กว่าจะมีวันนี้ของร้าน หัวปลาช่องนนทรี /โดย ลงทุนแมน
จากร้านข้าวต้มปลาเล็กๆ เมื่อ 37 ปีก่อน
คงมีน้อยคนที่จะคิดว่าร้านเล็กๆ ในวันนั้น
จะกลายมาเป็นเชนร้านอาหารขนาดใหญ่ ที่มีรายได้หลักร้อยล้านบาท ในวันนี้
เส้นทางความสำเร็จของร้านหัวปลาช่องนนทรี
ผ่านอะไรมาบ้าง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ผู้ก่อตั้งร้านอาหารหัวปลาช่องนนทรี คือ คุณแป๋ว ลิมป์รัตนกาญจน์ ซึ่งชีวิตในวัยเด็กของเธอค่อนข้างยากลำบาก พ่อมีอาชีพขับรถ 3 ล้อ ส่วนแม่นั้นเป็นแม่ค้าหาบของขายในตลาด
แน่นอนว่า นอกจากเวลาเรียนแล้วคุณแป๋วก็ต้องไปช่วยแม่หาบของขายในตลาดเช่นกัน ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ซึ่งคุณแป๋วเล่าว่า ปกติแล้วขายได้เงินวันละประมาณ 10 บาท
คุณแป๋ว เรียนจนถึงแค่ชั้น ป.2 ก็ต้องออกจากโรงเรียนมาขายของแทนคุณแม่ เนื่องจากคุณแม่ป่วย ซึ่งเงินที่ค้าขายนั้น รวมกับรายได้จากการถีบรถ 3 ล้อของคุณพ่อ ก็เอามาใช้ในการรักษาคุณแม่ของเธอ จนคุณแม่ค่อยๆ หายและกลับมาค้าขายได้อีกครั้ง
เมื่อคุณแป๋วอายุ 16 ปี เธอขอคุณแม่กลับไปเรียนภาคค่ำ เนื่องจากอยากอ่านหนังสือออก และหลังเลิกเรียนก็ยังมาช่วยทำงานหาเงินต่อ
แต่แล้วแม่ของเธอล้มป่วยอีกครั้ง คุณแป๋วต้องหยุดเรียน และทำงานหนักมากขึ้นเพื่อหาเงินมารักษาคุณแม่
จนเมื่อคุณแม่ของเธอเสีย ตอนนั้นครอบครัวยังมีหนี้สินมาก คุณพ่อก็เอารถ 3 ล้อไปจำนอง
ส่วนคุณแป๋วก็ทำงานต่อไปหาเงินมาใช้หนี้ อีกประมาณ 3 ปี เธอจึงสามารถสะสางหนี้สินของครอบครัวหมด
ต่อมาคุณแป๋วได้แต่งงานกับคุณกฤช ซึ่งเปิดร้านทำหน้าต่างและประตูเหล็ก คุณแป๋วจึงออกมาเป็นแม่บ้าน และไม่ได้ค้าขายที่ตลาด
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจของคุณกฤชนั้นมีรายได้ไม่แน่นอน แถมต้องให้เครดิตแก่ลูกค้า ทำให้หลายครั้งธุรกิจจึงขาดสภาพคล่อง
ทั้งคู่เลยตัดสินใจมาขายของกิน เนื่องจากจะมีเงินสดมาหมุนเวียนมากกว่า โดยเริ่มจากเปิดร้านข้าวต้มปลาเล็กๆ เป็นเพิงในตอนเย็นเพื่อหารายได้อีกทาง ช่วงแรกร้านของทั้งคู่มีโต๊ะนั่งเพียง 3 โต๊ะเท่านั้น
เวลาผ่านไปร้านข้าวต้มเริ่มขายดี เจ้าของที่ที่ทั้งคู่เช่าอยู่ เลยอยากให้ทั้งคู่ขยายร้านเพิ่ม การขยายร้านนอกจากจะทำให้มีจำนวนลูกค้ามากขึ้น ยังทำให้เมนูอาหารเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
หลังจากนั้นเมื่อเวลาผ่านไปกิจการก็ค่อยๆ ขยายสาขา จนกลายเป็น อาณาจักรหัวปลาช่องนนทรี ในปัจจุบัน
ตอนนี้ ร้านหัวปลาช่องนนทรี มีทั้งแบบสแตนด์อโลนจำนวน 6 สาขา โดยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 5 สาขาและต่างจังหวัด 1 สาขา รวมทั้งยังมีสาขาในห้าง 3 สาขา ที่เซ็นทรัลเวิลด์ เมกาบางนา และเทอร์มินอล 21 (โคราช)
รายได้ บริษัท หัวปลาช่องนนทรี จำกัด
ปี 2559 รายได้ 122 ล้านบาท
ปี 2560 รายได้ 190 ล้านบาท
ปี 2561 รายได้ 271 ล้านบาท
ในส่วนของชื่อร้านนั้นคุณแป๋วและคุณกฤชเล่าว่า จริงๆ แล้วชื่อร้านมาจากลูกค้า ซึ่งเกิดจากเวลาที่ลูกค้านัดเจอกัน มักจะพูดว่า “ไปเจอกันที่ร้านหัวปลาแถวช่องนนทรี”
พอเรื่องเป็นแบบนี้
ทางคุณแป๋วและคุณกฤช จึงนำมาใช้ตั้งชื่อร้านจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง
ขณะที่ปัจจุบัน ร้านอาหารหัวปลาช่องนนทรีบริหารงานโดยผู้บริหารรุ่นที่ 2 คือ คุณวิทยา ลิมป์รัตนกาญจน์ ซึ่งเป็นทายาทของคุณแป๋วและคุณกฤช
จากอดีตที่มีเพียงร้านข้าวต้มปลา ปัจจุบัน ร้านอาหารหัวปลาช่องนนทรีวางตำแหน่งร้านให้มีทั้งอาหารไทย อาหารจีน และอาหารทะเล
นอกจากนี้ ถ้าเราสังเกตร้านหัวปลาช่องนนทรีจะตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ที่คนสัญจรไปมาเยอะ ซึ่งเป็นกลยุทธ์การเลือกที่ตั้งร้านที่ผู้บริหารให้ความสำคัญมาตลอด ทั้งนี้ ก็เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร้านและยังเป็นการประชาสัมพันธ์แบรนด์ของธุรกิจให้คนจดจำไปด้วย
เรื่องนี้ให้แง่คิดกับเราอย่างหนึ่งว่า
คนที่จะประสบความสำเร็จได้ บางทีก็ไม่จำเป็นต้องมีต้นทุนชีวิตที่ดีเสมอไป
กรณีของคุณแป๋วก็เช่นกันที่ต้องช่วยแม่ค้าขายตั้งแต่อายุ 6 ขวบ เพื่อช่วยหารายได้ให้ครอบครัว รวมทั้งออกจากโรงเรียนช่วงที่คุณแม่ป่วยเพื่อมาค้าขายแทนคุณแม่
จนสุดท้ายเมื่อมีโอกาสมาเปิดร้านอาหาร แม้ว่าจะเริ่มจากร้านเล็กๆ เป็นเพิง ไม่ได้ใหญ่โตหรูหรา เหมือนร้านอาหารอื่น แต่ด้วยความตั้งใจของคุณแป๋วที่ตั้งใจทำมันออกมาให้ดีที่สุด ร้านหัวปลาช่องนนทรี จึงประสบความสำเร็จได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้
ถ้าวันนี้เราอยากเริ่มกิจการอะไรสักอย่าง แล้วไม่มั่นใจว่าจะเริ่มจากศูนย์ได้หรือไม่
ลองดูตัวอย่างนี้ที่ค่อยๆ เริ่มทำในที่สุดก็สำเร็จ
แต่ถ้าเราคิดว่าทำไม่ได้ ตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำ
ก็จำไว้ว่า มันจะไม่มีวันนั้นเกิดขึ้น..
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.youtube.com/watch?v=uCgEhOwW-uo
-http://www.huaplachongnonsea.com/about-us/
-https://datawarehouse.dbd.go.th/…/profitloss/5/0115553009706
-https://www.youtube.com/watch?v=FcGOOVUmYcc
Until I have today of Hua Pla Chong Nonsi shop / by Investing Man.
From a small fish boiled rice restaurant 37 years ago.
Not many people would think that small shop that day.
Become a big restaurant chain with hundreds of millions of baht today.
Successful path of Hua Pla, Chanonsi shop.
Been through some things
Invest man will tell you about it.
╔═══════════╗
Blockdit. Analytical article source.
Deep in deep content
The latest podcast feature is available.
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
The founder of Hua Pla Chong Nonsi restaurant is Khun Pew Limpratkanchanaburi. Her childhood was quite difficult. Dad had a 3 wheel drive career. The mother was a seller finding items to sell in. The marketplace.
Of course, in addition to studying time, Khun Paew also has to help mom find stuff to sell in the market since she was 6 years old. Which Khun Pew said that she usually sells around 10 Baht per day.
Khun Paew has studied until just grade class. 2 I have to go out of school to sell stuff for mother because mother is sick. The money that she sells with the income of the 3 wheeler kicks. Dad uses it to treat her mother until she is slowly recovering and comes back to sell again.
When Khun Pam is 16 years old, she asks her mother to go back to school in the evening because she wants to read books and after school, she helps work and earn money.
But then her mother fell sick again. Khun Paew needs to stop studying and work harder to earn money to heal her mother.
Until when her mother died, the family still has a lot of debt. Dad took the 3 wheeler mortgage.
As for Khun Paew, keep working. Earning money to pay back debt for about 3 years. So she can clean the family's debt.
Later, Khun Paew married Mr. Krit who opened a window and metal door shop. Khun Paew came out to be a housewife and didn't sell at the market.
However, Mr. Krit's business has uncertain income. It has to give credit to customers. Many times, businesses lack liquidity.
Both of them decided to sell things because there would be more cash circulation. Starting from opening a small fish shop to shed in the evening for income. In the first time, both of them have only 3 tables.
Time has passed. Boiled rice restaurant is selling well. The owner of which both are renting. We want both of them to expand the store. In addition to making more customers, we also make the food menu add more.
After that, over time, the business gradually expanded the branch to become the kingdom of Hua Pla Chong Nonsi.
Now Hua Pla Chong Nonsi shop has 6 standalone branches in Bangkok and perimeter. 5 branches and 1 provinces. There are 3 branches in CentralWorld. Led Mega Bangna and Terminal 21 (Korat)
Income of Hua Pla Chong Nonsi company limited.
Year 2559 Income 122 million baht.
Year 2560 Income 190 million baht.
Year 2561 Income 271 million baht.
In the section of the shop name, Khun Paew and Khun Krit said that the shop name is from customers who are born from the time customers meet each other. They often say ′′ Let's meet at Hua Pla restaurant near Chong Nonsi ′′
When things are like this
Khun Paew and Khun Krit have been using the shop name until now.
While at present, Hua Pla Chong Nonsi restaurant is administered by the 2th generation executives. Mr. Witthaya Limpratan Kanchanaburi who is the descendant of Khun Paew and Khun Krit.
From the past, there are only fish boiled rice. Now, Hua Pla Chong Nonsi restaurant has positioned both Thai food, Chinese food and seafood.
In addition, if you notice, Hua Pla Chong Nonsi will be located on the main road where many people walk. It is a strategy to select the store where the executives have been focused. It's to attract customers to the shop and publicize the brand of businesses to remember.
This story gives us one thought.
People who can succeed sometimes don't always have to cost a good life.
In case of Khun Paew, we have to help the seller sell from 6 years old to help earn income for the family and leave school when mother is sick to sell for mother.
Finally, when you have a chance to open a restaurant, even if you start from a small shop to be a shed. It's not as big as other restaurants. But with your intention, Khun Paew, you will make it the best. Hua Pla Chong Nonsi can be successful. I see these days.
If today we want to start something and not sure if we can start from zero.
Check out this trailer that gradually started to finally succeed.
But if we think we can't do it since we haven't started.
Well remember it will never happen..
╔═══════════╗
Blockdit. Analytical article source.
Deep in deep content
The latest podcast feature is available.
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Follow to invest manly at
Website - longtunman.com
Blockdit-blockdit.com/longtunman
Facebook-@[113397052526245:274: lngthun mæn]
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram-instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.youtube.com/watch?v=uCgEhOwW-uo
-http://www.huaplachongnonsea.com/about-us/
-https://datawarehouse.dbd.go.th/fin/profitloss/5/0115553009706
-https://www.youtube.com/watch?v=FcGOOVUmYccTranslated
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「intention to-treat」的推薦目錄:
- 關於intention to-treat 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於intention to-treat 在 Pakar diari hati Facebook 的最佳解答
- 關於intention to-treat 在 Firdaus Wong Wai Hung Facebook 的最佳解答
- 關於intention to-treat 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳貼文
- 關於intention to-treat 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
- 關於intention to-treat 在 大象中醫 Youtube 的最讚貼文
- 關於intention to-treat 在 PubMed Health - What is intention-to-treat analysis and... 的評價
intention to-treat 在 Pakar diari hati Facebook 的最佳解答
Alkisah sebuah hidangan isteri.
Mak saya suka memasak tapi mak bukan seorang suri rumah, mak seorang engineer. Ada satu malam, mak balik sangat kepenatan tapi masih perlu memasak untuk saya dan abah.
Mak hanya mampu masak ayam kunyit, sayur kailan ikan masin dan nasi. 3 hidangan itu diletakkan di meja makan di mana ayah duduk goyang kaki menunggu makan.
Ayah meminta diri untuk solat Maghrib dulu sebelum makan. Ketika itu saya mencuba hidangan mak. Alamak, ayam kuncit terlalu masin, kailan separuh masak dan nasi hanyit.
Namun saya diam.
Selepas Isyak, ayah menjamu makanan masakan mak. Sambil makan, ayah bertanya bagaimana sekolah hari ini.
Saya tidak berapa ingat apa jawapan saya.
Ketika makan, mak mohon maaf pada ayah atas masakannya. Tapi ayah menjawab, “Sangat sedap sayang. Abang suka semua hidangan ini.”
Malam itu, sebelum tidur, saya pergi bersalam dengan ayah yang masih di ruang tamu dan bertanya betul ke ayah suka masakan mak tadi yang saya sendiri terasa susah nak telan.
“Anakku, mak dah penat sepanjang hari kerja. Mak dah penat. Hidangan kurang enak tak melukakan Mie dan ayah tapi kata-kata kasar akan menghiris perasaan,” kata ayah.
Mendengar kata-kata ayah, saya tersentak.
Lalu saya masuk bilik untuk bersalam dengan mak dan bertanya…
“Mak rasa ayah tadi kata suka masakan mak hari ini, mak percaya ke?”
“Anakku. Itu tak penting. Yang penting ayah jaga hati mak dan selepas makan, ayah tolong mak cuci pinggan. Ayah kamu itu orang besar, tapi benda-benda kecil sebegini yang buat mak sentiasa rasa bahagia kerana terasa ayah betul-betul sayang kat mak,” jawab mak.
Itulah perkara yang berlaku ketika kecil dan saya mengingati sehingga hari ini.
Kini saya sudah berkahwin, anak sudah tiga – dan melihat kembali kenangan manis ayah dan emak, saya semakin memahami fikiran mereka pada masa itu.
Mak dan ayah dan tindak-tanduk mereka menunjukkan mereka menerima segala kelemahan antara satu-sama lain dan meraikan perbezaan tersebut supaya hubungan erat dan kukuh sentiasa berkekalan. Mereka meraikan segalanya antara mereka, dan berusaha bersama untuk memastikan pasangan mereka sentiasa gembira dan bahagia.
Wahai anakku,
Hidup ini terlalu singkat untuk sebarang kekesalan. Jangan hidup dalam kekesalan. Hargailah segala yang dilakukan oleh orang-orang kesayangan kita, walaupun kadangkala kita tidak beberapa menyukainya. Mereka lakukan dengan kasih sayang, maka balaslah niat itu juga dengan kasih sayang dan kesyukuran bahawa ada yang masih sanggup melayan kita dengan baik.
Ingatlah masa yang berlalu tidak akan berpatah balik.
The story of a wife's meal.
My mom likes to cook but mom is not a housewife, mom is an engineer. There was one night, mom came back so tired but still had to cook for me and dad.
Mom can only cook turmeric chicken, vegetable when salted fish and rice. The 3 meals were put at the dining room where dad sat rocking legs waiting for a meal.
Dad asks himself for Maghrib prayers before eating. At that time I tried mom's meal. Oh my god, the chicken is too salty, when is half cooked and the rice is hanyit.
But I am silent.
After Isyak, dad is eating mom's food. While eating, dad asked how school was today.
I don't really remember my answer.
While eating, mom apologizes to dad for the cooking. But dad replied, ′′ So yummy baby. I love all these dishes."
The other night, before bedtime, I went to shake with dad who is still in the living room and asked me right about my mom's cooking just now that I felt hard to swallow.
′′ My child, mom has been tired all day working. Mom is tired. A bad dish doesn't hurt Noodle and dad but a bad word will cut the feeling," dad said.
Hearing dad words, I'm breathing.
Then I went to the room to shake with mom and ask...
′′ Mom thinks dad said he likes mom's cooking today, do you believe me?"
′′ My son. That's not important. The most important thing is that dad takes care of mom's heart and after eating, dad helps mom to wash Your dad is a big man, but small things like this that make mom always feel happy because dad really loves mom," answer mom.
That's what happened when I was little and I remember today.
Now I'm married, three kids - and look back on the sweet memories of dad and mom, I'm more understanding of their thoughts at the time.
Mom and dad and their horns show they accept each other's weaknesses and celebrate the difference so that a close and strong relationship lasts. They celebrate everything between them, and work together to keep their partner happy and happy.
Oh my son,
Life is too short for any annoyance. Do not live in annoyance. Appreciate everything our loved ones do, even though we don't like them sometimes. They do it with love, then reply to the intention also with love and gratitude that there are those who are still able to treat us well.
Remember the time that passes will never turn back.Translated
intention to-treat 在 Firdaus Wong Wai Hung Facebook 的最佳解答
PRESS RELEASE BY DR ZAKIR NAIK.
“My praise of Malaysian Govt’s fair treatment of minorities has been twisted to politicize me and create racial disharmony; it will not succeed”, says Dr Zakir Naik.
Putra Jaya, Aug 13, 2019 – Renowned Islamic preacher Dr Zakir Naik has hit back at allegations that he was creating religious disharmony among Malaysians, by alleging that his detractors were wrongly quoting him out of context with a view to politicise and malign him. Dr. Naik also added that he had actually praised Malaysia for its genuinely Islamic way of treating Hindu minorities and in upholding their rights, something that the Indian government had failed to do with its minorities.
Dr Zakir Naik was responding to questions following a series of three lectures spanning over three days, organised by the Kelantan State Government. Dr Naik spoke extensively on the topics of ‘Qur’aan - The Path to Happiness’, ‘Misconceptions about Islam’ and ‘Islamophobia’. The third event was held at the Sultan Muhammad IV Stadium in Kota Bharu city of Malaysia and saw a record attendance of 100,000 men, women and children from across the state. It received a massive response from the people who stayed back till the early hours of the morning.
In an humbling moment on 9th August, Dr Zakir Naik was also conferred the Daa’ee Ummah award, the highest religious award of Kelantan by Ustaz Dato Ahmad Yakob, the Chief Minister of Kelantan.
Said Dr Naik, “The allegations reported in the media are mischievous and designed to not only politicize me but also create religious disharmony within the community. Recordings of my talks will reveal that the reality is the opposite of what is being alleged. After my lecture on “Misconceptions about Islaam”, I was asked a specific question from the audience on the ongoing Kashmir issue and the plight of Muslims in India. In my reply I actually praised Malaysia and its government for the way it has been treating its Hindu minorities and for giving them their due rights, something that the Indian government has failed to do with Muslim minorities in India."
"On the charges against me by the Modi government, my stance was very categorical. I found it unfair that a certain group of Hindus in Malaysia seemed to trust the Modi government more than the Interpol, or the Indian courts, or the Malaysian government itself. My praise of the Malaysian government for its Islamic and fair treatment of Hindu minorities is being twisted and misquoted to suit political gains and create communal rifts.”
According to Dr Naik, the event’s scale and success did not go down well with the groups that do not like him. “The event audience that constituted mainly Muslim men and women as well as media persons did not find anything wrong in all the eight hours of my three lectures and Question and Answer Sessions. However, it took more than three days for my detractors to create an issue out of nothing. Any attempts to create a communal rift is unfair towards the people of Malaysia and I’m sure, In Sha Allah, that these attempts will fail,” added Dr. Naik.
*Dr Zakir Naik explains his stance in detail in a statement below –*
"After my speech on 9th August at Sultan Muhammad IV Stadium in Kota Bharu, there were very positive reports in the media for the next two days. The media also mentioned that I had supported Tun Mahathir. This could not be digested by a certain clique of politically-motivated hate-mongers within the country. It seems that these people scanned my lectures in a desperate attempt to pick out something blameworthy and vilify me. Having found nothing they could use against me, they resorted to dishonest schemes. Since yesterday, the 12th of August, there has been a campaign in the media against me. The allegations are based on out-of-context statements, deliberate misquotations and even complete fabrications intended to malign me for political agendas.
They alleged, “Naik recently compared the Hindus in Malaysia to the Muslims in India and said that the former enjoyed more than 100% rights in Malaysia compared to Muslims in India. He further said that it was unfortunate that Hindus in Malaysia, despite the benefits, are more loyal to the Indian Prime Minister Narendra Modi than to Tun Dr Mahathir.” Then they went on to say that I am creating racial and religious disharmony and communal hatred.
Firstly, I never said the above in my speech. There was a question posed to me after my second talk in Kelantan on 8th August regarding the Indian government deleting Article 370 from its constitution and its atrocities in Kashmir. The questioner also asked how the Malaysians and brothers in Islam should react.
My reply lasted more than 24 minutes and towards the end I said, “What’s happening in India? In India we Muslims are a minority, according to the government 14.5%, Muslims say we are about 20–25%, but even if we agree 14.5%, here the non-Muslims—the Hindus—are 6.3% to 6.4%. The Hindus in Malaysia get 100 times more rights than the Muslims in India. Good Alhamdulillah, I am not saying take away their rights. Good, this is what Muslims should do. They are half the percentage, numbers-wise very less, half the percentage of India where Muslims are, yet the rights they get here is hundred times more than what India gives rights to minorities. So much so that they support the Prime Minister of India but not the Prime Minister of Malaysia, Masha Allah. The PM of India wants me, the PM of Malaysia does not want injustice to be done to me. The Hindu Malaysians, most of them support the PM of India. There is no evidence against me in the Malaysian police. Interpol says no evidence, they are believing more in India, they are more Indian than the Indians themselves. And yet they are enjoying Alhamdulillah. At least the Muslims should get their rights.”
I did not say Hindus in Malaysia get 100% more rights than Muslims in India but I said, “Hindus in Malaysia get 100 times more rights than Muslims in India,” which is 10,000% and not 100%. I did not stop there but went further to say, “Good Alhamdulillah, I am not saying take away their rights. GOOD, THIS IS WHAT MUSLIMS SHOULD DO.” I applauded the Malaysian government as well as the Muslims in Malaysia and asked them to continue to treat the Hindu minorities justly, as instructed in Islam. I never said that Muslims in Malaysia should retaliate against the Hindus in Malaysia because of how Muslims in India are being persecuted. They are being forced to say “Jai Sri Ram”, and if they do not say it many are being lynched in public. Many Muslims are being killed for allegations of eating beef, etc. More than 36 Muslims were lynched and killed in public in the last two years, etc. Yet, as I reiterated, none of this justifies the mistreatment of another people elsewhere in the world. In fact, I said Malaysia should continue to follow Islamic teachings and be good and just to the Hindu minority. I have also said many times in my speeches and Q&A sessions that Muslims should always be good to non-Muslims even if they ill-treat us. “Nor can goodness and Evil be equal. Repel (Evil) with what is better: then will the one whom between you and him was hatred become as though he was a devoted friend.” (Al Qur’aan 41:34)
Secondly I never made a general statement as claimed by them that, “It was unfortunate that Hindus in Malaysia, despite the benefits, are more loyal to the Indian Prime Minister Narendra Modi than to Tun Dr Mahathir.” What I said was in context of my own case—that some Hindu groups opted to support the Modi government in its extradition request despite there being no evidence against me, and despite the fact that the Interpol, the Indian court and Malaysian government have rejected the false accusations directed at me.
It should be blindingly obvious to anybody who looks at the situation with a fair mind, that I am being deliberately misrepresented. These politically-motivated people misquoted me with the intention of getting me arrested. But no just court of law, including the Malaysian court, will ever agree with their accusations. Rather, it is these people who should be taken to task for creating racial disharmony and hatred between two religious communities in the multicultural nation of Malaysia."
[End of statement]
intention to-treat 在 PubMed Health - What is intention-to-treat analysis and... 的推薦與評價
An intention-to-treat (ITT) analysis of the results of an experiment is based on the initial treatment assignment and not on the treatment ... ... <看更多>