มหากาพย์ โดริโทส /โดย ลงทุนแมน
ตั้งแต่ลงทุนแมนเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจขนมมา เรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องราวที่สนุกที่สุด ซึ่งเราจะไม่มีทางเดาได้เลยว่า โดริโทส เกิดขึ้นมาได้อย่างไร จนกว่าจะอ่านบทความนี้จบ
แนะนำให้อ่านดู รับรองว่าจะวางไม่ลง
หลายคนอาจจะคิดว่า Lay’s, Doritos และ Cheetos คือแบรนด์ขนมอบกรอบที่กำลังแข่งขันกันในหลายประเทศทั่วทุกมุมโลก
แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่แบบนั้นเพราะแบรนด์ทั้งหมดนี้ผลิตมาจากบริษัทเดียวกัน นั่นก็คือ “Frito-Lay”
ซึ่งปัจจุบันเป็นบริษัทในเครือ PepsiCo ผู้ผลิตเป๊ปซี่และเครื่องดื่มชื่อดังอีกหลายยี่ห้อ
หากย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น บริษัท Frito-Lay เกิดมาจากการควบรวมกิจการของ 2 บริษัท
บริษัทแรก ชื่อว่า H.W. Lay & Co. ที่มีผลิตภัณฑ์หลักอย่างมันฝรั่งทอดกรอบยี่ห้อ Lay’s
บริษัทที่สอง ชื่อว่า The Frito Co. ที่ใช้ข้าวโพดเป็นวัตถุดิบหลักของขนมอบกรอบหลากหลายยี่ห้อ
โดยขนม 3 ใน 4 ยี่ห้อที่ขายดีที่สุดของ Frito-Lay
ซึ่งก็ได้แก่ Fritos, Doritos และ Cheetos ล้วนถูกคิดค้นโดยบริษัท The Frito Co.
แล้วจุดเริ่มต้นของขนมอบกรอบเหล่านี้มีเรื่องราวน่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปกว่า 90 ปีก่อน ในช่วงทศวรรษ 1930s ที่รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา
ครอบครัว Doolin ได้เปิดร้านขายขนมหวานขนาดเล็กที่ชื่อว่า The Highland Park
โดยมีสินค้าหลักคือไอศกรีม ที่ทางร้านซื้อมาจากซัปพลายเออร์ 2 เจ้า
แต่พอเริ่มกิจการได้ไม่นาน เหล่าซัปพลายเออร์ไอศกรีมก็แข่งกันตัดราคาขายเพื่อแย่งชิงลูกค้า ส่งผลให้ไอศกรีมมีคุณภาพลดลง จนทำให้ยอดขายของทางร้านลดลงตามไปด้วยและยังถูกซ้ำเติมด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ของสหรัฐอมริกา
หนึ่งในลูกชายของครอบครัวนี้ที่ชื่อว่า “Charles Elmer Doolin” จึงพยายามคิดหาไอเดียขนมชนิดใหม่ ที่จะช่วยพลิกฟื้นสถานการณ์ของทางร้านได้ แต่ยังคงไม่เจอไอเดียที่เจ๋งมากพอ
Doolin ในวัย 29 ปี จึงตัดสินใจไปทำงานที่บริษัทไอศกรีมชื่อดังซึ่งอยู่อีกเมือง
ระหว่างการเดินทาง เขาก็ได้พบเข้ากับร้านขายขนมอบกรอบในปั๊มน้ำมัน
ที่ตัวขนมมีรสชาติอร่อยจน Doolin ติดใจ เขาจึงเปลี่ยนใจมาทำงานที่ร้านแผงลอยแห่งนี้แทน
เจ้าของร้านแห่งนี้เป็นชาวเม็กซิกัน ขายขนมอบกรอบที่เรียกว่า Corn Chips หรือคือขนมแผ่นทอดกรอบรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าปรุงรสด้วยเกลือ ซึ่งทำมาจากเมล็ดข้าวโพดที่นำมาบดละเอียดจนคล้ายแป้ง
แต่แม้ว่า Corn Chips จะขายดีมาก เจ้าของร้านชาวเม็กซิกันอยากกลับไปสอนฟุตบอลที่ประเทศตัวเองมากกว่า จึงประกาศขายกิจการ
นั่นจึงทำให้ Doolin สนใจซื้อกิจการต่อในทันที แต่เขามีเงินไม่พอ แต่โชคยังดีที่แม่ของเขาก็สนใจ Corn Chips และมองว่าน่าจะขายดี จึงช่วยสนับสนุนเรื่องเงินให้
Doolin ได้ตั้งชื่อกิจการ Corn Chips ของตัวเองว่า “Fritos” ที่แปลว่า ของทอด ในภาษาสเปน
Fritos ได้กลายมาเป็นกิจการใหม่ของครอบครัว Doolin
โดยเริ่มจากผลิตขนมในครัวที่บ้านและออกไปตระเวนเสนอสินค้าให้กับเจ้าของร้านค้า เพื่อให้วางขาย Fritos ซึ่งก็ถือว่าเป็นงานยากพอควร เพราะในขณะนั้น Corn Chips ไม่ได้มีเพียง Fritos ยี่ห้อเดียว
แต่ก็คงเป็นเหตุผลเดียวกันกับที่ Doolin ติดใจขนมตัวนี้จนต้องขอเข้าไปทำงานด้วย เพราะสูตรขนมนี้มีรสชาติอร่อย ทำให้ขายดีจนผลิตไม่ทัน
และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ Fritos เปลี่ยนจากกิจการขนมทำมือในครอบครัว มาเป็นการผลิตที่เริ่มใช้เครื่องทุ่นแรง โดย Doolin และพี่ชายที่มีความรู้ด้านเครื่องจักรกลอยู่แล้ว ได้ช่วยกันประดิษฐ์เครื่องบดข้าวโพดอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้ผลิตขนมได้เร็วกว่าการใช้เครื่องบดมือแบบเดิม
จนมาถึงช่วงทศวรรษ 1950s กิจการ Fritos ขยายการผลิตจากครัวที่บ้านมาสู่โรงงาน 2 แห่ง ที่เมืองดัลลัสและทัลซา ซึ่งได้ต้นแบบมาจากระบบสายพานที่ Henry Ford นำมาใช้ผลิตรถยนต์ รวมไปถึงได้มีไร่ปลูกข้าวโพดเป็นของตัวเอง เพื่อควบคุมคุณภาพวัตถุดิบสำคัญให้มีรสชาติดีที่สุด
ในช่วงเวลานั้นเอง Doolin ก็เริ่มคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่มาเสริม หลังจากลองผิดลองถูกในครัวที่บ้านอยู่สักพัก ก็ได้ออกมาเป็น “Cheetos” ที่ยังคงทำมาจากข้าวโพดเหมือนเดิม แต่ให้รสสัมผัสที่ฟูกว่า และให้รสชาติด้วยชีสแทนเกลือ
โดย Cheetos ก็ได้กระแสตอบรับที่ดีมาก จน Doolin อยากขยายตลาดไปทั่วประเทศ
แต่ด้วยกำลังการผลิตที่บริษัทมีอยู่ตอนนั้นยังไม่เพียงพอและยังไม่มีช่องทางจัดจำหน่ายรองรับมากพอ Doolin จึงไปขอเป็นพาร์ตเนอร์กับคุณ Herman W. Lay ที่เป็นเจ้าของบริษัท H.W. Lay & Co.
Lay เริ่มขายมันฝรั่งแผ่นทอดกรอบในช่วงเดียวกับที่ Doolin เริ่มขาย Fritos แต่ Lay ได้ลงทุนซื้อโรงงานและบริษัทจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อขยายกำลังการผลิตไปก่อนแล้ว จึงมีความพร้อมในด้านที่ Doolin ต้องการพอดี
ความสำเร็จของ Lay ก็ต้องบอกว่ามาจากความสามารถทางธุรกิจของคุณ Herman W. Lay ที่ทำให้มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบธรรมดาโดดเด่นขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการตลาด โดย Lay คือบริษัทขนมอบกรอบแรก ที่ซื้อโฆษณาทางโทรทัศน์และจ้างพรีเซนเตอร์ที่เป็นเซเลบริตีในปี 1944
หรืออย่างการคิดค้นรสชาติที่หลากหลาย อย่างรสบาร์บิคิวที่เริ่มขายช่วงปลายทศวรรษ 1950s และรสซาวร์ครีมและหัวหอมที่เริ่มขายช่วงปลายทศวรรษ 1970s มาจนถึงปัจจุบันที่ได้พัฒนารสชาติไปแล้วมากกว่า 200 รส
หลังจากได้เป็นพาร์ตเนอร์กับ H.W. Lay & Co. แล้ว Cheetos จึงได้เริ่มวางขายไปทั่วประเทศในปี 1948
และความสำเร็จของ Cheetos ก็ได้ทำให้ในปี 1961 บริษัท Fritos และ H.W. Lay & Co. ตัดสินใจควบรวมกิจการกัน และใช้ชื่อใหม่ว่า “Frito-Lay”
ก่อนที่ปี 1965 Frito-Lay จะควบรวมกิจการกับบริษัท Pepsi-Cola ที่เปลี่ยนชื่อมาเป็น PepsiCo ในปัจจุบัน
และนับตั้งแต่นั้นมา Frito-Lay ก็ถือเป็นบริษัทในเครือ PepsiCo นั่นเอง
แต่นอกจากโรงงานผลิตขนมอบกรอบแล้ว Doolin ยังสนใจเปิดร้านอาหารด้วย
ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่ Disneyland เพิ่งเริ่มเปิดให้บริการพอดี
Doolin จึงเลือกเปิดร้านอาหารในสถานที่แห่งนี้
ในปี 1955 กิจการร้านอาหารมีชื่อว่า Casa de Fritos จึงเริ่มต้นขึ้น
โดยเน้นขายอาหารแนวฟิวชันเม็กซิกันอเมริกันและมีเมนูที่ใช้ Fritos เป็นส่วนประกอบหลักอยู่ด้วย
ส่วนวัตถุดิบหลักชนิดอื่นอย่างเช่นแป้งตอร์ติยา ทางร้านเลือกซื้อจากบริษัท Alex Foods
อยู่มาวันหนึ่งในปี 1960 พนักงานขายจาก Alex Foods เห็นว่าทางร้านต้องทิ้งแป้งตอร์ติยาที่ไม่สดแล้วในปริมาณมาก
พนักงานขายคนนั้นเลยขอลองเอาแป้งตอร์ติยาเหล่านั้นมาตัดเป็นชิ้นสามเหลี่ยมขนาดพอดีคำ
แล้วนำไปทอด และพอได้ลองชิม ทุกคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย
เพราะแป้งตอร์ติยานั้น แม้จะทำมาจากข้าวโพดเหมือนกัน
แต่ถูกนำไปอบมาแล้ว พอนำมาทอดจึงให้รสสัมผัสที่กรอบกว่า Fritos
ร้าน Casa de Fritos จึงนำแป้งตอร์ติยาทอดไปใส่เป็นเมนูประจำ ซึ่งก็ได้รับความนิยมมาก
ซึ่งผู้ที่เล็งเห็นกระแสตอบรับที่ดีนี้ก็คือคุณ “Arch West” ที่เพิ่งเริ่มทำงานเป็นผู้บริหารด้านการตลาด ให้ Fritos ในปีนั้นเอง
และการที่คุณ Arch West ได้มาเจอกับแป้งตอร์ติยาทอดกรอบทรงสามเหลี่ยม ก็ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่ทำให้รายได้ของบริษัท เปลี่ยนจากหลักพันล้านบาทมาเป็นหมื่นล้านบาท
ในตอนนั้นบริษัท Frito-Lay มีสินค้าหลัก 4 ยี่ห้อ นั่นก็คือ Fritos, Cheetos, Ruffles และ Lay’s ที่สร้างรายได้ให้บริษัทราว 4 พันล้านบาทต่อปี
West เล็งเห็นโอกาสในแป้งตอร์ติยาทอดกรอบ ที่น่าจะกลายมาเป็นสินค้าขายดีชนิดใหม่ได้
จึงเสนอไอเดียนี้ให้กับทางบริษัท และตั้งชื่อว่า “Doritos” และเริ่มขายในปี 1966 ด้วยรส Toasted Corn
West ยังสังเกตว่าขนมของ Frito-Lay ในขณะนั้นส่วนใหญ่จะเป็นรสธรรมดา ซึ่งก็คือเกลือและชีส
เขาจึงอยากสร้างความแตกต่างให้กับ Doritos ด้วยการปรุงรส
ไอเดียสุดล้ำที่ West ไปนำเสนอก็คือ Doritos รส Taco หรือ ตาโก
ซึ่งเป็นชื่ออาหารเม็กซิกันชนิดหนึ่ง นั่นจึงทำให้เขาโดนหัวเราะใส่
เพราะทุกคนบอกว่านั่นมันเป็นชนิดอาหาร ไม่ใช่รสชาติ
ซึ่งที่รสตาโกดูเป็นเรื่องตลกในสมัยนั้นก็เพราะว่าเทคโนโลยีด้านรสชาติยังไม่ค่อยก้าวหน้า
คนอเมริกันเพิ่งเริ่มรู้จักขนมอบกรอบอยู่ไม่กี่รสชาติ เช่น รสบาร์บิคิวและซาวร์ครีม
แต่ต้องขอบคุณความไม่ย่อท้อของ West ที่ยังคงผลักดันและหาทางทดลองจนทำให้เกิด Doritos รสตาโกขึ้นมาได้สำเร็จ และกลายมาเป็นรสชาติที่สร้างความตื่นเต้นไปทั่วสหรัฐอเมริกา ทันทีที่เริ่มขายในปี 1967
ซึ่งรสตาโกนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนารสชาติต่อมาของ Doritos อย่างรส Nacho Cheese หรือก็คือ Doritos ซองสีแดงที่เราคุ้นเคย ที่เริ่มผลิตในปี 1972 และกลายเป็นรสชาติเอกลักษณ์ของ Doritos มาจนถึงปัจจุบัน และ Doritos ก็ได้กลายมาเป็นขนมขายดี 3 อันดับแรกของบริษัท Frito-Lay
ปัจจุบัน Frito-Lay มีขนมกว่า 29 ยี่ห้อ ที่สร้างรายได้ต่อปีกว่า 5 แสนล้านบาท
คิดเป็น 25% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท PepsiCo
ก็ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าจากการออกเดินทางของ Doolin ที่ต้องการหาไอเดียพัฒนาแบรนด์ขนมเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว ได้กลายมาเป็นบริษัทเจ้าของขนมอบกรอบอย่าง Frito-Lay ที่ขายดีทั่วทุกมุมโลกและสามารถครองใจผู้บริโภคมาได้อย่างยาวนาน
ปิดท้ายด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ
Cheetos ที่เริ่มมีมาตั้งแต่ปี 1948 แต่รู้หรือไม่ว่ารสชาติที่ขายดีที่สุด ก็คือรส Hot Cheetos
คิดค้นโดยภารโรงที่มีชื่อว่า Richard Martinez
Martinez เป็นชาวเม็กซิกันที่เลิกเรียนต่อตอน ป.4 เพราะอ่านเขียนภาษาอังกฤษไม่ได้
เมื่ออายุ 18 ปี เพื่อนของเขาก็ได้ชวนมาทำงานเป็นภารโรงในโรงงานของ Frito-Lay
CEO ของทางบริษัทในขณะนั้น ได้มีนโยบายให้พนักงานทุกคนทำงานเหมือนกับตัวเองเป็นเจ้าของกิจการซึ่งพอทาง Martinez ปิ๊งไอเดียรส Hot Cheetos ขึ้นมา เขาก็ได้โทรไปหาเลขาฯ CEO
โดย CEO ก็รับฟังแต่โดยดีและก็ได้นำไปพรีเซนต์ให้กับทีมผู้บริหารฟัง
สรุปแล้ว ไอเดียของ Martinez ได้รับผลตอบรับดีถล่มทลาย จนสามารถขยายการผลิตไปได้ ทั่วประเทศ นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.businessinsider.com/doritos-are-from-disneyland-garbage-the-surprising-history-2014-5
-https://www.insider.com/fun-facts-about-cheetos-snacks-2020-7
-https://www.insider.com/lays-fun-facts-potato-chips-2018-11
-https://www.mashed.com/233073/the-untold-truth-of-fritos/
-https://www.fritolay.com/about-frito-lay/company-story
-https://en.wikipedia.org/wiki/Frito-Lay#H.W._Lay_&_Company
-https://www.foodbusinessnews.net/articles/17933-snacks-success-helps-offset-beverage-challenges-at-pepsico
同時也有268部Youtube影片,追蹤數超過4萬的網紅Hilty & Bosch,也在其Youtube影片中提到,【这!就是街舞 第四季 -Street Dance of China S4-】 https://youtube.com/playlist?list=PLB_lie3fxsalr3nw3d3ajkmO7VAMtPfhj Shooting studio:En Dance Studio FILM:eis...
「lay twitter」的推薦目錄:
- 關於lay twitter 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於lay twitter 在 Facebook 的精選貼文
- 關於lay twitter 在 Cổ Động Facebook 的最佳解答
- 關於lay twitter 在 Hilty & Bosch Youtube 的最佳貼文
- 關於lay twitter 在 生かし屋 IKASHIYA CULINARY ART Youtube 的最讚貼文
- 關於lay twitter 在 生かし屋 IKASHIYA CULINARY ART Youtube 的最佳解答
- 關於lay twitter 在 EXO 相愛吧!初心不變- 唯12 - lay的Twitter!大家都follow了吗? 的評價
- 關於lay twitter 在 Victony - Soweto with Omah Lay & Tempoe (Official Lyric Video) 的評價
- 關於lay twitter 在 Lay Zhang Studio on Twitter - Pinterest 的評價
- 關於lay twitter 在 The end of Silicon Valley's 20-year boom. 的評價
lay twitter 在 Facebook 的精選貼文
Thay vì phải bỏ đi sau ảnh hưởng từ trận động đất hôm 13/2 những lon bia méo mó tại một siêu thị ở thành phố Fukushima lại trở nên bán chạy hơn nhờ chiến lược marketing thành công.
Ngày 13/2 vừa qua, trận động đất dữ dội ở Tohoku (Nhật Bản) không thiệt hại về con người mà còn tàn phá nặng nề đến vật chất cũng như các cơ sở kinh doanh. Một trong những cơ sở kinh doanh bị ảnh hưởng bởi trận động đất Nhật Bản vừa qua là siêu thị Happy Food RE Fanz ở thành phố Date, Fukushima.
Một phần trần nhà của họ bị sập và một số mặt hàng bị lung lay khỏi kệ bao gồm cả lon bia và các loại alcopop khác bị móp. Ngay cả khi không có thiên tai, đồ hộp bị móp là chuyện thường xuyên xảy ra và chúng được xếp vào hàng giảm giá đặc biệt: "hàng hư hỏng".
Tuy nhiên, nhân viên phụ trách mảng rượu tại siêu thị này, Yohei Sato đã nghĩ ra một ý tưởng.
Siêu thị này vẫn bán đúng giá những lon bia bị méo trong trận động đất cực mạnh tuần trước với một tấm biển ca ngợi tinh thần của những lon bia với nội dung: "Đây là những vị anh hùng đã dũng cảm vượt qua trận động đất. Chúng tôi không muốn chúng bị đối xử như những sản phẩm bị rơi và hư hỏng phải đem bán giảm giá. Bên trong chúng là những vị cồn thơm ngon dù vẻ bề ngoài nhìn không bắt mắt. Hãy mua và để những lon bia này sống hết cuộc đời với tư cách là một thức uống thơm ngon".
Kèm theo dòng chữ giới thiệu, các nhân viên của siêu thị Happy Food RE Fanz còn vẽ một tấm áp phích đưa ra khẩu hiệu đầy mạnh mẽ nhưng vô sức đáng yêu của một lon bia thương tích đầy mình: "Chúng tôi không hề bị động đất đánh bại".
Những đồ uống bị méo mó trên đều được bán với giá bình thường nhưng khẩu hiệu trên, những lon bia này thậm chí còn được bán chạy hơn bình thường thay vì phải bỏ đi.
Theo chia sẻ trên trang Twitter có địa chỉ @ utsukushimarock cho biết, chỉ bằng thông điệp này, tới ngày 17/2, siêu thị Happy Food RE Fanz đã bán hết số bia bị ảnh hưởng bởi động đất của mình.
Sau khi câu chuyện được chia sẻ lên mạng xã hội, rất nhiều người đã khen ngợi ý tưởng sáng tạo của siêu thị: "Nếu nó bị rơi bởi một nhân viên bất cẩn hoặc khách hàng thì đó là một chuyện, nhưng vì đó là một trận động đất, thiệt hại là không thể tránh khỏi, vì vậy tôi thích ý tưởng này" hay "Quả là một ý tưởng thiên tài, tưởng chừng như phải bỏ hết những lon bia bị méo mó trên nhưng với khối óc của con người chúng ta được nhân cách hóa và bán chạy".
lay twitter 在 Cổ Động Facebook 的最佳解答
NGUYỄN HỒNG NHUNG, KẺ ĐÁNH THỨC ÂM THANH
Nguyễn Hồng Nhung (nghệ danh: Nhung Nguyễn) là một nghệ sĩ âm thanh tại Hà Nội, thử nghiệm nhiều thể loại khác nhau như nhạc drone, âm thanh điện tử, nhạc tiếng ồn, âm nhạc cụ thể (musique concrete) cùng các loại nhạc khác.
Nhạc và âm thanh của Nhung đã xuất hiện trong các dự án bao gồm Liberation Radio (2021, Hà Nội), Citizen Earth (2020), Nước Xanh Non Biếc của Lê Giang (2020, TP.HCM và Hà Nội), Quên Lãng Nên Thơ của Phan Thảo Nguyên (TP.HCM và Hà Nội, 2017) và các sáng kiến nghệ thuật đại chúng như Into Thin Air (2016) và Into Thin Air 2 (2018). Ngoài ra, cô cũng đã sáng tác nhạc cho các bộ phim ngắn.
Bên cạnh việc sáng tác cá nhân, Nhung thường xuyên cộng tác với các nghệ sĩ thuộc nhiều lĩnh vực khác nhau trong việc kết hợp yếu tố âm nhạc với trải nghiệm thị giác. Tiếp xúc với piano từ rất sớm, nhưng dường như Nhung đã chọn cho mình một con đường khó đi hơn, đó là hành trình của cô với nhạc thể nghiệm.
Tự học, kiên trì và kết nối với những nghệ sĩ trên khắp thế giới, Nhung đang trên con đường khám phá bản thân thông qua những thanh âm, bên cạnh việc biểu đạt những tác phẩm của cô dưới các hình thái khác nhau.
🙏Hỏi: Sự khác nhau giữa dự án Sound Awakener và dự án mang chính tên Nhung?
🔥Trả lời: Sound Awakener là dự án cá nhân của mình, tập trung vào nhạc ambient thể nghiệm, nhạc drone, âm nhạc cụ thể (musique concrete), âm nhạc tiếng ồn (noise music) và các hình thức biểu đạt liên quan khác. Theo nghĩa đen nó có nghĩa là kẻ đánh thức âm thanh.
Trong quá trình làm việc và đặc biệt trong công việc của một nhà soạn nhạc phim, mình tìm thấy những track nhạc thiên về hướng giai điệu nhiều hơn và ít tính trừu tượng hơn các album đứng dưới tên Sound Awakener.
Thật khó xếp chúng vào chung một nhánh. Vậy chỉ có một cách đơn giản là bê những track mang tính giai điệu hơn này sang một cái tên khác, dễ nghĩ ra nhất chính là tên thật của mình.
🙏Hỏi: Nhung đã cho ra mắt bao nhiêu album dưới cái tên Sound Awakener?
🔥Trả lời: Cho đến giờ thì Sound Awakener đã có 6 album full-length và 2 tuyển tập phát hành qua các label nhạc thể nghiệm/ambient độc lập trên thế giới. Trong đó có thể kể đến các label sau: Fluid Radio (Vương quốc Anh), Flaming Pines (Vương quốc Anh), Syrphe (Đức), Time Released Sound (Mỹ), Unknown Tone Records (Mỹ).
Trong đó, album mình tâm đắc nhất chính là album vừa được Fluid Radio phát hành vào cuối năm ngoái - Departures. Đây là album hợp tác giữa mình và Dalot (một dự án của nghệ sĩ âm thanh người Hi Lạp tên là Maria Papadomanolaki), được làm trong quãng thời gian hơn một năm rưỡi tính từ đầu năm 2019. Album lấy cảm hứng từ đề tài di cư và những suy tưởng về nơi chốn. Departures cùng một lúc mang sắc thái u tối của sự cách biệt, chia cắt cũng như những tia hi vọng, lạc quan giữa một bối cảnh hỗn loạn của thế giới trong dịch bệnh - khoảng thời gian mà phần lớn album này được thực hiện.
🙏Hỏi: Được biết Nhung đã học piano từ khi còn bé, đây có phải là bước đệm cho việc bạn thực hành nhạc thể nghiệm sau này?
🔥Trả lời: Việc học piano cổ điển là việc thực sự đã và đang giúp ích rất nhiều cho mình. Vì nó cho mình một nền tảng cơ bản, vững chắc về lý thuyết âm nhạc. Và việc học những kỹ năng về piano cũng là việc hỗ trợ hiệu quả cho công việc sản xuất âm nhạc sau này.
Việc đọc và học về lịch sử nhạc cổ điển cũng truyền cảm hứng để mình tìm hiểu về phần tiếp sau đó của lịch sử âm nhạc thế giới. Nó bao gồm âm nhạc thế kỷ 20, âm nhạc thể nghiệm và nhạc đương đại tại thế kỷ 21.
Nhiều người thường đặt câu hỏi: Nếu bạn là một nghệ sĩ nhạc điện tử, bạn có cần biết nhạc lý hay học chơi một loại nhạc cụ mộc nào đó trước đây không ? Câu trả lời là cả có và không - bởi vì bạn không bắt buộc phải biết những kỹ năng này - nhưng việc biết nó có khả năng là lợi thế. Tất nhiên mình cũng biết rất nhiều bạn bè, đồng nghiệp của mình không biết chút gì về nhạc lý và không chơi nhạc cụ nào ngoài các thiết bị/nhạc cụ điện tử nhưng vẫn làm rất tốt việc của họ. Nên một lần nữa điều này hoàn toàn thuộc vào lựa chọn và nguyện vọng cá nhân của mỗi người.
🙏Hỏi: Nhung biết đến nhạc thể nghiệm và thực hành nó như thế nào?
🔥Trả lời: Từ việc tìm tài liệu đọc về lịch sử âm nhạc hay lý thuyết, đến việc học hỏi các kĩ năng như thu âm, sản xuất hay làm hậu kỳ, hầu như mình lục lọi phần lớn các nguồn lực miễn phí trên mạng. Ngoài ra còn từ các diễn đàn đến các trang chia sẻ plugin, ebook. Quá trình này khá mất thời gian, nhưng cũng xứng đáng.
Bên cạnh đó, mình tìm hiểu và tiếp cận tới nhạc thể nghiệm YouTube và Bandcamp, qua các playlist ngẫu nhiên trên YouTube về nhạc thể nghiệm từ thời kì đầu đến các hashtag tên Bandcamp. Mình nghe rất nhiều, luôn coi mình là một người nghe nhiệt tình trước khi là một người làm âm thanh.
🙏Hỏi: Nghệ sĩ nhạc thể nghiệm Việt Nam truyền cảm hứng tới bạn?
🔥Trả lời: Có 2 người mình muốn nhắc đến ở đây: chị Cao Thanh Lan và anh Xinh Xô.
Chị Lan là một nghệ sĩ piano cũng như nghệ sĩ âm thanh mà mình rất ngưỡng mộ. Trong những dịp chị Lan về Việt Nam làm việc hay thăm gia đình (chị hiện đang định cư ở Áo), mình có dịp nói chuyện nhiều với chị về công việc làm âm thanh. Chị chia sẻ với mình nhiều về các tác phẩm sử dụng modular synth, các vật dụng được tìm thấy và cảm biến của chị.
Anh Xinh Xô cũng là một nhà soạn nhạc và nghệ sĩ nhạc điện tử mà mình đã và đang học hỏi rất nhiều từ anh. Bản thân anh cũng là một giảng viên ngành nhạc điện tử và công nghệ âm nhạc. Anh đã dạy cho mình rất nhiều về chuyên môn. Tình cờ, hai anh em cũng đang làm chung một dự án phim có tên là Dust And Metal (Cát Bụi Và Kim Loại).
🙏Hỏi: Thời điểm biết đến nhạc thể nghiệm, khó khăn của bạn là gì?
🔥Trả lời: Mình nghĩ việc thiếu kỹ năng và nguồn lực là hai vấn đề lớn hơn cả.
Không ai có thể thông thạo được những kỹ năng cần thiết trong ngày một, ngày hai. Điều này cần một quá trình dài với rất nhiều nỗ lực và khả năng học hỏi từ những tai nạn, sai lầm.
Nguồn lực nói chung cho nhạc thể nghiệm và nghệ thuật âm thanh (sound art) ở Việt Nam còn hạn chế. Và ngoài ra, mảng sound art chưa là mảng được chú ý nhiều trong nghệ thuật đương đại tại Việt Nam, đây cũng là một khó khăn riêng.
🙏Hỏi: Đã bao giờ Nhung cảm thấy nản?
🔥Trả lời: Không thiếu những khoảnh khắc mình thấy thực sự nản lòng.
Công việc làm nhạc và làm âm thanh là một công việc đơn độc và có phần khép kín. Mình có thể dành vài ngày liên tục không bước ra khỏi nhà, không ăn uống gì mấy, không thấy ánh sáng mặt trời và không giao tiếp với bất kỳ ai chỉ để làm xong một bài nhạc hay một phần hậu kỳ cho tác phầm triển lãm. Chắc những ai làm việc trong lĩnh vực sản xuất âm thanh hay video sẽ hoàn toàn hiểu điều này.
Việc tìm tư liệu cũng như đi thu âm thực địa cũng phần lớn là một công việc khép kín, lặng lẽ và đơn độc. Đôi khi nó cũng là một công việc nhàm chán, lặp đi lặp lại với những bước chi li tỉ mỉ kéo dài từ ngày này qua tháng khác, thậm chí từ năm này qua năm khác. Càng làm việc nhiều với tư liệu, đặc biệt là tư liệu lưu trữ trong mấy năm gần đây, mình càng dễ đồng cảm hơn với các bạn bè của mình là các nhà nghiên cứu.
Nhưng vượt qua những khó khăn đó, cũng có nhiều khoảnh khắc rất ấm áp và cho mình nhiều động lực để nỗ lực nhiều hơn mỗi ngày. Đó là lúc hoàn thành một tác phẩm mà mình đã đặt rất nhiều công sức vào đó. Lúc được nghe khán giả chia sẻ những trải nghiệm cá nhân của họ về tác phẩm. Lúc được bạn bè, các anh chị đồng nghiệp hỗ trợ nhiệt tình trong quá trình làm tác phẩm.
Sự hỗ trợ đáng trân trọng đó và lòng yêu quý công việc, yêu quý nghệ thuật của riêng mình đã cân bằng được lại cảm giác nản lòng trước khó khăn.
🙏Hỏi: Sự việc nào có thể coi là một cột mốc trong hành trình với âm nhạc của Nhung?
🔥Trả lời: Năm 16 tuổi, mình đến tham dự một buổi hòa nhạc, và nó đã thay đổi hoàn toàn hành trình phía sau đó của mình với âm nhạc.
Đó là buổi hòa nhạc của nghệ sĩ piano người Nga-Iceland Vladimir Ashkenazy, một trong những nghệ sĩ piano xuất sắc nhất của thế kỷ 20 còn sống đến bây giờ. Những chi tiết diệu kỳ từ buổi hòa nhạc đó đã lay động mãnh liệt tâm trí còn non nớt của một đứa trẻ 16 tuổi may mắn được học piano từ nhỏ. Từ khoảnh khắc đó, mình quyết định chọn âm nhạc như một hướng đi cho cuộc đời mình.
🙏Hỏi: Mong muốn mạnh mẽ nhất của Nhung với âm nhạc là gì?
🔥Trả lời: Có lẽ đó là mong muốn âm nhạc như một phương tiện cho việc biểu đạt cá nhân cũng như là nơi nương náu cho nội tâm. Điều này đến từ lòng yêu quý công việc mình làm cũng như nghệ thuật nói chung.
🙏Hỏi: Nhung kết nối với những nghệ sĩ nước ngoài như thế nào?
🔥Trả lời: Trong những năm đầu tiên, việc kết nối của mình phần lớn dựa vào internet, trong đó phải kể đến các nền tảng như: Twitter, Bandcamp, Soundcloud và Vimeo. Những năm sau đó, việc làm dự án và biểu diễn cho mình nhiều cơ hội để gặp trực tiếp các nghệ sĩ trong và ngoài nước hơn.
Trong hơn một năm nay, khi C.O.V.I.D hoành hành, thì mọi thứ lại quay về điểm xuất phát là những kết nối trực tuyến. Chúng mình kết nối qua các cuộc hội thảo trên Zoom, các chương trình trao đổi văn hóa hỗ trợ các dự án nghệ thuật trực tuyến, các nhóm hỗ trợ nghệ sĩ trên Facebook.
🙏Hỏi: Chất liệu và cảm hứng sáng tác của Nhung là gì?
🔥Trả lời: Chất liệu sáng tác của mình đến từ nhiều nguồn khác nhau: tiếng động hiện trường, tiếng động được thiết kế trong phòng thu, âm thanh điện tử, tiếng động từ các kho tư liệu và kho lưu trữ công cộng trên Internet. Mình quan tâm đến việc xử lý các chất liệu này bằng quá trình hậu kỳ để đạt được sắc thái như mình muốn. Đây cũng là một quá trình thử-sai và đòi hỏi sự kiên nhẫn, tỉ mỉ.
Về cảm hứng sáng tác thì khá đa dạng, nhưng điểm cốt lõi ở đây là tiếng nói chân thật nhất từ nội tâm của mình. Hi vọng thông qua đó, người nghe tìm thấy một phần thế giới nội tâm của mình, hoặc tìm thấy một góc nhìn mới trong thế giới quan của họ.
🙏Hỏi: Những dự án gần đây và sắp tới của Nhung là gì ?
🔥Trả lời: Dự án đang diễn ra của mình là Liberation Radio - một sắp đặt âm thanh/hình ảnh tại Manzi Exhibition Space kéo dài từ 28/5 đến 13/6. Tác phẩm lấy cảm hứng từ tư liệu lưu trữ, phỏng vấn các cựu lính đào ngũ Mỹ và các nhà báo Việt Nam vào thời kỳ 1960-1970. Với ý tưởng gợi nhớ về Đài phát thanh Giải phóng miền Nam Việt Nam cũng như về phong trào phản chiến.
Dựa trên các chất liệu này, nhóm dự án gồm ba thành viên là mình, nhà sử học Matthew Sweet và nhà làm phim Esther Johnson tái hình dung lại các tư liệu lưu trữ. Đây cũng là một nghiên cứu về câu chuyện lịch sử ít được biết đến dưới góc nhìn của một tác phẩm nghệ thuật.
Một dự án sắp tới khác là dự án nghiên cứu và trình diễn nhạc điện tử Listening to what’s left... and more to come. Đây là dự án hợp tác giữa mình và nghệ sĩ nhạc điện tử/nhà nghiên cứu Cedrik Fermont, hiện đang làm việc tại Đức. Listening to what’s left... and more to come là một phần của dự án Reconnect do Viện Goethe tổ chức.
Listening to what’s left... and more to come được lấy tư liệu từ những cuộc phỏng vấn người dân ở Đức và Việt Nam về âm thanh (soundscape) trong thời gian đại dịch, bao gồm khoảng thời gian cách ly/phong tỏa ở hai quốc gia. Thông qua những tư liệu này, nhóm dự án xây dựng tác phẩm trình diễn dự kiến công bố vào tháng 7 và sau này có tiềm năng trở thành một kho lưu trữ ký ức về mặt âm thanh.
lay twitter 在 Hilty & Bosch Youtube 的最佳貼文
【这!就是街舞 第四季 -Street Dance of China S4-】
https://youtube.com/playlist?list=PLB_lie3fxsalr3nw3d3ajkmO7VAMtPfhj
Shooting studio:En Dance Studio
FILM:eisuke
ーHilty & Bosch info.ー
▷Instagram
Hilty & Bosch
https://www.instagram.com/hiltyandbosch_official/
YOU
https://www.instagram.com/you.hiltyandbosch/?hl=ja
ZIN
https://www.instagram.com/zin_hiltyandbosch/?hl=ja
▷bilibili
https://space.bilibili.com/1810779476
▷Weibo
Hilty & Bosch
https://weibo.com/u/7282032324?nick=HiltyandBosch_official&is_all=1
YOU
https://weibo.com/u/7640893213?from=feed&loc=at&nick=HiltyandBosch_YOU
ZIN
https://weibo.com/u/7640024849?from=feed&loc=at&nick=HiltyandBosch_ZIN
▷Facebook
https://www.facebook.com/hiltyandbosch
▷Twitter
ZIN
https://twitter.com/zin_hiltybosch
HiltandBosch
https://twitter.com/HiltyBosch1
▷Contact (E-mail)
info@hiltyandbosch.com
◇Hilty & Bosch 本人が発信!!
オンラインコミュニティ"HILBO Friends-ヒルフレ-"はコチラ↓
https://community.camp-fire.jp/projects/view/243183
#StreetdanceofchinaS4 #这就是街舞S4 #STUTS #Streetdanceofchina
lay twitter 在 生かし屋 IKASHIYA CULINARY ART Youtube 的最讚貼文
濃厚美味しい本格ティラミスの作り方
本格的な感じで作りますが、簡単お手軽な作り方も紹介しています
市販のビスケットでインスタントコーヒーを使い、卵黄なしでも作れますのでぜひ~
【材料】
サヴォイアルディ(市販のビスケットで代用可)
・卵黄 2個
・グラニュー糖(卵黄用) 15g
・卵白 2個
・グラニュー糖(卵白用) 30g
・薄力粉 50g
・粉糖 適量
ザバイオーネ
・卵黄 2個
・グラニュー糖 25g
・マルサラ酒(甘口) 40g
(ラム酒やアマレットなど他の洋酒でもOK)
ザバイオーネ・クリーム
・マスカルポーネチーズ 200g
・グラニュー糖 50g
・ホワイトチョコ(お好み) 20g
・ザバイオーネ 全量
・マルサラ酒 お好みの量
・生クリーム 150g
エスプレッソ液
・エスプレッソ(濃いめのインスタントやドリップコーヒーで代用可)
・グラニュー糖 お好みの量
・マルサラ酒 お好みの量
仕上げ
・ココアパウダーやコーヒーパウダー 適量
【準備】
・粉糖、薄力粉はふるって使う
・オーブンを180℃に予熱する
・クリームを作る少し前にマスカルポーネを常温に出しておく
【作り方】
1. 【サヴォイアルディ/180℃に予熱】ボウルに卵黄2個・グラニュー糖15gを泡立て器ですり混ぜる
2. 別のボウルに卵白2個を入れて白っぽくなるまで泡だて、グラニュー糖30gのうち半分を入れて泡立てる
3. ツヤが出てきたら残りのグラニュー糖を加え、角が立つまで泡立てメレンゲを作る
4. 卵黄の方にメレンゲの半量を入れてざっと馴染むまで混ぜ、薄力粉50gをふるい入れる
5. ヘラに持ち替えて粉っぽさが無くなる直前くらいまでさっくり切り混ぜ、残りのメレンゲを加える
6. あまり泡を潰さないように切り混ぜ、なめらかに混ざったら丸口金をつけた絞り袋に入れる
7. オーブン用シートを敷いた天板に棒状に絞り出し、粉糖を全体にふるいかけ、消えた頃にもう1回粉糖をふるいかける
8. 180℃に予熱したオーブンで20~25分を目安に、軽く色づくまで焼いて冷ましておく
9. 【ザバイオーネ】ボウルに卵黄2個・グラニュー糖25g・マルサラ酒40gを合わせて混ぜる
10. 鍋で加熱した沸騰しないくらいのお湯で湯煎にかけ、混ぜながら70℃程度まで温める(より殺菌を意識するなら80℃)
11. 温度が上がると泡が消えとろみつく、湯煎から外し好みでふんわり泡立ててもOK
12. 【ザバイオーネ・クリーム】ボウルにマスカルポーネチーズ200gをほぐし、グラニュー糖50gをすり混ぜる
13. 溶かしたホワイトチョコ20g・ザバイオーネをなめらかに混ぜ、好みでマルサラ酒も加え混ぜる
14. 生クリーム150gを軽く角が立つまで泡だて、↑に半量ずつ加えてなめらかに切り混ぜる
15. 【エスプレッソ液】エスプレッソor濃い目に作ったコーヒーに、好みでグラニュー糖・マルサラ酒を混ぜておく
16. 【仕上げ】容器にサヴォイアルディ(ビスケット)を敷き、エスプレッソ液を染み込ませる(もしくは染み込ませてから容器に入れる)
17. ザバイオーネ・クリームを入れて均し、エスプレッソ液を染み込ませたサヴォイアルディ→ザバイオーネ・クリームと重ねていく
18. 冷蔵庫で冷やし固め、仕上げにココアパウダーやコーヒーパウダーをふるいかけて出来上がり
--------------------------------------------------------------------------
▼サブチャンネル(料理実験チャンネル)
https://www.youtube.com/channel/UCqIW0OHh8k2np5ZNz3wz8sg
▼ブログ
http://www.ikashiya.com/
▼Twitter
https://twitter.com/sakihirocl
▼Instagram
https://www.instagram.com/sakiyamahiroshi/
--------------------------------------------------------------------------
↓using translation software.
[Ingredients]
Savoie Ardi (store-bought biscuits can be substituted)
・Two egg yolks
・Granulated sugar (for the egg yolk) 15 g
・Egg whites 2 pieces
・Granulated sugar (for egg whites) 30 g
・Cake flour 50 g
・Powdered sugar as needed
Zabaione
・Two egg yolks
・Granulated sugar 25 g
・Marusara Sake (sweet) 40 g
(You can also use other foreign liquors such as rum or amaretto.)
Sabaione Cream
・Mascarpone cheese 200 g
・Granulated sugar 50 g
・White chocolate (optional) 20 g
・Sabaione total amount
・Marsala Sake, as much as you like
・Heavy cream 150 g
espresso solution
・Espresso (strong instant or drip coffee can be substituted)
・Granulated sugar as much as you like
・Marsala Sake, as much as you like
Finish
・Appropriate amount of cocoa powder or coffee powder
[How to make]
1. [Savoie Hardy/Preheat to 180 °C] Mix 2 egg yolks and 15 g of granulated sugar with a whisk.
2. Add 2 egg whites in a different bowl and whip it until it becomes whitish. Add half of 30 g of granulated sugar and whip it.
3. Add the rest of the granulated sugar when it glazes. Whip it until it peaks to make a meringue.
4. Add half of the meringue to the egg yolk and mix it until it blends in. Sift in 50 g of weak flour.
5. Switch to a spatula and lightly mix it until the powdery feel is gone. Add the rest of the meringue.
6. Mix it so it doesn't crush the bubbles too much. Add it in a piping bag with a round cap when it mixes smoothly.
7. Squeeze it out into a stick shape on a baking sheet covered with baking paper. Sift the powdered sugar entirely. Sift it once again when it disappears.
8.Bake it in the oven preheated to 180 °C for around 20 to 25 minutes until it lightly browns then let it cool.
9. [The Baione] Mix 2 egg yolks, 25 g of granulated sugar, and 40 g of marsala sake in a bowl.
10. Boil it in hot water heated in a pot until it doesn't boil. Warm it to around 70 °C as you mix it (80 °C if you want to sterilize more).
11. The bubbles will disappear and thicken when the temperature rises. You can remove it from the hot water and whip it softly if you'd like.
12. [The Baione Cream] Loosen 200 g of mascarpone cheese in a bowl and mix in 50 g of granulated sugar.
13. Mix 20 g of melted white chocolate and zabaione smoothly. Add marsala sake if you'd like and mix it.
14. Whisk 150 g of whipped cream until it lightly forms peaks. Add half of it at a time to ↑ and mix it smoothly.
15. [Espresso liquid] Mix granulated sugar and marsala sake to your liking with espresso or strong coffee.
16. [Finish] Lay out the savoie aldi (biscuit) in the container and let it soak in the espresso liquid (or let it soak then put it in the container).
17. Add the Xabione cream and flatten it. Layer it with Savoiardi soaked with espresso then Xabione cream.
18. Chill it in the fridge to harden it. Finish it off by sifting cocoa powder or coffee powder and it will be complete.
lay twitter 在 生かし屋 IKASHIYA CULINARY ART Youtube 的最佳解答
間違いない組み合わせのキャラメルバナナタルト
サクサクのタルトに香ばし美味しいアーモンドクリーム、ほろ苦甘いキャラメルバナナのタルト
【材料/18cmタルト型】
タルト生地
・バター 60g
・粉糖 33g
・卵黃 1個
・薄力粉 100g
・アーモンドパウダー 20g(なければ薄力粉でOK)
キャラメルバナナ
・グラニュー糖 50g
・生クリーム 20g
・バナナ 小3本
アーモンドクリーム
・バター 50g
・砂糖(あればきび砂糖) 50g
・全卵 1個(50g)
・アーモンドパウダー 50g
【準備】
・バターを室温で柔らかくしておく
・薄力粉、アーモンドパウダーはふるって使う
【作り方】
1. 【タルト生地】ボウルに柔らかくしたバター60gをほぐし、粉糖33gをふるい入れてすり混ぜる
2. 卵黄1個を混ぜ、薄力粉100g・アーモンドパウダー20gをふるい入れて切り混ぜる
3. 粉っぽさがなくなる直前くらいでラップに包んで押し付けまとめ、冷蔵庫で2時間ほど寝かせる
4. 【キャラメルバナナ】バナナを1cmくらいの厚さにカットする
5. 小鍋にグラニュー糖50g・生クリーム5gを入れて火にかけ、キャラメル状になったら火を止めて生クリーム15gを加える
6. バナナを加え、再度火にかけ柔らかくなるまで加熱し置いておく
7. 【アーモンドクリーム】ボウルに柔らかくしたバター50gをほぐし、砂糖50gをすり混ぜる
8. 溶いた卵1個分を少しずつ加えて混ぜ、アーモンドパウダー50gをふるい入れてなめらかになるまで切り混ぜる
9. 【焼成/180℃に予熱】タルト生地を3mmほどの厚さにのばしてタルト型に敷き込み、アーモンドクリームを流して均す
10. 上にキャラメルバナナを並べ、180℃に予熱したオーブンで30分を目安に香ばしく色づくまで焼いて出来上がり
--------------------------------------------------------------------------
【動画でよく使ってる調理器具】
フライパン(20cm):https://amzn.to/2QyY1ny
フライパン(24cm):https://amzn.to/2UtNvz5
フライパン(24cm深型):https://amzn.to/3dj5DEp
鉄フライパン(22cm):https://amzn.to/3a8hqmR
アルミフライパン(24cm):https://amzn.to/3dj6tRz
片手浅型鍋(18cm):https://amzn.to/2QzGXha
片手浅型鍋(21cm):https://amzn.to/2U7ta3o
片手鍋(16cm):https://amzn.to/2QzCj2x
片手鍋(20cm):https://amzn.to/3bd0lZa
ソースパン:https://amzn.to/2U9keuI
まな板:https://amzn.to/2J1fQHI
ガスコンロ:https://amzn.to/3bdtvYa
牛刀:https://www.jikko.jp/fs/jikko/54803
ペティ:https://www.jikko.jp/fs/jikko/54800
撮影機材
カメラボディ:https://amzn.to/2xSXZAd
動画レンズ:https://amzn.to/3t7sfPB
写真レンズ:https://amzn.to/2U7HcCb
録音:https://amzn.to/2U9cGYT
※製品のURLはAmazonアソシエイトのリンクを使用しています
--------------------------------------------------------------------------
▼サブチャンネル(料理実験チャンネル)
https://www.youtube.com/channel/UCqIW0OHh8k2np5ZNz3wz8sg
▼ブログ
http://www.ikashiya.com/
▼Twitter
https://twitter.com/sakihirocl
▼Instagram
https://www.instagram.com/sakiyamahiroshi/
--------------------------------------------------------------------------
↓using translation software.
[Ingredients/18 cm tart mold]
Tart crust
・Butter 60 g
・Powdered sugar 33 g
・brimstone egg
・Cake flour 100 g
・20 g of almond powder (or cake flour)
Caramel banana
・Granulated sugar 50 g
・Heavy cream 20 g
・3 small bananas
almond cream
・Butter 50 g
・Sugar (light brown sugar if you have it) 50 g
・1 whole egg (50 g)
・Almond powder 50 g
[Preparation]
・Soften the butter at room temperature.
・Sift weak flour and almond powder.
[How to make]
1. [Tart pastry] Loosen 60 g of softened butter in a bowl, sift in 33 g of powdered sugar and mix.
2. Mix 1 egg yolk, sift in 100 g of weak flour and 20 g of almond powder, and cut and mix.
3. Wrap it with a plastic wrap and press it together just before the powdery feel disappears. Let it rest in the fridge for around 2 hours.
4. [Caramel banana] Cut the banana to a thickness of around 1cm.
5. Add 50 g of granulated sugar and 5 g of whipped cream in a small pot and heat it. Turn the heat off when it becomes caramelized and add 15 g of whipped cream.
6. Add the banana and heat it again until it softens.
7. [Almond cream] Loosen 50 g of softened butter in a bowl and mix in 50 g of sugar.
8. Add 1 beaten egg little by little and mix. Sift in 50 g of almond powder and mix it until it becomes smooth.
9. [Baking/Preheating to 180 °C] Stretch the tart dough to a thickness of around 3 mm. Lay it in the tart mold. Pour in the almond cream and flatten it.
10. Arrange the caramel banana on top. Bake it in the oven preheated to 180 °C for around 30 minutes until it becomes fragrant and brown.
lay twitter 在 Victony - Soweto with Omah Lay & Tempoe (Official Lyric Video) 的推薦與評價
Victony - Soweto with Omah Lay & Tempoe (Official Lyric Video) ... ▻ Twitter - https:// twitter.com/vict0ny FOLLOW Omah Lay : ▻Instagram ... ... <看更多>
lay twitter 在 Lay Zhang Studio on Twitter - Pinterest 的推薦與評價
Lay Zhang Studio on Twitter. “WOW! We love to have @layzhang as our JOKER! You can watch @layzhang's JOKER performance for #WeiboNight soon! #LAY_JOKER”. ... <看更多>
lay twitter 在 EXO 相愛吧!初心不變- 唯12 - lay的Twitter!大家都follow了吗? 的推薦與評價
lay 的Twitter!大家都follow了吗? ... <看更多>