เส้นทาง Moose Toys อาณาจักรของเล่น หมื่นล้าน จากออสเตรเลีย /โดย ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึงบริษัทของเล่น หลายคนคงจะคิดถึง Hasbro หรือไม่ก็ Mattel
แต่รู้ไหมว่า มีบริษัทของเล่นรายหนึ่งในออสเตรเลีย ที่ครั้งหนึ่งบริษัทมีปัญหาจนเกือบล้มละลาย แต่สุดท้ายก็สามารถพลิกกลับมามียอดขายโตกว่า 7,000%
ที่น่าสนใจคือ ชายที่เข้ามาปลุกปั้นอาณาจักรของเล่นนี้ให้ยิ่งใหญ่ คือชายที่ลี้ภัยมาจากเยอรมนี ข้ามน้ำข้ามทะเลกับครอบครัว มาก่อร่างสร้างตัว ณ แดนจิงโจ้แห่งนี้
แล้วเรื่องราวนี้ เป็นมาอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ชายที่เราพูดถึง เขามีชื่อว่า Manny Stul เกิดเมื่อปี 1949 ที่ค่ายผู้อพยพพลัดถิ่น ใกล้กับเมืองมิวนิก ในประเทศเยอรมนี
แต่ด้วยความที่พ่อและแม่ของเขาเป็นชาวโปแลนด์เชื้อสายยิว ที่เกิดในช่วงสงครามโลก ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับในเยอรมนี จึงทำให้ต่อมาครอบครัวของเขาต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ และข้ามน้ำข้ามทะเลมายังออสเตรเลีย
ครอบครัวของเขา มาตั้งรกรากอยู่ที่ Perth เมืองทางตะวันตกของออสเตรเลีย และทั้งพ่อและแม่ของเขา ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อส่งให้ Manny ได้เรียนหนังสือ
ส่วนตัวของ Manny เอง เขาเป็นเด็กที่เรียนเก่งมาก จนได้ทุนการศึกษา แต่ตัวเขากลับไม่อยากจะสนใจในเรื่องการเรียนอีกแล้ว เพราะอยากทำงานหาเงินได้เร็ว ๆ จากที่เห็นพ่อแม่ลำบากมาตลอด
สุดท้าย Manny จึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนตอนเขาอายุได้ 15 ปี เพื่อมาทำงานหาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว
หลังจากทำงานเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง เขาก็ได้ให้รางวัลตัวเองด้วยการออกเดินทางไปเที่ยวยุโรป ซึ่งการไปเที่ยวครั้งนี้เอง ได้เป็นจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจของเขา
เพราะในช่วงที่เขาไปเที่ยว เขาก็ได้พบกับ ชุดช้อนส้อม ที่ออกแบบสไตล์สแกนดิเนเวีย และเกิดเป็นไอเดียธุรกิจ ว่าอยากจะลองนำเข้าสินค้าจากแถบสแกนดิเนเวียมาขายในออสเตรเลีย
หลังจากกลับมาจากการเดินทางครั้งนั้น เขาก็อยากรีบมาทำธุรกิจตามที่คิดไว้ในทันที แต่ก็ติดปัญหาตรงที่ เขายังมีเงินทุนไม่มากพอ จึงต้องไปทำงานในไซต์ก่อสร้างเพื่อเก็บเงินเพิ่ม
ระหว่างทำงานในไซต์ก่อสร้าง เขาก็เกือบจะออกนอกลู่นอกทาง เพราะงานที่ทำนั้นหนักมาก ทำให้เขาเหนื่อยและเครียดมากจนติดเหล้าอย่างหนัก แต่เมื่อเขาดึงสติตัวเองกลับมาได้ เขาถอนตัวได้ทัน และกลับมาตั้งใจทำงานเก็บเงินอีกครั้ง
หลังจากมีเงินทุนเพียงพอ เขาก็ได้เริ่มต้นทำธุรกิจนำเข้าสินค้าในปี 1974 ที่มีชื่อว่า Skansen
นี่ถือได้ว่าการทำธุรกิจในครั้งนี้เริ่มต้นจากศูนย์อย่างแท้จริง เพราะเขาไม่รู้เลยว่าการทำธุรกิจต้องทำอย่างไรบ้าง
เขาเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเองจากจุดเริ่มต้น ตั้งแต่เดินทางไปติดต่อคู่ค้าเพื่อสร้างความสัมพันธ์ เรียนรู้การตั้งราคาขายสินค้า หรือแม้กระทั่งทำการขนส่งสินค้าด้วยตนเอง
ซึ่งตัวของ Manny เองมองว่า สิ่งที่เขาเรียนรู้จากการเริ่มทำธุรกิจครั้งแรก คือความไว้วางใจ ความเชื่อใจกันระหว่างพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และนี่ก็ได้กลายมาเป็นหลักยึดสำคัญในการทำธุรกิจของเขาเรื่อยมา
หลังจากทำธุรกิจมาได้เกือบ 20 ปี ในช่วงปี 1994 ร้าน Skansen ก็ได้เติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายมาเป็น ธุรกิจร้านขายของขวัญและสินค้านำเข้า ชื่อดังในออสเตรเลีย
อย่างไรก็ตามในช่วงนั้น พ่อของเขาก็ได้เสียชีวิตลง ในขณะที่แม่ของเขาก็เริ่มมีอาการของโรคอัลไซเมอร์
Manny จึงตัดสินใจขายธุรกิจ Skansen ไปด้วยมูลค่าราว ๆ 567 ล้านบาท ให้กับ George Snow มหาเศรษฐีชาวออสเตรเลีย โดยเขาคิดว่า เขาจะวางมือจากการทำงานทุกอย่าง และหันไปทำฟาร์มในชนบทแทน
หลังไปใช้ชีวิตในชนบทได้ราว 5-6 ปี ต่อมาในช่วงปี 2000 Manny ก็เริ่มกลับมามองหาการลงทุนในบริษัทที่น่าสนใจ เพื่อต่อยอดเงินเก็บที่เขามีอยู่
ที่ปรึกษาทางการเงินของเขาจึงแนะนำให้เขาเข้าไปลงทุนในบริษัทที่ชื่อว่า “Moose Toys” ซึ่งเป็นบริษัทขายของเล่นเล็ก ๆ ที่มีพนักงานในตอนนั้นเพียง 10 คนเท่านั้น
Manny เองก็ลองศึกษาตัวธุรกิจดู และก็มองเห็นว่าบริษัทแห่งนี้มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ในอนาคต จึงตัดสินใจทุ่มเงินเข้าไปซื้อกิจการ และหลังจากนั้นเขาก็ตัดสินใจหวนคืนกลับมาสู่วงการนักบริหารกิจการอีกครั้ง..
ช่วงแรกที่เขาเข้ามา Moose Toys ทำรายได้ได้ปีละประมาณ 134 ล้านบาท
เขาเริ่มเข้ามาปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานทั้งหมด ปรับโครงสร้างบริษัทใหม่ จ้างทีมพัฒนาสินค้าใหม่เข้ามา และหลังจากนั้น Moose Toys ก็ได้ออกสินค้าใหม่
จุดเปลี่ยนสำคัญของ Moose Toys คือการเปิดตัว Mighty Beanz ของรูปทรงคล้ายลูกปัด หรือเมล็ดถั่ว
ซึ่งกลายเป็นที่นิยมไปทั่วออสเตรเลีย และสามารถทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มจากหลักร้อยล้านบาท เป็นราว ๆ 1,400 ล้านบาท ในเวลา 4 ปี
หลังจากนั้นบริษัทก็ได้เริ่มขยายฐานการผลิตไปยังประเทศจีน และเริ่มขยับขยายไปทำตลาดในจีนและต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม การออกสินค้าใหม่ครั้งนั้น ก็ทำให้บริษัทต้องเผชิญกับปัญหาครั้งใหญ่ ที่ทำให้บริษัทเกือบล้มละลาย
เนื่องจากมีการรายงานว่า พบเด็กต้องเข้าโรงพยาบาล จากการพยายามอมและกลืน Mighty Beanz ซึ่งสารเคมีใน Mighty Beanz เมื่อสัมผัสกับน้ำลาย จะเปลี่ยนเป็นสารอันตรายต่อร่างกาย
เรื่องนี้ทำให้ Moose Toys ต้องเรียกคืนสินค้าทั้งหมดกว่า 40 ล้านชิ้น
รัฐบาลจีนสั่งห้ามนำเข้าหรือขายสินค้าของ Moose Toys ทุกชนิด
และ Moose Toys ถูกฟ้องร้องหลายคดี สร้างความเสียหายให้กับบริษัทเป็นอย่างมาก
เหตุการณ์ในครั้งนั้นกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ของบริษัท ชื่อเสียงที่สร้างมา กำลังจะถูกทำลายลงไปในทันตา
หลายคนคิดว่า Moose Toys ต้องล้มละลายแน่ ๆ แต่ Manny ไม่คิดแบบนั้น โดยเขาได้หันไปปรึกษากับทนายความที่มีชื่อว่า Leon Zwier
ซึ่งนอกจากทนาย Leon Zwier จะให้คำแนะนำและช่วยดูแลเรื่องข้อกฎหมายแล้ว
เขายังแนะนำให้ Manny เดินทางไปงานรวมของเล่นที่ฮ่องกง เพื่อไปเชื่อมสัมพันธ์ สร้างคอนเน็กชันทางธุรกิจ กับกลุ่มธุรกิจร้านจัดจำหน่ายรายใหญ่ เพื่อหาตลาดใหม่ให้กับ Moose Toys
Manny เริ่มเดินหน้าหาคู่ค้าและคอนเน็กชันให้กับบริษัท Moose Toys โดยเริ่มต้นจากการอธิบายให้คู่เจรจาทุกคนเข้าใจ ว่าธุรกิจของเขากำลังเจอปัญหาอะไรอยู่ อย่างตรงไปตรงมา
จากนั้นเขาก็ยื่นข้อเสนอที่ดึงดูดใจคู่เจรจา เช่น จะมอบส่วนลดพิเศษให้เป็นระยะเวลาหนึ่ง หากตกลงเป็นคู่ค้ากับ Moose Toys
ซึ่งกลยุทธ์ในครั้งนั้นก็ประสบความสำเร็จ มีผู้จัดจำหน่ายมากกว่า 30 ราย จากหลายประเทศ ตกลงเป็นคู่ค้ากับ Moose Toys
หลังจากการเจรจาทางธุรกิจสำเร็จไปได้ด้วยดี Manny ก็เดินทางกลับมาออสเตรเลีย เพื่อมาชี้แจงต่อหน่วยงานด้านสุขภาพ ว่าของเล่นจาก Moose Toys นั้นมีความปลอดภัย
Manny ถึงกับเอาตัวเองเป็นการรับประกัน โดยเขาได้บอกว่า หากยังตรวจพบสารอันตรายในของเล่นจาก Moose Toys ให้ฟ้องเอาผิดเขาในคดีอาญาได้เลย
หลังจากนั้นมา ความเชื่อมั่นของบริษัทก็ค่อย ๆ ฟื้นกลับมา บริษัทมีตลาดใหม่ ๆ ในหลายประเทศเพิ่มขึ้นมา และยอดขายของบริษัทก็เริ่มกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อีกครั้ง
สรุปภาพรวมแล้ว ภายใต้การบริหารของ Manny Stul ในช่วงเวลา 15 ปี ตั้งแต่ปี 2000-2015 ยอดขายของ Moose Toys เติบโตจาก 134 ล้านบาท เป็น 9,600 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 7,000%
ซึ่งนั่นทำให้เขา ได้รับรางวัล Ernst & Young Entrepreneur of the Year for Australia ในปี 2016 อีกด้วย
ในปัจจุบัน Manny Stul ถูกประเมินโดย Forbes
ว่ามีมูลค่าทรัพย์สินอยู่ประมาณ 33,000 ล้านบาท
และกลายมาเป็น หนึ่งในมหาเศรษฐีที่รวยที่สุด ในออสเตรเลีย..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.theaustralian.com.au/weekend-australian-magazine/how-manny-stul-created-the-moose-toys-empire/news-story/76d05b78b7f2a1bb4bbc90cb14a4ff50
-https://www.afr.com/life-and-luxury/how-manny-stul-overcame-disaster-to-save-moose-toys-20160422-gocvr0
-https://www.linkedin.com/pulse/from-toy-year-near-bankruptcy-rebounding-top-global-company-hall
-https://www.youtube.com/watch?v=wjxgQM5Yohc
-https://www.forbes.com/profile/manny-stul/?sh=549dd9bd1bf0
同時也有62部Youtube影片,追蹤數超過9萬的網紅Smart Travel,也在其Youtube影片中提到,?今晚九點直播, 題目: 購買名牌袋心得, 電話訪問網友Dorothy。????慳錢大法之一 #購買名牌袋心得 #電話訪問 #英國短毛貓 #cx #cathaypacific #smarttravel #youtuber #hkyoutuber #幸運兒 #smarttravelsa姐...
「luxury magazine」的推薦目錄:
- 關於luxury magazine 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於luxury magazine 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
- 關於luxury magazine 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於luxury magazine 在 Smart Travel Youtube 的最佳解答
- 關於luxury magazine 在 sosrebecca Li Youtube 的最佳解答
- 關於luxury magazine 在 GOLF PICHAYA Youtube 的最讚貼文
- 關於luxury magazine 在 Luxury Trending Magazine - Facebook 的評價
luxury magazine 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
มหากาพย์ สงครามแย่งหุ้น หลุยส์ วิตตอง
จากธุรกิจครอบครัว สู่อาณาจักรแบรนด์แฟชั่นหรูระดับโลก เส้นทางของ LVMH ที่ผ่านมาไม่ธรรมดา มีความซับซ้อน แย่งหุ้นกันไปมา จนในวันนี้คนที่กุมชะตาของ LVMH กลับไม่ใช่คนในครอบครัวผู้ก่อตั้ง หลุยส์ วิตตอง มหากาพย์ สงครามแย่งหุ้น หลุยส์ วิตตอง ในครั้งนี้จะเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
References
-https://www.economist.com/obituary/2003/04/10/henry-racamier
-https://www.nytimes.com/2003/04/01/business/henry-racamier-dies-at-90-revitalized-louis-vuitton.html
-https://www.nytimes.com/1989/12/17/magazine/a-luxury-fight-to-the-finish.html
-https://www.latimes.com/archives/la-xpm-1990-04-26-fi-608-story.html
-https://www.thefashionlaw.com/lvmh-a-timeline-behind-the-building-of-a-conglomerate/
-https://www.forbes.com/profile/bernard-arnault/?sh=c96565b66fa4
luxury magazine 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
มหากาพย์ สงครามแย่งหุ้น หลุยส์ วิตตอง /โดย ลงทุนแมน
ตั้งแต่ลงทุนแมนเขียนเรื่องธุรกิจแบรนด์หรูมา เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สนุกที่สุดเรื่องหนึ่ง
รู้ไหมว่า เมื่อ 44 ปีที่แล้ว หลุยส์ วิตตอง ยังมีร้านแค่ 2 สาขา
แต่จากจุดนั้น มีบุคคลหนึ่งที่ทำให้บริษัทนี้ กลายเป็นบริษัทที่ใหญ่สุดในฝรั่งเศสได้ใน 10 ปี
“Louis Vuitton” แบรนด์แฟชั่นหรู ที่มีอายุกว่า 167 ปี
แต่ก่อนหน้าที่แบรนด์จะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกนั้น
Louis Vuitton เป็นเพียงธุรกิจครอบครัว
ที่ดำเนินการผลิตกระเป๋าหนัง มายาวนานถึง 123 ปี
ก่อนที่ลูกเขยของทายาท รุ่นที่ 4 ที่ชื่อ Henry Racamier ได้เริ่มนำแบรนด์ Louis Vuitton สู่ตลาดโลก
ซึ่งลูกเขยคนนี้ ก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการควบรวมกิจการกระเป๋าหนังครอบครัว
กับธุรกิจแบรนด์สุราหรูอย่าง “Moët Hennessy” จนเกิดขึ้นเป็นกลุ่มบริษัท
ที่ชื่อ LVMH Moët Hennessy Louis Vuitton หรือ “LVMH” ในปี 1987
นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ LVMH กลายเป็นบริษัทเจ้าของแบรนด์สินค้าหรูที่ใหญ่สุดในโลกมาจนถึงปัจจุบันและทำให้ CEO และผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง Bernard Arnault เป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
แล้วเคยสงสัยไหมว่าทำไมชื่อของทายาทอย่าง Henry Racamier กลับไม่ค่อยมีใครรู้จัก
แต่เรากลับคุ้นเคยกับชื่อของ Bernard Arnault มากกว่า ?
ถ้าพร้อมแล้วนั่งลง ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปในปี 1821..
เด็กชายชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ Louis Vuitton เกิดมาในครอบครัวที่มีอาชีพทำฟาร์ม
จนเมื่อเขาอายุได้ 10 ปี แม่ของเขาเสียชีวิตและพ่อของเขาก็แต่งงานใหม่
แต่แม่เลี้ยงของ Vuitton กลับปฏิบัติต่อเขาแบบแม่เลี้ยงใจร้าย
เมื่ออายุได้ 13 ปี Vuitton จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปที่กรุงปารีสโดยที่ไม่มีเงินติดตัว
โชคยังดีที่ช่างฝีมือทำหีบสำหรับการเดินทางของชนชั้นสูงรับ Vuitton ไปเป็นคนช่วยงาน
แต่เงินที่ได้ก็เพียงพอแค่ประทังชีวิตไปแต่ละวัน Vuitton จึงต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน
เมื่อเวลาผ่านไป ฝีมือการทำหีบเดินทางของ Vuitton ก็เริ่มมีชื่อเสียงขึ้น
จนเขาได้ถูกเลือกไปเป็นช่างทำหีบเดินทางส่วนตัวให้กับพระชายาของนโปเลียนที่ 3
จนกระทั่งในปี 1854 Vuitton ก็ได้เริ่มเปิดร้านเป็นของตัวเอง โดยใช้ชื่อว่า Louis Vuitton หรือ LV
ผลิตภัณฑ์แรกของ LV ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับหีบเดินทางแบบดั้งเดิมไปตลอดกาล
นั่นก็เพราะว่า LV ได้ปรับการออกแบบฝาหีบที่แต่เดิมเป็นทรงโค้งกลายมาเป็นหีบที่มีฝาแบน
ทำให้สามารถวางซ้อนกันได้ ขนส่งได้ง่ายขึ้น รวมถึงการเลือกใช้ผ้าแคนวาสแทนหนัง
ทำให้มีน้ำหนักเบาลงและกันน้ำได้
แม้ว่ากิจการของ LV จะต้องสะดุดหลายครั้งเพราะสงครามจนต้องเริ่มตั้งต้นใหม่หลายรอบ
แต่ชื่อเสียงของ LV ก็เป็นที่รู้จักมากขึ้นและขยับขยายอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนสามารถส่งต่อกิจการจากรุ่นสู่รุ่น พร้อมกับการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวงการกระเป๋าหนังอีกมากมาย
แต่แม้ว่ากิจการจะดำเนินมาจนถึงทายาทรุ่นที่ 3
LV ก็ยังคงเป็นธุรกิจที่บริหารกันเองในครอบครัว
จนกระทั่งปี 1970 ทายาทรุ่นที่ 3 ของ LV ได้เสียชีวิตลง แต่เหล่าลูกชายที่เป็นทายาทรุ่นที่ 4 ตกลงกันไม่ลงตัวว่าจะบริหารงานกันอย่างไรและใช้กลยุทธ์ในทิศทางไหนเพื่อต่อยอดธุรกิจ
พวกเขาจึงนึกถึงสามีของน้องสาวที่ชื่อ “Henry Racamier”
Racamier ซึ่งในขณะนั้นอายุ 65 ปี กำลังจะเกษียณอายุจากการบริหารธุรกิจซื้อขายเหล็กของตัวเอง เหล่าทายาทรุ่นที่ 4 ของ LV จึงเสนอให้ Racamier มาเทกโอเวอร์ LV ไปในปี 1977
ในขณะนั้น LV มีเพียง 2 สาขาในปารีสและนีซ มีพนักงานอยู่ราว 100 คน และมีรายได้ต่อปีประมาณ 460 ล้านบาท
Racamier ที่มีประสบการณ์บริหารธุรกิจจนประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนาน ก็ได้เข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ด้วยการปฏิรูป LV จากกิจการครอบครัวให้กลายมาเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ขึ้น
ผลงานที่สำคัญก็คือ การเจาะตลาดในฝั่งเอเชียโดยเฉพาะที่ประเทศญี่ปุ่น
โดย Racamier มองว่าตลาดสินค้าหรูได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะช่วงนั้นผู้คนที่ร่ำรวยมีมากขึ้นทั่วโลก
ซึ่งในปี 1984 Racamier ก็สามารถนำกิจการ LV จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ
ในปี 1987 หรือผ่านไป 10 ปีหลังจากการเข้ามาบริหารของ Racamier LV สามารถขยายสาขาจนมี 135 แห่งทั่วโลก โดย 20 สาขาในนี้ตั้งอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น และบริษัทมีรายได้ต่อปีสูงถึง 88,600 ล้านบาท
คิดเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 192 เท่าในเวลา 10 ปี โดยเป็นรายได้ที่มาจากเอเชียกว่า 40%
ปีนั้นเอง LV ได้รับข้อเสนอควบรวมกิจการจาก Moët Hennessy หรือเรียกว่า MH
ที่เป็นบริษัทสุราหรูที่ขายแชมเปญและบรั่นดีชั้นนำของโลก
สาเหตุที่ MH ต้องการหาพาร์ตเนอร์มาควบรวมกิจการก็เพราะว่าหุ้นของ MH มีสัดส่วนคนในตระกูลผู้ก่อตั้งถืออยู่รวมกัน 22% มีวอลูมการซื้อขายเพิ่มขึ้นผิดปกติ ตระกูลเจ้าของ MH กลัวมีคนแอบมาเทกโอเวอร์กิจการ
“Alain Chevalier” ซึ่งเป็น CEO ของ MH ในขณะนั้น จึงเสนอให้ควบรวมกิจการขึ้น ซึ่งผลก็คือครอบครัวผู้ก่อตั้ง ทั้งฝั่ง LV และ MH จะสามารถถือหุ้นได้รวมกัน 51% และยังมีอำนาจควบคุมกิจการต่อไปด้วย
จุดนี้เอง ถือเป็นจุดเริ่มต้นของกลุ่มบริษัท LVMH ที่ในตอนนั้นมีมูลค่าบริษัทราว 295,000 ล้านบาท และเป็นบริษัทที่ใหญ่สุดในฝรั่งเศสในขณะนั้น
แต่การเริ่มต้นนี้กลับไม่ได้สวยงามแบบที่คิด
เพราะหลังจากควบรวมกิจการไปได้ไม่กี่สัปดาห์ Racamier และ Chevalier ก็เริ่มพบว่าทั้งคู่มีแนวทางการบริหารที่ไม่ค่อยตรงกันและเริ่มขัดแย้งกันเรื่องอำนาจในการบริหาร
ก่อนที่ในปีถัดมา วอลูมซื้อขายหุ้น LVMH ก็มากผิดปกติอีกครั้ง..
และด้วยเหตุผลเดิมที่ตระกูลเจ้าของ MH กลัวโดนแอบเทกโอเวอร์กิจการ
Chevalier เลยไปเจรจากับบริษัทเบียร์ชื่อดังอย่าง Guinness ให้เข้ามาถือหุ้นของ LVMH
โดยในตอนแรก Chevalier บอก Racamier ไว้ว่าจะให้ Guinness ถือหุ้น LVMH 3.5%
แต่สุดท้ายกลับตกลงให้หุ้น Guinness มากถึง 20%
พอ Racamier ฝั่งตระกูล Vuitton เห็นแล้วว่า LVMH กำลังจะถูกครอบครองโดยสินค้าจำพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เลยเริ่มหาพาร์ตเนอร์ที่เป็นเจ้าของกิจการแบรนด์แฟชั่นหรูเข้ามาเสริมทัพเพื่อหวังได้เสียงสนับสนุนในการบริหารงาน
ศึกแย่งชิงความเป็นใหญ่ใน LVMH จึงเริ่มต้นขึ้น
และพาร์ตเนอร์ที่ Racamier เล็งไว้ก็คือชายที่ชื่อว่า “Bernard Arnault”
Arnault เติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวยอยู่แล้ว พอเรียนจบก็เริ่มทำงานในบริษัทก่อสร้างที่ปู่ของเขาเป็นเจ้าของ
จนกระทั่งปี 1984 บริษัทแม่ของแบรนด์แฟชั่นหรูอย่าง Christian Dior ที่ชื่อว่า Boussac ได้ยื่นล้มละลาย รัฐบาลฝรั่งเศสซึ่งเข้าไปควบคุมกิจการหลังล้มละลาย จึงประกาศหาผู้สนใจเข้ามาซื้อกิจการต่อ
Arnault ที่ในขณะนั้นอายุ 35 ปี เห็นเข้าก็สนใจ และเกิดความฝัน ในการสร้างบริษัทที่รวบรวมแบรนด์หรูทั่วประเทศเข้าไว้ด้วยกัน
Arnault ใช้เงินจากตระกูลตัวเอง 490 ล้านบาทและเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินอีก 1,480 ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อกิจการ Boussac
หลังเข้าซื้อกิจการสำเร็จ Arnault ก็เดินหน้าปลดพนักงานออกกว่า 9,000 คน และขายบางธุรกิจในเครือที่ฉุดรายได้ออกจนได้เงินมาทั้งหมด 16,400 ล้านบาท
นั่นจึงทำให้ Racamier สนใจเป็นพาร์ตเนอร์กับ Arnault โดยยื่นข้อเสนอว่าจะให้ครอบครองหุ้น LVMH 25% ซึ่งเมื่อรวมกับส่วนที่ครอบครัว Vuitton ถือแล้ว จะเป็นสัดส่วนที่มากกว่าฝั่งของกลุ่ม MH และ Guinness
Arnault สนใจข้อเสนอนี้ จึงไปปรึกษากับที่ปรึกษาทางการเงินของเขา แต่ที่ปรึกษาคนนั้นได้เตือนว่าอย่าประกาศสงครามกับอีกฝั่งหนึ่ง เพราะอำนาจบริหารของ MH และความแข็งแกร่งทางการเงินของ Guinness นั้นเหนือกว่า
ซึ่ง Arnault ก็รับฟังคำเตือนนั้น
แต่แทนที่ Arnault จะไม่รับข้อเสนอ กลับกลายเป็นว่า Arnault ไปจัดตั้งบริษัทโฮลดิงร่วมกับ Guinness แทน ซึ่งได้เข้าไปซื้อหุ้น LVMH มา 24% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ฝั่งตระกูล LV จึงโกรธมากเมื่อรู้ว่าโดนหักหลัง
และทางตระกูลก็ได้ทำการไล่ซื้อหุ้นเพิ่มจนมีสัดส่วน 33%
ส่วนทาง Arnault พอรู้เรื่องนี้เข้า ก็แอบซื้อหุ้นเพิ่มด้วยตัวเอง
จนทำให้ฝั่ง Arnault และ Guinness มีหุ้นรวมกัน 37.5%
จนในที่สุด Arnault ได้กลายมาเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของ LVMH
ซึ่งก็มีอำนาจในการจัดการโหวตแต่งตั้งให้พ่อของเขามาเป็นประธานบอร์ดของ LVMH
เรื่องดังกล่าวก็ได้ทำให้ Racamier ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก เพราะตำแหน่งนี้
แต่เดิมตกลงกันไว้ว่าจะให้คนจากตระกูล Vuitton รับตำแหน่ง เท่านั้น
เมื่อความขัดแย้งเริ่มบานปลาย Racamier และ Chevalier จึงเริ่มเจรจากัน
โดยทั้งคู่เห็นว่าควรแยก LV และ MH ออกจากกันไปเลย เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งยืดเยื้อไปมากกว่านี้
แต่ Arnault กลับคิดว่าข้อตกลงนี้เกิดขึ้น
เพราะทั้งคู่ต้องการยึดอำนาจบริหารจาก Arnault กลับไป
Arnault ที่ไม่ต้องการให้บริษัทแยกออกจากกัน จึงทุ่มเงินซื้อหุ้น LVMH จากในตลาดอีกครั้ง
จนทำให้ฝั่ง Arnault และ Guinness ถือหุ้นรวมกันกว่า 43.5%
ซึ่งเงินทั้งหมดที่ Arnault ทุ่มซื้อหุ้น LVMH ไปทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ากว่า 85,300 ล้านบาท
มาถึงตรงนี้ Chevalier ที่ไม่มีหุ้นอยู่ในมือมากพอ จึงเสียอำนาจการบริหารให้ Arnault ไปโดยปริยาย
และสุดท้ายก็ต้องออกจากบริษัทไป
นั่นจึงเหลือเพียงการต่อสู้ระหว่าง Arnault และ Racamier..
ฝั่ง Arnault ได้ยื่นคำขอไปที่ศาลเพื่อเปิดประชุมผู้ถือหุ้นด่วน โดยจะยกวาระเรื่องการออกกฎให้บริษัทย่อย LV มีเกณฑ์เกษียณอายุเมื่ออายุ 70 ปี ซึ่งถ้ามีผลบังคับใช้ ก็จะทำให้ Racamier ที่ในตอนนั้นอายุ 70 กว่า พ้นจากบริษัททันที
ฝั่ง Racamier ที่ไหวตัวทันก็ยื่นฟ้องต่อศาลเช่นกัน โดยเรียกร้องให้หนึ่งในการเข้าซื้อหุ้น LVMH ของ Arnault เป็นโมฆะ ซึ่งถ้าชนะคดี จำนวนหุ้นที่ Arnault ถืออยู่จะลดลงเหลือใกล้เคียงกับจำนวนที่กลุ่ม LV ถืออยู่
สุดท้ายแล้วศาลก็ตัดสินให้การเข้าซื้อหุ้นของ Arnault ไม่มีความผิด
Arnault จึงยังครอบครองหุ้นส่วนใหญ่ของ LVMH ได้ตามเดิม
ซึ่งก็เหมือนเป็นการบีบบังคับไปในตัวให้ Racamier ต้องลาออกในปี 1989 หรือเพียง 2 ปีหลังจากที่ LVMH เริ่มต้นขึ้น
หลังจากไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการที่ครอบครัวตัวเองสร้างขึ้นมาแล้ว Racamier ก็หันไปทำงานที่เขารัก ด้วยการจัดตั้งองค์กรที่สนับสนุนด้านดนตรีและศิลปะ จนกระทั่งเสียชีวิตลงในปี 2003
มาถึงตรงนี้ ถ้าใครอยากเข้าใจแบบสรุป ก็คือ
ปี 1821 เด็กชายชาวฝรั่งเศสที่ชื่อ Louis Vuitton เกิดขึ้น
ปี 1854 Vuitton ได้เริ่มเปิดร้านทำหีบเป็นของตัวเอง
ผ่านไป 123 ปี..
ปี 1977 ลูกเขยของตระกูล Vuitton ชื่อ Racamier เข้ามาเทกโอเวอร์ บริษัท Louis Vuitton
ตอนปี 1977 บริษัท Louis Vuitton มีเพียง 2 สาขา หลังจากนั้น Racamier ก็ขยายกิจการให้เติบโต
ผ่านไป 10 ปี
ปี 1987 บริษัท Louis Vuitton เป็นบริษัทใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส และควบรวมกิจการกับ Moët Hennessy เป็น LVMH
ผ่านไปเพียง 2 ปี..
ปี 1989 เกิดเรื่องสงครามแย่งกิจการตามที่กล่าวในเรื่องข้างต้น Bernard Arnault บุคคลนอกเป็นผู้ชนะสงคราม มีอำนาจในการบริหาร LVMH นับตั้งแต่นั้นมา
หลังจากนั้น Arnault ได้ขยายอาณาจักร LVMH ด้วยการเข้าครอบครองกิจการแบรนด์หรูชื่อดังอย่างต่อเนื่อง
จน LVMH ครอบครองแบรนด์หรู กว่า 75 แบรนด์
ปัจจุบัน LVMH กลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจแบรนด์หรูใหญ่สุดในโลก
และถือเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในยุโรป ด้วยมูลค่าบริษัทกว่า 12.6 ล้านล้านบาท
ซึ่งนั่นก็ได้ทำให้ Arnault มีทรัพย์สินกว่า 6 ล้านล้านบาท
ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่รวยสุดในโลกตอนนี้เลยทีเดียว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.economist.com/obituary/2003/04/10/henry-racamier
-https://www.nytimes.com/2003/04/01/business/henry-racamier-dies-at-90-revitalized-louis-vuitton.html
-https://www.nytimes.com/1989/12/17/magazine/a-luxury-fight-to-the-finish.html
-https://www.latimes.com/archives/la-xpm-1990-04-26-fi-608-story.html
-https://www.thefashionlaw.com/lvmh-a-timeline-behind-the-building-of-a-conglomerate/
-https://www.forbes.com/profile/bernard-arnault/?sh=c96565b66fa4
luxury magazine 在 Smart Travel Youtube 的最佳解答
?今晚九點直播, 題目: 購買名牌袋心得, 電話訪問網友Dorothy。????慳錢大法之一
#購買名牌袋心得 #電話訪問 #英國短毛貓 #cx #cathaypacific #smarttravel #youtuber #hkyoutuber #幸運兒 #smarttravelsa姐
#壹週刊 #壹週刊訪問 #多功能 #空姐超人 #泰國菜 #airline #泰國香料#泰式蒸魚
?今晚九點直播, 蛋治哥炮製韓式泡菜豬肉片
#購買名牌袋心得 #電話訪問 #英國短毛貓 #cx #cathaypacific #smarttravel #giveaway#youtuber #hkyoutuber #幸運兒 #smarttravelsa姐
#壹週刊 #壹週刊訪問 #多功能 #空姐超人 #韓國菜 #airline #蛋治哥#韓式泡菜豬肉片 #韓式泡菜豬肉
成為這個頻道的會員並獲得獎勵:
https://www.youtube.com/channel/UCIuNPxqDGG08p3EqCwY0XIg/join
請用片右下角調4K睇片。
![post-title](https://i.ytimg.com/vi/9KBv1TgrZAw/hqdefault.jpg)
luxury magazine 在 sosrebecca Li Youtube 的最佳解答
#香港露營車
#香港精華遊
大家好!
又返來啦!
去海迎灘玩,記得去埋下長沙泳灘,水上活動有折gah!
Once again thank you so much Sabrina,Ai Jeng , Sunny,Nami Jeng for such a fun trip!!!Hope to have another trip again soon!!!
![post-title](https://i.ytimg.com/vi/IzqlYEiDXtY/hqdefault.jpg)
luxury magazine 在 GOLF PICHAYA Youtube 的最讚貼文
วันนี้พาทุกคนมาเสริมสร้างความ creative ด้วยการถ่ายแฟชั่นset แบบที่ทุกคนก็สามารถทำได้ แถมออกมาดู cool และดูluxuryสุด...ถามว่าถ่ายที่ไหน..แค่ในบ้านตัวเองดิ่ค้าบบบ....อาวุธลับที่ทำให้ถ่ายออกมาสวยคืออะไรเด๋วเรามาดูกันค้าบบ!!!
▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂
?Sponsorship contact ติดต่อได้ที่:
+66916324656 (Khun Jang)
? Add Line: https://line.me/ti/p/wAiFy1z-pH
?Business Inquiries: [email protected]
▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂ ▂
Golf Pichaya (Social Media)
? https://www.youtube.com/golfpichaya
?? https://www.instagram.com/golfpichaya
? https://www.facebook.com/golfpichayaofficial
? https://www.twitter.com/golfpichaya
? https://www.golfpichaya.com
?? https://vt.tiktok.com/rtnfkM/ (TikTok)
#กอล์ฟพิชญะ #GalaxyS20FETH #TeamGalaxy
![post-title](https://i.ytimg.com/vi/zH0-4CtjzJI/hqdefault.jpg)
luxury magazine 在 Luxury Trending Magazine - Facebook 的推薦與評價
Luxury Trending Magazine, Cali (Cali, Colombia). 1251 likes · 13 talking about this. Passions expressed in each issue capturing the essence of luxury... ... <看更多>