นักวิทยาศาสตร์คนใดที่ทำให้คนตายมากที่สุด?
ถ้าพูดถึงวิทยาศาสตร์แน่นอนว่าเราจะต้องนึกถึงศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งนำมาซึ่งความเจริญ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น หรืออย่างน้อยก็ทำให้เราได้มีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติได้ดีขึ้น แต่หากเราใช้วิทยาศาสตร์ไปในทางที่ผิด มันก็นำมาซึ่งความตาย และหายนะได้เช่นเดียวกัน
แล้วนักวิทยาศาสตร์คนใดในประวัติศาสตร์ที่นำมาซึ่งการเสียชีวิตของมนุษย์มากที่สุด?
เราอาจจะนึกถึง Josef Mengele หมอนาซีที่รมแก๊สชาวยิวเป็นผักปลา นำคนเป็นๆ ไปทดลองอย่างโหดร้าย หรือหน่วยวิจัยอาวุธชีวภาพ Unit 731 ของจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น การทดลองอาวุธทั้งหลาย และแน่นอนว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่คร่าชีวิตคนไปจากเมืองฮิโรชิม่า และนางาซากิกว่า 129,000-226,000 คน
แต่ความเป็นจริงแล้วนักวิทยาศาสตร์ที่อาจจะส่งผลต่อการเสียชีวิตของมนุษย์มากที่สุดนั้น หาได้เป็นผู้ที่คิดค้นอาวุธแต่อย่างใด แต่กลับกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์การเกษตร ที่อ้างว่าทำไปเพื่อเพิ่มผลผลิตและความกินอยู่ของมนุษย์ที่ดีขึ้น
นักวิทยาศาสตร์คนนั้นก็คือ Trofilm Lysenko
Lysenko นั้น ถือกำเนิดขึ้นมาจากครอบครัวชาวนา เขาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้จนถึงอายุ 13 ปี และไม่เคยได้รับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง แต่สิ่งที่เขามีก็คือชาตินิยมอันแรงกล้า และศรัทธาในวิถีแห่งสังคมนิยมอันท่วมท้น และด้วยเหตุนี้ บวกกับที่มาอัน "รากหญ้า" ของเขา จึงทำให้ "นักวิทย์ตีนเปล่า" อย่างเขานั้นถูกตาต่อพรรคคอมมิวนิสต์ (ที่ต้องการสร้างภาพที่เชิดชูชนชั้นรากหญ้า) จนได้แต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายเกษตรกรรมของสหภาพโซเวียตทั้งปวง
Lysenko นั้น ต่อต้านแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ยึดถือกันในตอนนั้นเป็นส่วนมาก เขาต่อต้านแนวความคิดของพันธุศาสตร์ทุกประการ แม้ว่ารางวัลโนเบลเพิ่งจะมอบให้ผู้ค้นพบพันธุศาสตร์ไปในปี 1933 และแม้ว่าทฤษฎีการถ่ายทอดพันธุกรรมของเมนเดลจะเป็นสิ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแล้วในยุคนั้น แต่เขามักจะยึดถือแต่แนวความคิดของตัวเอง ที่เรียกว่า Lysenkoism ซึ่งเต็มไปด้วยไอเดีย "เพี้ยนๆ" มากมาย เช่น:
- เขาเชื่อว่าหากเอาเมล็ดพันธุ์ไปแช่น้ำเย็น ไม่เพียงแต่จะทำให้มันทนอากาศหนาวได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ลูกหลานรุ่นถัดไปของมันก็จะสามารถ "จดจำ" ลักษณะนี้ได้ด้วย
- หากเราตอนกิ่งเพื่อสร้างไม้ผสม เมล็ดที่ได้จากกิ่งตอนนี้ก็จะคงลักษณะลูกผสมและส่งทอดต่อไปได้เช่นกัน
- ต้นไม้นั้นไม่ได้ตายจากการขาดน้ำหรือแสงแดด แต่มันสละชีพลงเพื่อเปิดทางให้ต้นอื่นได้เติบโตขึ้น
- พืชชนิดเดียวกันไม่ได้แย่งน้ำและสารอาหารกัน แต่จะร่วมมือกันเพื่อเติบโต
- พืชไม่ได้ผสมพันธุ์แบบสุ่ม แต่จะมีการเลือกสายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุด
- การผลิตน้ำนมของวัวไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ แต่ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู ยิ่งเลี้ยงดูโคนมได้ดี ก็จะยิ่งผลิตนมได้เยอะ
- ลูกนกกาเหว่าในรังอีกาไม่ได้เกิดจากนกกาเหว่าไปวางไข่ แต่เกิดจากอีกาซึ่งได้รับบุ้งเป็นอาหารเมื่อยังเล็ก
- ฯลฯ
ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นด้วยเหตุผลใด แต่ Josef Stalin ผู้นำแห่งสหภาพโซเวียตก็ถูกใจ Lysenko เป็นอย่างมาก จึงบังคับแนวคิดของเขาไปใช้อย่างแพร่หลาย ผลที่ตามมาก็คือสภาวะอดอยากอย่างรุนแรงในช่วงปี 1932-1933 และคร่าชีวิตคนไปกว่า 7 ล้านคน แต่อิทธิพลของ Lysenkoism นั้นส่งต่อไปอีกนานมาก ในอีกสี่ปีต่อมา แม้ว่าสหภาพโซเวียตจะเพิ่มพื้นที่การเกษตรไปถึงกว่า 162 เท่า แต่ผลผลิตทางการเกษตรที่ได้นั้นกลับน้อยลงกว่าเดิม
ซึ่งผลจากความฉิบหายที่เกิดขึ้นจาก Lysenko นั้นไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ในสหภาพโซเวียตเพียงเท่านั้น แต่เมื่อมิตรสหายพันธมิตรแท้อย่างท่านประธานเหมา ได้นำเอาแนวคิดของ Lysenkoism ไปประยุกต์ใช้ใน "The Great Leap Forward" ของประเทศจีนด้วย โดยสั่งให้ชาวนาไถนาลึกกว่าปรกติ กลายเป็นว่าขุดเอาหินกรวดขึ้นมาแทนที่ และกลบฝังหน้าดินอันอุดมสมบูรณ์ลงไป การหว่านเมล็ดที่ถี่กว่าเดิม ทำให้ผลผลิตที่ได้กลับลดลง ซึ่งบวกกับนโยบายการบริหารหายนะอื่นของ The Great Leap Forward เช่น การไล่จับนกกระจอกอย่างบ้าคลั้งภายใต้ four pest campaigns อันเป็นการส่งผลให้ทำลายห่วงโซ่อาหาร และแมลงศัตรูพืชระบาดอย่างหนัก การหลอมหม้อหุงข้าวส่วนตัวไปทำเป็นกระสุนปืน และให้ประชาชนพึ่งรัฐในการหุงหาอาหารให้กิน ระบบการเมืองท้องถิ่นที่มีปัญหา การจับประชาชนไปใช้แรงงาน และอุทกภัยใหญ่ที่ทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้ว ยิ่งแย่ลงไปอีก
ผลที่เกิดขึ้นก็คือหายนะที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกที่เกิดขึ้นจากเงื้อมมือของมนุษย์ ที่ทุกวันนี้เราเรียกกันว่า The Great Chinese Famine มีการประมาณการกันว่ามีผู้คนเสียชีวิตจากการอดอยากระหว่างปี 1959-1961 ไปทั้งสิ้น ระหว่าง 15-55 ล้านคน (เยอะยิ่งกว่าชาวจีนที่ตายไปจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งหมด) ผู้คนที่ล้มตายหน้ายุ้งฉางของรัฐระหว่างที่ตะโกนร้องขอท่านประธานเหมาและพรรคคอมมิวนิสต์ให้ช่วยด้วย ผู้คนต้องเก็บเปลือกไม้มาต้มกิน ครอบครัวต้องกินศพกันเองเพื่อประทังชีวิต
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์คนหนึ่ง ได้รายงานเอาไว้ว่า
"ผมไปเมืองหนึ่งก็เห็นศพเกลื่อนกลาดเป็นร้อยศพ ไปอีกเมืองก็เห็นอีกร้อย ถูกทิ้งเอาไว้แบบนั้นไม่มีใครสนใจ บางคนบอกว่ามีศพอีกมากที่ถูกสุนัขข้างทางกินไปหมดแล้ว ผมยืนยันว่านี่ไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน เพราะสุนัขถูกคนจับกินหมดไปตั้งนานแล้ว"
ซึ่งหากเรารวมการอดอยากที่เกิดขึ้นในสหภาพโซเวียต และใน The Great Chinese Famine แล้ว เราก็จะพบว่า Trofilm Lysenko เป็น "นักวิทยาศาสตร์" ที่ส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตของมนุษย์มากที่สุด เว้นเสียแต่เราจะยอมนับผู้ที่เสียชีวิตจากการยิงกันในทุกสงครามตั้งแต่มีการคิดค้นดินปืนเข้าไว้ด้วยกัน
แล้วเพราะเหตุใดสหภาพโซเวียตจึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น? เพราะเหตุใดนักวิทยาศาสตร์โซเวียตจึงปล่อยให้ประเทศถูกครอบงำไปด้วย pseudoscience? คำตอบก็คือ เพราะคนที่ต่อต้านและวิพากษ์วิจารณ์นั้นถูกจับไปหมดแล้ว
ในปี 1940 Lysenko ได้ถูกเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการแห่ง Institute of Genetics ภายใต้ Academy of Sciences ของสหภาพโซเวียต และเขาได้ใช้อำนาจที่เขาได้มาในการปิดปากผู้ที่เห็นต่าง ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์แนวความคิดเขา นักวิทยาศาสตร์โซเวียตที่ไม่ยอมต่อต้านพันธุศาสตร์ถูกขับไล่หรือโยกย้ายออกไป อีกนับร้อยนับพันถูกนำไปขัง และบางคนก็ถูกประหารชีวิต ในปี 1948 สหภาพโซเวียตได้ออกกฎหมายห้ามการเห็นต่างจากทฤษฎีของ Lysenko ทุกประการ
แต่หลังจากการตายของสตาลิน ทำให้อิทธิพลของ Lysenko จึงค่อยๆ ลดลงไปในที่สุด นักวิทยาศาสตร์จึงเริ่มออกมาต่อต้าน และเปิดโปงความลวงโลกของ Lysenko และกระแสต่อต้านจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้น จน Lysenko ต้องถูกถอดออกไปในที่สุด แม้กระนั้นก็ตาม Lysenko ก็ได้ทำให้ความก้าวหน้าทางด้านพันธุศาสตร์ของสหภาพโซเวียตต้องหยุดชะงักและล้าหลังไปอีกโดยไม่สามารถประเมินค่าได้
เราจะเห็นได้ว่า แม้ว่า Lysenko นั้นจะเป็นผู้ที่มีส่วนเป็นอย่างมากที่ทำให้เกิดหายนะเหล่านี้ แต่ส่วนที่สำคัญเลยที่ทำให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้นั้น ก็คือทัศนคติที่ไม่เปิดกว้างต่อการแสดงความเห็น แม้ว่า Lysenkoism จะได้รับการแพร่หลายอย่างมากในสหภาพโซเวียต (เพราะผู้ที่ต่อต้านถูกจับไปหมดแล้ว) แต่ในโลกตะวันตกที่ปล่อยให้มีการเปิดกว้างต่อการวิพากษ์วิจารณ์แล้วนั้น ทฤษฎีนี้ไม่เคยจะได้เกิดขึ้นมาเลยแต่แรก
ตัว Lysenko เองนั้นมีทัศนคติที่ไม่เปิดกว้างต่อการวิพากษ์แต่อย่างใดเลย ครั้งหนึ่งที่เขาทำการทดลองและมีการใช้สถิติที่ผิดพลาด เมื่อถูกวิจารณ์ แทนที่เขาจะยอมรับ เขากลับกล่าวว่า "เรื่องของชีววิทยานั้นไม่จำเป็นต้องใช้คณิตศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง" และเขาก็เลิกความพยายามที่จะใช้คณิตศาสตร์ทั้งปวงในการยืนยันผลงานของเขา (ซึ่งยิ่งนำไปสู่ confirmation bias ที่หนักกว่าเดิม) และเมื่อเขารู้ว่านักวิทยาศาสตร์ตะวันตกนั้นไม่ยอมรับผลงานของเขา เขาจึงเลิกที่จะพยายามสื่อสารกับตะวันตก และหันมาโฟกัสแต่เพียงในสหภาพโซเวียต และปิดปากทุกคนที่เห็นต่างจากแนวคิดของเขาต่อไป ไม่ต่างอะไรกับกบในกะลาที่พอใจอยู่เพียงแค่ในกะลาครอบเล็กๆ ของตัวเอง และแน่นอน ว่ามนุษย์อีโก้สูงเช่นนี้ คงจะไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ถ้าหากว่า “ระบบ” ไม่ได้สนับสนุนคนแบบนี้ตั้งแต่แรก
สิ่งหนึ่งที่ทำให้วิทยาศาสตร์ปัจจุบันนั้นก้าวหน้าไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง หาได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่ง หรือแนวความคิดที่ดีแต่อย่างใด แต่คือพลังของการเปิดกว้างต่อการวิพากษ์วิจารณ์ ระบบวิทยาศาสตร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นระบบ reproducibility ระบบ peer-review เป็นระบบที่สร้างขึ้นมาเพื่อไม่ให้ยึดติดกับเพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อย่างที่เกิดขึ้นกับวงการ genetics ของสหภาพโซเวียตที่ผ่านมา
เราไม่ได้เชื่อทฤษฎี เพียงเพราะว่าคนพูดเป็นผู้ที่มีอำนาจ หรือความน่าเชื่อถือ เราไม่ได้ไม่ฟังการติชม เพียงเพราะเราไม่ต้องการฟัง หรือมันขัดแย้งกับสิ่งที่เราอยากจะเชื่อ แต่วิทยาศาสตร์นั้นเป็นศาสตร์ที่เราตัดสินกันด้วยหลักฐานและเหตุผล หากใครก็ตามสามารถยกหลักฐานและเหตุผลที่น่าเชื่อถือ ที่ขัดแย้งกับทฤษฎีเดิมไว้ ทฤษฎีนั้นก็ย่อมที่จะต้องตกไป ไม่ว่าใครจะเป็นผู้คิดค้นก็ตาม
นั่นก็คือ เราเชื่อมั่นว่าทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่เราใช้กันอยู่นี้ "น่าจะเป็นทฤษฎีที่ถูกต้องที่สุด" ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่เคยผิด แต่เป็นเพราะว่าอันอื่นๆ ที่ผิดนั้นได้ถูกค้นพบว่าผิดไปหมดแล้ว
จึงเป็นเรื่องสำคัญในวิทยาศาสตร์ว่า คนทุกคนควรจะสามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎีใดก็ด้วย ด้วยหลักการ หลักฐาน และเหตุผล เพราะหากเราไม่เปิดกว้างให้วิจารณ์กันแล้วล่ะก็ เราอาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของหายนะที่ร้ายแรงที่สุดที่เกิดจากมนุษย์สร้างครั้งถัดไปก็ได้
ภาพ: Soviet pseudoscientist Trofim Denisovich Lysenko - Wikipedia
อ้างอิง/อ่านเพิ่มเติม:
[1] https://en.wikipedia.org/wiki/Trofim_Lysenko
[2] https://www.theatlantic.com/science/archive/2017/12/trofim-lysenko-soviet-union-russia/548786/
[3] https://en.wikipedia.org/wiki/Great_Chinese_Famine
同時也有7部Youtube影片,追蹤數超過373萬的網紅Xiaomanyc 小马在纽约,也在其Youtube影片中提到,This is the story of Onfim, a little boy from medieval Russia whose doodles we have perfectly preserved on tree bark, right next to his homework. Wow!...
「russia wiki」的推薦目錄:
- 關於russia wiki 在 มติพล ตั้งมติธรรม Facebook 的精選貼文
- 關於russia wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於russia wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於russia wiki 在 Xiaomanyc 小马在纽约 Youtube 的最讚貼文
- 關於russia wiki 在 NHG:中の人げぇみんぐ【実銃解説】 Youtube 的最讚貼文
- 關於russia wiki 在 梁丸 Youtube 的精選貼文
- 關於russia wiki 在 The Russians – An intimate journey through Russia (1/2) | DW ... 的評價
- 關於russia wiki 在 Discover Russia - Home | Facebook 的評價
russia wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
เมื่อขั้วโลกเหนือ กำลังท้าทาย คลองสุเอซ /โดย ลงทุนแมน
เหตุการณ์เรือขนส่งสินค้า Ever Given เกยตื้นขวางคลองสุเอซ
ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือสำคัญของโลก เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ได้จุดประเด็นให้หลายฝ่ายต้องตระหนักว่า การค้นหาเส้นทางเดินเรือใหม่ ๆ น่าจะช่วยป้องกันความสูญเสียมูลค่ามหาศาลที่อาจเกิดขึ้นเช่นนี้ได้
ไม่กี่วันหลังจากเหตุการณ์นั้น มหาอำนาจโลกตะวันออกอย่างประเทศจีน
ก็เริ่มมีการพูดถึง เส้นทางเดินเรือใหม่
เส้นทางที่ว่านี้ คือการเดินเรือผ่าน “ขั้วโลกเหนือ”
เส้นทางนี้เป็นอย่างไร แล้วจีนเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร
ทั้งที่ไม่มีพื้นที่อยู่ในเขตขั้วโลกเหนือหรือภูมิภาคอาร์กติกเลย ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่านและนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เพื่อให้เห็นภาพรวมของเรื่องนี้ เราต้องมารู้จักภูมิภาคอาร์กติก ที่เป็นพื้นที่สำคัญของเรื่องนี้กันก่อน
อาร์กติก เป็นภูมิภาคที่อยู่ตรงขั้วโลกเหนือ
โดยถ้าเรามองแผนที่โลกโดยให้ขั้วโลกเหนือเป็นศูนย์กลางนั้น ภูมิภาคอาร์กติก จะมีพื้นที่คล้ายวงกลม โดยมีจุดศูนย์กลางตรงขั้วโลกเหนือ และครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 14.1 ล้านตารางกิโลเมตร
โดยดินแดนของอาร์กติกนั้น ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของประเทศต่าง ๆ ประกอบด้วย รัสเซีย, ฟินแลนด์, สวีเดน, นอร์เวย์, ไอซ์แลนด์, เดนมาร์ก, แคนาดา และสหรัฐอเมริกา
ประเทศที่มีความยาวชายฝั่งในอาร์กติกมากที่สุด คือ “รัสเซีย” ที่มีความยาวตามแนวชายฝั่ง 24,140 กิโลเมตร ซึ่งคิดเป็น 44% ของความยาวชายฝั่งทั้งหมดในอาร์กติก
พื้นที่บริเวณอาร์กติกนี้ ยังถือเป็นแหล่งขุมทรัพย์ของรัสเซีย โดยนํ้ามันดิบกว่า 60% และก๊าซธรรมชาติกว่า 95% ของรัสเซีย ได้มาจากพื้นที่ในเขตนี้
ส่วนมหาอำนาจแห่งโลกตะวันตกอย่าง สหรัฐอเมริกา
มีความยาวตามแนวชายฝั่งในภูมิภาคอาร์กติกเพียงแค่ประมาณ 4,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเป็นพื้นที่ของรัฐอะแลสกา มีประชาชนที่อาศัยในเขตขั้วโลกนี้ประมาณ 7 หมื่นคน ซึ่งน้อยกว่ารัสเซียที่มีมากถึง 2 ล้านคน
พูดได้ว่า รัสเซีย ถือเป็นประเทศที่มีอิทธิพลค่อนข้างมากในแถบอาร์กติก
และเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นสนใจของพื้นที่ในภูมิภาคนี้ ก็คือ “เส้นทางเดินเรือ”
โดยจุดสำคัญของเส้นทางการเดินเรืออาร์กติกนี้ คือช่องแคบเบริง (Bering)
ซึ่งถ้าหากเรากางแผนที่โลกออกมา ช่องแคบเบริงนี้ ก็คือบริเวณที่คั่นตรงกลางระหว่างพื้นที่ ที่ใกล้กันที่สุดของทวีปอเมริกาและเอเชีย
ช่องแคบนี้จะมีเกาะ Diomede ใหญ่ (Big Diomede) ที่อยู่ในเขตประเทศรัสเซีย และ Diomede น้อย (Little Diomede) ที่อยู่ในเขตของสหรัฐอเมริกาบริเวณรัฐอะแลสกา ซึ่งทั้งสองเกาะมีความห่างกันแค่ 3.8 กิโลเมตรเท่านั้น
โดยเส้นทางเดินเรือขั้วโลกนี้จะขึ้นเหนือผ่านทะเลแบเร็นตส์ตอนเหนือของรัสเซีย แล้วมาโผล่ที่ทะเลนอร์เวย์ทางตอนเหนือของนอร์เวย์ แล้วลงใต้ไปยังเมืองท่าสำคัญของยุโรป
ซึ่งมีการเก็บข้อมูลจากเรือขนส่งที่ใช้เส้นทางนี้ว่าสามารถย่นระยะการเดินเรือ ได้เกือบ 40%
ตัวอย่างเช่น
ถ้าเรือออกจากท่าเรือในโยโกฮามะจากประเทศญี่ปุ่น เดินทางไปยังท่าเรือในอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
- ถ้าใช้เส้นทางผ่านทะเลจีนใต้ ผ่านช่องแคบมะละกา ทะเลอาหรับ คลองสุเอซ ช่องแคบยิบรอลตาร์ และช่องแคบอังกฤษ
เส้นทางนี้ จะมีระยะทางประมาณ 20,618 กิโลเมตร
- แต่ถ้าใช้เส้นทางเดินเรือที่ขึ้นเหนือ ไปพาดผ่านภูมิภาคอาร์กติก ผ่านช่องแคบเบริง ทะเลแบเร็นตส์ และผ่านทะเลนอร์เวย์
เส้นทางนี้ จะมีระยะทางเพียงแค่ประมาณ 12,982 กิโลเมตร เท่านั้น
จะเห็นได้ว่า เส้นทางการเดินเรือจากโลกตะวันออกไปสู่โลกตะวันตก ผ่านภูมิภาคอาร์กติก ช่วยลดระยะทางลงได้มากเลยทีเดียว
หลายปีที่ผ่านมา เส้นทางเดินเรือขนส่งสินค้าผ่านทะเลอาร์กติกมีความสำคัญขึ้นเรื่อย ๆ
ในปี 2016 มีเรือขนส่งใช้เส้นทางนี้ 297 ลำ
และปี 2020 มีเรือขนส่งใช้เส้นทางนี้ประมาณ 400 ลำ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 35%
โดยมีการขนส่งสินค้ากว่า 32 ล้านตัน ซึ่งกว่า 18 ล้านตันเป็นการขนส่งก๊าซธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม จำนวนเรือที่ใช้เส้นทางนี้ก็ยังถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับเส้นทางจากตะวันออกไปตะวันตกผ่านคลองสุเอซ ที่มีเรือขนส่งสินค้าผ่านเส้นทางประมาณ 19,000 ลำ ตลอดปี 2020 ที่ผ่านมา
ที่เป็นแบบนี้ เพราะเส้นทางบริเวณอาร์กติก ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งที่ทำให้การเดินเรือทำได้ยากลำบาก ต้องอาศัยเรือทลายน้ำแข็ง (Icebreaker Ships) ในการนำหรือสร้างเส้นทางให้เรือขนส่งสินค้า
ทีนี้ หลายคนคงกำลังสงสัย แล้วจีนมาเกี่ยวอะไรกับพื้นที่นี้
ทำไมช่วงที่ผ่านมา กลายเป็นจีน ที่ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับเส้นทางการเดินเรือผ่านขั้วโลกเหนือ ?
ต้องบอกว่าแม้จีนจะไม่ได้มีพื้นที่ประเทศในเขตอาร์กติกหรือขั้วโลกเหนือ
แต่จีนก็เป็นหนึ่งในประเทศ ที่ใช้บริการเส้นทางแถบอาร์กติกเป็นประจำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
จีนอาศัยความใกล้ชิดกับพันธมิตรอย่างรัสเซีย และใช้เส้นทางดังกล่าวในการขนส่งสินค้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ไปยังทวีปยุโรป สอดคล้องกับนโยบาย One Belt One Road ของจีน
ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ นโยบายและแผนงานของรัฐบาลจีนในช่วง 4-5 ปีหลัง จีนมีแผนลงทุนในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ซึ่งมีพื้นที่อยู่ในอาร์กติก
เช่นปี 2018 มีแผนเช่าซื้อสนามบินใน Kemijärvi ในประเทศฟินแลนด์
นอกจากนั้นจีนยังมีแผนการลงทุนทำเหมืองแร่ที่เกาะกรีนแลนด์ ที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรอาร์กติก
และในปีเดียวกันนั้น รัฐบาลจีนได้จัดทำ “นโยบายพัฒนาขั้วโลกเหนือ” เนื่องจากเล็งเห็นศักยภาพในหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านทรัพยากร และเป็นเส้นทางการขนส่งสำคัญ
สรุปคือ จีนก็พยายามเข้ามามีบทบาทและสร้างอิทธิพลในแถบอาร์กติกหรือขั้วโลกเหนือ ผ่านการเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย และการลงทุนในหลายประเทศแถบอาร์กติก ด้วยเช่นกัน
ส่วนทางฝั่งยักษ์ใหญ่แห่งซีกโลกตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกา ที่แม้จะมีรัฐอะแลสกาอยู่ในภูมิภาคอาร์กติก แต่ก็เป็นส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับทางรัสเซีย
ในปี 2019 รัฐบาลของประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์ ก็พยายามขอซื้อเกาะกรีนแลนด์ โดยเสนอแพ็กเกจส่งเสริมการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจกว่า 370 ล้านบาท แต่สุดท้ายถูกปฏิเสธจากเจ้าของพื้นที่อย่างรัฐบาลเดนมาร์ก
หมายความว่า สหรัฐอเมริกา ก็มีความพยายามที่จะขยายอิทธิพลในแถบนี้ให้มากขึ้น จากที่ตอนนี้มีดินแดนที่คาบเกี่ยวอยู่ในเขตอาร์กติกเพียงแค่รัฐอะแลสกาเท่านั้น
อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ “เรือตัดนํ้าแข็ง”
ที่เป็นพาหนะสำคัญในเรื่องการเดินเรือในเส้นทางสายขั้วโลกเหนือ
ซึ่งปัจจุบันประเทศที่เชี่ยวชาญและครอบครองเรือแบบนี้มากที่สุด ก็คือ รัสเซีย
รัสเซีย มีเรือตัดนํ้าแข็งมากถึงเกือบ 60% ของจำนวนทั้งหมดในโลก และยังมีแผนต่อเรือรุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีใหม่ขึ้นทุกปี อย่างเช่น เรือตัดน้ำแข็งพลังงานนิวเคลียร์ ที่ทรงประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ
มากไปกว่านั้น การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกเรื่อย ๆ แบบนี้
ก็คาดกันว่า น้ำแข็งขั้วโลกจะละลายเร็วและมากขึ้น
ทำให้การเดินเรือผ่านเส้นทางนี้สะดวกและเร็วขึ้นด้วย
เท่ากับว่า ในอนาคตถ้าอุณหภูมิโลกสูงขึ้นจนน้ำแข็งขั้วโลกละลายไปมาก
รวมถึงเทคโนโลยีเรือตัดน้ำแข็งพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ
เส้นทางเดินเรือผ่านขั้วโลกเหนือ ก็น่าจะก้าวขึ้นมามีบทบาทกับการเดินเรือจากโลกตะวันออกไปตะวันตกได้มากขึ้น และก็น่าจะสร้างความท้าทายที่มากขึ้นให้กับเส้นทางเดินเรือที่เป็นที่นิยมในตอนนี้อย่าง คลองสุเอซ
อีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือเราจะเห็นว่าหลายประเทศพยายามเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลในพื้นที่อาร์กติกกันมากขึ้น
ทั้งรัสเซีย ที่ถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลจากการมีดินแดนส่วนมากในอาร์กติก
จีน ที่อาศัยความใกล้ชิดกับรัสเซีย และการเข้าไปลงทุนในแถบอาร์กติกเพื่อหวังจะได้ประโยชน์จากทรัพยากรในภูมิภาคอันหนาวเหน็บแห่งนี้
และสหรัฐอเมริกา ที่แม้จะมีดินแดนส่วนน้อยในอาร์กติก แต่ก็น่าจะอาศัยการเป็นพันธมิตรที่สนิทสนมกับแคนาดาและประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ ในการเข้ามามีอิทธิพลในพื้นที่เช่นกัน
ก็ต้องบอกว่า แม้ภูมิภาคอาร์กติก จะปกคลุมด้วยน้ำแข็งและความหนาวเหน็บ
แต่ดูแล้ว การแข่งขันกันมีอิทธิพลในพื้นที่นี้ กำลังร้อนระอุขึ้นเรื่อย ๆ เลยทีเดียว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่านและนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://thehill.com/changing-america/sustainability/infrastructure/547041-alaska-gov-warns-china-and-russia-are-taking
-https://www.statista.com/chart/24511/vessels-and-net-tonnage-transiting-the-suez-canal/
-https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81
-https://www.thenewslens.com/article/131668
-https://www.thenewslens.com/article/125068
-https://insideclimatenews.org/news/03122018/national-security-arctic-icebreaker-funding-emergency-climate-change-coast-guard-military-readiness/
-https://www.chinatimes.com/newspapers/20210405000097-260301?chdtv
-https://newtalk.tw/news/view/2021-04-08/560400
-http://www.thousandreason.com/post12272361026323
russia wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
กรณีศึกษา คูเวต ประเทศที่ รวยน้ำมัน แต่เงินกำลังจะหมด /โดย ลงทุนแมน
คูเวต ประเทศหนึ่งในภูมิภาคตะวันออกกลาง
ที่ร่ำรวยจากการครอบครองทรัพยากรน้ำมันมาเป็นเวลานาน
แต่รู้ไหมว่า ในวันนี้ คูเวตกำลังเจอปัญหาใหญ่...
Continue ReadingKuwait case study. Oil rich country but money is running out / by investman
Kuwait, one country in the Middle East region.
Rich from occupying oil resources for a long time.
But you know, Kuwait is in big trouble today.
Well, the country's reserve funds are running out.
What happened to Kuwait? Invest man will tell you about it.
╔═══════════╗
Blockdit is a platform of source of thinkers.
Help to update the situation in video article format.
Including podcasts to listen to on the go.
Try it out at Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Kuwait is an Asian country in the Middle East region.
Which is an abundance of oil resources.
In 2019, Kuwait had a GDP value of 4.3 trillion baht and a population of 4.4 million people.
Make GDP per capita of Kuwait population equal to 977,000 baht.
4 times more than GDP per head of Thai people.
Kuwait has an area of 17,818 square kilometers, which is about 30 times smaller than Thailand.
Despite being the world's 152th small country.
But Kuwait is the world's 6th most crude resource country.
And one of the country members who expired oil (OPEC)
Kuwait has a crude oil reserves up to 101,500 million barrels. This amount is estimated to be 6 % of the world's crude oil reserves.
If crude oil prices are around $ 40 per barrel, Kuwait's crude oil reserves will be worth 128 million baht.
When things are like this, it means
Oil resources are highly important to Kuwait economy.
Year 2019 Kuwait's crude export revenue is worth 1.5 trillion baht.
In which such value is considered.
90 % of Kuwait's total export income
90 % of Kuwait government income
And 35 % of GDP, Kuwait
In 2016
Anas Al-Saleh, Kuwait's finance minister in those days, warns the government to lower the country's expenditure budget to be prepared for a moment when petrol prices will fall in the future.
But his warning is right. Many people laugh at me.
Because most people believe that the country will continue to earn massive oil exports income.
After that, come on
During the 2016-2018 s, crude oil prices continue to adapt.
It's something that makes many people confident that Anas Al-Saleh warnings won't happen.
But then the emergence of the trade war between US and China in 2019 begins to pressure the global oil demand to slow down.
And the incident started worse than that
When the world later, the COVID-19 outbreak begins.
Plague plague making global travel and production drops.
The global oil demand is reduced from the same.
Besides, there's a fuel war between Saudi Arabia and Russia that both of them won't reduce their production capacity. The oil prices are increasingly adapting.
2018 Dubai crude oil prices average $ 70 per barrel
2019 Dubai crude oil prices average $ 64 per barrel
While the first 6 months of 2020, the average Dubai crude price is only $ 41 per barrel.
What happens is income from crude oil exports
90 % of Kuwaiti government income is greatly reduced.
Make the government not enough money to pay for public sector employers.
At present, more than 80 % of Kuwait people, or around 3.5 million people work as government employees.
Make government spend money in country's reserve funds during the 3 months after COVID-19 outbreak. The fund has gone down to over 411,000 million baht.
Which if crude oil prices don't rise from the same.
It will only make Kuwait government pay for public sector employees until November this year.
Enough is like this next year, Kuwait government needs to make a budget deficit.
Which will cause budget deficit to the level of 1.4 trillion baht
Thinking about a deficit, increasing almost 3 times more than the 2019-2020 fiscal year.
And the budget deficit is the 7th year in a row since 2014
What's worrisome is if the government needs to borrow money.
Among lower oil prices, Kuwait may earn enough oil export income to pay back the loan.
Make it now Kuwait has to have a concept of country reform.
Under Vision 2035 slogan: New Kuwait
The point is that it's important to try to reduce oil industry revenue reliance on revenue.
Which is to follow how much Kuwait's long-term plan this time will accomplish.
From this story preview of Kuwait country
It's something to remind us whether it's a country, corporation or individual.
Being too dependent on income in any way is a high risk.
Like this case, Kuwait relies on income from crude oil exports up to 90 % of export income.
If one day the main income drops or disappears.
From a long time ago, I might lose money easily too..
╔═══════════╗
Blockdit is a platform of source of thinkers.
Help to update the situation in video article format.
Including podcasts to listen to on the go.
Try it out at Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Follow up to invest manly at
Website - longtunman.com
Blockdit-blockdit.com/longtunman
Facebook-@[113397052526245:274: lngthun mæn]
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram-instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.pionline.com/economy/oil-rich-kuwait-running-out-cash
-https://oilprice.com/Energy/Energy-General/Kuwait-Is-Running-Out-Of-Money-To-Pay-Public-Salaries.html
-https://www.middleeastmonitor.com/20200820-kuwait-will-not-be-able-to-pay-salaries-after-november/
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_and_dependencies_by_area
-https://en.wikipedia.org/wiki/Kuwait
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_proven_oil_reserves
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_GDP_(nominal)
-http://www.worldstopexports.com/kuwaits-top-10-exports/
-https://fanack.com/kuwait/economy/
-https://www.eia.gov/dnav/pet/hist/LeafHandler.ashx?n=PET&s=RBRTE&f=M
- Form 56-1 Year 2562, Thai Oil Public Company Limited
-https://www.set.or.th/dat/news/202008/20088082.pdfTranslated
russia wiki 在 Xiaomanyc 小马在纽约 Youtube 的最讚貼文
This is the story of Onfim, a little boy from medieval Russia whose doodles we have perfectly preserved on tree bark, right next to his homework. Wow! A bit of explanation from Wikipedia: Onfim (Old Novgorodian: онѳиме, Onfime; also, Anthemius of Novgorod) was a boy who lived in Novgorod in the 13th century. He left his notes and homework exercises scratched in soft birch bark (beresta) which was preserved in the clay soil of Novgorod. Onfim, who was six or seven at the time, wrote in Old Novgorodian; besides letters and syllables, he drew "battle scenes and drawings of himself and his teacher".
I usually don’t make videos about history like this one, but I had a ton of fun researching this topic and making this video. Hope you enjoy watching it as much as I enjoyed making it! If you’re curious to learn more about Onfim, I found these online links really helpful in gaining a broad understanding of the topic:
https://en.wikipedia.org/wiki/Onfim (try Google translating the Russian version of this article, it’s much better)
https://lithub.com/onfim-wuz-here-on-the-unlikely-art-of-a-medieval-russian-boy/
The best book on the topic in English is Voices on Birchbark: Everyday Communication in Medieval Russia. For background reading about the society and its culture, check out Readings in Russian Civilization Volume I: Russia before Peter the Great.
Subscribe to my channel: https://www.youtube.com/channel/UCLNoXf8gq6vhwsrYp-l0J-Q?sub_confirmation=1
Follow me on Instagram: https://www.instagram.com/xiaomanyc/
Follow me on Facebook: https://www.facebook.com/xiaomanyc/
If you guys like the music in my videos, you can check out all the AMAZING music Epidemic Sound has at my affiliate link here: http://share.epidemicsound.com/xiaomanyc
russia wiki 在 NHG:中の人げぇみんぐ【実銃解説】 Youtube 的最讚貼文
参照サイト
接近戦でボディーアーマーを撃ち抜く、ロシアの12.7mm口径のブルパップ自動小銃「ShAK-12」
https://news.militaryblog.jp/web/Russia-KBP-unveils-ShAK-12-heavy-rifle/to-shoot-out-body-armor-at-close-combat.html
ASh-12.7 - Modern Firearms
https://modernfirearms.net/en/assault-rifles/russia-assault-rifles/ash-12-7-eng/
ShAK-12 - Internet Movie Firearms Database - Guns in Movies, TV and Video Games
http://www.imfdb.org/wiki/ASh-12.7
高評価とチャンネル登録お願いします~
https://www.youtube.com/c/NakanohitoGaming?sub_confirmation=1
最新投稿情報や配信の予告はツイッターから《@NakanohitoGamin》
https://twitter.com/NakanohitoGamin
たわいもない話の再生リスト
https://www.youtube.com/watch?v=uecoATVCB4Y&list=PLANXuC7K8woqQJPgPk4cwCxFiIBgER1LU
実銃解説の再生リスト
https://www.youtube.com/watch?v=l7vPiQ4uFHE&list=PLANXuC7K8woqgyyxLbFdclAqX1PFonVDh
#NHG
russia wiki 在 梁丸 Youtube 的精選貼文
希望這部影片,能夠讓大家更了解『倖存者偏差』,如果有什麼看法,歡迎在底下留言。
--
[參考]
1.片頭-Live It Up (2018 FIFA World Cup Russia)
2.李永樂
3.東森新聞
4.wiki
5.書-讓你荷包失血的思考謬誤
6.書-決勝在看不見的地方
7.背景音樂-Spring_In_My_Step
--
若喜歡我的影片,記得訂閱、分享或按讚,你的支持就是我的動力,感謝你!❤❤❤
每週一、四晚上九點之後,新影片上架!
--
歡迎訂閱 ▶ http://bit.ly/2reFtOY
記得按右邊的鈴鐘🔔
有新的影片上傳會通知你
--
網誌圖文版▶https://bit.ly/2yzt0ct
russia wiki 在 Discover Russia - Home | Facebook 的推薦與評價
Unlike Russian Orthodox churches, where the altar part is hidden behind the icon screen, the St. Catherine's Armenian Church has an altar separated from the ... ... <看更多>
russia wiki 在 The Russians – An intimate journey through Russia (1/2) | DW ... 的推薦與評價
... <看更多>