เส้นทาง Moderna บริษัทขาดทุนมาทุกปี แต่ปีนี้กำไรแสนล้าน /โดย ลงทุนแมน
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า Moderna ถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตวัคซีนโควิด 19 ที่กำลังเป็นที่ต้องการของคนทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ก็คือบริษัท Moderna เพิ่งก่อตั้งธุรกิจขึ้นมาในปี 2010 หรือราว 11 ปีก่อน เริ่มต้นจากการเป็นสตาร์ตอัป แต่ปัจจุบัน ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัท ที่มีมูลค่า 5 ล้านล้านบาท
แล้ว Moderna มีความเป็นมาอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
จริง ๆ แล้ว Moderna เป็นบริษัทผลิตยาสัญชาติอเมริกัน ถูกก่อตั้งขึ้นในรัฐแมสซาชูเซตส์
ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 2010 โดยมีผู้ก่อตั้งก็คือ Derrick Rossi นักชีววิทยาชาวแคนาดา
Derrick Rossi คือผู้ที่ได้พัฒนาวิธีการดัดแปลงเทคโนโลยี mRNA
ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนรูปแบบใหม่
โดยการผลิตวัคซีน mRNA นั้น จะมีจุดเด่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น
- ใช้เวลาในการผลิตน้อยกว่าวัคซีนทั่วไป
- สามารถรองรับการผลิตวัคซีนได้ในปริมาณมาก
- สามารถปรับปรุงวัคซีนเพื่อรองรับไวรัสสายพันธุ์ใหม่ได้ง่ายกว่าเมื่อเทียบกับการผลิตวัคซีนแบบเดิม
หลังจากเริ่มพัฒนาวิธีการดัดแปลงเทคโนโลยี mRNA ไปได้สักพัก Derrick Rossi ได้ไปชวนผู้เชี่ยวชาญอีก 4 คน ซึ่งก็มีทั้งอาจารย์ที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัย Harvard และ MIT แพทย์ รวมถึงนักลงทุน เพื่อมาก่อตั้งบริษัทที่ทำธุรกิจพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ
โดยชื่อ “Moderna” นั้น ก็มาจากการดัดแปลงคำศัพท์ “Modified” และ “RNA”
กลายมาเป็น “ModeRNA Therapeutics” นั่นเอง
Rossi และกลุ่มผู้ก่อตั้งใช้เวลาเพียง 2 ปีในการดำเนินธุรกิจและนำ Moderna ให้เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
จนได้รับเงินระดมทุนจนมีมูลค่าการประเมินทะลุระดับ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.4 หมื่นล้านบาท ขึ้นแท่นเป็นสตาร์ตอัปยูนิคอร์น หลังจากก่อตั้งบริษัทขึ้นมาเพียงไม่กี่ปี
แต่ในช่วงเวลานั้น หลายฝ่ายยังไม่เชื่อว่า Moderna จะประสบความสำเร็จ เพราะว่าบริษัทมีเพียงงานวิจัยพัฒนา ยังไม่ได้ผลิตสินค้าใด ๆ ออกสู่ตลาดเลย
นอกจากนี้ ด้วยความที่ Moderna ในตอนนั้นยังคงเป็นเพียงธุรกิจสตาร์ตอัป ทำให้การเข้าถึงแหล่งเงินทุน จึงทำได้ยาก เพราะนักลงทุนลังเลที่จะให้เงินระดมทุนเนื่องจากความเสี่ยงที่ธุรกิจจะล้มเหลวนั้นมีอยู่สูง
แต่แล้ว Moderna ก็ได้พบกับจุดเปลี่ยนสำคัญ ซึ่งก็ได้เกิดขึ้นในปี 2013
เพราะ “AstraZeneca” บริษัทยาสัญชาติอังกฤษได้สนใจในธุรกิจของ Moderna
และได้เข้าร่วมให้เงินระดมทุน คิดเป็นมูลค่าราว 8 พันล้านบาท เพื่อให้บริษัทนำไปใช้ในการวิจัย พัฒนาเทคโนโลยี mRNA เพื่อใช้ในการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเมตาบอลิซึม หรือก็คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของกระบวนการเผาผลาญอาหาร เช่น โรคไตและโรคมะเร็ง
จนกระทั่งในปี 2018 Moderna ก็ได้จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq โดยมีชื่อหุ้นว่า “MRNA” ซึ่งการระดมทุนของ Moderna ถือเป็นการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) สำหรับบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพที่มีมูลค่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์
โดยมูลค่าบริษัท Moderna ณ ราคา IPO มีมูลค่าประมาณ 2.5 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ Moderna เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
บริษัทแห่งนี้ยังคงขาดทุนมาโดยตลอด จนถึงในปี 2020 ที่ผ่านมา
ในช่วงระหว่างปี 2018 ถึง 2020 บริษัทขาดทุนรวมกันกว่า 55,500 ล้านบาท
ซึ่งเรื่องดังกล่าวทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยพากันถอดใจ
แต่ด้วยความที่ Moderna เป็นบริษัทที่ลงทุนมหาศาลในการวิจัยพัฒนาวัคซีน mRNA นั่นจึงทำให้การระบาดของโควิด 19 ที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีใครคาดคิด ก็ได้กลายเป็นจุดพลิกผันของบริษัทแห่งนี้ไปโดยปริยาย
เรามาดูผลประกอบการของ Moderna, Inc.
ปี 2018 รายได้ 2,000 ล้านบาท ขาดทุน 13,500 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 2,000 ล้านบาท ขาดทุน 17,000 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 27,000 ล้านบาท ขาดทุน 25,000 ล้านบาท
6 เดือนแรก ปี 2021 รายได้ 211,000 ล้านบาท กำไร 134,000 ล้านบาท
เรียกได้ว่าบริษัทมีผลขาดทุนทุกปี แต่เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้น ก็ทำให้บริษัทได้กำไรปีนี้หลักแสนล้านบาท
โดย 6 เดือนแรกของปี 2021 นี้ยอดขายของ Moderna มาจาก
- ประเทศสหรัฐอเมริกา 59%
- นอกประเทศสหรัฐอเมริกา 41%
ในขณะเดียวกัน Moderna มีการส่งมอบวัคซีนไปแล้วทั้งหมด 301 ล้านโดส ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ Moderna ได้รับออร์เดอร์จองสั่งซื้อวัคซีนล่วงหน้าจากรัฐบาลหลายประเทศ ผ่าน Advance Purchase Agreements (APAs) ในปี 2022 ไปแล้ว โดยมีมูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาท
จากผลประกอบการที่เติบโตในช่วงที่ผ่านมาและแนวโน้มผลประกอบการในอนาคตที่คาดว่าจะยังเติบโตได้อีก จึงทำให้นักลงทุนหลายรายต่างพากันเข้าซื้อหุ้นของ Moderna ในช่วงที่ผ่านมา
ส่งผลให้มูลค่าบริษัทของ Moderna นั้น เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
จากมูลค่าบริษัท ณ วันที่ IPO ที่ 2.5 แสนล้านบาท
มาวันนี้มูลค่าของ Moderna เพิ่มมาอยู่ที่ 5 ล้านล้านบาท
มูลค่าเพิ่มขึ้น คิดเป็น 20 เท่า เมื่อเทียบกับมูลค่า ณ วันที่ IPO
จากเรื่องราวของ Moderna ในมุมมองของการลงทุน หลายคนก็น่าจะสรุปเหตุการณ์นี้ไม่ต่างอะไรไปจากการถูกแจ็กพอต
แต่ถ้าให้มองย้อนกลับไป แน่นอนว่าคนภายนอก คงมีไม่กี่คนที่รู้ว่า ในอนาคตเทคโนโลยีที่บริษัทกำลังวิจัยและพัฒนา จะก้าวขึ้นมาเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่กำลังรักษาผู้ป่วยทั่วโลกอยู่ ณ ตอนนี้
แต่ในมุมของบริษัท Moderna พวกเขาคงมั่นใจอยู่เสมอและตลอดมาว่า
เทคโนโลยี mRNA จะกลายมาเป็นเทคโนโลยีที่โลกต้องการ
จนปัจจุบัน Moderna ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า โลกต้องการเทคโนโลยีของพวกเขาจริง ๆ..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://finance.yahoo.com/quote/MRNA/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Moderna
-https://www.businessinsider.com/biotech-moderna-prices-initial-public-offering-2018-12
-https://medika.life/ten-facts-you-didnt-know-about-moderna-and-their-mrna-vaccine/
-https://investors.modernatx.com/static-files/c43de312-8273-4394-9a58-a7fc7d5ed098
vaccine wiki 在 มติพล ตั้งมติธรรม Facebook 的最佳貼文
บิดาแห่ง Antivaxxers - นักวิจัยผู้บิดเบือนผลการทดลองวัคซีนเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
โรคหัดเคยเป็นโรคหนึ่งที่คร่าชีวิตเด็กทั่วโลกไปกว่าปีละ 2.6 ล้านคน จนกระทั่งเริ่มมีการผลิตวัคซีน MMR หรือ หัด คางทูม หัดเยอรมัน ขึ้นมาในปี 1971 โดยใช้ไวรัสมีชีวิตจากไวรัสที่ทำให้ก่อโรคทั้งสาม ทำให้อ่อนกำลังลง ปัจจุบัน วัคซีน MMR นี้เป็นวัคซีนหลักที่กว่า 100 ประเทศทั่วโลกฉีดให้เด็กกว่า 100 ล้านคนทุกปี ส่งผลทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลงเหลือเพียง 122,000 คน ในปี 2012 ซึ่งส่วนมากเกิดขึ้นในประเทศด้อยพัฒนา
แต่ในปี 1998 งานวิจัยที่นำโดย Andrew Wakefield ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสาร The Lancet พร้อมทั้งได้ออกแถลงข่าวผลงานวิจัย ที่ได้ศึกษาเด็ก 12 คนที่มีอาการของ autism และได้ตรวจพบอาการใหม่ในเด็ก 8 จาก 12 คน ที่เรียกว่า “autistic enterocolitis” ที่ทีมนักวิจัยอ้างว่าเกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีน และมีความเชื่อมโยงระหว่างโรคในระบบทางเดินอาหารที่พบกับการพัฒนาการที่นำไปสู่โรคออทิซึ่ม ในการแถลงข่าวนี้ Wakefield จึงได้เรียกร้องให้มีการหยุดให้ MMR vaccine โดยสิ้นเชิง จนกว่าผลกระทบจะได้รับการศึกษาอย่างถี่ถ้วน และทดแทนด้วยการฉีดวัคซีนแยกชนิดกันแทน
ซึ่งผลของงานวิจัยนี้แน่นอนว่าสร้างความสะท้านไปทั่วโลก เนื่องจากวัคซีน MMR เป็นวัคซีนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากไปแล้วในปัจจุบัน และการค้นพบความเชื่อมโยงของผลเสียของวัคซีนต่อพัฒนาการของเด็ก ที่นำไปสู่โรคออทิซึ่มนั่น แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก จึงได้รับความสนใจเป็นอย่างมากต่อสื่อทั่วโลก
แต่… ในเวลาที่ตามมา ความไม่ชอบมาพากลหลายๆ อย่างเกี่ยวกับ “งานวิจัย” นี้ ก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาให้เห็น นักข่าว Brian Deer ได้ไปขุดพบเอกสารที่บ่งชี้ว่า Wakefield ได้มีการยื่นขอสิทธิบัตรในการทำวัคซีนแยกเข็มเดี่ยว ก่อนที่จะมีการทำงานวิจัยที่เรียกร้องให้มีการยกเลิกเข็มรวมไปแยกเป็นเข็มเดี่ยว รวมไปถึงแผนที่จะหากำไรจากการผลิตเครื่องตรวจออทิซึ่มที่อาจทำเงินได้ถึง $43 ล้านต่อปี มีการเปิดเผยให้เห็นว่าก่อนจะเกิดการทดลองนี้ขึ้น ผู้ปกครองของเด็กทั้ง 12 คนนี้กำลังติดต่อกับทนายความเพื่อที่จะดำเนินคดีต่อผู้ผลิตวัคซีน และได้มอบเงิน 55,000 ปอนด์แก่รพ. เพื่อทำงานวิจัยชิ้นนี้ นอกจากนี้ตัว Wakefield เองยังได้รับเงินกว่า 400,000 ปอนด์จากเหล่าทนายที่กำลังเตรียมคดีฟ้องผู้ผลิตวัคซีน MMR ซึ่งในกรณีนี้ในทางวิชาการนั้นจัดว่าเข้าข่าย “มีผลประโยชน์ทับซ้อน” (Conflict of Interest) ที่ Wakefield ไม่ได้แจ้งไว้แต่ในภายแรก
แม้ว่าจะไม่ถึงกับห้ามทำงานวิจัยเมื่อมีผลประโยชน์ทับซ้อนเสียทีเดียว แต่การไม่แจ้ง Conflict of Interest นั้นนับเป็น Research Misconduct ที่ค่อนข้างร้ายแรง แน่นอนว่าการมีผลประโยชน์ทับซ้อนนั้นส่งผลเป็นอย่างยิ่งต่อความเป็นกลางของผู้ทำการทดลอง ซึ่งหากผู้รีวิวได้รับรู้ถึง Conflict of Interest ล่วงหน้า และเป็นที่แน่ชัดว่าผู้ทำวิจัยนั้นได้รับผลประโยชน์บางอย่างหากผลงานวิจัยจะออกไปในทางใดทางหนึ่ง เจตนารมณ์และความเป็นกลางของผู้วิจัยย่อมจะต้องถูกนำมาตั้งคำถาม และตัวงานวิจัยจะต้องถูกพิจารณาอย่างถี่ถ้วนยิ่งขึ้น เช่นเดียวกัน ในโลกปัจจุบันผู้ผลิตวัคซีนแต่ละชนิดนั้นเป็นผู้ที่จะต้องทำงานวิจัยเพื่อยืนยันผลด้วยตัวเอง ซึ่งฝ่าย reviewer ก็จะคาดหวังมาตรฐานที่สูงกว่าเพื่อแสดงให้เห็นว่าในทุกขั้นตอนการวิจัยนั้นไม่ได้มีการ “ตุกติก” หรือแก้ผลเพื่อให้เป็นไปตามที่ต้องการ
สำหรับวารสาร Lancet นั้น ตัว editor-in-chief เองก็ได้ออกมาบอกในภายหลังว่า งานวิจัยของ Wakefield นั้นมีจุดบกพร่องเป็นอย่างมาก และหากเหล่า peer reviewer ได้แจ้งถึง Conflict of Interest อย่างชัดเจนแต่แรกแล้ว น่าจะไม่มีทางที่งานวิจัยนี้จะได้รับการรับรองแต่แรก
นอกไปจากนี้ Wakefield ได้ทำการเปิดแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชน ตั้งแต่ก่อนที่งานวิจัยจะได้รับการตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ ซึ่งในทางการวิจัยแล้วจัดเป็น “Science by press conference” (การทำงานวิจัยผ่านการแถลงข่าว) ซึ่งขัดต่อหลักการงานวิจัยที่ควรจะเป็น นั่นคือนักวิจัยควรจะมีหน้าที่ได้รับการยอมรับและติติงและยืนยันผลจากนักวิจัยด้วยกันก่อนที่จะนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณชน เพราะงานวิจัยนั้นควรจะทำไปเพื่อหาความจริง ไม่ใช่เพื่อชื่อเสียง และเมื่อพิจารณาจาก Conflict of Interest ของ Wakefield ที่กล่าวเอาไว้ล่วงหน้าแล้วนั้นก็ยิ่งทำให้อดตั้งคำถามถึงแรงจูงใจที่แท้จริงของผู้วิจัยไม่ได้
แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ งานวิจัยที่ผู้อื่นพยายามทำต่อมาในเบื้องหลังนั้น ไม่ได้ค้นพบผลที่ยืนยันการค้นพบเดิมของ Wakefield แต่อย่างใด ในปี 2005 BBC ได้อ้างอิงถึงงานวิจัยหนึ่งที่ได้ทดลองตรวจเลือดเด็กที่มีอาการออทิซึ่ม 100 คน และ 200 คนที่ไม่มีอาการ และพบว่ากว่า 99% นั้นไม่ได้มีเชื้อโรคหัดเท่าๆ กันทั้งสองกลุ่ม Institute of Medicine (IOM), United States National Academy of Sciences, CDC, UK National Health Service ต่างก็ไม่พบความเชื่อมโยงใดๆ ทั้งสิ้นระหว่างโรคออทิซึ่มและ MMR ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีการฉีดวัคซีนสามอย่างนี้แยกจากกัน ก็ไม่ได้พบว่ามีอัตราการเกิดออทิซึ่มแตกต่างจากประเทศอื่นที่ใช้ MMR รวมกันแต่อย่างใด นอกไปจากนี้ รีวิวต่างๆ ในวารสารงานวิจัยทางการแพทย์ก็ไม่เคยพบความเชื่อมโยงระหว่างวัคซีนกับออทิซึ่ม หรือแม้กระทั่งโรคระบบทางเดินอาหาร และก็ไม่เคยมีใครค้นพบ “autistic enterocolitis” ที่ Wakefield อ้างอิงถึงในงานวิจัยแต่อย่างใด
ผลสุดท้าย UK General Medical Council (แพทยสภาของอังกฤษ) ก็ได้เปิดการไต่สวน และได้ตัดสินว่า Andrew Wakefield ได้ทำความผิดร้ายแรง ฐานไม่สุจริต 4 กระทง ใช้ประโยชน์จากเด็กที่มีพัฒนาการต่ำ 12 กระทง ทำการทดลองที่ไม่จำเป็นและไร้ความรับผิดชอบต่อเด็กในการทดลอง การทดลองไม่ได้ผ่านบอร์ดคณะกรรมการจริยธรรม และไม่ยอมเปิดเผยถึงผลประโยชน์ทับซ้อน และ GMC ได้ระบุว่า Wakefield นั้น “ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงต่อความรับผิดชอบในหน้าที่ของแพทย์ผู้ให้คำปรึกษา” จึงได้ถอด Andrew Wakefield ออกจากทะเบียนแพทย์ และยึดใบประกอบโรคศิลป์ในประเทศอังกฤษ
ส่วนตัววารสาร Lancet เองก็ได้ยื่น full retraction ถอดถอนงานวิจัยนี้ออกไป โดยตัว co author 10 จาก 12 คนในงานวิจัยนี้ก็ได้ออกมายื่นขอ retract เช่นเดียวกัน โดยกล่าวว่าแม้การค้นพบจะตั้งคำถามที่น่าสนใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน แต่ตัวงานวิจัยนั้นไม่สามารถยืนยันถึงความเชื่อมโยงระหว่างปัจจัยทั้งสองได้แต่อย่างใด
แต่แม้ว่างานวิจัยจะถูกถอดถอน ผู้ทำวิจัยจะถูกปลดจากวิชาชีพไปแล้ว แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากงานวิจัยลวงโลกนี้ก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว มีการประเมินว่างานวิจัยที่ตีพิมพ์โดย Lancet นี้ อาจจะเป็น “ข่าวลวงโลกที่ร้ายแรงที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20” เพราะนับแต่นั้นมา ทั้งในอังกฤษและไอร์แลนด์ต่างก็พบว่ามีผู้ปกครองที่ปฏิเสธวัคซีนเพิ่มมากขึ้น จนโรคหัดและคางทูมเริ่มกลับมาระบาดอีกครั้งหนึ่งในหมู่ผู้ที่ปฏิเสธวัคซีน และกระแส Anti-vaccine หรือที่เราเรียกกันว่า “Antivaxxers” ก็เริ่มจุดติดนับแต่นั้นเป็นต้นมา และหนึ่งในข้อกล่าวอ้างของผู้ที่ปฏิเสธวัคซีนที่แพร่หลายมากที่สุดก็คือ “วัคซีนทำให้เกิดโรคออทิซึ่ม” ซึ่งก็เริ่มต้นมาจากงานวิจัยลวงโลกของ Andrew Wakefield นี้นั่นเอง จนในทุกวันนี้ ชาวอเมริกันจำนวนมากที่สามารถเข้าถึงวัคซีน mRNA ใหม่ที่ป้องกันโควิด-19 กลับปฏิเสธที่จะรับวัคซีนฟรีจากความกลัววัคซีน ที่ Andrew Wakefield เป็นผู้ก่อ
ส่วนเจ้าตัวก่อเรื่องเองนั้น… แน่นอนว่าเขาก็ยังคงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยยังยืนยันผลเดิมว่าวัคซีนทำให้เกิดโรคออทิซึ่ม และเขาเองนั้นไม่ได้มีผลประโยชน์ทับซ้อนใดๆ ทั้งสิ้น แต่เขาต้องเป็นจำเลยของสังคม เขามีปากเสียงกับ Brian Deer นักข่าวผู้เปิดโปงและแฉเขาอยู่บ่อยๆ ซึ่ง Deer ก็ได้ออกมาตอบโต้ว่า “ถ้าคิดว่าไม่จริงก็ฟ้องมาสิ มาพิสูจน์กันเลย แล้วถ้าผมโกหกคุณก็จะกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในอเมริกา” ซึ่งที่ผ่านมา Wakefield ก็ได้ถอนการฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาทไปทุกกรณี และ Brian Deer ก็ได้รับรางวัลเป็น UK's specialist journalist of the year ใน the British Press Awards จากกรณีเปิดโปง Wakefield นี้
ปัจจุบัน Andrew Wakefield ได้ย้ายไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเหล่าสาวก Antivaxxer อยู่จนถึงทุกวันนี้ เป็นหนึ่งในแกนนำที่คอยเรียกร้องต่อต้านกม. ที่จะบังคับให้คนฉีดวัคซีนอยู่เสมอ รวมไปถึงเป็นผู้กำกับภาพยนต์สารคดีลวงโลกเรื่อง Vaxxed: From Cover-Up to Catastrophe และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ได้รับจากความโด่งดังอันเกิดจากงานวิจัยลวงโลกเช่นนี้อยู่ต่อไป
หมายเหตุ: ปัจจุบันไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ ทั้งสิ้น ที่สามารถเชื่อมโยงการเกิดโรคออทิซึ่ม กับการฉีดวัคซีน
อ้างอิง/อ่านเพิ่มเติม:
[1] https://en.wikipedia.org/wiki/MMR_vaccine
[2] https://en.wikipedia.org/wiki/Lancet_MMR_autism_fraud
[3] https://en.wikipedia.org/wiki/Andrew_Wakefield
vaccine wiki 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
รู้จัก FUBITAI วัคซีนจีน ที่ผลิตด้วย เทคโนโลยี mRNA /โดย ลงทุนแมน
ช่วงที่ผ่านมา วัคซีนแบบ mRNA ซึ่งเป็นวัคซีนที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ กำลังเป็นที่พูดถึงและเป็นที่ต้องการกันมากขึ้น
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะมีหลายการศึกษาที่ชี้ว่า วัคซีนแบบ mRNA มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์ใหม่ ๆ ได้ดีกว่า วัคซีนแบบเชื้อตาย (Inactive Virus Vaccine)
และหากเราพูดถึงวัคซีนจากจีน แน่นอนว่าหลายคนจะนึกถึง วัคซีนที่ผลิตจากเชื้อตายของไวรัส อย่างเช่น Sinovac ที่คนไทยรู้จักกันดี
แต่ถ้าถามว่า จีน มีวัคซีนที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี mRNA ไหม ?
คำตอบก็คือ “มี” ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ วัคซีนที่ชื่อว่า “FUBITAI” ที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงยังไม่เคยได้ยินชื่อวัคซีนตัวนี้
รายละเอียดของเรื่องนี้เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ถ้าให้แบ่งประเภทของวัคซีนคร่าว ๆ เราก็จะแบ่งได้เป็นหลายรูปแบบ คือ
แบบแรก คือวัคซีนที่ผลิตโดยอาศัยเทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่เรียกกันว่า mRNA
โดยวัคซีนประเภทนี้ เมื่อฉีดวัคซีนเข้าสู่ร่างกาย จะสั่งการให้เซลล์ร่างกายผลิตหนามโปรตีนที่ใกล้เคียงกับไวรัสขึ้นมา ตามข้อมูลสารพันธุกรรม mRNA ของเชื้อโควิด 19
และโปรตีนที่ผลิตในส่วนนี้เอง จะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกัน (Antigen) ให้ร่างกายรู้จักกับเชื้อโควิด 19 และสร้างภูมิคุ้มกัน (Antibody) เพื่อมาต่อสู้กับเชื้อไวรัส
โดยวัคซีนที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีแบบนี้ ก็อย่างเช่น Pfizer-BioNTech (หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า Pfizer) และ Moderna
แบบที่สอง คือวัคซีนที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีแบบเก่าหรือแบบดั้งเดิม โดยการอาศัยการนำเชื้อไวรัสมาเพาะเลี้ยงให้โต แล้วทำให้ตายด้วยอุณหภูมิสูง แล้วนำมาพัฒนาเป็นวัคซีน
วัคซีนในกลุ่มนี้ก็อย่างเช่น Sinovac ที่คนไทยคุ้นเคยกันดี
นอกจาก 2 ประเภทนี้แล้ว ก็ยังมีวัคซีนประเภทอื่นอีก เช่น วัคซีนชนิดใช้ไวรัสเป็นพาหะ (Viral Vector) คือตัดต่อสารพันธุกรรมที่จะสร้างเป็นโปรตีนหนามให้ไวรัสอีกชนิดเพื่อนำเข้าสู่ร่างกาย
วัคซีนในกลุ่มนี้ก็อย่างเช่น AstraZeneca
ซึ่งถ้าพูดถึงวัคซีนที่วิจัยและผลิตขึ้นในจีน เราก็จะรู้กันดีว่า วัคซีนหลัก ๆ อย่าง Sinovac และ Sinopharm นั้น อาศัยเทคโนโลยีใช้เชื้อตายมาพัฒนาเป็นวัคซีน
อย่างไรก็ตาม ช่วงกลางเดือนมีนาคม 2020 หลังโควิด 19 เริ่มระบาดหนัก
Fosun Pharma ซึ่งเป็นบริษัทยาอันดับต้น ๆ ของจีน ได้ร่วมทุนกับบริษัทไบโอเทคสัญชาติเยอรมันชื่อคุ้นหู อย่าง “BioNTech”
ซึ่ง BioNTech ก็คือ บริษัทที่ไปร่วมทุนวิจัยและผลิตวัคซีนป้องกันโควิด 19 กับบริษัท Pfizer จากสหรัฐอเมริกา จนกลายเป็นวัคซีน Pfizer-BioNTech หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่าวัคซีน Pfizer นั่นเอง
การร่วมทุนครั้งนี้ ใช้งบประมาณกว่า 4,300 ล้านบาท เพื่อทำการวิจัยผลิตวัคซีนต้านโควิด 19 แบบใช้เทคโนโลยีสารพันธุกรรม mRNA
สิ่งที่บริษัท Fosun Pharma ได้รับจากการลงทุนในครั้งนี้คือ วัคซีนชนิด mRNA ที่ผลิตโดย BioNTech ที่มีชื่อทางการว่า “BNT162b2” หรือชื่อภาษาจีนคือ “FUBITAI” จำนวนขั้นตํ่า 100 ล้านโดส
โดยได้มีการจัดสรรบางส่วนให้กับเกาะฮ่องกงไปแล้วเป็นการเร่งด่วน ในช่วงเดือนมีนาคม 2021
ที่น่าสนใจก็คือ Fosun Pharma จะสามารถทำการผลิตและจัดจำหน่ายวัคซีนในประเทศจีนได้ ภายในสิ้นปีนี้
โดยมีการตั้งโรงงานผลิตวัคซีนชนิดนี้ ที่เขตจินซาน ในนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งคาดว่าจะมีกำลังการผลิตมากกว่า 1,000 ล้านโดสต่อปี
ท่ามกลางสถานการณ์การกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด 19 ที่ส่งผลให้วัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีผลิตแบบอาศัยเชื้อตาย เริ่มอ่อนประสิทธิภาพลง
เรียกได้ว่า FUBITAI ก็ได้กลายเป็นหนึ่งวัคซีนความหวังของจีน ในการช่วยแก้ปัญหาการระบาดของโควิด 19 ในอนาคต
ทั้งนี้เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เกิดการระบาดของโควิด 19 ที่เมืองกวางโจว ซึ่งทางการจีนก็สันนิษฐานว่า อาจเป็นการระบาดของโควิด 19 สายพันธุ์เดลตา ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่จะส่งผลให้วัคซีนที่ผลิตด้วยเทคโนโลยีแบบเก่า อย่าง Sinovac และ Sinopharm ด้อยประสิทธิภาพลงไปมาก
ตั้งแต่ปลายปี 2020 ที่ผ่านมาทางรัฐบาลจีนใช้วัคซีน Sinopharm และ Sinovac ระดมฉีดให้กับคนในประเทศ โดยบริษัทที่ผลิตวัคซีนทั้งสองตัวมีกำลังการผลิตประมาณ 2,000 ล้านโดสต่อปี
ข้อมูลล่าสุดจาก Chinese National Health Commission ระบุว่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา จำนวนปัจจุบันของประชากรจีนที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว อยู่ที่ประมาณ 630 ล้านคน คิดเป็นประมาณ 45% ของจำนวนประชากรในประเทศ
และมีการวางแผนภายในปี 2021 จะต้องให้ประชากรจีนฉีดวัคซีนครบทั้งสองเข็ม ให้ได้มากกว่า 1,000 ล้านคน หรือมากกว่า 70% ของประชากร
และมีแผนต่อไปว่า ประชาชนจะได้รับวัคซีนแบบ mRNA จากโรงงานของ Fosun Pharma เป็นเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ต่อสู้กับเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์
สำหรับวัคซีนของ Sinovac และ Sinopharm นั้น
เมื่อคนจีนได้รับการฉีดจนมากเพียงพอแล้ว
จีนก็จะทยอยส่งออกไปให้กับประเทศต่าง ๆ ที่ยังขาดแคลนหรือมีความต้องการเพิ่มอย่างเร่งด่วน
ซึ่งก็จะถือเป็นเครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ในทางอ้อมด้วยนั่นเอง
ส่วน FUBITAI วัคซีนจีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ก็น่าสนใจติดตามต่อไปเหมือนกันว่า จะมีผลการทดสอบประสิทธิภาพออกมาชัด ๆ เป็นอย่างไร
และจะดีพอ ๆ กับ วัคซีน mRNA ชื่อดังอย่าง Pfizer หรือ Moderna หรือไม่..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.cna.com.tw/news/acn/202012160276.aspx
-https://beta.thestandnews.com/finance/復星醫藥擬與-biontech-組合資公司-大陸設廠生產武肺疫苗
-https://m.yicai.com/news/100961786.html
-https://www.moneydj.com/kmdj/wiki/wikiviewer.aspx?keyid=1753a32f-27dd-40e1-94db-070ae6379d61
-https://www.covidvaccine.gov.hk/zh-HK/vaccine
-https://xueqiu.com/1848670776/155541195?page=2
-https://techsauce.co/tech-and-biz/mrna-different-other-vaccines-covid-19
-https://www.voachinese.com/a/China-vaccination-for-CCP-leaders-12302020/5718440.html
-https://udn.com/news/story/121707/5527101
-https://thestandard.co/astrazeneca-insight-pm-will-inject-as-the-first-dose/
-https://www.rfi.fr/cn/%E4%B8%AD%E5%9C%8B/20210402-%E4%B8%AD%E5%9C%8B%E7%A7%91%E8%88%88-%E6%96%B0%E5%86%A0%E7%96%AB%E8%8B%97%E5%B9%B4%E7%94%9F%E7%94%A2%E9%87%8F%E5%A2%9E%E8%87%B320%E5%84%84%E5%8A%91
-https://www.globaltimes.cn/page/202106/1227529.shtml