Bluebeard (2017)
เหมือนเป็นส่วนผสมของหนังทริลเลอร์แนวตัวละครพารานอยด์ยุค 60-70's ผสมกับหนังฆาตกรรมต้นยุค 2000's ที่พยายามทำหนังจิตวิทยาให้มีไคลแม็กซ์ช่วงท้ายอีกขั้นหนึ่ง ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงค่อนข้างลงตัวด้วยสไตล์ตัวละครวิตกจริต เล่าเรื่องช้า ๆ ค่อย ๆ ปล่อยให้เรื่องราวอึมครึมขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางสถานการณ์ที่มีฆาตกรต่อเนื่องยังคงลอยนวลอยู่ โดยหนังเล่าถึง 'หมอซองฮุน' (โจ จินวูง) ได้ย้ายมาทำงานในคลินิกชนบท แล้วเขาก็ได้ยินความลับบางอย่างจากเจ้าของร้านขายเนื้อว่าน่าจะเป็นฆาตกรฆ่าหั่นศพ และเมื่อเขาลองสังเกตร้านขายเนื้อบ่อย ๆ ก็พบความผิดปกติที่อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าของร้านแห่งนี้อาจจะเป็นฆาตกรที่ตำรวจกำลังตามตัวอยู่
.
ชอบการแสดงของโจ จินวูงมาก ๆ น่าจะเป็นหนังที่เขาได้ปล่อยของที่สุดอีกเรื่องหนึ่งเลย ตัวละครมันมีเลเวลความเป็นหมอปกติธรรมดาและช่วงที่เริ่มวิตกจริตหวาดระแวงไปทั่ว ยิ่งสไตล์การเล่าเรื่องเน้นเปิดวาร์ปข้ามเวลาบ่อยมาก อารมณ์เหมือนคนเมาค้างแล้วตื่นขึ้นมารู้ตัวอีกทีก็พบว่าช่วงเวลามันขาดหายไป ซึ่งเป็นเทคนิคตัดต่อที่หนังใช้สร้างความคลุมเครือและความสับสนต่อเรื่องราว ไม่ต่างอะไรจากที่ตัวละครพบเจอ ทำให้หนังมันสามารถออกได้ทั้งสองหน้าคือหมอหลอนไปเองหรือว่าคนขายเนื้ออาจจะเป็นฆาตกรจริง ๆ เพราะพฤติกรรมของทั้งสองฝ่ายมันมีความแปลกพิรุธอยู่ในตัวพอ ๆ กัน รูปแบบนี้นิยมใช้ในหนังทริลเลอร์ยุค 60-70s อย่างเช่น Mirage (1965), The Parallax View (1974), Three Days of the Condor (1975), The Conversation (1974) ที่ทำให้คนดูไขว้เขวพอสมควร แต่ใน Bluebeard นั้นหยิบมาใช้ในหนังฆาตกรต่อเนื่องแบบที่เกาหลีใต้นิยมสร้างเพื่อให้เกิดความรู้สึกแตกต่างจากเดิม
.
โดยรวมแล้ว Bluebeard ถือเป็นอีกหนึ่งหนังทริลเลอร์น้ำดีจากเกาหลีใต้ จังหวะการเฉลยของหนังก็สะท้อนให้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งการคาดเดาเพื่อกล่าวหาคนอื่น, การปกปิดความผิดตัวเองด้วยการเล่าความจริงไม่หมด, ความชั่วร้ายของมนุษย์ที่ซ่อนอยู่, การเลือกจะเชื่อแค่สิ่งที่ตัวเองต้องการได้ยิน ทั้งหมดอาจเป็นส่วนที่ทำให้การปิดคดีฆาตกรรมเป็นไปได้ยากเพราะทุกคนล้วนมีความบกพร่อง ตัวละครในเรื่องนอกเหนือจากหมอซองฮุนจึงมีความน่าสนใจกันหมดทุกคน และปมของหมอซองฮุนเองก็แบกหนังเอาไว้ได้เป็นอย่างดี เป็นการเล่าเชิงจิตวิทยาที่ควรค่าแก่การรับชม
Director: Soo-youn Lee
screenplay: Soo-youn Lee
Genre: thriller, mystery
7.5/10
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「three days of the condor」的推薦目錄:
three days of the condor 在 หนังโปรดของข้าพเจ้า Facebook 的最讚貼文
Unlocked (2017)
ถือเป็นหนังแนว CIA ที่พล็อตเรื่องจำเจมาก แต่ความจำเจของมันถูกทดแทนด้วยภารกิจที่ดูน่าเชื่อถือกว่าหนังประเภทเดียวกันหลาย ๆ เรื่อง อันนี้ต้องชมเบื้องหลังการเขียนบทว่าคิดถูกแล้วที่อาศัยความช่วยเหลือด้านเทคนิคจากทั้ง CIA, FBI แล้วก็หน่วย SEAL ซึ่งมันช่วยให้พล็อตหนังแนวทฤษฎีสมคบคิดดูสนุกและจริงขึ้นมาเยอะมาก อาจจะต้องชมแรงบันดาลใจจากหนังสืบสวนการเมืองยุค 70's แบบ Three Days of the Condor ด้วย เพราะพล็อตเรื่องถอดแบบมาเป๊ะ ๆ คือพูดถึงเรื่องหน่วยงานรัฐบาลถูกแทรกแซง, เป็นโลกของความหวาดระแวงภัยก่อการร้าย, การวางแผนสุดฉลาด, ความไว้วางใจ และสุดท้ายคือเรื่องราวนอกแผนการที่คาดไม่ถึงซึ่งใน Unlocked อาศัยโครงเรื่องดังกล่าวมาเล่าเรื่องในยุคสมัยใหม่ได้สนุกมาก ที่สำคัญคือการไม่บ้าขายแอ็คชั่นจนดูเป็นหนั๊งหนังเนี่ยแหละ ประมาณว่าถ้าจำเป็นก็ต้องใส่ฉากแอ็คชั่นแต่ไม่ได้หยิบมาขายเป็นแนววินาศสันตะโรเหมือนพวกเจสัน บอร์นหรือเจมส์ บอนด์
.
'อลิซ' (Noomi Rapace) เป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่ถอนตัวออกมาทำงานเรียบง่ายเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยในอังกฤษ แม้หัวหน้าหน่วยอย่าง 'อีริค' (Michael Douglas) จะอยากดึงเธอกลับมาร่วมงานด้วยก็ตาม จนกระทั่งภารกิจครั้งใหม่ของซีไอเอได้จับกุมตัวคนส่งสาส์นของกลุ่มก่อการร้ายมาได้ พวกเขาจึงต้องการคนสอบปากคำฝีมือดี คำสั่งจึงถูกส่งตรงมายังอลิซให้กลับมาช่วยงานอีกครั้ง ซึ่งได้กลายเป็นงานสุดหินของเธอทันที
.
เล่าเยอะไม่ได้เดี๋ยวจะสปอยล์ เอาเป็นว่า Unlocked มีจุดพลิกผันเยอะมาก บางครั้งจุดพลิกผันเกิดจากการใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กน้อยของคนเขียนบทในการเล่าเรื่องจากสายตาตัวละครอื่นเพื่อเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือก่อนจะบิดมันอย่างแรงด้วยมุมมองจากสายตาของอลิซที่เป็นตัวละครเอก เราชอบโลกในหนังตรงที่ทุกสิ่งอย่างมันดูไม่น่าไว้วางใจไปหมด ถึงแม้จะตัวเทคนิคการเล่าเรื่องต่าง ๆ จะพูดได้เต็มปากว่าจำเจเคยเห็นมาจากเรื่องอื่นหมดแล้ว เผลอ ๆ แทบจะถอดแบบมาเหมือน ๆ กันหมดด้วย แต่ Unlocked ก็ยังทำให้สิ่งคุ้นตาเหล่านั้นเป็นเรื่องสนุก เป็นเรื่องว้าวเพราะการเก็บความลับที่ดีของหนัง และการไม่ทำตัวโอเว่อร์เกินเหตุแต่พยายามทำสถานการณ์ให้ดูติดดินใกล้ความเป็นจริงมากที่สุดก็ช่วยให้หนังดูแตกต่างขึ้นมาได้ อาจจะไม่ใช่หนังที่ดีเลิศแต่มั่นใจได้อย่างหนึ่งว่าสนุกและห่างไกลจากคำว่าห่วยแน่นอน
Director: Michael Apted (ผู้กำกับ James Bond: The World Is Not Enough)
screenplay: Peter O'Brien
Genre: action, thriller, mystery
7/10