาจากร้านขายรูตเบียร์ A&W
จากร้านขายรูตเบียร์มาเป็นเชนโรงแรมที่ใหญ่สุดในโลก
Marriott ผ่านอะไรมาบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เชนโรงแรมขนาดใหญ่ ที่มีโรงแรมอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก จะมีชื่อที่เราคุ้นเคย เช่น Marriott, Hilton, InterContinental และ Hyatt
ซึ่ง Marriott ถือได้ว่าเป็นเชนโรงแรมที่ใหญ่สุดในโลก ทั้งในด้านมูลค่าตลาดที่มากที่สุดราว 1.46 ล้านล้านบาท รวมถึงในด้านจำนวนห้องพัก ที่ Marriott มีให้บริการราว 1.4 ล้านห้องพัก ในกว่า 130 ประเทศทั่วโลก
Marriott มีโรงแรมในเครือกว่า 30 แบรนด์ ซึ่งก็เป็นแบรนด์ดังที่คนส่วนใหญ่คุ้นหู อย่างเช่น JW Marriott, St. Regis, The Ritz-Carlton, Sheraton และ Renaissance
โดยผู้ก่อตั้งอาณาจักร Marriott คือคุณ John Willard Marriott หรือ “J.W. Marriott”
ซึ่งจริง ๆ แล้ว ธุรกิจดั้งเดิมที่เขาเริ่มต้นขึ้นไม่ใช่ธุรกิจโรงแรม
คุณ John เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1900 ที่รัฐยูทาห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในครอบครัวที่ทำฟาร์มแกะเล็ก ๆ ซึ่งมีฐานะค่อนข้างยากจน
เขาเริ่มค้าขายตั้งแต่อายุ 13 ปี จากการปลูกผักกาดในแปลงที่ดินที่ว่างอยู่ และเขานำเงินรายได้ที่ได้ไปให้พ่อ
จากความสำเร็จในการขายผัก พ่อของ John เลยไว้ใจให้ลูกชายพาแกะ 3,000 ตัว ขึ้นรถไฟไปขายที่เมืองซานฟรานซิสโกด้วยตัวคนเดียวในวัยเพียง 14 ปี ก่อนที่จะถูกขอให้เลิกเรียนเพื่อมาช่วยงานที่บ้านในเวลาต่อมา
เมื่อ John อายุ 19 ปี เขาก็ต้องเดินทางไปเป็นมิชชันนารีที่โบสถ์แห่งหนึ่งในนิวอิงแลนด์เป็นเวลา 2 ปี หลังจากนั้นก็เดินทางกลับมาบ้านที่เมืองยูทาห์
ระหว่างทางกลับ เขาได้แวะที่เมืองวอร์ชิงตัน ดี.ซี. และเดินผ่านร้านค้าแห่งหนึ่งซึ่งคนต่อคิวยาวมาก นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ John ได้รับรู้ถึงความนิยมของเครื่องดื่มที่เรียกว่า “รูตเบียร์”
แต่พอกลับมาถึงบ้าน John ก็ต้องเผชิญกับข่าวร้ายเพราะว่าธุรกิจฟาร์มแกะของพ่อเขาล้มละลาย
โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากราคาแกะที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจตกต่ำ
ตั้งแต่นั้นมา John จึงตั้งเป้าว่าเขาจะต้องมีชีวิตที่ดีขึ้นและหลุดพ้นจากความยากจนนี้ให้ได้
เขาเลยตัดสินใจกลับไปเรียนต่อให้ได้วุฒิมัธยมศึกษา โดยได้รับความช่วยเหลือจากอาจารย์ที่เคยสอนเขา
ซึ่งอาจารย์ท่านนี้ ยังช่วยให้ John รับหน้าที่สอนวิชาที่เกี่ยวกับศาสนา เพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอม
หลังจากนั้น John ก็ได้เข้าเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยที่ยูทาห์ ซึ่งเขาต้องหาเงินมาจ่ายค่าเทอมจากทุกวิถีทาง ตั้งแต่ขายกางเกงชั้นใน ขนสัตว์ ไปจนถึงการเป็นช่างตัดไม้
จนกระทั่งในช่วงที่เรียนปีสุดท้าย แถวมหาวิทยาลัยของเขาก็มีร้านรูตเบียร์ A&W มาเปิด
ซึ่งคิวยังคงยาว เหมือนกับตอนที่เขาเห็นครั้งแรกที่เมืองวอชิงตัน ดี.ซี.
หลังจากเรียนจบในปี ค.ศ. 1926 John แต่งงานกับ Alice Sheets สาวที่เขาตกหลุมรักและคบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียน ทั้งคู่วางแผนที่จะเริ่มทำธุรกิจด้วยกัน และสิ่งแรกที่ John นึกถึงก็คือเครื่องดื่มสุดฮิตอย่างรูตเบียร์
John ใช้เงินเก็บ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ บวกกันเงินที่กู้ยืมมาอีก 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ
คิดเป็นมูลค่าราว 83,000 บาท เพื่อขอซื้อแฟรนไชส์รูตเบียร์ของ A&W
ผ่านไป 1 ปี เขาก็ได้เปิดร้านขายรูตเบียร์เล็ก ๆ ที่เมืองวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งแน่นอนว่าขายดีแบบที่เขาคิดไว้
แต่สิ่งที่เขาลืมคิดถึงไปก็คือ รูตเบียร์ไม่ได้ขายดีทุกฤดู เพราะพอเข้าช่วงฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นช่วงที่ฝนตกบ่อย และอากาศเริ่มเย็นลง เครื่องดื่มเย็นสดชื่นอย่างรูตเบียร์กลับไม่เป็นที่ต้องการ ยอดขายของทางร้านจึงลดลงเรื่อย ๆ
Alice ภรรยาของเขาเลยเสนอไอเดียว่าควรขายอาหารด้วย เพื่อให้ยอดขายที่ร้านไม่ผันผวนตามฤดูกาลเกินไป
John เห็นด้วยทันที เขาจึงขออนุญาตทาง A&W เพื่อขอเสิร์ฟอาหารที่ร้านด้วย ส่วน Alice ก็ไปขอความช่วยเหลือจากเชฟที่สถานทูตเม็กซิโก ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับร้าน จนได้สูตรและวิธีทำอาหารเม็กซิกันมา
ทั้งคู่จึงตั้งชื่อร้านของพวกเขาใหม่ว่า “Hot Shoppes” ซึ่งเป็นร้านขายอาหารเม็กซิกัน แฮมเบอร์เกอร์ และฮอตดอก รวมถึงรูตเบียร์ของ A&W
ผ่านไปปีเดียว Hot Shoppes เปิดเพิ่มได้อีก 2 สาขา ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นร้านแบบ Drive-in หรือการขับรถไปจอดที่ลานจอดรถของร้าน แล้วสั่งอาหารมาทานบนรถ ที่กำลังได้รับความนิยมสุด ๆ ในสหรัฐอเมริกา
หลังจากนั้นไม่นาน ประเทศสหรัฐอเมริกากลับเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ แต่ John และ Alice ก็ยังพา Hot Shoppes รอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้มาได้ แถมยังขยายสาขาเพิ่มมาเป็น 7 สาขาในปี ค.ศ. 1933
แต่ในปีเดียวกันนี้ John ก็ต้องเจอกับข่าวร้าย เพราะเขาตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ซึ่งหมอบอกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน 2 ปี
John จึงหยุดทำงาน และใช้เวลาพักผ่อนกับครอบครัว แต่แล้วเรื่องไม่น่าเชื่อที่แม้แต่หมอก็ยังแปลกใจ เพราะอาการของเขาดีขึ้นมาก จนกลับมาใช้ชีวิตปกติได้
หลังจากรักษาตัวจนหายดีและกลับมาทำงานได้แล้ว ในปี ค.ศ. 1937 ซึ่งเป็นช่วงที่การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นที่นิยม John สังเกตว่าลูกค้ามักซื้ออาหารแบบนำกลับบ้านที่ร้าน Hot Shoppes สาขาใกล้สนามบิน เพื่อนำไปทานบนเครื่องบิน
John เลยเกิดไอเดียว่า ให้ Hot Shoppes ทำอาหารกล่องให้กับสายการบินใช้เสิร์ฟบนเครื่องบิน ซึ่งถือเป็นเจ้าแรก ๆ ในขณะนั้น
เมื่อเขานำไอเดียนี้ไปเสนอกับทางสายการบินต่าง ๆ ก็มีสายการบิน Eastern Airlines และ American Airlines ที่ตอบตกลง
มาถึงช่วงต้นทศวรรษ 1940s ร้าน Hot Shoppes ขยายมาเป็น 24 สาขา ซึ่งช่วงนี้เองสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เริ่มต้นขึ้น แต่ Hot Shoppes ก็ยังรอดพ้นจากวิกฤติได้อีกครั้งจากการปรับตัวไปให้บริการอาหารในฐานทัพทหารและสำนักงานรัฐบาล
จนกระทั่งช่วงทศวรรษ 1950s การเดินทางท่องเที่ยวกำลังได้รับความนิยมสูง John เลยสนใจซื้อที่ดินเปล่าที่อยู่ตรงข้ามสนามบินวอชิงตัน เพื่อสร้างโมเทลที่ชื่อว่า “Twin Bridges” ซึ่งเปิดให้บริการในปี ค.ศ. 1957 ก่อนที่ 2 ปีให้หลัง ได้สร้างโรงแรมแห่งที่ 2 ที่ชื่อ Key Bridge Motor
และในที่สุด กิจการโรงแรมของ John Willard Marriott ก็ได้เริ่มต้นขึ้น หลังจากเปิดร้านรูตเบียร์มาได้ 30 ปี
ต่อมาในปี ค.ศ. 1967 John ตั้งชื่อบริษัทของเขาใหม่ว่า “Marriott” ซึ่งใช้เรียกรวมทุกกิจการในเครือ ทั้งโรงแรมและร้านอาหาร
ในช่วงเริ่มต้นของกิจการโรงแรม ก็ได้ลูกชายคนโตของ John กับ Alice ที่ชื่อว่า “J.W. Bill Marriott Jr.” เข้ามาช่วยบริหาร
Bill เรียนด้านการเงินจากมหาวิทยาลัยยูทาห์ โดยภายใต้การบริหารของเขา บริษัทสามารถทำกำไรได้มากขึ้นอย่างชัดเจน จน Bill กลายมาเป็นบุคคลสำคัญที่ได้วางรากฐานธุรกิจและขยายอาณาจักร Marriott
ด้วยผลงานที่โดดเด่นของ Bill จึงทำให้เขาได้รับเลือกเป็นประธานบริษัทในปี ค.ศ. 1964 ก่อนที่จะได้รับเลือกเป็น CEO ในอีก 8 ปีต่อมา
Bill เน้นขยายโรงแรมใกล้สนามบิน และโรงแรมเพื่อการประชุมหรือ Convention โดยสร้างจุดเด่นให้กับโรงแรมของ Marriott ที่มีทั้งห้องจัดประชุมสัมมนา ภัตตาคาร ไปจนถึงลานสเกตน้ำแข็ง
นอกจากนี้ Bill ยังเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ จากการเป็นเจ้าของโรงแรมเอง สู่การรับบริหารโรงแรม และระบบแฟรนไชส์
นั่นจึงทำให้ในปี ค.ศ. 1993 บริษัท Marriott แบ่งการบริหารจัดการออกเป็น 2 บริษัท
บริษัทแรกชื่อ Marriott International ที่จัดการในส่วนของธุรกิจรับบริหารโรงแรมและระบบแฟรนไชส์ ซึ่งดูแลโดยลูกชายคนโต นั่นก็คือ Bill
บริษัทที่สองชื่อ Host Hotels and Resorts ที่จัดการในส่วนของธุรกิจโรงแรมที่ Marriott เป็นเจ้าของเอง ซึ่งดูแลโดยน้องชายของ Bill ที่ชื่อ Richard
อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ที่ช่วยเร่งขยายฐานลูกค้าให้ Marriott ก็คือการเป็นบริษัทโรงแรมแรกของโลก ที่ให้บริการระบบจองที่พักแบบออนไลน์ ในปี ค.ศ. 1995
และกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ Marriott ขยายอาณาจักรโรงแรมได้อย่างรวดเร็วก็คือ “การควบรวมกิจการ”
ปี ค.ศ. 1995 Marriott เริ่มซื้อกิจการครั้งแรก ด้วยการเข้าไปถือหุ้น 49% ในโรงแรม Ritz-Carlton ก่อนที่อีกไม่กี่ปีต่อมาจะเข้าซื้อทั้งกิจการ
แต่การซื้อกิจการที่สำคัญที่สุด เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2016 ภายใต้การนำของ CEO ที่เป็นคนนอกตระกูลคนแรกอย่าง Arne Sorenson
Marriott ได้เข้าซื้อกิจการ Starwood Hotels and Resorts ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์โรงแรมดังมากมาย อย่างเช่น Sheraton, W Hotels และ St. Regis
และในตอนนี้เองที่ Marriott ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเชนโรงแรมที่ใหญ่สุดในโลก
น่าเสียดายที่ John เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1985 เขาจึงไม่มีโอกาสได้เห็นความยิ่งใหญ่ของอาณาจักร Marriott ในปัจจุบัน ที่เขาเป็นผู้ริเริ่ม
แต่สิ่งสำคัญที่ตกทอดมาจาก John จนกลายเป็นหนึ่งในดีเอ็นเอของ Marriott ก็คือวัฒนธรรมองค์กร
เพราะ John ให้ความสำคัญกับพนักงานทุกคนและดูแลพนักงานเหมือนคนในครอบครัว มาตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มทำธุรกิจ
เหมือนกับหนึ่งในคำพูดอมตะของเขาที่ว่า
“Take care of associates, and they’ll take care of your customers”
หรือ ดูแลพนักงานของคุณให้ดี แล้วพนักงานเหล่านั้นจะดูแลลูกค้าของคุณต่อเอง
นั่นจึงทำให้ Marriott ไม่ได้เป็นเพียงหนึ่งในโรงแรมที่น่าเข้าพักมากที่สุดเท่านั้น
แต่ในมุมของสถานที่ทำงาน Marriott ยังติดอันดับโลกในด้านบริษัทที่น่าทำงานด้วยมากที่สุดเช่นกัน..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.cnbc.com/2021/08/10/how-marriott-became-the-worlds-biggest-hotel-chain.html
-https://www.washingtonpost.com/archive/politics/1985/08/14/hotel-magnate-jw-marriott-dies-at-age-84/d8cfeda2-6a83-40fc-8126-310233d114f0/
-https://www.entrepreneur.com/article/197668
-https://edition.cnn.com/2012/04/12/business/marriott-hotel-industry/index.html
-https://en.wikipedia.org/wiki/Marriott_International
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_chained-brand_hotels
-https://companiesmarketcap.com/hotels/largest-hotel-companies-by-market-cap/
-https://careers.marriott.com/20-years-fortune-100-list/
-https://www.marriott.com/culture-and-values/j-willard-marriott.mi
hotel wiki 在 alex lam Youtube 的最讚貼文
感謝有你支持 patreon
https://www.patreon.com/ALEXLAM728
第四輪酒店 至8月底
華麗都會酒店 - Grand City Hotel
請大家FOLLOW,會一直制作更好的節目
https://youtu.be/_p1AH7yLbYc
隔離酒店PLAYLIST!
https://youtube.com/playlist?list=PLMHInmp-ZMmBXNxrEN_8Dnq7peMPktsUd
政府指定檢疫設施
https://www.grandcityhotelhongkong.com/tc/
西環華麗都會酒店為衛生防護中心指定之隔離檢疫酒店。
我們為來自不同國家/地區的抵港人士提供相應的21 / 14 / 7天隔離住宿套餐 (包早、午、晚三餐) ,請根據下列情況以決定閣下之隔離檢疫住宿期:
來自地區: 劃分為 A1組 (極高風險) ,A2組 (甚高風險) ,B組 (高風險) ,C組 (中風險) ,及D組 (低風險) 。
台灣抵港人仕之隔離檢疫住宿期為21天 或14天 (巳完成接種疫苗) 。新措施現己生效。
疫苗接種情況: 來自B組,C組,及D組之人仕將根據閣下有否完成接種疫苗之狀況以決定所需之隔離檢疫住宿期。
請按此 下載政府有關2021年5月12曰生效之新措施訊息。
有關措施未來之更新,請參閱2019冠狀病毒專題綱站:
www.coronavirus.gov.hk/chi/high-risk-places.html
hotel wiki 在 alex lam Youtube 的精選貼文
其他優惠
帝逸酒店優惠 HK$ 998 起
https://bit.ly/3puAVOQ
1晚帝逸酒店住宿
房內享用小食套餐及6罐啤酒(嘉士伯或青島)
於Alva House享用雙人早餐
逸軒港幣$800餐飲消費回贈
可以用官網訂或者用唔同酒店網都訂到單價大約500蚊一晚雙人房
有時折上折仲抵玩,大約450左右連加一
CHECK IN手續快,有禮貌
自助飲水機方便,房隔音唔錯,寧靜,電視夠大,手機同步睇片一流
可用IPAD控制房入設備,夠先進,包括冷氣溫度
住望巴士工廠方向,洗手間,沖涼係獨立一間,淋浴設備普通,風筒係固定式
最差係風筒,你叫一個女仔吹頭起碼要十分鐘要拎住佢企係度吹?辛唔辛苦D?
呢D就係細節,同一樣5星酒店,另外幾間都係可以拎出去插電搵位坐低吹
你做左固定式,咁起碼比張坐位黎坐住吹頭
晚上整整到退房13-14小時都係房,都聽唔到雜音,呢個要讚
因為我成晚係度睇劇,非常滿意房隔音,樓下有洗衣機同冰機,有需要去自取
大致上我會比4粒星,400幾蚊無咩好講,幾乎係全香港最平
近石門站,30幾度就唔會行過去,但秋天而家行去係可以接受,樓下有間便利店,係一田既,有需要買下零食補給品都可以,另外有巴士接送,要睇時間
#帝逸酒店 #STAYCATION #BUFFET #生日優惠 #5星酒店 #STAYCATIONHK
#香港酒店住宿 #酒店介紹 #HKBLOG #HKVLOG #HKBLOGGER
#HKFOODBLOG #HKFOODBLOGGER #石門 #沙田酒店 #沙田 #ALVAHOTEL
hotel wiki 在 alex lam Youtube 的最讚貼文
應該長期係香港最平既五星酒店選擇,以我觀察左一段時間
最平又新開既五星就要數帝逸酒店
你可以用官網訂或者用唔同酒店網都訂到單價大約500蚊一晚雙人房
有時折上折仲抵玩,大約450左右連加一
------------------------------------
真自費非打手, 我知十月有批人免費做打手,我唔係
真自費非打手, 我知十月有批人免費做打手,我唔係
真自費非打手, 我知十月有批人免費做打手,我唔係
--------------------------------
其他優惠
帝逸酒店優惠 HK$ 998 起
https://bit.ly/3puAVOQ
1晚帝逸酒店住宿
房內享用小食套餐及6罐啤酒(嘉士伯或青島)
於Alva House享用雙人早餐
逸軒港幣$800餐飲消費回贈
-------------------------------------------
CHECK IN手續快,有禮貌
自助飲水機方便,房隔音唔錯,寧靜,電視夠大,手機同步睇片一流
可用IPAD控制房入設備,夠先進,包括冷氣溫度
住望巴士工廠方向,洗手間,沖涼係獨立一間,淋浴設備普通,風筒係固定式
最差係風筒,你叫一個女仔吹頭起碼要十分鐘要拎住佢企係度吹?辛唔辛苦D?
呢D就係細節,同一樣5星酒店,另外幾間都係可以拎出去插電搵位坐低吹
你做左固定式,咁起碼比張坐位黎坐住吹頭
晚上整整到退房13-14小時都係房,都聽唔到雜音,呢個要讚
因為我成晚係度睇劇,非常滿意房隔音,樓下有洗衣機同冰機,有需要去自取
大致上我會比4粒星,400幾蚊無咩好講,幾乎係全香港最平
近石門站,30幾度就唔會行過去,但秋天而家行去係可以接受,樓下有間便利店,係一田既,有需要買下零食補給品都可以,另外有巴士接送,要睇時間
#帝逸酒店 #STAYCATION #BUFFET #生日優惠 #5星酒店 #STAYCATIONHK
#香港酒店住宿 #酒店介紹 #HKBLOG #HKVLOG #HKBLOGGER
#HKFOODBLOG #HKFOODBLOGGER #石門 #沙田酒店 #沙田 #ALVAHOTEL
hotel wiki 在 Hazbin Hotel Wiki | Fandom 的相關結果
Hazbin Hotel Wiki is a community site that anyone can contribute to. Discover, share and add your knowledge! Trending articles. Beelzebub. Alastor. ... <看更多>
hotel wiki 在 Tag:tourism=hotel - OpenStreetMap Wiki 的相關結果
A hotel is an establishment that provides paid lodging, usually on a short-term basis. Hotels often provide a number of additional guest ... ... <看更多>
hotel wiki 在 Hotel - Wikipedia 的相關結果
A hotel is an establishment that provides paid lodging on a short-term basis. Facilities provided inside a hotel room may range from a modest-quality ... ... <看更多>