【尊重老師,從不說老師壞話開始】
~祝各位老師教師節快樂~
最近加拿大與澳洲學者共同發表了一篇研究教育工作者工作狀況的論文,刊在《劍橋教育期刊》,驚訝發覺,竟有高達九成的教育工作者,表示自己經常的被下屬或學生們「言語霸凌」,其中近半(35%)已達極不舒服程度。
比較特別的是,這種「言語霸凌」由於是下對上,因此往往並非面對面的,而是被底下的同事、學生流傳著老師各種「不是」,有些流言蜚語,老師根本就有做過、也沒說過,此研究為這樣的霸凌行為許了一個專有名詞,稱為「不文明」
(incivility)。
此名詞特別引人注意,私底下亂說老師壞話,學者並不稱它為「不禮貌」,而更進一步稱其為「不文明」,到底不文明與不禮貌之間的差異在哪裡?
當年全家移民到加拿大,在當地公立高中念書,有一位華裔老師,說話有些廣東口音,長相土土的,有幾位白人學生就私底下為這位老師取綽號,學他口音說話,捉弄這位老師。
有一次,同學過火了點,老師交辦作業,幾位同學賴在座位不起身,表情輕蔑不屑,還有同學故意用手指拉高自己眼睛兩角,歧視東方面孔,突然間,角落有一個同學倏地猛然站起,義正嚴詞的說:「不要再鬧了!」
我記得,那是一個綁了兩條辮子的本地女孩,她大聲且堅定的喝止這些同學:「你們這樣不對!」(This is not right!)
我記得,這一喊,猶如敲了一記響鐘,把那些不能說的、不敢說的全都打得一乾二淨,當下,所有的人都停止了說話,華裔老師仍繼續寫黑板,教室只剩下粉筆在黑板上磨擦的沙沙聲。
那件事到了今天仍記得非常清楚,歐美並沒有明顯的「尊師重道」概念,但不表示他們不尊敬老師,而是他們並不會因為某人是老師就必須言聽計從的順著他,然而,他們卻有另一個觀念,不只對老師,而是對所有事情,皆有一套「什麼是正確、什麼不是正確」的辯證理路,當他們觀察到一些細微的不對勁,總會有人力排眾議、不畏異樣眼光、適時發聲,讓每一個人都受到平等的尊重,無論是老師,還是學生。
回到台灣,這個理應被儒學之尊師重道影響深遠的地方,我發現,老師似也慢慢變成被批評的對象。有一次,孩子年紀尚小,某天,一群家長聚餐,家長們聊八卦,孩子在旁邊玩耍,某位家長說,老師最近作業出得多,學生寫到半夜寫不完,家長們七嘴八舌起來,說這個老師早就臭名在外,本來就應該有人站出來發聲,還有家長問旁邊同班的孩子,這位老師這麼過份,要不要家長們出面和校長報告?桌上討論氣氛熱烈,旁邊玩的孩子全都被吸引過來,大人與小孩全部一起對這位不在場的科任老師,進行一番「指教」。
我覺得不妥,轉頭和我孩子說,記著,老師就是老師,我們不要這樣說老師,但,另一個家長馬上說,老師也會做錯事呀,老師錯了,就應該糾正呀!
察覺氣氛不太對,我將我家孩子帶開,但我自己一時也覺得不解,我是不是一個老古板,從小被教育一定要尊師重道,尊師重道是否真的已經是一個過時的概念?有的老師管教過當,是否會又因為尊師重道的舊習而難以被揭發?我在國外受教育這麼久,怎麼會如此老腐呢?
不過,這篇研究卻讓我終於豁然開朗──原來,令我感到不安的,並不是老師被批評,而是大人無意間教了孩子可以如此言語霸凌一個長輩(老師)。透過孩子無知之口,老師的形象在口語交談之間失控的愈變愈糟,家長與孩子的行動計畫也愈發誇張、愈更激化。我不要求孩子進行腐舊又無知的無條件的禮貌,但,我真的不希望孩子從小就感染到這種「不文明」啊。
(本篇刊於2021年9月27日《國語日報》)
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過244萬的網紅メンタリスト DaiGo,也在其Youtube影片中提到,⬇️今なら20日間無料⬇️ ・人間関係のイライラなくす【成功感覚とリアプレイザル】 ・怒りをぶつけるてくる人【ストレスコミュニケーション】対策法 動画はこちら▶︎https://daigovideolab.jp/?utm_source=youtube&utm_medium=social&utm_c...
incivility 在 sittikorn saksang Facebook 的最佳貼文
"รัฐที่แตกแยกระส่ำระสายกับสังคมอนารยะ"
โดย เกษียร เตชะพีระ
วันที่ 08 มีนาคม พ.ศ. 2557 เวลา 23:59:00 น.Tweet
การเมืองวัฒนธรรม เกษียร เตชะพีระ "รัฐที่แตกแยกระส่ำระสายกับสังคมอนารยะ" มติชนสุดสัปดาห์ 7-13 มีนาคม 57
รอบ 7 ปีกว่าหลังรัฐประหาร กันยายน 2549 เป็นต้นมา มีปรากฏการณ์แปลกพิลึกทาง การเมืองของรัฐไทยหลายประการ อาทิ :
- กันยายน 2551 รัฐบาล สมัคร สุนทรเวช ประกาศภาวะฉุกเฉิน แต่ทหารไม่ดำเนินการอันใดต่อผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ ที่ยึดทำเนียบรัฐบาล
- ตุลาคม 2551 ผู้บัญชาการทหาร ตำรวจ 4 เหล่าทัพ และผู้บัญชาการทหารสูงสุดออกทีวี เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลาออก
- พฤศจิกายน 2556 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการที่รัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มาสมาชิกวุฒิสภา เป็นการที่บุคคลใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองโดยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญ(ผิดมาตรา68 ของรัฐธรรมนูญ)
- ธันวาคม 2556 ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยเสนอให้ยุบสภา นายกฯ รักษาการลาออก ตั้งคนกลางเป็นนายกฯ แทนได้
- มกราคม 2557 ทหารจัดชุดปรามตำรวจปราบม็อบขณะประกาศกฎหมายความมั่นคง
- มกราคม 2557 แทนที่จะพยายามจัดเลือกตั้งให้สำเร็จอย่างสุดความสามารถ กกต. กลับเป็นตัวตั้งตัวตีเสนอให้เลื่อนเลือกตั้งอย่างกระตือรือร้นอ้าขาผวาปีกจนออกนอกหน้า เป็นต้น
ทั้งหลายทั้งปวงนี้สะท้อนสภาพการณ์เฉพาะพิเศษอย่างหนึ่งของภูมิทัศน์การเมืองไทยที่เปลี่ยนไปกล่าวคือสภาพที่รัฐไทยแตกแยกระส่ำระสาย (a fragmented state in disarray) ในปัจจุบัน อันเป็นแนวคิดที่ Tyrell Haberkorn ใช้บรรยายรัฐไทยสมัยปี พ.ศ.2518 ท่ามกลางความขัดแย้ง ดุเดือดเลือดพล่านทางชนชั้นระหว่างชาวนาผู้เช่ากับเจ้าที่ดินภาคเหนือในหนังสือ Revolution Interrupted, 2011)
ความแตกแยกระส่ำระสายของรัฐไทยดังกล่าวยังนำไปสู่ภาวะสังคมอนารยะ (uncivil society) อีกด้วยสภาพรัฐไทยแตกแยกระส่ำระสายหลายปีหลังนี้เกิดจากความขัดแย้งระหว่าง "ระบอบ ทักษิณ" กับ "กลุ่มอำมาตย์" ผม (อ.เกษียร เตชะพีระ) หมายถึงระหว่าง [รัฐบาลทักษิณและกลุ่มทุนเครือข่ายทักษิณ ณ ไทยรักไทยที่เข้าครอง อำนาจนำเหนือระบอบประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง] กับ [กลุ่มชนชั้นนำเก่า/ทุนเก่าที่เคยครองอำนาจอยู่ซึ่งเรียกทางวิชาการได้ว่า "non-majoritarian institutions" หรือบรรดาสถาบันอำนาจที่ไม่ได้มาจากเสียงข้างมาก]
ความขัดแย้งนี้ทำให้สังคมการเมืองไทยเข้าสู่สภาวะแบ่งข้างแยกขั้วต่อสู้กันสุดโต่งระหว่างสีระหว่างพรรคฝ่ายเครือข่ายต่างๆกลายเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทว่า ปราศจากอำนาจนำทางการเมืองที่เป็นที่ยอมรับอย่างสากลของทุกฝ่าย เมื่อฝ่ายหนึ่งชนะเลือกตั้งขึ้นปกครองฝ่ายตรงข้ามก็หาโอกาสจังหวะก่อม็อบชุมนุมต่อต้านคัดค้านโค่นล้มอย่างยืดเยื้อดุเดือดรุนแรง ในทางกลับกัน เมื่ออีกฝ่ายก่อรัฐประหารหรือใช้อำนาจนอกระบบผลักดันพรรคตัวแทนขึ้นปกครองบ้าง ฝ่ายตรงข้ามก็ก่อม็อบชุมนุมต่อต้านทำนองเดียวกัน กลายเป็นอาการ "อนาธิปไตยบนท้องถนน vs. อำนาจนิยมของรัฐ/รัฐบาล" สลับข้างกันไปมาแล้วถึง 6 รอบและยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด เมื่อพรรค/คณะรัฐประหารต่างฝ่ายผลัดกันขึ้นเป็นรัฐบาลแล้วพวกเขาก็รุล้างข้าราชการที่รับใช้เข้าข้างฝ่ายตรงข้ามม็อบต่างฝ่ายก็ผลัดกันบุกยึดหน่วยราชการ/ที่ทำการธุรกิจเอกชนที่เห็นเป็นปฏิปักษ์ แล้วก่อกวนโจมตีดิสเครดิตข้าราชการที่รับใช้รัฐบาล
นอกจากนี้ การเมืองยังค่อนข้างขาดเสถียรภาพ สลับขั้วพลิกผันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รัฐบาลโดยเฉลี่ยอายุสั้น อยู่ไม่ครบเทอม (นายกฯ 5 คนใน 7 ปี), บางคนปีก่อนยังนอนติดคุกอยู่ ปีนี้กลายมาเป็น ฯพณฯ รัฐมนตรีเสียแล้ว บางคนปีก่อนยังเป็น ฯพณฯ นายกฯ/รองนายกฯ อยู่ ปีนี้กลายเป็นผู้ต้องหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลหรือนักโทษหนีคดีทุจริตไปเสียแล้ว เป็นต้น
เหล่านี้ทำให้ข้าราชการขาดความมั่นคงในตำแหน่งหน้าที่การงาน หากทำงานรับใช้ นโยบายรัฐบาลในอำนาจเต็มที่ ก็อาจโดนปลดย้ายฟ้องร้องจากรัฐบาลชุดใหม่ของฝ่ายตรงข้าม หากไม่ทำ ก็อาจโดนปลดย้ายแช่เย็นขึ้นหิ้งจากรัฐบาลชุดปัจจุบัน ส่วนใหญ่จึงพากัน play safe ด้วยการ "ใส่เกียร์ว่าง" รอดูสถานการณ์พลิกผันเปลี่ยนแปลงไปพลางๆ ก่อน จนทั้ง พลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วย ผบ.ทบ. และผู้ช่วยเลขาธิการ คมช. และนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องออกปากบ่นแกมเตือนข้าราชการดังๆ ต่างข้างต่างช่วงเวลา (2550 และ 2556) แต่ตรงกันเป๊ะว่า. "อย่าใส่เกียร์ว่าง". การที่พลังมวลชนกลุ่มฝ่ายต่างๆ ในสังคมบุกรุกไล่ยึดพื้นที่รัฐอย่างอลเวงเช่นนี้หาได้เป็นผลดีต่อความเข้มแข็งและอารยะ (strength and civility) ของสังคมไม่ แต่กลับคุกคามเป็นอันตรายต่อการดำรงอยู่ของประชาสังคม/สังคมเข้มแข็ง (civil society) เสียเอง
เพราะท่ามกลางการแยกขั้วแบ่งข้างต่อสู้ทำสงครามการเมืองระหว่างสีระหว่างฝ่ายอย่างดุ เดือดนองเลือด รัฐก็พลอยแสดงบทบาทผู้รักษาสันติภาพและอนุญาโตตุลาการระหว่างกลุ่มผลประโยชน์หลักๆ ที่จำเป็นแก่การดำรงคงอยู่ของประชาสังคมไม่ได้ไปด้วย ไม่ว่ากองทัพ ตำรวจ ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลอาญา ศาลปกครอง ฯลฯ ล้วนเสื่อมถอยประสิทธิภาพและความชอบธรรม น่าเชื่อถือเป็นที่ยอมรับของสาธารณชนโดยรวมลงไปอย่างน่าใจหาย
จนความขัดแย้งจำนวนมาก ลงเอยด้วยความรุนแรงบนท้องถนนแบบอนาธิปไตยโดยไม่มีใครหน้าไหนหรือองค์กรหน่วยราชการใดสามารถเล่นบทผู้รักษาสันติภาพหรืออนุญาโตตุลาการที่ทุกฝ่ายยอมรับในความเป็นกลางและเที่ยงธรรม ไม่มีรัฐที่ทรงประสิทธิภาพความชอบธรรมจะแสดงบทบาทผู้รักษาสันติภาพและอนุญาโต-ตุลาการระหว่างกลุ่มผลประโยชน์หลักๆแล้วประชาสังคม/สังคมเข้มแข็งก็มีอยู่ไม่ได้เหมือนกัน มันกลับเสื่อมทรุดตกต่ำกลายสภาพเป็นอนารยะ (incivility-uncivil society) มากขึ้นทุกที
incivility 在 メンタリスト DaiGo Youtube 的最佳解答
⬇️今なら20日間無料⬇️
・人間関係のイライラなくす【成功感覚とリアプレイザル】
・怒りをぶつけるてくる人【ストレスコミュニケーション】対策法
動画はこちら▶︎https://daigovideolab.jp/?utm_source=youtube&utm_medium=social&utm_campaign=official&utm_content=pdYuwrtEidc
🎧本日の無料オーディオブック
【無料】自分を操り、不安をなくす 究極のマインドフルネス を Amazon でチェック! https://amzn.to/2WY2jHN
そのほかのメンタリストDaiGoの【無料】オーディオブックはこちら→https://amzn.to/2UBuD1j ※Audible無料体験
📚本日の参考📚
マインドフルネス・ストレス低減法ワークブック を Amazon でチェック! https://amzn.to/2F2mbnM
Yuan, Z., Park, Y., & Sliter, M. T. (2018).The long arm of email incivility: Transmitted stress to the partner and partner work withdrawal. Journal of Organizational Behavior 39(10):1268-1282
Researched by http://ch.nicovideo.jp/paleo #今なら
#Dラボとオーディオブックが概要欄から無料
incivility 在 Incivility Definition & Meaning - Merriam-Webster 的相關結果
The meaning of INCIVILITY is the quality or state of being uncivil. How to use incivility in a sentence. ... <看更多>
incivility 在 incivility 的中文翻譯| 英漢字典 的相關結果
incivility 無禮貌,不客氣,非禮. ... Incivility \In`ci*vil"i*ty\, n.; pl. {Incivilities}. [L. incivilitas: cf. F. incivilit['e].] [1913 Webster] 1. ... <看更多>
incivility 在 incivility中文(繁體)翻譯:劍橋詞典 的相關結果
5 天前 — incivility的例句. incivility. Moreover, many seem unable to adopt a pleasant or a civil tone of voice, and, in some cases ... ... <看更多>