ระบบศาลของประเทศเกาหลีใต้
ศาลฎีกา
ศาลฎีกาเป็นศาลสูงสุดของประเทศ ตั้งอยู่ที่กรุงโซล ประกอบด้วยประธานศาลฎีกาและผู้พิพากษา จำนวน 13 คน ในการพิจารณาคดีของศาลฎีกา อาจจะมีการร่วมพิจารณาคดีกันทั้งคณะ หรือแยกออกเป็นคณะเล็กที่ประกอบด้วยผู้พิพากษาคณะละ 4 คนศาลฎีกาทำหน้าที่ในการพิจารณาคดี ที่มีผู้ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของศาลสูง (high court) ศาลอุทธรณ์ และศาลชั้นต้น รวมทั้งตัดสิน เพื่อรับรองผลการเลือกตั้งทั่วไป และการเลือกตั้งประธานาธิบดี อีกทั้ง มีอำนาจในการตรวจสอบ ขั้นสุดท้ายทางด้านกฎหมายของพระราชกฤษฎีกา กฎระเบียบ หรือข้อกำหนดในการบริหารราชการต่างๆ
ศาลฎีกาสามารถออกกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับระเบียบการภายในของศาลฎีกา ได้แก่แนวการบริหารของศาล และกระบวนการพิจารณาคดีความ ในการยื่นคดีต่อศาลฎีกาให้พิจารณาคดีนั้น จะต้องมีหลักฐานแน่ชัด ตรงตามแนวปฏิบัติ กล่าวคือ สำหรับคดีแพ่งต้องมีข้อกำหนดทางกฎหมาย โดยรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ศาล ชั้นต้นสามารถตัดสินความในระดับหนึ่งก่อน ส่วนคดีอาญานั้น การที่จะยื่นคดีต่อศาลฎีกาได้ก็ต่อเมื่อเป็นคดี ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ หรือต่อกฎหมาย เช่น เรื่องการทำแท้ง (abolition) หรือการกลับคำพิพากษาตัดสินลงโทษ ที่มีการรวบรวมหลักฐานผิดพลาดอย่างเห็นได้ชัด หรือเป็นกรณีที่ถูกลงโทษจำคุกที่ไม่สมเหตุสมผล เพื่อที่จะช่วยให้ผู้พิพากษาทำงานในคดีความที่มีออกมากมายมหาศาลนั้น ผู้พิพากษานักวิจัย (research judges) ที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้พิพากษาสูงจะศึกษาคดีและวินิจฉัยเบื้องต้นก่อน โดยผู้พิพากษาวิจัยกลุ่มละ 2 คน ทำงานในแต่ละคดี ปัจจุบัน ผู้พิพากษานักวิจัยดังกล่าวมีจำนวนทั้งสิ้น 20 – 30 คน
ศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ประกอบด้วยประธานผู้พิพากษา และผู้พิพากษาร่วมอีก 3 คน ทำ หน้าที่ในการ พิจารณาคดี ที่ได้รับการ อุทธรณ์ภายหลังที่ได้รับการตัดสินจากศาลชั้นต้นและศาลครอบครัว ทั้งที่เป็นคดีแพ่งและคดีอาญา คดีการปกครอง หรือคดีอื่นใดที่ได้ระบุไว้ในกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ในเกาหลีใต้มี 5 แห่ง ตั้งอยู่ที่กรุงโซล เตกู กวางจู ปูซานและเตจอน ในการพิจารณาคดีนั้น ศาลอุทธรณ์จะรื้อฟื้นการพิจารณาคดีใหม่อีกครั้ง ซึ่งคำตัดสินอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับการตัดสินของศาลชั้นต้นก็ได้
อนึ่ง ศาลอุทธรณ์เท่านั้นที่สามารถตัดสินคดีความที่บุคคลหรือองค์กร ทำการฟ้องร้องในผลการตัดสิน หรือคำสั่งของหน่วยงานราชการ หรือฟ้องร้องในเรื่องการถูกถอดถอนให้ออกจากตำแหน่งได้
ศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นทำหน้าที่ในการพิจารณาตัดสินคดีทั่วไปแทบทุกคดี ปัจจุบัน ศาลชั้นต้นตั้งอยู่ที่กรุงโซล และในเมืองหลักอีก 12 เมือง ศาลชั้นต้นในกรุงโซลแบ่งออกเป็น 2 ศาล คือ ศาลแพ่งแห่งกรุงโซล และศาลอาญาแห่งกรุงโซลตามปกติ ในการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นนั้น จะมีผู้พิพากษา 1 คน ทำหน้าที่ดังกล่าว ยกเว้นเป็นคดีร้ายแรง เช่น คดีแพ่งที่มีมูลค่าทรัพย์สินตั้งแต่ 50 ล้านวอน (37,000 เหรียญสหรัฐ) ขึ้นไป หรือคดีอาญาที่จะต้อง ตัดสินให้ผู้ต้องหาต้องโทษประหารถึงชีวิตที่จะมีคณะผู้พิพาษาพิจารณาคดีร่วมหลายคน
ศาลชั้นต้นมีสาขาศาล หรือเรียกว่า ศาลชั้นต้นสาขาย่อย ที่ให้ผู้พิพากษาพิจารณาคดี 1 คน ซึ่งมีอยู่จำนวน 42 แห่ง และมีศาลเทศบาลอีก 105 แห่ง (นับจนถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 1998) เป้าหมายของศาลชั้นต้นสาขาย่อยก็คือ ดำเนินการพิจารณาคดีเช่นเดียวกับงานของศาลชั้นต้นทั่วไป ส่วนศาลเทศบาลทำหน้าที่บริการ ทางด้านกฎหมายแก่ประชาชน
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ศาลชั้นต้นสาขาย่อยและศาลเทศบาลทำหน้าที่ใน การตัดสินคดีความเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การทะเลาะวิวาท การหย่าร้าง หรือคดีที่มีการยอมความกันได้
ศาลครอบครัว
ศาลครอบครัวทำหน้าที่พิจารณาคดีที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน คดีเยาวชน หรือคดีในครอบครัวศาลครอบครัว จะไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้ารับฟังเพราะต้องการสงวนคดีความที่เป็นเรื่องส่วนตัวปัจจุบัน ศาลครอบครัวตั้งอยู่ ในกรุงโซลแห่งเดียว ส่วนท้องที่อื่นจะให้ศาลชั้นต้นทำหน้าที่แทน
ศาลปกครอง (administrative court)
ศาลปกครองเปิดทำการครั้งแรกที่กรุงโซล ในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1998 เพื่อพิจารณาคดีเรื่องราวเกี่ยว กับการปกครองเท่านั้น ศาลชั้นต้นที่ตั้งอยู่นอกกรุงโซลจะทำหน้าที่พิจารณาคดีเรื่องการปกครอง
ศาลสิทธิบัตร (Patent court)
ศาลสิทธิบัตรเริ่มเปิดครั้งแรกในวันที่ 1 มีนาคม ค.ศ. 1998 ที่เมือง เตจอน ทำหน้าที่ในการพิจารณา ข้อพิพาทด้าน สิทธิบัตร ที่ได้รับการส่งขึ้นมาจากงานสิทธิบัตร หรือเป็นตัวกลางในการพิจารณาเรื่อง นี้ก่อนที่จะส่งต่อให้ศาลฎีกาเพื่อตัดสินขั้นสุดท้าย อย่างไรก็ตาม ศาลชั้นต้นทั่วไปก็สามารถ พิจารณาคดีข้อพิพาทด้านสิทธิบัตรได้เช่นกัน
ศาลทหาร (Courts – martial)
ศาลทหารทำหน้าที่พิจารณาตีความของทหารและข้าราชการพลเรือนที่ทำงานในกองทัพที่กระทำผิด เช่น คดีความผิดฐานกบฏ การหนีทหาร การไม่เชื่อฟังคำสั่ง หรือการกระทำผิดทางอาญา ส่วนพลเรือนที่ต้องขึ้นศาล ทหารต่อเมื่อกระทำผิดในเรื่องการจารกรรมทางทหาร การเข้าไปแทรกแซงกิจการของทหาร หรือคดีที่ได้ระบุไว้ใน กฎหมายอย่างชัดแจ้ง
คุณสมบัติและการแต่งตั้งผู้พิพากษา
ประธานศาลฎีกา และผู้พิพากษาศาลฎีกาจะต้องมีอายุ 40 ปีขึ้นไป และมีประสบการณ์ในหน้าที่ผู้พิพากษา อัยการ หรือนักกฎหมายมาแล้วไม่น้อยกว่า 15 ปี ส่วนผู้พิพากษาในศาลอื่นๆ จะต้องสอบผ่านเนติบัณฑิต (Judicial Civil Service Examination) และได้รับการอบรมที่ สถาบันวิจัยตุลาการ (Judicial Research and Training Institute) เป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี รวมทั้งต้องเข้ารับตำแหน่งทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาทดลอง (probationary judge) เป็นเวลา 2 ปีอีกด้วย หรือจะต้องได้รับการรับรองว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอัยการ หรือเป็นนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญ (qualified prosecutor / lawyer)
ประธานศาลฎีกาได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีตามความเห็นชอบของรัฐสภา ส่วนผู้พิพากษาศาล ฎีกาท่านอื่นๆ ได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดี โดยการเสนอของผู้พิพากษาหัวหน้าศาล ผู้พิพากษาศาลที่ต่ำลง มาได้รับการแต่งตั้งจากผู้พิพากษาหัวหน้าศาล
วาระการดำรงตำแหน่งเท่ากับ 6 ปี แล้วจะไม่ได้รับการแต่งตั้งซ้ำอีก อนึ่ง ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจะต้องออกจาก ตำแหน่งเมื่ออายุได้ 70 ปี ส่วนวาระการดำรงตำแหน่งของคณะเท่ากับ 6 ปีเท่ากัน และอาจได้รับตำแหน่ง ต่อไปอีกภายใต้ระเบียบ ของกฎหมายที่กำหนด แต่จะต้องออกจากตำแหน่งเมื่ออายุครบ 65 ปี ส่วนอายุเกษียน ข้าราชการของผู้พิพากษาอื่นๆ เท่ากับ 63 ปี
การค้ำประกันสถานภาพ เพื่อให้สามารถตัดสินคดีความได้อย่างเป็นอิสระ ผู้พิพากษาได้รับการคุ้มครอง การทำงานจากรัฐธรรมนูญ ผู้พิพากษาจะไม่ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง เว้นแต่จะถูกไต่สวนถอดถอน (impeachment) หรือกระทำผิดทางอาญา ในขณะเดียวกัน ผู้พิพากษาจะไม่ถูกให้สำรองราชการ หรือลดเงินเดือน เว้นแต่จะได้รับการตัดสินจากอนุญาโตตุลาการ
การบริหารงานของฝ่ายตุลาการ
ศาลฎีกามีอำนาจหน้าที่ในการบริหารงานด้านตุลาการอย่างกว้างขวาง ประธานศาลฎีกาจะรับผิดชอบ ต่องานบริหารของศาลทุกประเภท และจะเขียนคำร้องไปยังรัฐสภาเพื่อ ให้ออกเป็นกฎหมาย หากเห็นว่ามีความจำเป็น งานบริหารของฝ่ายตุลาการอาจจำแนกได้ดังนี้
1.คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา ประกอบด้วยผู้พิพากษา 14 คน และมีประธานศาลฎีกาเป็นหัวหน้า ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาหารือเพื่อแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลในระดับต่ำลงมา สร้างกฎระเบียบของศาลฎีกา พิจารณาการแปรงบประมาณ หรือข้อกำหนดอื่นใด รวมทั้งเรื่องราวที่สำคัญๆ
กระทรวงการบริหารงานตุลาการ (Ministry of Court Administration) กระทรวงยุติธรรมจะ ทำหน้าที่ในการดำเนินงานทางด้านธุรการในศาลตามมติของคณะผู้พิพากษาศาลฎีกา ประธานศาลฎีกาจะเป็น ผู้แต่งตั้งรัฐมนตรีของกระทรวงนี้ โดยเลือกจากผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่ กระทรวงนี้แบ่งงานออก เป็นสำนักวางแผน สำนักการวิจัยนโยบายตุลาการ สำนักบริหารบุคคล และ 4 กรม (Litigation, Property and Family Registry, Court Construction, General Affairs) รวมทั้งฝ่ายประชาสัมพันธ์
2.สถาบันวิจัยทางตุลาการ และฝึกอบรม (Judicial Research and Training Institution) เป็นสถาบันเดียวที่ให้การศึกษา (the bench) และเนติบัณฑิต (the bar) ในเกาหลี โดยให้ความ รู้ทางทฤษฎีและการฝึกหัดแก่ผู้ฝึกหัด ที่ผ่านข้อสอบเนติบัณฑิต (Judicial Civil Service Examination) แล้ว สถาบันแห่งนี้มีหลักสูตร 2 ปี ในการฝึกอบรมผู้ที่จะก้าวขึ้นเป็นนักกฎหมายอาชีพ ในขณะเดียวกัน สถาบันแห่งนี้เป็นแหล่งให้ผู้พิพากษาใช้เป็นสถานที่เพิ่มพูนความรู้และทำการว่าจ้างทางด้านกฎหมายอีกด้วย
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
prosecutor คือ 在 sittikorn saksang Facebook 的精選貼文
ชื่อรายงานการวิจัย: กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาททางอาญาในชั้นพนักงานสอบสวน
ชื่อผู้วิจัย: ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิทธิกร ศักดิ์แสงและคณะ
เดือน ปีที่ทำวิจัยแล้วเสร็จ : กรกฎาคม 2553
บทคัดย่อ
การระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวนจะมีหลักการอยู่ที่ผู้เสียหายและผู้ต้องหาได้มีโอกาสประนีประนอมยอมความกัน เมื่อผู้ต้องหาสำนึกผิดและยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ขณะเดียวกันผู้เสียหายได้รับการเยียวยาและได้รับค่าชดใช้ค่าเสียหายโดยรวดเร็วทันที ซึ่งเป็นและไปตามหลักนิติสมบัติ (Rechtsgut) หรือหลักคุณธรรมทางกฎหมาย ซึ่งจะเป็นผลดีแก่คู่กรณีและสังคมมากกว่า เพราะสามารถลดระยะเวลาและความยุ่งยากซับซ้อนในกระบวนการยุติธรรม ลดปริมาณคดีขึ้นสู่ศาล ลดปัญหาความขัดแย้งในชุมชน ลดการทุจริตของเจ้าพนักงาน และลดงบประมาณภาครัฐ อีกทั้งส่งผลให้ประชาชนทุกระดับเข้ามีส่วนร่วมในการอำนวยความยุติธรรมและป้องกันปัญหาความขัดแย้งในชุมชนเพื่อเสริมสร้างให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ตามทฤษฎี “อาชญาวิทยาแนวสันติวิธี” (Peacemaking criminology) ซึ่งเป็นกระบวนการค้ำชูผู้มีส่วนร่วมได้เสียในการกระทำความผิด ได้เข้ามามีส่วนร่วมให้มากที่สุด เพื่อร่วมกัน ระบุชี้และจัดการความเสียหาย ความต้องการของแต่ละฝ่ายเพื่อให้สามารถฟื้นฟูเยียวยา (Restoration) ทำให้ความเสียหายกลับคืนได้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้
ผู้วิจัยทำการศึกษาวิจัยถึงหลักการทั่วไปเกี่ยวกับยุติธรรมเชิงสมานฉันท์และแนวทางวิธีปฏิบัติที่มีอยู่ในปัจจุบันทั้งของต่างประเทศและของไทยโดยการศึกษาวิเคราะห์ความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาททางอาญาในชั้นสอบสวน ตามประมวลกฎหมายอาญาและตามพระราชบัญญัติจาราจรทางบก พ.ศ. 2522 ที่มีเอกชนเป็นผู้เสียหายและมีเอกชนเป็นผู้เสียหายร่วมกับรัฐ ซึ่งเป็นคดีเล็กๆน้อยๆไม่ควรจะนำคดีอาญาดังกล่าวขึ้นสู่ศาล ควรใช้กระบวนการเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาททางอาญาในชั้นสอบสวน รวมทั้งศึกษาจากตำรา งานวิจัย วิทยานิพนธ์ เอกสารจากการสัมมนาต่างๆ วารสาร ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ดังกล่าวข้างต้น
จากการศึกษาวิจัยพบว่าจากผลการศึกษาวิจัยที่รับข้อมูลจากการศึกษาเอกสาร การประชุม สัมมนา การรับฟังความคิดเห็นและการสัมภาษณ์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ให้มีการใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวน มีข้อสรุปได้ดังนี้
1. ควรที่จะมีกฎหมายใหม่มารองรับเป็นข้อยกเว้นหรือเป็นการเบี่ยงเบนคดีในคดีอาญาบางประเภทที่ไม่สมควรที่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญากระแสหลัก (Mainstream Justice)
2. ความผิดอาญาประเภทที่ควรนำมาใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวน ดังนี้
1) คดีอาญาอันยอมความได้
2) คดีลหุโทษ
3) การกระทำความผิดโดยประมาท ซึ่งรวมไปถึงการกระทำโดยประมาทในคดีจราจรด้วย
4) คดีอาญาอันยอมความมิได้ที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี
3. เมื่อมีการดำเนินการใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวนแล้ว ไม่ควรจะดำเนินการกระบวนการยุติธรรมกระแสหลัก ควรให้เป็นเหตุอายุความในการดำเนินคดีอาญาสะดุดหยุดอยู่
4. รูปแบบและองค์กรที่ใช้ในกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวน แยกพิจารณาสรุปออก 2 ประเด็น คือ
1) รูปแบบการไกล่เกลี่ยเหยื่อ-เหยื่อผู้กระทำความผิด (Victim-offenders Mediation (VOM))
2) องค์กรที่เป็นคณะอำนวยการไกล่เกลี่ยกับผู้ไกล่เกลี่ย
5. การที่ใช้ในกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวน ไม่ควรให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้เข้าร่วมในกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาท (ไกล่เกลี่ย) คดีอาญา
6. การติดตามและการตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวน นั้นต้องกำหนดเงื่อนไขให้ผู้กระทำความผิดต้องปฏิบัติ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปเมื่อผู้กระทำความผิดได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขในข้อตกลงครบถ้วนแล้ว
การใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ในการระงับข้อพิพาทคดีอาญาในชั้นพนักงานสอบสวนนั้นจะทำให้กระบวนการยุติธรรมของไทยมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปในลักษณะแบบ Win-Win ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการะบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทในชั้นพนักงานสอบสวน ดังนี้
Win ที่ 1 เป็นประโยชน์แก่ผู้เสียหายหรือเหยื่ออาชญากรรมในการได้รับแก้ไขเยียวยา รวมทั้งการปรับสามัญสำนึกการให้อภัยแก่ผู้กระทำความผิด
Win ที่ 2 เป็นประโยชน์กับผู้กระทำความผิดที่สำนึกในการกระทำความผิด การชดใช้ค่าเสียให้กับผู้เสียหาย โดยผู้เสียหายให้อภัยกับผู้กระทำความผิด
Win ที่ 3 ลดปริมาณคดีขึ้นสู่ศาล ลดปัญหาความขัดแย้งในชุมชน ลดการทุจริตของเจ้าพนักงาน และลดงบประมาณภาครัฐ
Win ที่ 4 เป็นการส่งผลให้ประชาชนทุกระดับเข้ามามีส่วนร่วมในการอำนวยความยุติธรรมและป้องกันปัญหาความขัดแย้งในชุมชนเพื่อเสริมสร้างให้สังคมอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
Win ที่ 5 เป็นการรองรับการใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์กับการระงับข้อพิพาทคดีอาญาของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และอัยการ
Abstract
A research report. : Restorative Justice and The Compromise of Criminal Disputes at the
Police Interrogation Stage
A Researcher.: Assistant Professor Sittikorn Saksang et al.
M0nths of the research was completed: July B.E. 255
Dispute Resolution in the stage of criminal investigation is the principle that an injured person and an alleged offender should have an opportunity to compromise. When the alleged offender remorseful and willing for behavior modification and while the injured person were bound to receive damages as soon as possible with respect to the legal property or legal integrity (Rechtsgut), which will be beneficial to both parties and the society because it can reduce time and complexity in the process of legal justice, cases in courts, conflicts in the community, official corruption and the government budget. It also affects people at all levels with their participation in the administration of justice and prevent conflicts in the community to build a peaceful society as of "Criminology Style Peace" (Peacemaking Criminology). This process sustains stake-holders’ interest in the offence to be involved as much as possible to jointly identify and manage damage of each party’s demand in order to be able to restore healing (Restoration) damage back as much as possible.
Researchers study the general principles on restorative justice practices and guidelines that currently exist in both foreign countries and Thailand by analysis of restorative justice and dispute resolution in criminal inquiry stage under the Penal Code Act and Traffic Act B.E.2522 which private persons and co-victim of private & state in such small cases should not be brought up to the courts. Restorative process should be used to alternatives dispute resolution in criminal inquiry stage. Researchers also study from educational books, thesis, researches, documents from various seminars, journals and the Internet in connection with aforesaid restorative justice.
From the study, it found out from the results of research obtaining from documents, seminars and hearing from such opinions of those associated with the criminal justice process that the use of dispute resolution and restorative justice in criminal investigation are in conclusions as follows;
1. it should have new law to support as an exception or a deviation in certain
types of criminal cases not appropriate to be brought into mainstream criminal justice process.
2. some types of criminal offense that should be used dispute resolution and restorative justice in criminal investigations are as follow:
1) criminal compoundable cases;
2) misdemeanor cases;
3) criminal negligence cases, including the negligence in traffic cases;
4) criminal uncompromised cases not exceeding 5 years imprisonment.
3. when the process of restorative justice and dispute resolution in criminal investigations is conducted, it should not take the process of mainstream justice and it should be in the event of criminal process extinguished.
4. models and organizations use of restorative justice and dispute resolution in criminal investigations are considerably summarized into 2 issues.
1) mediation models of Victims – Offenders Mediation (VOM),
2) any organization as the Board of Mediation and mediators.
5. the use of restorative justice and dispute resolution of criminal
investigations should not allow a police official to attend in restorative justice (mediation).
6. to monitor and audit restorative justice and dispute resolution in criminal
inquiry stage, it shall set conditions for the alleged offender in order to be complied with their practices. Prosecution of criminal cases shall be settled when the offenders have fully complied with conditions in the agreement.
Using restorative justice in criminal cases will allow Thai justice system potentially with very much improvement. This is a Win-Win solution for all parties involved in dispute resolution and restorative justice in the investigation.
Win No.1: It is beneficiary to the sufferers or victims of crimes to obtain remedy, including its common sense of forgiveness to the offenders.
Win No.2: It is beneficiary to the offenders who acknowledge their guilty with some payment reparation to victims and victims forgive offenders.
Win No.3: It can reduce cases in courts, conflicts in the community, official corruption and government budget.
Win No.4: It is expressing to people at all levels to participate in the administration of justice and prevent conflicts in the community to build a peaceful society.
Win No.5: It supports the use of dispute resolution power in restorative justice in criminal cases of police official and public prosecutor.