กรณีศึกษา Pantone ผู้สร้างระบบ ให้กับเฉดสี /โดย ลงทุนแมน
การอธิบายเฉดสีด้วยคำพูดนั้น ยากที่จะสื่อสารให้เข้าใจตรงกันได้
เพราะคนแต่ละคนก็รับรู้สีจากคำพูดได้ไม่เหมือนกัน
ทุกอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสี
จึงมีภาษาสี ที่ใช้สื่อสารได้เข้าใจตรงกัน
โดยหนึ่งในระบบสีที่ได้รับความนิยมสูงก็คือ “Pantone”
แล้วเรื่องราวของ Pantone ที่กว่าจะมาเป็นภาษาสากลของสีนั้นเป็นมาอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1950s ซึ่งนับเป็นยุคทองของนิตยสาร
ที่เมืองนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา คู่พี่น้อง Mervin และ Jesse Levine
ได้ก่อตั้งบริษัทเกี่ยวกับงานพิมพ์ ที่ชื่อว่า “M&J Levine”
ในปี 1956 Lawrence Herbert ที่เพิ่งเรียนจบด้านชีววิทยาและเคมี
แต่ด้วยความที่เขามีความสนใจเรื่องสิ่งพิมพ์มานานแล้ว
Herbert จึงได้มาสมัครเป็นพนักงานพาร์ตไทม์ที่บริษัทแห่งนี้
งานประจำวันของเขาก็คือ การดูแลคลังสีและการผสมสี
ทั้งสีแบบผงและสีหมึกสำหรับงานพิมพ์
Herbert ค้นพบว่าการสื่อสารเรื่องสีเป็นอุปสรรคสำคัญในการทำงาน
กว่าเขาจะผสมสีให้ได้ตรงกับแบบที่ได้รับคำสั่งมา ก็ต้องลองผสมสีแล้วทิ้งอยู่หลายรอบ
กว่าจะพิมพ์งานออกมาให้ตรงกับแบบที่ต้องการ ก็ต้องพิมพ์แล้วทิ้งแล้วแก้ใหม่อยู่หลายครั้ง
Herbert จึงใช้ความรู้ทางเคมีที่เรียนมา นำมาใช้กับเรื่องสี
โดยเริ่มจากสร้างระบบและมาตรฐานสีให้กับคลังสีของบริษัท
เพื่อให้การสื่อสารเรื่องสีทำได้ง่ายขึ้น และยังช่วยลดต้นทุนของสี
ที่ต้องทิ้งจากการต้องลองผิดลองถูกหลายครั้งอีกด้วย
หลังจากทำงานไปได้ 6 ปี กลับกลายเป็นว่า
ฝ่ายงานพิมพ์และหมึกที่พนักงานพาร์ตไทม์คนนี้ดูแล
กลับเป็นแผนกที่ทำกำไรให้บริษัท ขณะที่ฝ่ายอื่นยังมีผลขาดทุน
ในปี 1962 Herbert ได้ขอซื้อกิจการต่อจากคู่พี่น้อง Levine
และเปลี่ยนชื่อเป็น “Pantone” แบบในปัจจุบัน
ซึ่งชื่อนี้ก็มาจากคำว่า Pan ที่แปลว่าทั้งหมด และ Tone ที่หมายถึงสี
หนึ่งปีให้หลัง Pantone ได้ให้กำเนิด “Pantone Matching System” หรือ “PMS” ซึ่งเป็นระบบสีเพื่อใช้สื่อสารกันได้แบบสากล
โดยการตั้งชื่อและระบุรหัส ที่เป็นตัวเลขเฉพาะของแต่ละเฉดสี เพื่อใช้ระบุถึงสีสีหนึ่งได้ทันที
โดยเริ่มแรกมีอยู่ 500 สี และเพิ่มขึ้นมาจนมีมากกว่า 3,000 สีในปัจจุบัน
ซึ่งก่อนหน้าที่จะมี Pantone ระบบสีมาตรฐานที่งานพิมพ์ใช้กันมาอย่างยาวนาน
คือระบบ Cyan, Magenta, Yellow, Key หรือ CMYK ซึ่งเป็นการผสมสีมาจากสีพื้นฐาน 4 สี
แม้ว่าระบบดังกล่าวจะใช้งานได้ดีและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย
แต่ระบบสี CMYK มีจุดอ่อนอยู่ที่ เฉดสีไม่ค่อยเสถียร
เช่น สีของงานที่พิมพ์ออกมาจริงเพี้ยนไปจากสีที่ออกแบบไว้ในคอมพิวเตอร์
Pantone จึงเข้ามาช่วยเติมเต็มจุดอ่อนของสี CMYK
เพราะผู้สั่งพิมพ์งาน สามารถระบุรหัสสี Pantone ที่ต้องการกับทางโรงพิมพ์
โรงพิมพ์ก็สามารถผสมสีตามรหัส Pantone ที่ต้องการขึ้นมาได้เลย
อย่างไรก็ตาม วิธีการแบบนี้ก็จะมีต้นทุนที่สูงกว่าการพิมพ์ด้วยระบบสี CMYK
จึงเหมาะกับผู้ใช้งานที่ต้องการความแม่นยำของเฉดสีสูง และเป็นงานพิมพ์ที่ใช้จำนวนสีไม่มากจนเกินไป
ซึ่งระบบสีของ Pantone ก็ผสมออกมาได้หลากหลายกว่า จึงครอบคลุมสีที่ได้จากระบบ CMYK ด้วย
และยังสามารถแปลงไปเป็นรหัสของระบบสีอื่น อย่างเช่น RGB, HTML และ CMYK ได้อีกด้วย
ระบบสี PMS จะเหมาะกับงานจำพวกกราฟิก แพ็กเกจจิง สื่อดิจิทัล และงานสกรีน
ในปี 1988 Pantone จึงเพิ่มระบบสีที่เหมาะกับงานจำพวกสิ่งทอและเสื้อผ้า
การออกแบบตกแต่งภายใน หนัง สีทาบ้าน ไปจนถึงเครื่องสำอาง
โดยใช้ชื่อว่า “Pantone Fashion, Home + Interiors System” หรือ “FHI”
ความนิยมของ Pantone ได้เข้าไปอยู่ในทุกอุตสาหกรรมที่มีสีเข้ามาเกี่ยวข้อง
ด้วยความที่ Pantone เป็นระบบสีที่มีมาตรฐานและสามารถนำมาสื่อสารให้เข้าใจตรงกันได้ทันทีด้วยรหัสที่เป็นสากล
ตัวอย่างเช่น สตูดิโอในนิวยอร์กได้ออกแบบและจะสั่งพิมพ์งานที่โตเกียว
เพียงระบุว่าใช้สี Pantone 550 C ก็จะเข้าใจได้ตรงกันทันที
ซึ่งถ้าอธิบายด้วยคำพูดว่าต้องการสีฟ้า ๆ เขียว ๆ อมเทา คงไม่มีทางนึกถึงสีเฉดเดียวกันได้
นอกจากความสะดวกในการสื่อสารแล้ว
ระบบสีของ Pantone ยังทำให้สีของผลิตภัณฑ์จริง
ตรงกับสีที่ออกแบบโดยไม่ผิดเพี้ยน และในทุกครั้งที่ผลิต จะให้สีที่เหมือนเดิมเป๊ะ
มาถึงตรงนี้ ทุกคนคงสงสัยว่า
แล้วธุรกิจอย่าง Pantone มีรายได้มาจากอะไรบ้าง ?
อย่างแรกก็คือการขาย Pantone Guide หรือสมุดรวมแถบเทียบเฉดสี
ซึ่งจะมีหลายรูปแบบ อย่างเช่น Fan Deck สมุดทรงแคบและยาวที่คลี่ออกมาได้คล้ายกับพัด
Color Bridge Guide Set สมุดใช้เทียบรหัสสี Pantone กับระบบสีอื่น เช่น RGB, HTML และ CMYK
อย่างที่สองก็คือค่า License จากซอฟต์แวร์โปรแกรมหลากหลายรูปแบบ
ที่ให้บริการกับบริษัทที่เลือกใช้ระบบสีของ Pantone
ซึ่งรวมถึงบริษัทขนาดใหญ่อย่าง Adobe, Microsoft, Xerox และ Canon
อย่างที่สามก็คือค่าบริการให้คำปรึกษาเรื่องการใช้สีแก่บริษัทต่าง ๆ
รวมถึงบริการคิดค้นสีใหม่ เพื่อสร้างสีที่เป็นอัตลักษณ์ให้กับแบรนด์
อย่างเช่น สีส้มของ Hermès, สีฟ้าของ Tiffany & Co. และสีเหลืองของ Minions
ซึ่ง Pantone ได้ก่อตั้ง Pantone Color Institute มาเพื่อให้บริการด้านนี้โดยเฉพาะ
และองค์กรแห่งนี้ ยังรับหน้าที่ประกาศ “Pantone Color of the Year”
ที่เริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2000 เพื่อนำเสนอสีที่จะเป็นเทรนด์หลักของปีนั้น และสีนั้นก็มักกลายมาเป็นสีที่มีอิทธิพลต่อวงการออกแบบไปทั่วโลก
ด้วยความที่ Pantone ไม่ได้เพียงช่วยสร้างอัตลักษณ์ให้กับแบรนด์อื่น แต่ยังมีอัตลักษณ์เองด้วย
Pantone จึงสามารถขายผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์อย่างพวกแก้ว ขวดน้ำ สมุดโน้ต เคสสมาร์ตโฟน ที่เป็นลายตามรูปแบบของแถบสี Pantone ได้อีกด้วย
นอกจากนี้ Pantone ยังมีโอกาสได้ร่วมออกสินค้าคอลเลกชันพิเศษกับแบรนด์ชื่อดังมากมาย
อย่างเช่น เครื่องสำอาง Sephora, รองเท้า Nike, สมาร์ตโฟน OPPO และรถยนต์ KIA
ปัจจุบัน บริษัท Pantone ได้เข้าไปเป็นบริษัทในเครือของ Danaher
บริษัทโฮลดิงขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเริ่มมาจากการที่บริษัท X-Rite เข้าซื้อกิจการ Pantone ในปี 2007
ด้วยมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ก่อนที่ปี 2012 Danaher ได้เข้ามาซื้อกิจการ X-Rite อีกที
ถึงแม้ Pantone จะยังเป็นบริษัทเอกชนที่ไม่มีการเปิดเผยงบการเงินต่อสาธารณะ
แต่ก็มีการประเมินว่า Pantone มีรายได้ต่อปีโดยเฉลี่ยมากกว่าพันล้านบาท
เรื่องราวของ Pantone ก็ทำให้คิดได้ว่า “สี” ซึ่งเป็นสิ่งที่เราใช้กันได้ทั่วไป
ไม่ได้มีใครเป็นเจ้าของ แต่ผู้ที่ตั้งชื่อให้กับเฉดสีเหล่านั้น และพัฒนาให้กลายเป็นระบบสากล
ก็สามารถสร้างมันเป็นธุรกิจที่ทำรายได้มหาศาลระดับพันล้านต่อปี เลยทีเดียว..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.thefashionlaw.com/the-business-of-being-pantone/
-https://www.fastcompany.com/3050240/how-pantone-became-the-definitive-language-of-color
-https://www.referenceforbusiness.com/history2/63/Pantone-Inc.html
-https://bettermarketing.pub/how-pantone-saved-the-world-65708585d573
-https://en.wikipedia.org/wiki/Pantone
-https://www.pantone.com/hk/en/
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過65萬的網紅C CHANNEL,也在其Youtube影片中提到,女子動画ならC CHANNEL http://www.cchan.tv ここは隠れ家的なShida roadの近くにあって1920年代スタイルの可愛いカフェ。インテリアや装飾は洗練された時間へタイムトラベルしたかのようです。街で一番のコーヒーも試せたり、厳選されたウィスキーや自家製のデザートまで食...
the world of interiors 在 Facebook 的最佳解答
人們常笑稱,要寫一個關於殺人的故事,可用不著真的去殺人吧?不過對於茱麗葉.休姆(Juliet Hulme)而言,真的有過殺人經驗,或許真能帶來不少靈感。
.
此事要先從1954年2月開始談,時年15歲的寶琳.帕克(Pauline Parker)在日記上寫著:「為什麼媽不能去死?每天都有成千上萬的人死去,為什麼爸媽不能都去死?」
.
同齡的寶琳.帕克與茱麗葉.休姆當時同樣就讀位於紐西蘭基督城的一間女校,兩人當時的關係堪稱形影不離,是最要好的朋友。然而,她們之間的出身背景卻有很大差距,寶琳是魚販之女,茱麗葉的父母則是來自英國的顯貴,她的父親受聘來當地擔任大學校長。
.
不過兩人一見如故,茱麗葉並未因為家庭背景而覺得忌諱,經常帶寶琳回家玩耍。起先雙方家長都對兩個女孩的友誼不以為意,直到雙方的關係開始日漸緊密,連澡也要一起洗,對待彼此的態度宛如愛侶,家人開始有些擔憂,試圖拆散她們,至少要她們保持距離。在當時,同性戀在紐西蘭被視為一種禁忌、嚴重的精神疾病。
.
究竟寶琳與茱麗葉到底是什麼關係?後來學者的觀察莫衷一是。但可以確定的是,兩個女孩從小都有嚴重生理疾病,寶琳罹患骨髓炎,茱麗葉則有結核病,或許正是同樣罹病的遭遇,使得她們更覺得親近,生命觀也與同齡人不同。她們甚至共同發明了一個宗教,這個宗教謝絕基督徒,擁有自己的天堂境地與獨有的聖人(多是好萊塢名流),稱作「第四空間(The Fourth World)」。而且不必等到死後前往,她們經常一同「造訪」此地。
.
除了一同生活在虛幻世界之外,寶琳與茱麗葉還共同撰寫小說,並想像她們構思的作品將會在好萊塢大獲成功。一起前往美國發展,成為兩個少女共同的夢。
.
1954年,茱麗葉的父母決定分居,父親辭下校長職位,雙親協議後,決定重返英國,並將愛女送往南非。寶琳得知後,也想要跟著去,但可想可知的是,她的母親堅決反對。寶琳於是向茱麗葉提出一同殺害她母親的可能性,這項提議獲得了茱麗葉的支持。
.
在當時的日記上,寶琳寫道:「我們已經想好了,並對這個想法感到好興奮。當然,我們很緊張,但期待大於一切。」
.
在1954年6月22日,她們決定付諸行動。
.
在陽光明媚的下午,兩位女孩與帕克夫人在享用午餐之後到維多利亞公園的山丘漫步。茱麗葉先將一個飾品扔在地上,讓帕克夫人彎腰撿拾,寶琳隨即將預先準備好的──盛裝著半個磚塊的襪子──舉起重擊母親頭部。帕克夫人立刻尖叫倒地、面目抽搐,茱麗葉接手拿起磚塊狂砸。少女們原先預想能夠一擊斃命,沒想到卻足足花了20分鐘才將之殺害。
.
女孩們確定帕克夫人斷氣後,隨即衝到山下,向一名小販經理誑稱母親跌倒,撞到了一顆石頭,必須請人救助。警長聞訊後到現場勘查,很快發現帕克夫人並非死於意外,她的頭骨被狠狠擊碎,共計有45處受傷,而兇器也很快被尋獲。警方隨後羈押了涉有重嫌的寶琳與茱麗葉,她們隨後也坦承犯行,只是寶琳為了保護茱麗葉,佯稱自己是獨力行兇,茱麗葉卻給予了不同的供詞,承認自己也有參與施暴。
.
這則新聞不僅在紐西蘭成為轟動的消息,也立刻成為國際頭條。兩位正值碧玉年華的少女,究竟何以動念殺害至親?精神科醫師雷金納德.梅德利科特(Reginald Medlicott)受聘替兩人做了詳細的心理衡鑑,同時詳細閱讀了她們的日記與著作。他的結論是,寶琳與茱麗葉確實處在嚴重的精神錯亂底下,而且是相互牽動的,兩人幾乎像是同一個個體。
.
梅德利科特甚至直接指出「她們絕對是瘋了」,並提及自己在探訪過程中遭到兩人嚴酷的污辱與咒罵,強調寶琳與茱麗葉的傲慢與自負遠遠超過正常人。他最後做出結論,明確指出在六月時,她們已經精神失常。
.
不過即便已經犯下罪行,寶琳與茱麗葉卻絲毫不認為自己應當負上任何責任。寶琳說自己唯一後悔的只有讓茱麗葉的家人造成麻煩,但是殺害母親乃是合情合理。茱麗葉也說,謀殺不僅是「正當的」,「殺害任何阻撓我們的人,也都是正當的」。
.
法院陸續傳喚多位精神科專家進行鑑定,結論不約而同指出兩位少女的瘋狂。在痛下犯行之前,她們就如同一般少女一樣表現出活潑與純真,但下一刻卻能拋下良知殺人,已經不是常人會有的舉動。報告亦指出,寶琳在作案前一天,對母親尤其熱情,表現善意。這些細節見報後,寶琳與茱麗葉被冠上「惡魔」稱號。
.
在審判當日,現場座無虛席。當犯罪細節被公開時,少女沒有任何反應,但當有任何被描述被她們認為侵犯了她們的虛榮心,寶琳與茱麗葉便會立刻出言反擊。出人意表的是,寶琳與另一名男孩有一段情的證據也被隨之公開,這尤其激怒了茱麗葉。而這很可能是她們此生最後一次見面。
.
1954年8月28日,法官作出宣判,認定由於兩人年紀太輕,不能判處死刑,又因為評審團不同意寶琳與茱麗葉患有精神疾病,他們不會被送入精神病院(然而,這卻符合了寶琳事前的期望)。兩人最終被判處無限期監禁,送進基督山監獄,並且分開羈押。
.
不過,監禁時間僅有五年。有傳言說,釋放條件是兩人承諾不再與彼此見面,但政府後來否認了這個說法。原籍英國的茱麗葉被無條件釋放,她來到義大利與父親團聚,而寶琳經過六個月假釋,也完全重獲自由。至於後來兩人究竟何去何從,則又有了出人意料的發展。
.
1994年,紐西蘭編劇法蘭.華許(Fran Walsh)向經常共同合作的導演彼得.傑克森(Peter Jackson)提出了將該案搬上大銀幕的構想。華許說在當時,兩位少女被媒體營造成世界上最邪惡的人,但她對於這些流於表面的報導有些不以為然,始終認為此事欠缺合理的解釋。為此,他們採訪了當時與事件相關的17位同學和老師,以及兩人的鄰居與家人,也向心理學家請益。
.
透過日記內容,華許發現兩人其實富有超越非凡的想像力,以及獨有的幽默感,絕非只能以「邪惡」一語帶過。透過全國海選,他們找到了新人梅蘭妮.萊恩斯基(Melanie Lynskey)來飾演寶琳.帕克,而當時已經有過影集演出的英國演員凱特.溫絲蕾(Kate Winslet)則從175位女孩中脫穎而出,爭取到茱麗葉.休姆的角色。
.
最後這部《夢幻天堂 Heavenly Creatures》(1994)問世,獲得全球性的成功,法蘭.華許與彼得.傑克森一同獲得奧斯卡最佳原創劇本獎提名,這也是兩人首次揚威美國,為日後他們再次合作的《魔戒 The Lord of the Rings》系列埋下伏筆。而凱特.溫絲蕾也因為這部作品,成功打響名號,開啟了輝煌的表演之路。
.
向來擅長打造奇想場面的彼得.傑克森在《夢幻天堂》成功構築了一個屬於少女的私密幻境,包括由黏土構成的奇幻王國,還向出演《黑獄亡魂 The Third Man》(1949)的奧森.威爾斯(Orson Welles)致敬,以遊走與光明與陰影底下的人物隱喻角色關係。重點是,他試圖帶觀眾同理兩位少女的心理,而非一味妖魔化的呈現。兩位演員的詮釋尤其近乎完美。
.
不過電影的成功對於兩位當事人來說,無疑是一個災難的開始。
.
寶琳與茱麗葉的下落遭到媒體「肉搜」。1997年,紐西蘭記者在英國肯特郡找到了隱姓埋名的寶琳.帕克,她改名希拉蕊.南森(Hilary Nathan),在當地經營一個兒童騎術學校,皈依天主。她透過姐姐發表聲明,表示自己對弒親感到萬般後悔。據寶琳姐姐的說法,她花費了五年的時間才終於意識到自己鑄下大錯,後來決定遠離人群,試圖默默貢獻社會。
.
不過更勁爆的則是茱麗葉.休姆的發展,她後來改名為安妮.佩里(Anne Perry),曾在美國與加拿大生活,後來搬到一個蘇格蘭的摩門教社區。她在1979年開始出版小說,並且很快成為一個成功的犯罪小說家,創造了名警探湯瑪斯.皮特一角(後續延伸了34集系列小說),並多次獲得文學獎殊榮。
.
在1994年之前,沒有人知道她就是茱麗葉.休姆。在電影問世前,她不得與她的經紀人會面,安妮.佩里鎮定地對他說:「請坐下與我談談,有一些關於安妮⋯⋯但你所不知道的事情,我得坦承相告。」
.
截至2003年為止,她已完成超過40部小說,作品在全球銷售達千萬冊,小說《No Graves As Yet》(2003)曾登上《紐約時報》銷售排行榜。安妮.佩里依然是一個成功的作家,但她的聲譽確實因此受到了嚴重的影響,作品銷售量也有下滑趨勢。她始終試圖挽回自己的名望。
.
在2003年接受採訪時,她向《衛報》記者坦言自己確實「有債要還」,但卻也試圖將責任轉嫁在寶琳身上,指控寶琳當年威脅她若不幫忙就要自殺。她也談到了《夢幻天堂》上映之前,自己的身分遭到揭露時所感到的恐慌,安妮指出「這一切都不公平,我為重返社會所做出的一切努力全部遭到了抹殺」,並且埋怨編導沒有事前請求她的許可。
.
不過安妮.佩里表現的「懺悔」卻未必讓大眾買單,在紀錄片《Anne Perry: Interiors》(2009)當中,她一再將罪刑歸咎在寶琳身上,並且誇張化地表述自己在未成年時遭受監禁的「苦難」,與其說是加害人,她更認為自己是一名受害者──在不情願的情況下協助殺人的無辜少女。這個被害者形象反而使她更顯爭議。
.
安妮.佩里不常受訪,但每次談及此案,都是一概切割態度,例如在2006年,她承認自己的確癡迷於與寶琳的關係,但否認自己是同性戀者。在2012年,她在受訪時提到自己在監獄的經歷成為了創作養分。並說自己已經負起了責任,不需要再為了過去的行為懲罰自己。
.
「你能做的最好的事,就是成為更好的人,並確保自己也能原諒別人。這意味著『遺忘』,不要帶著怨恨。這不容易做到,但你得學會。如果你相信寬恕,那就請寬恕所有人。」安妮.佩里說道:「除了繼續活下去,我別無選擇。我肯定不是第一個有這樣遭遇的人。我只希望,天啊⋯⋯都快60年了,我們讓事情過去吧。」
.
不過針對這些發言,寶琳本人沒有再做出任何回應,其家族成員也沒有予以反駁。事實上,有些觀察者指出寶琳與茱麗葉當時都能很快全身而退,除了她們尚未成年,很大原因是她們的白人身分,以及茱麗葉的特權家族背景。不過後續的發展,也反映了兩人確實存在明顯的階級鴻溝,寶琳在小鎮低調討生活,而茱麗葉卻成為暢銷作家,享有富裕的生活以及舉足輕重的發言權。
.
2017年,年近八十的安妮.佩里為了希望讓自己的小說影視化,遷居到好萊塢。不過截至目前為止,只有一部關於她的小說改編的作品問世,是一部名為《The Cater Street Hangman》(1998)的電視電影。在目前力求政治正確的時代,導演、演員涉及性侵會面臨除名懲戒,遑論原作者曾經殺人,因此目前顯然沒有公司對翻拍她的作品表明興趣。
.
反而是談論這起「帕克-休姆謀殺案」(Parker–Hulme murder case)的相關影視作品與紀錄片遠多過安妮.佩里的作品,除了上述的《夢幻天堂》之外,還包括更早一步拍攝的法國電影《Don't Deliver Us From Evil》(1971)與多部舞台劇。連《辛普森家庭 The Simpsons》都曾在第20季第9集的《Lisa the Drama Queen》(2009)鬆散地改編這個故事。
.
編劇們常掛在口邊說,你要寫一個關於殺人的故事,用不著真的去殺人吧?但安妮.佩里不僅真的殺人,還將經歷轉化為自己的作品。有一點她說得沒錯,她不是文壇第一個曾經犯下殺戒的名作家,有類似經歷的還包括曾撰寫《裸體午餐 Naked Lunch》(1959)的弒妻作家威廉.布洛斯(William Burroughs),才氣縱橫的奧地利作家傑克.溫特維格(Unterweger)甚至是一名連續殺人魔。
.
從中可以帶出很豐富的議論。安妮.佩里能以年少無知為由逃離社會大眾的公審嗎?抑或更生人難道只有隱姓埋名一途,沒有機會選擇重生?再來,創作者的私德究竟與它的作品有無直接相關?當然,這已是老生常談,或許永遠沒有標準答案。對於是非的論定,只能交給讀者自己裁決。
.
https://lihi1.com/bOndt
請點連結觀賞《夢幻天堂》預告、關於該片的更多情報,以及其它凱特溫絲蕾的演出作品
.
.
(附圖上,圖右為茱麗葉.休姆,圖左為寶琳.帕克;圖下為《夢幻天堂》劇照,圖左為飾演茱麗葉的凱特.溫絲蕾,圖右為飾演寶琳的梅蘭妮.萊恩斯基。)
ez訂 #夢幻天堂 #凱特溫絲蕾 #梅蘭妮萊恩斯基 #安妮佩里
the world of interiors 在 半瓶醋 Facebook 的最佳解答
【水世界】的前製設定與現場劇照
WATERWORLD (1995)
In celebration of today’s anniversary of this wet mess/epic. Let’s celebrate the hard work this crew put into bringing this world to life. Water movies are never easy but when it comes to this movie anytime you bring it up and a crew member from it is in earshot, the stories pour out. Not always bad, I know a AC that said he had a blast, he loved the boat rides out and all the camaraderie the crew had to have to get thru it. To all the crew that helped bring WATERWORLD to life, We salute you and thanks for the memories. I personally enjoy this hot mess of a movie, it’s one of the last ones of its kind...done practically...in a way.
let’s take a deepest of dives into WATERWORLD
The director, Kevin Reynolds, knew there would be problems before production had even started, “During pre-production. Because having never shot on water to that extent before, I didn’t really realise what I was in for. I talked to Spielberg about it because he’d gone to do Jaws, and I remember, he said to me, “Oh, I would never shoot another picture on water”.
“When we were doing the budget for the picture, and the head of the studio, Sid Sheinberg, we were talking about it and I said, “Steven told me that on Jaws the schedule for the picture was 55 days, and they ended up shooting a 155 days”. Because of the water. And he sat there for a moment and he said, “You know, I’m not sure about the days, but I do know they went a hundred percent over budget”. And so, Universal knew the potential problems of shooting on water. It’s monstrous.”
The film began with a projected budget of $100 million which had reportedly increased to $175 million by the end of production. The principle photography had overrun for at least thirty days more than originally planned due to one major decision.
Whereas today they would film in water tanks with partially built sets, employing green screens to fake the locations, back in 1995 they decided to build everything full size and shoot out on the ocean.
This causes extra logistical problems on top of those that already come with making a major action blockbuster. Cast and crew have to be transported to sets. The camera boats and sets float out of position and will have to be reset between takes taking up valuable production time.
The first draft of Waterworld was written by Peter Radar, a Harvard graduate who wanted to break into the film business. His contact in the film industry was Brad Kevoy, an assistant to the legendary director Roger Corman.
Roger Corman is best known for making films very quickly on a small budget. He also liked to give young talent a chance to direct and write their own films. Brad informed Peter that if he could write a Mad Max rip off, he would arrange to finance and let him direct the picture.
Radar came back and pitched the idea for what would become Waterworld. Kevoy took one look at him and said,
“Are you out of your mind? This would cost us three million dollars to make this movie!”
So Radar kept hold of the idea and decided to re-write the script but, this time, going wild. He wrote what he wanted to see on-screen, limited only by his imagination, not a real world production budget.
He managed to get the newly written script shown to a pair of producers with whom he had made contact with. They loved it and ironically they passed it onto Larry Gordon. He shared the enthusiasm saying it had the kind of cinematic possibilities he was looking for. A deal was signed on Christmas Eve of 1989.
As further script rewrites progressed, it became clear that Waterworld was too big for the Larry Gordon’s production company to undertake by themselves. In February 1992, a deal was signed with Universal Pictures to co-produce and co-finance the film. This was now six years after the first draft had been written.
Universal had signed director Kevin Reynolds to Waterworld. Whilst he was finishing his latest film, Rapa Nui, pre-production for Waterworld was already underway.
The decision was taken that the largest set for the film, known as the atoll, would be built full size. The atoll was the primary location for film and in the story served as the location for a small population of survivors.
The logic behind this decision was due to the high percentage of live action filming required in this location, as well as a huge action set piece. No sound stage would be big enough to incorporate this number of scenes and it was crucial that we see the mariner sail his boat into the atoll, turn around and set out again. A full-size construction was the only way to go as the use of miniature and special effects would be impractical.
The next problem was deciding where to build this huge set. After much research, Kawaihae Harbour in Hawaii was chosen as the location. The atoll could be constructed in the harbour and rotated when needed thus allowing for open sea in the background. Later towards the end of principle photography, the atoll could be towed out into the open sea for the filming of the big action sequences which would be impractical to shoot in an enclosed harbour.
Director Kevin Reynolds also discussed the possibility of using the same water tank as James Cameron’s The Abyss, which had filmed there around five years ago,
“We had even entertained the notion of shooting at that big nuclear reactor facility where they had shot The Abyss, to use it for our underwater tank. But we found it in such a state of disrepair that economically it just wasn’t feasible. We didn’t have as much underwater work as they did. Most of The Abyss is interiors and underwater and model work, ours is mostly surface exterior.”
The production company had originally envisioned building the atoll by linking approximately one hundred boats together and building upon this foundation, just like the characters in the film. The production crew set out to search Hawaii and get hold of as many boats as possible.
During this search, a unique boat in Honolulu caught their attention. Upon further investigation, they discovered it was built by Navitech, a subsidiary of the famous aircraft production company, Lockheed.
They approached Lockheed with the strange request of figuring out how they could build the foundations of the atoll. Lockheed found the request unusual but didn’t shy away from the challenging. They agreed to design the atoll foundation and Navitech would construct it.
Meanwhile, an 11ft miniature model of the atoll was sent out to a model ship testing facility in San Diego. Scaled wave tanks are used to determine the effects of the open sea on large scale miniature models of new untested ship designs. This would help determine what would happen with the unusual design of the atoll when it was out of the harbour.
The atoll, when finished, was approximately ¼ mile in circumference. It took three months to construct and is rumoured to cost around $22 million. As the atoll would be used out on the open sea, it required a seafaring license. Nothing like this had been done before and after much deliberation, it was eventually classed as an unmanned vessel. This meant that all cast and crew would have to vacate the set whilst it was towed into position. By the end of production, the atoll was towed out to sea a total of five times.
Shooting out on the open sea presented a series of logistical problem as Reynolds describes,
“We had an entire navy, basically – I mean, this atoll was positioned about a mile off-shore in Hawaii, it was anchored to the bottom of the ocean so it could rotate. What you don’t think about are things like, you’re shooting on this atoll to maintain this notion that there’s no dry land, you always have to shoot out to sea. Away from the land. So we chose a location where we had about a 180 degree view of open water. Nevertheless, any time when you’re shooting, there could be a ship appear in the background, or something like that, and you had to make a choice. Do I hold up the shot, wait for the ship to move out, or do we shoot and say we’re going to incur this additional cost in post-production of trying to remove the ship from the background.
And at that time, CGI was not at the point it is now, it was a bigger deal. And so, even though if you’re shooting across the atoll and you’re shooting out onto open water, when you turn around and do the reverses, for the action, you had to rotate the entire atoll, so that you’re still shooting out to open water. Those are the kinds of things that people don’t realise.
Or something as simple as – if you’re shooting a scene between two boats, and you’re trying to shoot The Mariner on his craft, another boat or whatever, you’ve got a camera boat shooting his boat, and then the other boat in the background. Well, when you’re on open water things tend to drift apart. So you have to send lines down from each of those boats to the bottom, to anchor them so that they somewhat stay in frame. When you’ve got a simple shot on land, you set up the camera position, you put people in front of the camera and then you put background in there. But when you’re on water, everything’s constantly moving apart, drifting apart, so you have to try to hold things down somewhat.
And these are simple things that you don’t really realise when you’re looking at it on film. But logistically, it’s crazy. And each day you shoot on the atoll with all those extras, we had to transport those people from dry land out to the location and so you’re getting hundreds of people through wardrobe and everything, and you’re putting them on boats, transporting them out to the atoll, and trying to get everybody in position to do a shot. And then when you break for lunch, you have to put everybody on boats and take them back in to feed them.”
The final size of the atoll was determined by the size of the Mariners boat, the trimaran. The dimensions for the trimaran were finalised very early on in pre-production, allowing all other vehicles and sets to be sized accordingly.
Production required two trimarans boats which are so called because they have three hulls. The first was based on the standard trimaran blueprint and built for speed but also had to accommodate a secret crew below decks.
During wide and aerial shots it would have to look like Costner himself was piloting the boat. In reality, a trained crew could monitor and perform the real sailing of the boat utilising specially built controls and television monitors below deck.
The second trimaran was the trawler boat which could transform into the racer through the use of special practical effects rigs. Both of these boats were constructed in France by Jeanneau. Normally this type of vessel requires a year to construct but production needed two boats in five months!
Normally once the boat had been constructed, Jeammeau would deliver it on the deck of a freighter, requiring a delivery time of around a month. This delay was unacceptable and so the trimarans were dismantled into sections and taken by a 747 air freighter to the dock Hawaii. Upon arrival, a further month was required to reassemble the boat and get them prepared for filming.
sets recreating the inside of the tanker were built using forced perspective in a huge 1000ft long warehouse which had an adjoining 2000ft field. In this field, they built the set of the oil tankers deck, again constructed using forced perspective. Using the forced perspective trick, the 500ft long set could be constructed to give the impression that it was really twice as long.
There’s more to a film than just it’s sets and filming locations. Over two thousand costumes had to be created with many of the lead actors costumes being replicated many times over due to wear and tear.
This is not an uncommon practice for film production, but due to the unique look of the people and the world they inhabit, it did create some headaches. One costume was created with so many fish scales the wardrobe department had to search the entire island of Hawaii looking for anyone who could supply in the huge quantity required.
Makeup had to use waterproof cosmetics, especially on the stunt players. As everyone had a sun burnt look, a three-sided tanning booth was setup. The extras numbering in their hundreds, with ages ranging from six to sixty-five, passed through the booth like a production line to receive their spray tan. The extras then moved onto costume before finally having their hair fixed and becoming ready for the day.
In some scenes, extras were actually painted plywood cutouts to help enhance the number of extras on the set. This can easily be seen in one particular shot on board the Deez super tanker.
Filming on the water is not only a difficult and time-consuming process but also very dangerous. It’s been reported that Jeanne Tripplehorn and Tina Majorino nearly drowned on their first day of filming.
Waterworld’s star Kevin Costner reported having a near-death experience when filming a scene in which the mariner ties himself to his catamaran to survive a storm. The pounding water caused him to black out and nearly drown.
Unbeknownst to most of the crew, Kevin Costner’s stunt double was riding his jet ski across 40 miles of open ocean between his home on Maui and the film’s set on the Big Island. When he didn’t show up for work one day, the production team phoned his wife, who informed them he had already left for work. The stunt double’s jet ski had run out of gas halfway through his “commute” and a storm had swept him farther out to sea. It took a helicopter most of the day to find him. The stunt doubles name was Laird Hamilton.
As well as the logistical problems of creating a film of this scale and on water, they also had to deal with the press who seemed intent on wanting the film to fail. Director Kevin Reynolds discusses the situation,
“It was huge, we were constantly fighting – people wanted to have bad press. That was more exciting to them than the good news. I guess the most egregious example of that that I recall was that the publicist told me that one day…we’d been out the day before and we were doing a shot where we sent two cameras up on a mast of the trimaran and we wanted to do a shot where they tilled down from the horizon down to the deck below. We’re out there, we’re anchored, we’re setting the shot up and a swell comes in, and I look over and the mast is sort of bending.
And I turned to the boatmaster and I said, “Bruno, is this safe?”. And he looks up the mast and he goes, “No”. So I said, “Okay, well, we have to get out as I can’t have two guys fall off from 40 feet up”. So, we had to break out of the set-up, and go back in a shoot something else and we lost another half-day.
Anyway, the next day the publicist is sitting in his office and he gets this call from some journalist in the States and he goes, “Okay. Don’t lie to me – I’ve had this confirmed from two different people. I want the facts, and I want to hear about the accident yesterday, we had two cameramen fall off the mast and were killed”.
And, he goes, “What are you talking about?”. And he goes, “Don’t lie to me, don’t cover this up, we know this has happened”. It didn’t happen! People were so hungry for bad news because it was much more exciting than…they just said it, and you know, it hurt us.”
Upon release, the press seemed to be disappointed that the film wasn’t the massive failure they were hoping it to be. Universal Studios told Kevin Reynolds that one critic came out of an early screening in New York and in a disappointed tone said,
“Well, it didn’t suck.”
It is true that during principle photography the slave colony set sank and had to be retrieved. However due to bad press, the rumour became much bigger and to this day when you mention the sinking set, most people assume it was the huge atoll.
During production, press nicknamed the film “Kevin’s Gate” and “Fishtar”, referring to 1980’s box office failures Heaven’s Gate and Ishtar. Heaven’s Gate failed so badly it led to the sale of United Artists Studio and has become synonymous with failure in Hollywood.
As well as the exaggerated set problems and other various production rumours, there were also difficulties with the script. In a risky move, the film was green lit and moved into production without a finalised script.
The final total is a reportedly thirty-six rewrites. One of the writers involved was Joss Whedon. Joss had worked on many scripts before becoming a director having being at the helm of both The Avengers and the sequel Avengers: Age Of Ultron. He described his experience on Waterworld as,
“Seven weeks of hell”
Everything came to a head just three weeks before the end of principle photography. Kevin Reynolds who was an old friend of Kevin Costner allegedly walked off set or was fired. There was no official statement on what happened.
When Reynolds left the production this event caused many changes to be made. Composer Mark Isham had already composed approximately two-thirds of the film’s score by the time Reynolds left and that event ultimately caused him to leave production. As Mark describes in this interview excerpt,
“Kevin Reynolds quit the film, which left me working for Kevin Costner, who listened to what I had written and wanted a completely different point of view. He basically made a completely different film — he re-cut the entire film, and in his meeting with me he expressed that he wanted a completely different approach to the score. And I said, “oh let me demonstrate that I can give that to you”, so I presented him with a demo of my approach to his approach, and he rejected that and fired me. What I find a lot in these big films, because the production schedules are so insane, that the directors have very little time to actually concentrate on the music.”
Rumours report that Costner took control of production. He directed the last few weeks of principle photography and edited the final cut of the film that was released in cinemas.
Reynolds discusses his surprise at discovering that one of the most famous scenes from what is known as the extended version, was left on the cutting room floor,
“…it would have differed from what you saw on the screen to some extent, and one of the things I’ve always been perplexed by in the version that was released, theatrically, although subsequently the longer version included it, and the reason that I did the film, was that at the very end of the picture, at the very end of the script, there’s a scene when they finally reach dry land and The Mariner’s sailing off and he leaves the two women behind, and in the script they’re standing up on this high point and they’re watching him sail away, and the little girl stumbles on something.
And they look down and clear the grass away and that’s this plaque. And it says, “Here, near this spot, 1953, Tenzing Norgay and Edmund Hillary first set foot on the summit of Everest”. And that was in script and I was like, “Oh, of course! Wow, the highest point on the planet! That would have been dry land!”. And we got it! We shot that. And they left it out of the picture. And I’m like, “Whaaat?!”. It’s like the Statue of Liberty moment in Planet of the Apes. And I was like, “Why would you leave that out?”
Written by John Abbitt | Follow John on twitter @UKFilmNerd
If any the crew cares to share any of their experiences on it please comment.
Thanks for reading
If you want more deep dives visit
https://www.facebook.com/groups/crewstories/?ref=share
the world of interiors 在 C CHANNEL Youtube 的最佳貼文
女子動画ならC CHANNEL http://www.cchan.tv
ここは隠れ家的なShida roadの近くにあって1920年代スタイルの可愛いカフェ。インテリアや装飾は洗練された時間へタイムトラベルしたかのようです。街で一番のコーヒーも試せたり、厳選されたウィスキーや自家製のデザートまで食べれちゃいます。今回、私は美味しいここのコーヒーを使ったティラミスをオーダー!台湾茶との相性抜群です!もし、過去の時間にタイムバックしたいのならここがおすすめです!
ハニーブラックティー(ポット):250台湾ドル(約925円), ティラミス:130台湾ドル(約481円)
*1台湾ドル=約3.7円換算による
Like a jewel hidden near Shida road, Chamber cafe is a lovely 1920’s style cafe. The interiors and detailed decorations make you travel to a sophisticated time. Here they brew some of the best coffees in town, but they also offer the best brands of whiskey and homemade desserts.
Today I tried a delicious tiramisu, made with their coffee and accompanied by a Taiwanese tea.
I really recommend this place if you want to experience amazing forgotten times!
Honey black tea (pot): 250NT
Tiramisu: 130Nt
Chamber Cafe 秘氏咖啡
https://www.facebook.com/cafechamber
台北市大安區浦城街四巷三十號
TEL:+886 2 8369 1012
C CHANNEL【台湾最新情報】1920年代にタイムスリップ!台北にあるChamber cafe Sita
https://youtu.be/kycIgNWyQDc
C CHANNEL 【台湾最新情報】Addictionで台北のシーフードを思う存分味わおう! C CHANNEL World
https://youtu.be/mPup1oj51l8
C CHANNEL【台湾最新情報】ソーシャルイノベーションカフェHUN!! Sita
https://youtu.be/YgzqU9ZQIF0
C CHANNEL 【台湾最新情報】Addictionで台北のシーフードを思う存分味わおう! C CHANNEL World
https://youtu.be/mPup1oj51l8
C CHANNEL 【台湾最新情報】ドンメン地区にある通なカフェYaboo☆ C CHANNEL World
https://youtu.be/7vQZalkwB6M
C CHANNEL 【台湾最新情報】グルテンフリー、ヘルシースイーツをTredium Shimで♪ C CHANNEL World
https://youtu.be/Wa0J9Sr-kXM
C CHANNEL 【台湾最新情報】台湾の中心にある国際的アーティストヴィレッジ C CHANNEL WORLD
https://youtu.be/xgqEMczP2pw
C CHANNEL【台湾最新情報】つかの間の休憩でリラックスティーとデザートを C CHANNEL World
http://youtu.be/3W_A6nQAQJM
C CHANNEL【台湾最新情報】動物実験抜き!地球にも身体にも優しいヘルシーフード
http://youtu.be/Lvg64xqozhk
C CHANNEL【台湾最新情報】絶品!サクッ!しっとりなダッチワッフルC CHANNEL World
http://youtu.be/0eQG8AMGDwU
C CHANNEL 【台湾最新情報】端午節(ドラゴンボートフェスティバル)でちまきを!C CHANNEL World
http://youtu.be/bazpNV84TNQ