ถอดบทเรียนธุรกิจจีน: ศึกแห่ง ผู้ให้บริการ e-wallet สังคมไร้เงินสดในจีน ผ่านพันธมิตรในธุรกิจอื่นๆ
ภายใต้กลยุทธ์ "ศัตรูของศัตรู คือมิตร"
-----
สำหรับในจีน ถ้าพูดถึงแอพกระเป๋าสตางค์ออนไลน์ ทุกคนควจะนึกถึง Alipay และ WeChat Pay อย่างแน่นอน เพราะสองเจ้านี้ถือเป็นยักษ์ใหญ่ ครองตลาดในจีนโดยสัดส่วนรวมกันเกือบ 100% เต็ม แม้จะมีเจ้าอื่นร่วมแจมบ้าง เช่น NetEase (บริษัทสื่อออนไลน์และผู้ผลิตเกมรายใหญ่) แต่ต้องยอมรับว่า ไม่มีใครจะมาแย่งสัดส่วนพื้นที่ของสองเจ้าข้างต้นได้
.
ดังนั้นตลอดช่วง 5ปีที่ผ่านมา Alipay และ WeChat Pay จึงแย่งชิงความเป็นหนึ่งในยุทธจักรอยู่ตลอด โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์ "หาพันธมิตร" แบบแบ่งข้างชัดเจน
.
เริ่มต้นที่ศึกแรกๆที่เห็นภาพการแบ่งฝ่ายแบ่งข้างอย่างชัดที่สุด
ปี2016 WeChat Pay ได้จับมือกับ Starbucks เกือบทุกสาขาทั่วจีน เพื่อเป็นระบบจ่ายเงินอารยธรรม “สังคมไร้เงินสด” ที่อ้ายจงใช้คำว่า เกือบทุกสาขา เพราะในตอนนั้น มีอยู่เพียง 1สาขา ที่ไม่สามารถร่วมพันธมิตรกับ WeChat Pay ได้
รู้ไหมครับ ว่ามี 1 สาขา ที่ไม่รับ WeChat Pay และ Starbucks ก็เซย์ Yes ด้วย พอเดาได้ไหมครับว่าคือสาขาไหน?"
....
....
Starbucks สาขาที่ไม่สามารถใช้ WeChat Pay ได้ และเป็นเพียงสาขาเดียว คือ "Alibaba Campus" ที่นั่นสามารถจ่ายได้แค่ Alipay สำหรับบริการชำระเงินออนไลน์ครับ
แน่นอนว่า ถึงถิ่นเสือ ก็คงไม่ยอมให้คู่แข่งเข้ามาแน่นอน ... เพราะ Alipay เป็น Product สำคัญในเครือ Alibaba อาลีบาบา
(แต่ในภายหลัง Starbucksทุกสาขาในจีน ก็มี Alipay เข้าไปเคียงข้าง WeChat Pay )
.
วิธีการแก้เกมของ Alipay ในขณะนั้น คือ บุกไปตลาดต่างประเทศ Think Beyond และเดินเกมเหนือคู่แข่งไปเลย ด้วยการบุกยึดหัวหาดต่างแดนก่อน
โดยหลังจากที่ WeChat Pay ประกาศจับมือกับ Starbucksจีน ได้ไม่นาน Alipay เองก็ประกาศขยายตลาดไปที่ดินแดนบ้านเกิดของซานต้าครอสทางตอนเหนือสุดของฟินแลนด์ และร่วมมือกับ3สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของยุโรปเพื่อลุยตลาดยุโรป
และต่อมา Alipay ได้พื้นที่ Starbucks ทุกสาขาในประเทศมาเลเซียไปครอง แลกกันคนละหมัดแบบจังๆ
-----
ถ้าพูดถึงวงการE-commerceในจีน รู้กันดีว่า กลุ่ม Alibaba คือเบอร์หนึ่ง
และ Alibaba คือ บริษัทแม่ของ Alipay ดังนั้นในแพลตฟอร์มE-commerceของ Alibaba เช่น Taobao จึงตัดการรับชำระเงินผ่านคู่แข่งอย่าง WeChat Pay ออกไป คงไว้แต่ Alipay ของตนเอง
.
แต่มีหรือที่ WeChat Pay จะยอม ศัตรูของศัตรูย่อมคือมิตร พวกเขาจึงไปจับมือกับ JD.com เบอร์สองE-commerce คู่แข่งตัวฉกาจของ Alibaba โดยในแพลตฟอร์มของ JD.com ก็จ่ายได้แต่ WeChat Pay และแอพกระเป๋าเงินของ JD เอง
.
มาถึงธุรกิจแชร์จักรยาน ที่มาแรงอย่างมากในจีนเมื่อ2-3ปีก่อน ทั้ง Alipay และ WeChat Pay จึงมาจับมือพันธมิตรกับผู้ให้บริการเหล่านี้ โดย Alipay ได้ Ofo เบอร์สองแชร์จักรยานในจีนไปครอง ส่วน WeChat Pay ได้รายใหญ่ เบอร์1 ของตลาด อย่าง Mobike มาเชยชม
.
แต่ต้องยอมรับว่า ปัจจุบัน การแบ่งฝ่ายเลือกข้างใดข้างหนึ่ง เริ่มมีให้เห็นน้อยลงแล้ว
เพราะทั้ง Alipay และ WeChat Pay กลายมาเป็นแอพใช้จ่ายออนไลน์ที่คนจีนทุกคนต่างใช้
.
กล่าวคือ คนจีนทุกคนใช้ทั้งคู่ แต่จุดประสงค์อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อย
-เริ่มแรกคนจีนใช้ Alipay เพราะเป็นทางเลือกที่ Taobao และแพลตฟอร์ม E-commerce ในเครือAlibaba เพิ่มเข้ามา คนจีนที่เคยชินกับการซื้อของออนไลน์แล้ว จึงมั่นใจที่จะจ่ายเงินผ่านออนไลน์ด้วย Alipay
-ส่วน WeChat Pay เริ่มต้นจาก WeChat แอปพลิเคชันสนทนาหรือแชทออนไลน์ที่คนจีนทุกคนใช้งานกันเป็นปกติ ใส่Feature แจกเงินอั่งเปา ไม่ว่าจะเงินย่อยขนาดไหน ก็โอนให้เพื่อนที่กำลังคุยกันบนWeChat ได้เลย ผ่าน WeChat Pay
ดังนั้น คนจีนจำนวนไม่น้อยจึงมีภาพจำว่า หากใช้จ่ายหรือโอนเงินจำนวนน้อยๆ อาจจะไม่เกิน 2,000หยวน (ราว 10,000บาท) จะใช้ WeChat Pay ถ้ายอดเงินกลางๆหรือมากกว่า 2,000หยวน หรือเป็นการซื้อของออนไลน์ รวมถึงต้องการผ่อนสินค้าแบบออนไลน์ ให้ใช้ Alipay
.
ในโลกของธุรกิจ ไม่มีคำว่า มิตรแท้หรือศัตรู(คู่แข่ง) ถาวร ยังคงเป็นจริงเสมอไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม
-----
ภาพประกอบจาก: https://www.flickr.com/photos/mujitra/49384366907
#อ้ายจง #เล่าเรื่องเมืองจีน #ชีวิตในจีน #ธุรกิจจีน
同時也有2部Youtube影片,追蹤數超過23萬的網紅KP l KhuiPhai,也在其Youtube影片中提到,#iPhone12 #iPhon12Pro #iPhone12ProMAX #GalaxyNote20Ultra iPhone 12 Pro เรียกได้ว่าเป็นการอัพเกรดค่อนข้างน่าสนใจครับผม ถึงแม้ว่าตัวดีไซน์ของ iPhone 12 ...
product feature คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
กรณีศึกษา การเติบโตของ นมอัลมอนด์ /โดย ลงทุนแมน
หนึ่งในนมทางเลือกที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนี้ ก็คือ นมอัลมอนด์
นมที่มาจากถั่ว แต่มีคุณค่าสารอาหารพอๆ กับนมวัว
ความนิยมกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ
จนล่าสุดตลาดนมอัลมอนด์ทั่วโลกนั้น มีมูลค่าสูงถึง 1.5 แสนล้านบาทแล้วในปัจจุบัน
แล้วทำไมนมอัลมอนด์ถึงได้รับความนิยม
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง..
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ก่อนอื่นเรามารู้จักที่มาของอัลมอนด์กันสักนิดก่อน
รู้หรือไม่ว่า ประเทศที่ส่งออกอัลมอนด์มากที่สุดในโลกคือ สหรัฐอเมริกา
โดยปริมาณการผลิตเกือบทั้งหมดมาจากรัฐเดียว คือ รัฐแคลิฟอร์เนีย
โดยในปี 2018 มีมูลค่าส่งออกทั้งหมด 1.4 แสนล้านบาท
พอฟังแบบนี้หลายคนอาจคิดว่า อัลมอนด์เป็นพืชท้องถิ่นของสหรัฐอเมริกา
แต่ความจริงแล้ว อัลมอนด์เพิ่งถูกนำมาปลูกโดยชาวสเปน ที่อพยพไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนียเมื่อ 300 ปีที่ผ่านมา
จนปัจจุบัน อัลมอนด์ ถือเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของแคลิฟอร์เนีย
โดยมีการจัดตั้งสมาคมที่เรียกว่า Blue Diamond Growers
หรือ ที่เราอาจจะคุ้นเคยกับเมล็ดถั่วอัลมอนด์อบเกลือยี่ห้อ Blue Diamond ที่ขายอยู่ตามร้านค้าปลีกทั่วไปนั่นเอง
และต่อมาในภายหลังก็เริ่มมีการแตกไลน์สินค้าออกมาเป็นนมอัลมอนด์
ซึ่งก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน ทั้งระดับนานาชาติ หรือแม้แต่ในประเทศไทยเอง
โดยนมอัลมอนด์ของ Blue Diamond ชื่อแบรนด์ Almond Breeze นั้นถือเป็นผู้ครองตลาดอันดับหนึ่งในสหรัฐอมเริกาด้วยเช่นกัน
จากอัลมอนด์มาเป็นนมอัลมอนด์ได้อย่างไร?
กระบวนการในการทำหลักๆ ก็คือ การนำเมล็ดอัลมอนด์ที่แช่น้ำมาปั่น
แต่ก็มีหลายสูตร ขึ้นอยู่กับการเติมวัตถุดิบอื่นๆ ตามความชอบของแต่ละคน
แล้วนมอัลมอนด์ ต่างกับนมวัวแค่ไหน?
ความจริงแล้วแทบจะมีคุณค่าทางอาหารพอๆ กัน อาจจะต่างกันที่ปริมาณโปรตีน ซึ่งนมวัวจะมีมากกว่า แต่นมอัลมอนด์ก็จะเหมาะสำหรับคนที่แพ้น้ำตาลแลคโตสในนมวัว
นอกจากนี้ นมอัลมอนด์ยังมีแคลอรีต่ำ เหมาะกับคนที่ต้องการลดความอ้วนอีกด้วย
และด้วยความที่คุณค่าทางสารอาหารมาก บวกกับ รสชาติที่ค่อนข้างเบา ดื่มง่าย
ก็ทำให้นมอัลมอนด์เป็นอีกหนึ่งนมทางเลือกที่คนทั่วโลกหันมาสนใจในเวลานี้
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งกระแสที่กำลังมาแรงไม่แพ้กันคือ กระแส Vegan ซึ่งก็ทำให้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่มาจากพืชนั้นได้รับความนิยมตามไปด้วย
ซึ่งมีการคาดการณ์ว่า มูลค่าตลาดนมอัลมอนด์นั้นจะโตขึ้นอีกเกือบ 3 เท่าภายในปี 2025
แล้วสำหรับในประเทศไทยเป็นอย่างไร?
สำหรับตลาดเครื่องดื่มธัญพืชในไทยนั้นก็เติบโตได้ดีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะนมอัลมอนด์ที่โตขึ้นกว่า 30% ในช่วงปี 2018
นอกจากนมอัลมอนด์ของ Blue Diamond ที่เป็นเจ้าตลาดแล้ว ก็ยังมีอีกยี่ห้อหนึ่ง
ที่เป็นนมอัลมอนด์สัญชาติไทยที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน นั่นก็คือ นมอัลมอนด์ 137 degrees
และเมื่อมาดูรายได้ของบริษัทนี้ก็ดูจะสอดคล้องกับกระแสความนิยมของนมอัลมอนด์
บริษัท ซิมเพิ้ล ฟู้ดส์ จำกัด
ปี 2017 รายได้ 198 ล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 291 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 326 ล้านบาท
หรือคิดเป็นการเติบโตแบบ CAGR ประมาณ 28% ต่อปี
และแบรนด์ 137 degrees ยังเป็นแบรนด์ที่มีการส่งออกไปขายยังต่างประเทศด้วย
จะเห็นได้ว่ากระแสของการดื่มนมนั้นกำลังเปลี่ยนไปทั่วโลก
จากที่แต่ก่อนเราอาจจะรู้จักแค่นมวัว แต่ตอนนี้เรามีนมที่มาจากพืชมากมายที่ให้คุณประโยชน์ไม่แพ้กันมาเป็นตัวเลือก
และดูเหมือนว่าตลาดอาหารจากพืชนี้กำลังโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งในผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่นม เช่น เนื้อที่ทำจากพืช
และด้วยเทคโนโลยีต่างๆ ก็ยิ่งทำให้สินค้าทดแทนนั้นเหมือนกันมากขึ้น
จนในอนาคต เราอาจจะแยกไม่ออกว่า
สิ่งที่เรากำลังกินอยู่นั้น ทำมาจากสัตว์ หรือมาจากพืชกันแน่..
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.bevindustry.com/…/90350-2017-state-of-the-bever…
-https://www.statista.com/…/781860/global-almond-milk-market/
-https://datawarehouse.dbd.go.th/…/profitloss/5/0105558048238
-http://www.worldstopexports.com/top-almonds-exporters-by-c…/
-https://www.almonds.com/co…/about-almonds/history-of-almonds
-https://www.sciencefocus.com/…/head-to-head-cows-milk-vs-a…/
-https://www.grandviewresearch.com/indust…/almond-milk-market
-https://www.posttoday.com/economy/news/600278
Almond milk growth case study / by invest manly
One of the alternative boobs that is currently trending is almond milk.
Milk derived from nuts, but nutrients as much as cow's milk.
The popularity is getting more and more.
Recently, the global almond milk market is worth up to 1.5 billion baht now.
So why is almond milk so popular
Investing man will tell you about it..
╔═══════════╗
Blockdit. Analytical article source.
Deep in deep content
The latest podcast feature is available.
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
First of all, let's know the origin of almonds.
Did you know that the most almond exports country in the world is the USA?
Almost all production volume from one state is California.
In 2018, there is a total export value of 1.4 billion baht.
When I listen to this, many people may think Almonds are the local plant of the USA.
But in fact, almonds were just planted by Spaniards who evacuated to California 300 years ago.
Until now, almonds are California's main economic plant.
With an association called Blue Diamond Growers
Or that we may be familiar with Blue Diamond Salted Almond Bean Seeds which are sold at the general retail store.
And later, product line-up is out of almond milk.
It's popular both international or even in Thailand.
Blue Diamond's Almond milk, Almond Breeze brand name is also the number one market in the United States.
How come from almonds to almond milk?
The main process of making is to bring almond seeds in the smoothie.
But there are many formulas depending on the filling of other ingredients according to each person's preference.
So how different is almond milk than cow's milk?
In fact, there's almost equal food value. It's probably different that the protein amount of cow's milk is more. Almond milk is suitable for those who are allergic to sugar, lactose in cow's milk.
Almond milk also has low calories. Suitable for people who want to diet.
And with the nutrient value, plus a relatively light taste, easy to drink.
Almond milk is another choice that people around the world care about at this time.
There is also another hot trend that is Vegan trend which makes plant-based alternative products popular.
Almond milk market predicted to grow almost 3 times by 2025
So how is it for Thailand?
For the Thai grain drink market, it's growing well. Especially almond milk that grew more than 30 % in 2018
Besides the marketplace of Blue Diamond Almond Almond milk, there is another brand.
Almond milk. Thai nationality is popular. That's Almond milk. 137 degrees.
And when it comes to see this company's revenue, it seems to be consistent with the popularity of almond milk.
Simple Foods Co Ltd
Year 2017 Income 198 million baht.
Year 2018 Income 291 million baht.
Year 2019 Income 326 million baht.
Or think about 28 % per year CAGR growth.
And the 137 degrees brand is also a brand exported to sell abroad.
The trend of drinking milk is changing around the world.
From before, we may have known cow's milk, but now we have plenty of plant-based milk that gives us an optional benefit.
And it looks like this plant-based food market is growing rapidly, even on other non-dairy products like plant-based meat.
And with technology, more and more replacement products.
Until future we may not be able to separate that
What we are eating is made of animals or plants..
╔═══════════╗
Blockdit. Analytical article source.
Deep in deep content
The latest podcast feature is available.
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Follow to invest manly at
Website - longtunman.com
Blockdit-blockdit.com/longtunman
Facebook-@[113397052526245:274: lngthun mæn]
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram-instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.bevindustry.com/articles/90350-2017-state-of-the-beverage-industry-almond-driving-dairy-alternatives
-https://www.statista.com/statistics/781860/global-almond-milk-market/
-https://datawarehouse.dbd.go.th/fin/profitloss/5/0105558048238
-http://www.worldstopexports.com/top-almonds-exporters-by-country/
-https://www.almonds.com/consumers/about-almonds/history-of-almonds
-https://www.sciencefocus.com/science/head-to-head-cows-milk-vs-almond-milk/
-https://www.grandviewresearch.com/industry-analysis/almond-milk-market
-https://www.posttoday.com/economy/news/600278Translated
product feature คือ 在 โปรแกรมเมอร์ไทย Thai programmer Facebook 的精選貼文
ที่มาของ scrum
Scrum in Research?
ทำรีเสิร์ชว่องไว โดยใช้ Scrum Framework (ได้รึเปล่า?)
ตอนที่ 1 Scrum มันคืออิหยังวะ?
หากคุณเป็นคนคร่ำหวอดในวงการซอฟต์แวร์ ธุรกิจ หรือ Startup ก็คนคงจะคุ้นเคยกับคำว่า Scrum ซึ่งเป็น framework ในการบริหารทีมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานอย่างสูงสุด มาบ้างแล้ว แต่หากคุณเป็นนักวิชาการก้นแล็บอย่างแอด ก็อาจจะได้แค่เกาเหม่งอย่างงงๆ
แอดสารภาพเลยว่า เคยได้ยินคำว่า Scrum มานานแล้ว แต่คิดมาตลอดว่ามันเป็นหนึ่งใน buzzword ที่พวก Startup เค้าใช้กัน และมันคงใช้อะไรไม่ได้กับวงการวิจัยที่ธรรมชาติของงานนั้นคาดการณ์ได้ยาก
แต่เมื่อไม่นานมานี้ วารสาร Nature เขียนบทความเรื่องการใช้ Scrum ในการบริหารกลุ่มวิจัยในมหาลัย [1] จึงจุดประกายให้แอดเกิดความสนใจที่จะหาความรู้ขึ้นมาอย่างจริงๆจังๆเสียที ว่าไอเจ้า Framework นี้มันคืออะไรกันแน่ แล้วทำไมใครๆก็บอกว่ามันสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของทีมหลายเท่าทวิคูณ
การทำงานโดยใช้ Scrum นี้มีท่ีมาจากงานวิจัยของศาตราจารย์ชาวญี่ปุ่น Hirotaka Takeuchi และ Ikujiro Nonaka ตั้งแต่ปี 1986 ซึ่งศึกษาเบื้องหลังความสำเร็จของอุตสาหกรรมหนักในญี่ปุ่น โดยเฉพาะ Toyota ซึ่งเป็นบริษัทที่มีสามารถประกอบรถได้รวดเร็วและปัญหาน้อยกว่าบริษัทตะวันตกหลายเท่าตัว อาจารย์ทั้งสองเสนอว่า การทำงานของ Toyota นั้นมีลักษณะคล้ายๆกับทีมรักบี้ ที่พนักงานทุกคนรับผิดชอบในผลงานร่วมกันไม่เกี่ยงว่าใครต้องทำหน้าที่เฉพาะอะไร หรือใครเป็นนายเป็นลูกน้อง ไม่สักแต่ว่าทำของตัวเองเสร็จแล้ววางมือ แต่ต่างช่วยกันสอดส่องดูแลงาน ทำให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้อย่างรวดเร็ว อาจารย์จึงเรียกวิธีการทำงานแบบนี้ว่า Scrum ซึ่งเป็นศัพท์ของกีฬารักบี้ [2]
ไอเดียนี้ถูกนำมาต่อยอดให้เกิดเป็นระบบการทำงานที่ชัดเจนขึ้นโดย Jeff Sutherland และ Ken Schwaber และนำไปใช้พัฒนาวงการ software developer จนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างสรรค์ซอฟต์แวร์ใหม่ๆอย่างก้าวกระโดด กลายเป็น framework ที่สำคัญของวงการ IT และยังลามไปถึงวงการอื่นๆ จนถูกนำไปประยุกต์ใช้ในบริษัทใหญ่ๆหลายบริษัท เช่น Adobe, AMD, American Express, BBC, CNN, Google, IBM, Microsoft, Nokia, ฯลฯ [3]
Scrum นั้น ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อฉีกกฎการวางแผนงานแบบ “Waterfall” ซึ่งก็คือการวางแผนงานแบบเป็นสายพาน มีหัวหน้างานที่สั่งงาน ทีมแต่ละทีมรับผิดชอบเฉพาะงานของตัวเองให้เสร็จ แล้วก็โยนให้ทีมถัดไปจัดการต่อกันไปเป็นทอดๆ เช่น ถ้าบริษัทต้องการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ ทีม developer ทำหน้าที่พัฒนาโค้ดจนเสร็จ ส่งต่อให้ทีมต่อไปทดสอบโปรดักส์ ทดสอบเสร็จแล้วก็หมดหน้าที่ จึงส่งต่อให้ทีมขายนำไปขายลูกค้า ปรากฎว่าผลลัพธ์ส่วนใหญ่ของการวางแผนแบบนี้คือ ขายไม่ได้ เพราะว่างานมักจะไม่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า หรือไม่ก็ใช้เวลาพัฒนาสินค้านานเกินไป กว่าจะทำเสร็จ ลูกค้าก็ไม่อยากได้แล้ว ทำให้เวลาของทีม กว่า 80% สูญไปกับการทำงานที่ไม่ได้ผลลัพธ์
หลักการของ Scrum คือการสร้างทีมขนาดเล็ก (ไม่เกิน 10 คน) ที่มีความคล่องตัวสูง และต้องมีลักษณะสำคัญ 4 อย่าง คือ “มุ่งเป้า” “เชี่ยวชาญ” “อิสระ” และ “โปร่งใส”
“มุ่งเป้า” คือ การที่ทั้งทีมทำงานเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน ไม่ได้รังแต่จะสร้างความก้าวหน้าให้ตัวเอง แต่คำนึงถึงเป้าหมายร่วมของทีมเป็นสูงสุด ผลงานที่ดีนั้นไม่ได้เกิดจากสมาชิกคนใดคนหนึ่ง แต่มาจากความร่วมมือกันของทุกคน
“เชี่ยวชาญ” สมาชิกในทีมจะต้องสามารถทำหน้าที่ได้ครบถ้วนและครอบคลุมถึงตั้งแต่ต้นจนจบงาน และสามารถทำงานแทนกันได้ถ้าจำเป็น ซึ่งแปลว่าทุกคนจะต้องรู้และเข้าใจหน้าที่ของทั้งตนเองและสมาชิกในทีม
“อิสระ” นั้นหมายถึงทุกคนทำงานได้โดยไม่ต้องรอรับคำสั่ง ไม่ต้องรออนุมัติ เพราะทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี การลด middle management ลง นำไปสู่การทำงานเอกสารไร้สาระที่น้อยลง จึงเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขึ้นอย่างชัดเจน
“โปร่งใส” ทุกคนรู้ว่าสมาชิกต้องทำอะไร ก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว และได้ผลอย่างไร การเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสเป็นการลดคอรัปชั่น ลดการเล่นพรรคเล่นพวกในระบบ เมื่อระบบสามารถตอบแทนคนได้อย่างเป็นธรรม ทำให้คนมีกำลังใจในการทำงานขึ้น จึงพลอยไปเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้วย
เพื่อสร้างทีมให้มีลักษณะเชิงนามธรรม 4 ข้อข้างต้น Scrum จึงออกแบบ framework ภาคปฎิบัติไว้ดังนี้
1. ก่อนเริ่มโครงการ ทุกคนรวมตัวกันในที่ประชุมเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเป้าหมายของงานให้ตรงกัน หลักสำคัญที่สุดของ Scrum คือทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันวางแผนการทำงาน เพราะทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างความสำเร็จของทีม จากนั้นเลือกสมาชิกในทีม 1 คน เป็น Product owner ผู้ทำหน้าที่คอยดูแลให้ผลงานออกไปในทิศทางที่ตกลงกัน และ อีก 1 คนเป็น Scrum Master ผู้ดูแลติดตามให้งานดำเนินไปตามแผน และลูกทีมทุกคนที่เหลือเป็นผู้ดำเนินงานทั่วไป
2. สร้าง Product Backlog หรือลิสต์ของงานที่ต้องทำเพื่อให้โครงการประสบความสำเร็จ และเรียงลำดับตามความสำคัญจาก “มากไปน้อย” ข้อนี้สำคัญมาก ทีมที่ไม่รู้จัก prioritize งาน มักจะเสียเวลาไปกับการแก้ปัญหาที่ไม่ได้สลักสำคัญ ทีมต้องแสดงความเป็นไปได้ของ feature หลักของงานก่อน แล้วค่อยแก้ feature รองที่ตามมา
3. ประเมิน Load งาน ซึงคือเวลาที่ต้องใช้ในการทำงานแต่ละข้อ การประเมิน load เป็นค่าสัมบูรณ์นั้นยาก แต่ประเมินเป็นค่า relative นั้นง่าย ดังนั้น เราอาจจะให้งานแต่ละข้อเป็นเลขใน Fibonacci series เช่น 1, 2, 3, 5, 8, 13, … งานไหนที่ว่ายาก ก็เอาค่าสูงๆไป หรือง่ายทำได้แป๊บเดียว ก็เอาค่าต่ำๆไป งานที่สำคัญที่สุด อาจจะไม่ใช่งานที่ยากที่สุดเสมอไป
4. รวบงานที่ลิสต์ไว้แล้วแบ่งเป็นกลุ่ม ทีมจะไม่พยายามทำงานทั้งหมดพร้อมๆกัน แต่จะเลือกทำงานที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งในระยะเวลาจำกัดก่อน เช่น ตั้งเป้าที่จะทำงานข้อที่ 1-3 ใน 1 เดือน ช่วงงานแบบนี้เรียกว่า Sprint โดยเป้าหมายแต่ละ Sprint คือทีมจะต้องมีผลงานที่จับต้องได้ วัดผลได้ ผลงานที่ได้ไม่ต้องเลิศเลอเหมือนเตรียมส่งลูกค้า แต่ต้องเป็นผลงานที่ใช้งานได้ในระดับต้น เพื่อให้ทั้งทีมและลูกค้าสามารถให้ feedback กับทิศทางของงานได้ ผลงานแบบนี้เรียกว่า Minimal Viable Product (MVP)
5. ระหว่างการทำงาน ทีมจะต้องมีการตอกบัตรรายงานให้ทุกคนในทีมทราบว่าตัวเองทำอะไรไปแล้ว กำลังจะทำอะไร และมีปัญหาอะไรไหม โดยต้นแบบของ Scrum ในวงการซอฟต์แวร์นั้น การตอกบัตรหรือ Daily Scrum นี้ควรเกิดขึ้นทุกวัน แต่ประชุมแค่สั้นๆ ไม่เกิน 15 นาที การประชุมนี้ทำให้ทีมรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้รายวัน และสามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที ไม่ปล่อยให้คาราคาซัง ทำให้งานเดินต่อไปได้อย่างรวดเร็ว
6. พอครบ Sprint แล้วก็มานั่งรีวิวกัน เพื่อหาข้อสรุปว่างานที่ทำไปเป็นไปตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่แรกหรือไม่ MVP มี feedback อย่างไร ระบบการทำงานมีข้อขาดตกบกพร่องอะไรไหม และต้องมีการแก้แผนงานใหม่หรือไม่ แล้ว load งานที่สามารถทำได้ในแต่ละ Sprint คือเท่าไร ค่า load ที่ทำได้ต่อ Sprint นั้นทำให้เราสามารถคะเนความเร็วในการทำงานของทีมของเราได้ และสามารถประมาณการณ์ได้ว่างานเราจะเสร็จจริงๆเมื่อไร
7. นำข้อสรุปที่ได้จาก Sprint ก่อน ไปเป็นข้อมูลในการพัฒนา Sprint ใหม่ แล้ววนลูป ข้อ 4 ใหม่ต่อไปจนกว่างานจะเสร็จ ยิ่ง Sprint มากเท่าไร load งานก็จะเหลือน้อยลง และสามารถคำนวณเวลาที่จะทำงานเสร็จได้อย่างเที่ยงตรงมากขึ้น จนสุดท้าย ทีมมักจะพบว่าสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นมากกว่าการทำงานแบบเดิมๆ หลายเท่าตัว
อ่านดูแล้วก็จะพบว่า ไอเดียของ Scrum นั้นไม่ได้ซับซ้อนมาก และมีลักษณะ Iterative จึงดูน่าจะเหมาะกับงานวิจัยต่างจากการวางแผนแบบ Waterfall (ผ่าน Gantt chart) แต่หากจะนำ framework แบบนี้มาใช้กับวงการวิจัยบ้าง จะต้องมีการแก้ไขอย่างไรบ้าง แอดจะเขียนต่อในตอนต่อไปละกัน
มีใครลองใช้ Scrum ในรีเสิร์ชแล้วบ้าง มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะ
ตอน 2: https://www.facebook.com/…/a.164033331039…/424270941682445/…
#นักวิจัยไส้แห้ง
[1] Pirro, L. How agile project management can work for your research, Nature Career Column, 2019 https://www.nature.com/articles/d41586-019-01184-9
[2] Sutherland, J. Scrum: The Art of Doing Twice the Work in Half the Time (Random House Business, 2015).
[3] Firms using Scrum
https://docs.google.com/…/1fm15YSM7yzHl6IKtWZOMJ5vHW9…/edit…
รูป flow diagram จาก devbridge.com
product feature คือ 在 KP l KhuiPhai Youtube 的最讚貼文
#iPhone12
#iPhon12Pro
#iPhone12ProMAX
#GalaxyNote20Ultra
iPhone 12 Pro เรียกได้ว่าเป็นการอัพเกรดค่อนข้างน่าสนใจครับผม ถึงแม้ว่าตัวดีไซน์ของ iPhone 12 Pro ผมจะไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่แต่ว่าก็ค่อนข้างสวยมากๆเลยครับผม iPhone 12 Pro มากับ A14 Bionic ซื่งมีแรมเพิ่มขึ้นมาทำให้การใช้งานค่อนข้างดีมากขึ้นครับ iPhone 12 Pro ไม่ค่อยมีอาการ App Refresh ให้เห็นเท่าไหร่ครับผม ซึ่งแตกต่างจากรุ่นเก่าที่ Refresh ค่อนข้างบ่อยครับผม iPhone 12 Pro มีความเร็ว SSD ที่มากขึ้นทำให้สามารถทำหลายๆ Task ได้โดย App ที่ยังวิ่งอยู่ใน Back Ground ไม่ข้าลงครับผม อย่างไรก็ดี iPhone 12 Pro นั้นไม่ได้แสดงให้เห็นผลต่างในเรื่องการถ่ายรูปอย่างเห็นได้ชัดขนาดนั้นครับผม โดยเฉพาะกล้องหน้าของ iPhone 12 Pro ครับผม แต่ว่ากล้องหลังความที่เป็น Smart HDR ตัวใหม่ทำให้ iPhone 12 Pro มีข้อได้เปรียบมากๆเรื่อง HDR ครับผม ซึ่งจุดเด่นหลักๆเลยก็คือ LiDAR Scanner ครับผม ซึ่งมีการใช้งานที่ค่อนข้างหลากหลายมากใน iPhone 12 Pro ครับ และยังทำให้การถ่ายคนนั้นมีประสิทธิภาพดีข้ึนด้วยครับผม iPhone 12 Pro มีการอัพเดท Night Mode มาในกล้อง Ultra Wide ซึ่งทำได้ค่อนข้างดีมากๆครับผม iPhone 12 Pro สามารถถ่าย Night Portrait ได้ค่อนข้างดีเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความคมของ iPhone 12 Pro เองหรือว่าจะเป็นการตัดขอบครับผม ซึ่ง Feature หนึ่งที่โดดเด่นมากๆของ iPhone 12 Pro คือ Dolby Vision HDR ครับ ซึ่งทำได้ดีจนค่อนข้างหน้าตกใจเมื่อเทียบกับรุ่นเก่าครับผม iPhone 12 Pro ยังมาพร้อมกับ 10 Bit ซึ่งทำให้การ Post Process นั้นค่อนข้างดีมากๆครับผม ไฟล์มีคุณภาพที่สูงเลยทีเดียวครับ โดยรวมแล้ว iPhone 12 Pro เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ผมมองว่าค่อนข้างดีครับถ้าคุณเป็นคนใช้งานหนักครับผม iPhone 12 Pro ไม่ได้มีการอัพเกรดหน้าจออะไรขึ้นมาเลยครับผม iPhone 12 Pro จึงให้ประสบการ์ณการใช้งานเหมือนกับรุ่นเก่าครับ อย่างไรก็ดี iPhone 12 Pro ยังมีปัญหาเรื่อง Battery เวลาใช้งาน App ที่ใช้ Graphic เยอะๆครับผม อาจจะต้องรอเวลาอัพ iOS ใหม่ใน iPhone 12 Pro อีกทีครับผม
.
สามารถสั่งซื้อ Hishield ได้ที่นี่เลยครับผม
อย่าลืมใส่โค๊ด HISHIELDK เพื่อรับส่วนลด 40% ด้วยนะครับ
Triple Strong MAX ตัวท๊อป - https://shopee.co.th/-ส่งฟรี-Hi-Shield-ฟิล์มกระจก-iPhone-รุ่น-3D-Triple-Strong-i.93872596.7601036429
Triple Strong ตัวรอง - https://shopee.co.th/product/93872596/7660558478/
.
0:00 Display
1:13 Usability
2:27 Build Quality
3:00 5G
4:06 Internet Speed
4:35 Performance
8:06 Speaker
8:35 LiDAR Scanner
10:20 Camera
12:30 Night Mode
13:25 Portrait Night Mode
15:02 Dolby Vision HDR vs HDR 10+
15:32 10 Bit vs 8 Bit
15:58 Vlogging
.
กล้อง: Sony A7III
เลนส์: Sony 16-35 f/2.8 GM
ไมโครโฟน: Sennheiser MKE 440
ขาตั้ง: Zhiyun Crane 3S / Joby Glorilla Pod 5K
.
*******************************************************************
Social
Facebook: ขุยไผ่ไงจะใครล่ะ
ลิ้งค์: https://www.facebook.com/KhuiPhai/
Youtube: KP | KhuiPhai
ลิ้งค์: https://www.youtube.com/c/KPlKhuiPhai
*******************************************************************
ติดต่องานได้ที่
Email: KhuiPhai@gmail.com
Tel: 0929978082
*******************************************************************
ขอบคุณทุกคนที่รับชมครับ
product feature คือ 在 BoomTharis Youtube 的最佳解答
เรื่องเกิดจากว่า ที่นอนตัวเก่าที่พึ่งซื้อมาเมื่อปลายปีที่แล้วมันช่างนอนไม่สบายเอาซะเหลือเกิน T-T ไม่ใช่ว่าที่นอนมันไม่ดีนะ แต่พวกเราอาจจะไม่ชินเอง ผมกับเจนเลยต้องหาที่นอนผืนใหม่มาทดแทน
ประจวบเหมาะกับการที่พวกเราไปเจอที่นอนยี่ห้อนึง คือ "Nishikawa AiR" ซึ่งเป็นแบรนด์ที่นอนจากญี่ปุ่น จากบริษัท Nishikawa ซึ่งเป็นองค์กรเก่าแก่อายุกว่า 450 ปี ที่ทำธุรกิจสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการนอนมาโดยตลอด
Nishikawa ออกแบรนด์ที่นอน ที่ชื่อว่า AiR มาใหม่เมื่อปี 2009 และที่นอนของเค้าเรียกได้ว่ามีหน้าตาไม่เหมือนกับที่นอนทุกแบบที่ผมเคยพบเจอมาเลย! (ดูในคลิปประกอบไปด้วยจะเข้าใจ)
คุณสมบัติหลักอย่างหนึ่งของตัวที่นอนของเค้าคือ "การกระจายน้ำหนัก" ที่จะช่วยลดแรงกดทับเวลาเรานอนท่าเดิมนานๆ ทำให้เราไม่เมื่อย ส่งผลให้เราไม่ต้องพลิกตัวบ่อยๆระหว่างการนอน และโดยรวมทำให้คุณภาพการนอนของเราดีขึ้นนั่นเอง
ซึ่งหลังจากที่ผมได้ลองศึกษา Product ของเค้าอยู่ซักพัก ทำให้ค้นพบว่าที่นอนของเค้ามีนวัตกรรม มี Feature หลายๆอย่างที่น่าสนใจทีเดียว และทาง Nishikawa AiR ก็บอกมาอีกว่า เค้าค่อนข้างเชื่อมั่นใน Product ของเค้ามาก และเค้าอยากให้ผมกับเจนได้ลองนอนบนที่นอนของเค้าดู เผื่อว่าพวกเราจะชอบ
พวกเราก็เลยตัดสินใจร่วมมือกับเค้า ลองเปลี่ยนที่นอนของพวกเราเอง และเอาที่นอนของเค้ามาใช้ดู! ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าสนใจทีเดียว ผมก็เลยทำรีวิวตัวนี้ออกมา เพราะคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์กับคนดูหลายๆคนที่อาจจะอยากได้ที่นอนลักษณะนี้อยู่นะครับ
ใครอยากรู้ว่าที่นอนใหม่ นอนสบายมั้ย ลองเข้าไปดูในคลิปได้เลยฮะ!
- Facebook Nishikawa AiR Thailand: https://www.facebook.com/nishikawa.air.th/
- ที่นอน AiR มีจำหน่ายที่ห้างฯ Siam Takashimaya @ ICONSIAM
- สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม T.063-881-6693 หรือ https://bit.ly/2UZRd2Y
------
เชิญคอมเม้นใต้วีดีโอได้เลยนะจ๊ะ ถ้าชอบก็ฝากกด Like ด้วย และถ้าใครอยากติดตามวีดีโออื่นๆของผมอีก ก็สามารถกด Subscribe ไว้ได้เลยนะครับ!
FOLLOW ME
on: https://www.facebook.com/BoomTharis/
on: https://www.instagram.com/boomtharis/
on: https://twitter.com/boomtharis/