อืมมม... ผมว่าไอ้หน้ากากที่ฆาตกรไล่เชือดใส่นี่มันดูติงต๊องไปหน่อยนะ แทนที่คนเห็นแล้วจะกลัว ผมว่าคงจะขำกลิ้งมากกว่านะ
อืมมมม... เอาไงดี ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าฆาตกรใส่หน้ากากแบบไหนถึงจะดูน่ากลัว งั้นเอางี้ละกันนะ คุณไปหาหน้ากากมา 7 แบบ แล้วถ่ายฉากเปิดหนังมาให้ผมดูทั้ง 7 แบบเลย ผมจะได้เลือกว่าฆาตกรโรคจิตใน Scream ควรจะเปิดตัวแบบไหนดี
.
ในช่วงยุค 1990's ที่หนังฆาตกรไล่เชือดตกต่ำถึงขีดสุด หลังจากหนังประเภทนี้เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงมาตั้งแต่ปลายยุค 70's จนถึงช่วงยุค 80's ไล่มาตั้งแต่ The Texas Chain Saw Massacre, Halloween, A Nightmare on Elm Street, และ Friday the 13th แต่หลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงภาวะล้มเหลวของการขยันสร้างภาคต่อ จากฉายโรงตกต่ำสู่การเป็นหนังแผ่น หนังแนวไล่เชือดเสื่อมความนิยมอย่างรวดเร็วเนื่องจากคุณภาพงานดร็อปลงไปมาก จนกระทั่งปี 1995 มีสคริปต์บทหนังในชื่อ Scary Movie ที่ได้รับอิทธิพลมาจากข่าวฆาตกรต่อเนื่องอันเป็นที่รู้จักในชื่อ เกนส์วิลล์ ริปเปอร์ ซึ่งบุกเข้าบ้านนักศึกษาก่อนจะลงมือฆาตกรรม
.
โดยคนเขียนบทคือ เควิน วิลเลียมสัน ดูข่าวแล้วเกิดความกังวลขึ้นมา ในช่วงโฆษณาคั่นข่าวเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง จึงเดินสำรวจในบ้านก่อนจะพบว่าหน้าต่างเปิดอยู่ เขาลังเลว่าตัวเองเป็นคนเปิดหน้าต่างทิ้งไว้หรือเปล่า และคิดว่าตัวเองคงไม่ได้เปิดแน่ ๆ จึงรีบวิ่งเข้าครัวไปหยิบมีดแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนสนิท ซึ่งการคุยสายในคืนนั้นมีการหยอกล้อว่านี่เป็นฉากหนึ่งในหนังไล่เชือดที่จังหวะแบบนี้ฆาตกรต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในชั้นล่างแน่ ๆ การแซวเล่นแบบนั้นแทบจะทำให้วิลเลียมสันหลับไม่ลง เขาจึงลุกขึ้นมาจดไอเดียดังกล่าวเป็นฉากเปิดหนังว่าด้วยเรื่องของวัยรุ่นสาวที่บังเอิญอยู่บ้านคนเดียว แล้วได้รับโทรศัพท์ปั่นประสาทก่อนจะถูกทำร้ายโดยฆาตกรสวมหน้ากาก
.
หลังจากนั้น วิลเลียมสัน ก็เอาเวลาไปพัฒนาโปรเจ็คต์บทหนังเรื่อง Teaching Mrs. Tingle ที่เพิ่งจะขายออกหลังจากถูกดองมานาน ด้วยความที่ช่วงนั้นเขาค่อนข้างร้อนเงิน จึงกลับมาเขียนบท Scary Movie ต่อจากเดิม ก่อนจะใช้เวลาเพียง 3 วันในการเขียนบทจนเสร็จ แถมยังเตรียมดราฟต์สำหรับภาคต่ออีก 2 ภาครอไว้เรียบร้อย ด้วยความมั่นใจว่าถ้ามีสตูดิโอไหนซื้อไปยังไงก็ต้องได้ทำภาคต่อแน่นอน ซึ่งเหตุผลหลัก ๆ ที่เขาเลือกจะเขียนบท Scary Movie เพราะเขาชอบหนังแนวไล่เชือดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตั้งแต่วัยเด็ก โดยบทหนังของเขาชัดเจนว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากบรรดาหนังไล่เชือดยอดนิยมในสมัยนั้น ทั้ง Halloween, Friday the 13th, A Nightmare on Elm Street, When a Stranger Calls, และ Prom Night
.
แต่บทหนังที่เขาวาดฝันว่าจะถูกสร้างเป็นไตรภาค ดูจะมีความหวังริบหรี่ตั้งแต่ที่ตัวแทนขายของเขาเตือนว่าคงจะขายยากมาก ๆ เพราะหนังเต็มไปด้วยความรุนแรงและเลือดสาด แต่ดูเหมือนว่าไอเดียจะเข้าท่าอยู่ ทาง Miramax จึงติดต่อขอซื้อไปพร้อมกับแจ้งว่าช่วยลดฉากสยองออกไปสักหน่อย ซึ่งวิลเลียมสันก็ยอมตัดออกแต่โดยดี ถ้าไม่ใช่เพราะว่าในเวลาต่อมา เวส คราเวน ถูกดึงตัวมาเป็นผู้กำกับ แล้วบอกว่าไม่ต้องตัดอะไรออกทั้งนั้น ซึ่งการมาของ เวส คราเวน ที่ช่ำชองในหนังไล่เชือดจากประสบการณ์สมัยทำ The Hills Have Eyes, The Hills Have Eyes, และ A Nightmare on Elm Street ดูเหมือนจะทำให้ทิศทางของ Scary Movie ชัดเจนมากขึ้น
.
อย่างไรก็ตาม โปรเจ็คต์หนังไล่เชือดในช่วงปี 1995 ยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากนายทุนสักเท่าไร ทั้งทุนสร้างต่ำและได้รับคำวิจารณ์แย่มาต่อเนื่อง จึงทำให้การหาตัวนักแสดงที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วมารับบทนำเป็นเรื่องยาก ทีมแคสต์นักแสดงจึงต้องมองหาดาวรุ่งพุ่งแรงสดใหม่ ซึ่งเป้าหมายแรกของพวกเขาที่จะให้มารับบท ซิดนีย์ คือ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ ที่ในเวลานั้นยังไม่โด่งดังเท่าไร แต่เธออ่านบทแล้วกลับตอบปฏิเสธที่จะแสดงบทนางเอกของเรื่อง แล้วขอเล่นบท เคซีย์ หญิงสาวที่ถูกฆาตกรรมตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง
.
ถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดของ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ เพราะแม้เธอจะปรากฎตัวแค่ประมาณ 10 นาทีแต่กลับเป็นที่จดจำอย่างมาก เหตุผลที่เธอเลือกเล่นบทนี้ก็ถือว่าหลักแหลม เธออ่านบทแล้วคิดถึงหนังแบบ When A Stranger Calls ที่พี่เลี้ยงเด็กถูกคุกคามทางโทรศัพท์จนเกิดอาการหวาดกลัว และเชื่อกันว่าบทนี้ทำให้นึกถึง Psycho ของอัลเฟร็ด ฮิตช์ค็อก ที่ถือว่าสดใหม่มากในการกำจัดตัวเดินเรื่องออกไปตั้งแต่ช่วงแรกของหนัง เมื่อบท ซิดนีย์ ยังว่างอยู่ โปรดิวเซอร์อย่าง บ็อบ ไวน์สตีน จึงติดต่อนักแสดงหญิงอีก 2 คนที่เวลานั้นยังไม่ดังเช่นกันคือ รีส วิทเธอร์สปูน และ แคลร์ เดนส์ แต่ทั้งคู่ตอบปฏิเสธ จนกระทั่งบทตกมาเป็นของ เนฟ แคมป์เบลล์ ที่กำลังฮอตจากซีรีส์ Party of Five
.
พอได้นักแสดงเรียบร้อย ปัญหาต่อมาคือการหาหน้ากากสีขาวดูน่ากลัวที่เหมาะสมกับคำบรรยายในบทหนัง ซึ่งบังเอิญว่าระหว่างหาโลเคชั่นถ่ายหนัง ทั้งผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ไปสะดุดตากับหน้ากากชิ้นหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนังห้องนอนเด็ก เป็นหน้ากากที่ดูเหมือนได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปภาพ The Scream อันโด่งดังของ เอ็ดเวิร์ด มุงค์ แต่ปัญหาอีกอย่างคือพวกเขาไม่รู้จะตามหาเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างไร จึงเลือกดัดแปลงหน้ากากดังกล่าว(ลอก) ด้วยการขยายช่องดวงตาและปากให้ยาวขึ้น หยิบอัลบั้ม The Wall ของ Pink Floyd และผีในการ์ตูนเรื่อง Betty Boop มาผสมอีกหน่อย จนดูเหมือนคนที่ทั้งร้องไห้และร้องกรี๊ดในเวลาเดียวกัน
.
พอเวส คราเวน เริ่มถ่ายทำฉากแรกก็ถูก บ็อบ ไวน์สตีน เข้ามาก้าวก่ายในฐานะโปรดิวเซอร์ เขาแสดงความกังวลว่าฉากเปิดหนังมันโหดร้ายกับเด็กสาวมากไปไหม, แถมวิกผมที่ใส่ให้ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ ก็ไม่โดนใจเอาเสียเลย, ไหนจะเสื้อผ้าของเธอที่น่าจะแซ่บกว่านี้สักหน่อย, และไอ้หน้ากากฆาตกรนี่มันดูติงต๊องมากเลยนะ เอางี้แล้วกัน ลองไปหาหน้ากากมาสัก 7 แบบแล้วถ่ายทำมัน 7 รอบไปเลย
.
แน่นอนว่าการที่คนระดับสูงลงมาวุ่นวายกับกองถ่ายย่อมไม่เป็นที่ปลาบปลื้มสำหรับ เวส คราเวน ผู้ซึ่งหัวเสียอย่างมาก เขาเลือกจะเมินคำขอของไวน์สตีน แล้วถ่ายทำฉากเปิดหนังต่อในแบบที่ตัวเองคิดไว้ แล้วตัดต่อส่งกลับไปให้ไวน์สตีนดูอีกรอบ ซึ่งพอไวน์สตีนดูก็ยอมรับว่าตัวเขาคิดผิดไป แล้วให้อิสระกับเวส คราเวน ทำงานเต็มที่ โดยไม่เข้ามาวุ่นวายอีกเลย ทำให้การถ่ายทำหนังตั้งแต่นั้นราบรื่นจนปิดกองถ่าย
.
แต่ใช่ว่าการเข้ามายุ่งของไวน์สตีน จะมีแต่การตัดสินใจแย่ ๆ เพราะหนึ่งในการตัดสินใจสุดยอดเยี่ยมของไวน์สตีนคือการเปลี่ยนชื่อหนังจาก Scary Movie เป็น Scream โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงฮิตของไมเคิล แจ็คสัน ซึ่งในเวลานั้นทั้งวิลเลียมสันและคราเวน ไม่พอใจชื่อหนังใหม่มาก ๆ และมองว่ามันเป็นชื่อที่โง่เง่าสิ้นคิดเหลือเกิน แต่ภายหลังทั้งคู่ก็ยอมรับว่าการตัดสินใจเปลี่ยนชื่อหนังเป็นสิ่งที่ดีงามอย่างมาก
.
สุดท้ายหนังถูกวางโปรแกรมฉายในเดือนธันวาคม 5 วันก่อนถึงคริสมาสต์ ซึ่งปกติช่วงนั้นจะเป็นฤดูกาลของหนังครอบครัว แต่ทางสตูดิโอมองต่างออกไปว่าเพราะมีแต่หนังครอบครัวเนี่ยแหละ จึงทำให้คนที่อยากดูหนังสยองขวัญไม่รู้จะดูอะไร ปรากฎว่าทฤษฎีเลือกวันฉายเช่นนี้ทำรายได้เปิดตัวไปเพียง 6.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ใกล้เคียงจะเป็นหนังเจ๊งอยู่รอมร่อ แต่ด้วยกระแสปากต่อปาก และคำวิจารณ์อย่างดีจึงทำให้รายได้ในสัปดาห์ต่อมาสูงขึ้น และสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะทำรายได้รวมทั้งหมด 103 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างเพียง 14 ล้านเหรียญฯ ทำเงินสูงสุดเป็นอันดับที่ 15 ของปีในอเมริกาอย่างเหนือความคาดหมาย กลายเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ประสบความสำเร็จของเวส คราเวน
.
อ้างอิง:
https://www.telegraph.co.uk/…/scream-20-wes-craven-kevin-w…/
https://en.wikipedia.org/wiki/Scream_(1996_film)
#หนังโปรดของข้าพเจ้า
「pink floyd: the wall movie」的推薦目錄:
- 關於pink floyd: the wall movie 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最讚貼文
- 關於pink floyd: the wall movie 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最佳解答
- 關於pink floyd: the wall movie 在 Croter Illustration & Design Studio Facebook 的最佳貼文
- 關於pink floyd: the wall movie 在 Pink Floyd: The Wall - The Movie ≣ 1982 ≣ Trailer ... - YouTube 的評價
- 關於pink floyd: the wall movie 在 Pink Floyd - "The Wall Movie" (1982) - Facebook 的評價
- 關於pink floyd: the wall movie 在 Pink Floyd: The Wall Movie poster - Art - Pinterest 的評價
pink floyd: the wall movie 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最佳解答
อืมมม... ผมว่าไอ้หน้ากากที่ฆาตกรไล่เชือดใส่นี่มันดูติงต๊องไปหน่อยนะ แทนที่คนเห็นแล้วจะกลัว ผมว่าคงจะขำกลิ้งมากกว่านะ
อืมมมม... เอาไงดี ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าฆาตกรใส่หน้ากากแบบไหนถึงจะดูน่ากลัว งั้นเอางี้ละกันนะ คุณไปหาหน้ากากมา 7 แบบ แล้วถ่ายฉากเปิดหนังมาให้ผมดูทั้ง 7 แบบเลย ผมจะได้เลือกว่าฆาตกรโรคจิตใน Scream ควรจะเปิดตัวแบบไหนดี
.
ในช่วงยุค 1990's ที่หนังฆาตกรไล่เชือดตกต่ำถึงขีดสุด หลังจากหนังประเภทนี้เคยประสบความสำเร็จอย่างสูงมาตั้งแต่ปลายยุค 70's จนถึงช่วงยุค 80's ไล่มาตั้งแต่ The Texas Chain Saw Massacre, Halloween, A Nightmare on Elm Street, และ Friday the 13th แต่หลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงภาวะล้มเหลวของการขยันสร้างภาคต่อ จากฉายโรงตกต่ำสู่การเป็นหนังแผ่น หนังแนวไล่เชือดเสื่อมความนิยมอย่างรวดเร็วเนื่องจากคุณภาพงานดร็อปลงไปมาก จนกระทั่งปี 1995 มีสคริปต์บทหนังในชื่อ Scary Movie ที่ได้รับอิทธิพลมาจากข่าวฆาตกรต่อเนื่องอันเป็นที่รู้จักในชื่อ เกนส์วิลล์ ริปเปอร์ ซึ่งบุกเข้าบ้านนักศึกษาก่อนจะลงมือฆาตกรรม
.
โดยคนเขียนบทคือ เควิน วิลเลียมสัน ดูข่าวแล้วเกิดความกังวลขึ้นมา ในช่วงโฆษณาคั่นข่าวเขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง จึงเดินสำรวจในบ้านก่อนจะพบว่าหน้าต่างเปิดอยู่ เขาลังเลว่าตัวเองเป็นคนเปิดหน้าต่างทิ้งไว้หรือเปล่า และคิดว่าตัวเองคงไม่ได้เปิดแน่ ๆ จึงรีบวิ่งเข้าครัวไปหยิบมีดแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเพื่อนสนิท ซึ่งการคุยสายในคืนนั้นมีการหยอกล้อว่านี่เป็นฉากหนึ่งในหนังไล่เชือดที่จังหวะแบบนี้ฆาตกรต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในชั้นล่างแน่ ๆ การแซวเล่นแบบนั้นแทบจะทำให้วิลเลียมสันหลับไม่ลง เขาจึงลุกขึ้นมาจดไอเดียดังกล่าวเป็นฉากเปิดหนังว่าด้วยเรื่องของวัยรุ่นสาวที่บังเอิญอยู่บ้านคนเดียว แล้วได้รับโทรศัพท์ปั่นประสาทก่อนจะถูกทำร้ายโดยฆาตกรสวมหน้ากาก
.
หลังจากนั้น วิลเลียมสัน ก็เอาเวลาไปพัฒนาโปรเจ็คต์บทหนังเรื่อง Teaching Mrs. Tingle ที่เพิ่งจะขายออกหลังจากถูกดองมานาน ด้วยความที่ช่วงนั้นเขาค่อนข้างร้อนเงิน จึงกลับมาเขียนบท Scary Movie ต่อจากเดิม ก่อนจะใช้เวลาเพียง 3 วันในการเขียนบทจนเสร็จ แถมยังเตรียมดราฟต์สำหรับภาคต่ออีก 2 ภาครอไว้เรียบร้อย ด้วยความมั่นใจว่าถ้ามีสตูดิโอไหนซื้อไปยังไงก็ต้องได้ทำภาคต่อแน่นอน ซึ่งเหตุผลหลัก ๆ ที่เขาเลือกจะเขียนบท Scary Movie เพราะเขาชอบหนังแนวไล่เชือดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วตั้งแต่วัยเด็ก โดยบทหนังของเขาชัดเจนว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากบรรดาหนังไล่เชือดยอดนิยมในสมัยนั้น ทั้ง Halloween, Friday the 13th, A Nightmare on Elm Street, When a Stranger Calls, และ Prom Night
.
แต่บทหนังที่เขาวาดฝันว่าจะถูกสร้างเป็นไตรภาค ดูจะมีความหวังริบหรี่ตั้งแต่ที่ตัวแทนขายของเขาเตือนว่าคงจะขายยากมาก ๆ เพราะหนังเต็มไปด้วยความรุนแรงและเลือดสาด แต่ดูเหมือนว่าไอเดียจะเข้าท่าอยู่ ทาง Miramax จึงติดต่อขอซื้อไปพร้อมกับแจ้งว่าช่วยลดฉากสยองออกไปสักหน่อย ซึ่งวิลเลียมสันก็ยอมตัดออกแต่โดยดี ถ้าไม่ใช่เพราะว่าในเวลาต่อมา เวส คราเวน ถูกดึงตัวมาเป็นผู้กำกับ แล้วบอกว่าไม่ต้องตัดอะไรออกทั้งนั้น ซึ่งการมาของ เวส คราเวน ที่ช่ำชองในหนังไล่เชือดจากประสบการณ์สมัยทำ The Hills Have Eyes, The Hills Have Eyes, และ A Nightmare on Elm Street ดูเหมือนจะทำให้ทิศทางของ Scary Movie ชัดเจนมากขึ้น
.
อย่างไรก็ตาม โปรเจ็คต์หนังไล่เชือดในช่วงปี 1995 ยังไม่ได้รับความไว้วางใจจากนายทุนสักเท่าไร ทั้งทุนสร้างต่ำและได้รับคำวิจารณ์แย่มาต่อเนื่อง จึงทำให้การหาตัวนักแสดงที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วมารับบทนำเป็นเรื่องยาก ทีมแคสต์นักแสดงจึงต้องมองหาดาวรุ่งพุ่งแรงสดใหม่ ซึ่งเป้าหมายแรกของพวกเขาที่จะให้มารับบท ซิดนีย์ คือ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ ที่ในเวลานั้นยังไม่โด่งดังเท่าไร แต่เธออ่านบทแล้วกลับตอบปฏิเสธที่จะแสดงบทนางเอกของเรื่อง แล้วขอเล่นบท เคซีย์ หญิงสาวที่ถูกฆาตกรรมตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง
.
ถือเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดของ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ เพราะแม้เธอจะปรากฎตัวแค่ประมาณ 10 นาทีแต่กลับเป็นที่จดจำอย่างมาก เหตุผลที่เธอเลือกเล่นบทนี้ก็ถือว่าหลักแหลม เธออ่านบทแล้วคิดถึงหนังแบบ When A Stranger Calls ที่พี่เลี้ยงเด็กถูกคุกคามทางโทรศัพท์จนเกิดอาการหวาดกลัว และเชื่อกันว่าบทนี้ทำให้นึกถึง Psycho ของอัลเฟร็ด ฮิตช์ค็อก ที่ถือว่าสดใหม่มากในการกำจัดตัวเดินเรื่องออกไปตั้งแต่ช่วงแรกของหนัง เมื่อบท ซิดนีย์ ยังว่างอยู่ โปรดิวเซอร์อย่าง บ็อบ ไวน์สตีน จึงติดต่อนักแสดงหญิงอีก 2 คนที่เวลานั้นยังไม่ดังเช่นกันคือ รีส วิทเธอร์สปูน และ แคลร์ เดนส์ แต่ทั้งคู่ตอบปฏิเสธ จนกระทั่งบทตกมาเป็นของ เนฟ แคมป์เบลล์ ที่กำลังฮอตจากซีรีส์ Party of Five
.
พอได้นักแสดงเรียบร้อย ปัญหาต่อมาคือการหาหน้ากากสีขาวดูน่ากลัวที่เหมาะสมกับคำบรรยายในบทหนัง ซึ่งบังเอิญว่าระหว่างหาโลเคชั่นถ่ายหนัง ทั้งผู้กำกับและโปรดิวเซอร์ไปสะดุดตากับหน้ากากชิ้นหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนังห้องนอนเด็ก เป็นหน้ากากที่ดูเหมือนได้รับแรงบันดาลใจมาจากรูปภาพ The Scream อันโด่งดังของ เอ็ดเวิร์ด มุงค์ แต่ปัญหาอีกอย่างคือพวกเขาไม่รู้จะตามหาเจ้าของลิขสิทธิ์อย่างไร จึงเลือกดัดแปลงหน้ากากดังกล่าว(ลอก) ด้วยการขยายช่องดวงตาและปากให้ยาวขึ้น หยิบอัลบั้ม The Wall ของ Pink Floyd และผีในการ์ตูนเรื่อง Betty Boop มาผสมอีกหน่อย จนดูเหมือนคนที่ทั้งร้องไห้และร้องกรี๊ดในเวลาเดียวกัน
.
พอเวส คราเวน เริ่มถ่ายทำฉากแรกก็ถูก บ็อบ ไวน์สตีน เข้ามาก้าวก่ายในฐานะโปรดิวเซอร์ เขาแสดงความกังวลว่าฉากเปิดหนังมันโหดร้ายกับเด็กสาวมากไปไหม, แถมวิกผมที่ใส่ให้ ดรูว์ แบร์รี่มอร์ ก็ไม่โดนใจเอาเสียเลย, ไหนจะเสื้อผ้าของเธอที่น่าจะแซ่บกว่านี้สักหน่อย, และไอ้หน้ากากฆาตกรนี่มันดูติงต๊องมากเลยนะ เอางี้แล้วกัน ลองไปหาหน้ากากมาสัก 7 แบบแล้วถ่ายทำมัน 7 รอบไปเลย
.
แน่นอนว่าการที่คนระดับสูงลงมาวุ่นวายกับกองถ่ายย่อมไม่เป็นที่ปลาบปลื้มสำหรับ เวส คราเวน ผู้ซึ่งหัวเสียอย่างมาก เขาเลือกจะเมินคำขอของไวน์สตีน แล้วถ่ายทำฉากเปิดหนังต่อในแบบที่ตัวเองคิดไว้ แล้วตัดต่อส่งกลับไปให้ไวน์สตีนดูอีกรอบ ซึ่งพอไวน์สตีนดูก็ยอมรับว่าตัวเขาคิดผิดไป แล้วให้อิสระกับเวส คราเวน ทำงานเต็มที่ โดยไม่เข้ามาวุ่นวายอีกเลย ทำให้การถ่ายทำหนังตั้งแต่นั้นราบรื่นจนปิดกองถ่าย
.
แต่ใช่ว่าการเข้ามายุ่งของไวน์สตีน จะมีแต่การตัดสินใจแย่ ๆ เพราะหนึ่งในการตัดสินใจสุดยอดเยี่ยมของไวน์สตีนคือการเปลี่ยนชื่อหนังจาก Scary Movie เป็น Scream โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงฮิตของไมเคิล แจ็คสัน ซึ่งในเวลานั้นทั้งวิลเลียมสันและคราเวน ไม่พอใจชื่อหนังใหม่มาก ๆ และมองว่ามันเป็นชื่อที่โง่เง่าสิ้นคิดเหลือเกิน แต่ภายหลังทั้งคู่ก็ยอมรับว่าการตัดสินใจเปลี่ยนชื่อหนังเป็นสิ่งที่ดีงามอย่างมาก
.
สุดท้ายหนังถูกวางโปรแกรมฉายในเดือนธันวาคม 5 วันก่อนถึงคริสมาสต์ ซึ่งปกติช่วงนั้นจะเป็นฤดูกาลของหนังครอบครัว แต่ทางสตูดิโอมองต่างออกไปว่าเพราะมีแต่หนังครอบครัวเนี่ยแหละ จึงทำให้คนที่อยากดูหนังสยองขวัญไม่รู้จะดูอะไร ปรากฎว่าทฤษฎีเลือกวันฉายเช่นนี้ทำรายได้เปิดตัวไปเพียง 6.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ใกล้เคียงจะเป็นหนังเจ๊งอยู่รอมร่อ แต่ด้วยกระแสปากต่อปาก และคำวิจารณ์อย่างดีจึงทำให้รายได้ในสัปดาห์ต่อมาสูงขึ้น และสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ก่อนจะทำรายได้รวมทั้งหมด 103 ล้านเหรียญฯ จากทุนสร้างเพียง 14 ล้านเหรียญฯ ทำเงินสูงสุดเป็นอันดับที่ 15 ของปีในอเมริกาอย่างเหนือความคาดหมาย กลายเป็นอีกหนึ่งผลงานที่ประสบความสำเร็จของเวส คราเวน
.
อ้างอิง:
https://www.telegraph.co.uk/films/2016/12/22/scream-20-wes-craven-kevin-williamson-tore-slasher-filmapart/
https://en.wikipedia.org/wiki/Scream_(1996_film)
#หนังโปรดของข้าพเจ้า
pink floyd: the wall movie 在 Croter Illustration & Design Studio Facebook 的最佳貼文
完整版的的Pink Floyd ,The Wall Movie,學設計、插畫、動畫的都該花個一個半小時看一下!1979年現在看仍然很前面,意象好豐富啊!(跪拜)
http://www.youtube.com/watch?v=PQE3vcwU97g
pink floyd: the wall movie 在 Pink Floyd - "The Wall Movie" (1982) - Facebook 的推薦與評價
Pink Floyd - "The Wall Movie " (1982) https://en.wikipedia.org/wiki/Pink_Floyd_%E2%80%93_The_Wall -Renz- ... <看更多>
pink floyd: the wall movie 在 Pink Floyd: The Wall Movie poster - Art - Pinterest 的推薦與評價
Nov 19, 2012 - This Pin was discovered by Matthew Copeland. Discover (and save!) your own Pins on Pinterest. ... <看更多>
pink floyd: the wall movie 在 Pink Floyd: The Wall - The Movie ≣ 1982 ≣ Trailer ... - YouTube 的推薦與評價
Music | Drama ≣ United Kingdom≣ Director ≣ Alan Parker | Gerald Scarfe≣ Cast ≣ Bob Geldof | Christine Hargreaves | James Laurenson ... ... <看更多>