關於 what dreams may come summary ，我們在網路上蒐集到這些相關的討論、資訊與評價

Oh~

สรุปการดีเบต แจ็ก หม่า vs อีลอน มัสก์ ในงานประชุม World AI / โดย ลงทุนแมน
ลงทุนแมนรับรองว่าเป็นเรื่องน่าสนใจที่สุดในช่วงนี้

เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา
มีการคุยกันระหว่างแจ็ก หม่า กับ อีลอน มัสก์
โดยหัวข้อเรื่องคือความคิดเห็นต่อ AI ในด้านต่างๆ
เรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง

เริ่มจาก อีลอน มัสก์ กล่าวว่า ตอนนี้ทุกคนกำลังประเมิน AI ต่ำไป

ให้นึกถึงว่าตอนนี้ลิงชิมแปนซีเข้าใจมนุษย์ไหม (ทำไมมนุษย์ต้องมีรถยนต์ ทำไมมนุษย์ต้องสร้างตึก)

เรากำลังเป็นอย่างนั้น ในอนาคตเราอาจไม่เข้าใจเหตุผลที่ AI ทำในเรื่องต่างๆ

แล้วเราจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้

คำตอบคือ ถ้าเราไม่สามารถชนะมันได้ ก็ร่วมมือกับมัน ซึ่ง Neuralink (โครงการของ อีลอน มัสก์) ตอบโจทย์นี้ได้

สิ่งที่ Neuralink ทำก็คือ การสร้างช่องทางการสื่อสารขนาดใหญ่ (High Bandwidth) เชื่อมต่อเข้าสมอง

สิ่งนี้เหมือนกับเป็นไซบอร์ก แต่จริงๆ ตอนนี้เราก็เป็นไซบอร์กไปแล้ว

ทุกวันนี้เราใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์เป็นเครื่องมือขยายความสามารถ จากร่างกายของเรา
ถ้าเราขาดโทรศัพท์ ความสามารถของเราจะลดลง

แต่ bandwidth ที่เราใช้กันอยู่นั้นต่ำมาก

โดยเฉพาะ การส่งข้อมูลเข้าเครื่อง (input)
จริงๆ แล้ว input ต่ำลงจากคอมพิวเตอร์สมัยก่อนด้วยซ้ำ
เพราะเราต้องพิมพ์ด้วยนิ้วโป้งสองนิ้ว แทนที่จะเป็นสิบนิ้ว

เมื่ออีลอน มัสก์ พูดจบ
แจ็ก หม่า ก็กล่าวว่า เขาไม่ได้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี
สิ่งที่เขาคิดเกี่ยวกับชีวิต (Life)

AI กำลังเปิดศักราชใหม่ของสังคม ให้เราเข้าใจตัวเราเองดีขึ้น
และเขาคิดว่า AI เป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้เป็นสิ่งที่มาคุกคาม หรือเป็นสิ่งที่เลวร้าย

อีลอน มัสก์ แย้งว่า AI น่ากลัวกว่าที่ทุกคนคิด
ยกตัวอย่างเช่น วิดีโอเกม เมื่อก่อน มีแค่บล็อกๆ ไว้เล่น ตอนนี้วิดีโอเกมทำภาพให้สมจริงได้

โลกนี้เกิดขึ้นมาแล้ว 4,000 ล้านปี
อารยธรรมมนุษย์เพิ่งเกิดขึ้น 70,000 ปี
มีเหตุการณ์ผันผวนมากมายในช่วง 70,000 ปีนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ที่มีเทคโนโลยีมากมายเป็นแค่จุดเล็กๆ ของทั้งหมด
มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ให้เรากลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

แจ็ก หม่า เปลี่ยนเรื่องบอกว่า เรามาคุยเรื่องสนุกกันดีกว่า
คุณต้องการไปดาวอังคาร
อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตบนดาวอังคาร
แต่ผมสนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนโลกมากกว่า

อีลอน มัสก์ ตอบว่า
ผมคิดว่าดาวอังคาร สามารถทำให้ความนึกคิด (consciousness) ของเรายังคงอยู่ต่อไปในอนาคตได้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ยืดเวลาให้เราสามารถเข้าใจจักรวาลนี้ได้ดีขึ้น

การมีชีวิตอยู่บนดาวหลายดวง (Multi planet species) จะทำให้อารยธรรมของเราไม่ถูกทำลาย

และนี่เป็นครั้งแรกในรอบ 4,000 ล้านปี ที่มีหน้าต่างเปิดให้เราพอที่จะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้

คำถามคือหน้าต่างบานนี้จะเปิดไปอีกนานแค่ไหน ก่อนที่มันจะปิดอีกครั้ง ถ้าเราไม่รีบทำอะไรตั้งแต่วันนี้

แจ็ก หม่า แย้งว่า
เราไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องพวกนั้น
การทำให้โลกของเราที่มีคนอยู่ 7,000 ล้านคน ดีขึ้น ยั่งยืนขึ้น น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกว่า

ไม่เกี่ยวอะไรกับว่า อารยธรรมเราจะผ่านมานานแค่ไหน
แต่พวกเรามีชีวิตได้อย่างมากก็ 100 ปี
เราไม่จำเป็นต้องแก้ปัญหาทั้งหมดในอนาคตด้วยตัวเราเองคนเดียว

สิ่งที่เราควรทำคือ การรับผิดชอบต่อโลกในตอนนี้
ถ้าเรารู้ตัวเราเองดีขึ้น เราสามารถทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้

มันดีที่มีฮีโร่แบบคุณ อีลอน มัสก์ ที่จะพามนุษย์ไปนอกโลก
แต่เราต้องการฮีโร่แบบพวกเรามากกว่า
ฮีโร่ที่ทำงานหนักบนโลก และพัฒนาเรื่องต่างๆ ทุกวันให้โลกนี้ดีขึ้น

อีลอน มัสก์ แย้งว่า
การไปนอกโลก ใช้ทรัพยากรน้อยมาก น้อยกว่า 1% ของการใช้ทั้งหมดในเรื่องต่างๆ บนโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเครื่องสำอาง การผลิตของอื่นๆ ที่จำเป็นน้อยกว่า

สำหรับหัวข้อต่อไปที่คุยก็คือ AI จะเข้ามาแย่งงานหรือไม่?

แจ็ก หม่าตอบ
ทุกครั้งที่มีปฏิวัติทางเทคโนโลยี ทุกคนจะกังวล
เมื่อ 200 ปีก่อนที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทุกคนกังวล แต่สุดท้ายมีงานเกิดใหม่มากมาย

และจริงๆ แล้ว เราไม่จำเป็นต้องมีงานเยอะ เราอาจจะทำงาน 3 วันหยุด 4 วันก็ได้

มนุษย์ในอนาคตจะมีเวลาสนุกกับการใช้ชีวิตความเป็นมนุษย์มากขึ้น

ปู่ของผมมีโอกาสได้ไป 3 เมืองในโลกนี้
พ่อของผมมีโอกาสได้ไป 30 เมือง
ส่วนตัวผมได้ไปมาแล้ว 300 เมือง

สิ่งที่สำคัญคือเราต้องเตรียมพร้อมกับยุคที่เราใช้ชีวิตได้นานขึ้น ซึ่งอาจจะนานถึง 120 ปี เราจะใช้ชีวิตอย่างไร ถ้าเราอยู่ได้นานขนาดนั้น

สำหรับหัวข้อนี้ อีลอน มัสก์ ตอบสั้นๆ ว่า ในอนาคต AI อาจจะมาแทนที่มนุษย์ทั้งหมด มนุษย์เป็นเพียงแค่คนเขียนโปรแกรมให้ AI

หัวข้อต่อไปคือ การศึกษาในยุคนี้ควรสอนเด็กอย่างไร?

แจ็ก หม่า ตอบว่าหลักสูตรการศึกษาในปัจจุบัน เหมาะสมสำหรับเด็กในยุคอุตสาหกรรม
สอนให้ท่องจำ

แต่ตอนนี้เราไม่จำเป็นต้องจำ เพราะหุ่นยนต์จำได้ดีกว่า
สิ่งที่เราควรสอนคือ จะทำอย่างไรให้เด็ก สนุกกับชีวิตของเขา

อีลอน มัสก์ ตอบเรื่องการศึกษาว่า ควรให้เด็กเรียนรู้ให้มากที่สุด มากพอที่จะสามารถคาดการณ์อนาคตได้ โดยผิดพลาดน้อยที่สุด นอกจากคาดการณ์แล้วก็ต้องสร้างอนาคตด้วย

ต่อไป Neuralink จะทำให้มนุษย์สามารถอัปโหลดทักษะเข้าไปในสมองโดยตรง

การศึกษาในปัจจุบันยังถือว่ามีประสิทธิภาพต่ำมาก (Low Bandwidth)

แจ็ก หม่า ตอบว่าเขาไม่กลัวความผิดพลาด เกิดความผิดพลาดแล้วต้องแก้ไขเป็นเรื่องปกติ
มนุษย์ลองผิดลองถูกเสมอมา
และเขาคิดว่า หายนะทางด้าน AI ในอนาคตก็ไม่ได้เกิดจาก AI แต่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์เอง
ซึ่งเขาก็เชื่อว่ามนุษย์จะมีกระบวนการที่สามารถแก้ไขสถานการณ์นั้นได้เอง

สิ่งสำคัญคือ เราจะสอนเด็กอย่างไรให้สมองสามารถสร้างสรรค์ได้มากกว่าเดิม
มนุษย์ไม่สามารถสร้างสัตว์หรือสิ่งอื่นที่ฉลาดว่ามนุษย์ได้

อีลอน มัสก์ แย้งเรื่องนี้ว่า เราสามารถสร้างสิ่งที่ฉลาดกว่าเราได้
ยกตัวอย่างมนุษย์ในยุคเริ่มต้นเราแค่กินอยู่ในป่า
แต่ตอนนี้เรามีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย
เราฉลาดกว่าเมื่อก่อนมาก
และตอนนี้เราก็ไม่ได้ฉลาดที่สุด
อนาคตมนุษย์จะฉลาดกว่านี้อีก

แจ็ก หม่า ท้าให้ อีลอน มัสก์ ยกตัวอย่างสัตว์ที่ฉลาดกว่ามนุษย์บนโลกนี้ที่มนุษย์เคยสร้างมา

อีลอน มัสก์ ตอบว่า ตอนนี้หุ่นยนต์ได้ฉลาดกว่ามนุษย์ในบางเรื่องไปแล้ว

ทั้งหมากรุก ทั้งการแข่งโกะ มนุษย์แพ้การแข่งโกะให้ Alpha Go และ Alpha Go ก็แพ้ให้ Alpha Zero ในที่สุดแล้วหุ่นยนต์จะนำเราไปไกลมาก

แจ็ก หม่า แย้งว่า คำว่า หุ่นยนต์สามารถฉลาดกว่าได้ (Clever)
แต่มนุษย์จะยัง Smart กว่า เพราะมนุษย์มีประสบการณ์
เราสร้างคอมพิวเตอร์ได้ แต่คอมพิวเตอร์ไม่สามารถสร้างคนได้

เรื่องการแข่งโกะ
โกะสร้างเพื่อที่ มนุษย์จะเล่นกับมนุษย์
มนุษย์โง่เองที่จะแข่งกับคอมพิวเตอร์ในเรื่องโกะ
ไม่ต่างอะไรที่มนุษย์จะไปวิ่งแข่งกับรถยนต์

มีบางเรื่องที่มันออกแบบมาให้หุ่นยนต์ทำได้ดีกว่ามนุษย์
มนุษย์ไม่จำเป็นต้องแข่งกับหุ่นยนต์ในเรื่องเฉพาะเหล่านั้น
มนุษย์มีหน้าที่สร้างเครื่องมือต่างๆ ที่จะทำให้ฉลาดขึ้น
แต่ AI ไม่สามารถสร้างเครื่องมือเหล่านั้นได้ด้วยตนเอง

อีลอน มัสก์ กล่าวตอบว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับ ระดับความเป็นอิสระ (Degree of freedom)
เริ่มจาก หมากรุก ต่อไปเป็น โกะ ที่ซับซ้อนขึ้น และอนาคตหุ่นยนต์จะทำอะไรที่ซับซ้อนได้มากขึ้น
และอีลอน มัสก์ ยังกังวลว่าสิ่งหนึ่งที่เป็นอันตรายต่อมนุษยชาติ ก็คือ “อัตราการเกิด”
อีก 20 ปี ประชากรเราจะหายไปอย่างที่ทุกคนคิดไม่ถึง

แจ็ก หม่า เห็นด้วยกับเรื่องนี้ และเสริมว่า ในอีก 20 ปี ประชากรจะเจอปัญหานี้
และอัตราการเกิดจะลดลงเป็นอัตราเร่ง (Accelerate)
สิ่งสำคัญคือ ประชากรจีนที่เกิดมา 18 ล้านคนในแต่ละปี เราต้องใช้เวลากับเด็กพวกนี้ให้ดีที่สุด

ถ้าเป็นเรื่องการทำตามขั้นตอน แบบซ้ำๆ ที่เป็นตรรกะ AI จะทำได้ดีกว่า
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ตรรกะ เช่นความรัก คนจะทำได้ดีกว่า เพราะมันไม่มีเหตุผล
ในอนาคต มนุษย์จะไม่จำเป็นต้องมี IQ หรือ EQ แต่เป็น LQ หรือ Q of Love

หัวข้อคำถามสุดท้ายก็คือ มนุษย์จะมีชีวิตยืนยาวในโลก แบบยั่งยืนได้อย่างไร

อีลอน มัสก์ กล่าวว่าถ้า Neuralink สำเร็จ ก็จะทำให้เราสามารถบันทึกสถานะของสมองได้ (save state) เหมือนเซฟวิดีโอเกม

หรือสิ่งที่จะยืดอายุได้ก็คือการเปลี่ยนแปลง DNA เหมือน หยุดนาฬิกาของ DNA แต่คำถามก็คือมนุษย์จะยินยอมไหมในการทำเรื่องนี้

สำหรับแจ็ก หม่า ตอบเรื่องความยั่งยืนว่า
ในอนาคต AI จะทำให้เราเข้าใจตัวเราเองดีขึ้น
คนฉลาด รู้ว่าเราต้องการอะไร
คนฉลาดกว่า จะรู้ว่าเขาไม่ต้องการอะไร
และจะทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นในที่สุด

แจ็ก หม่า กล่าวปิดท้ายว่า
เขาอยากให้โฟกัสที่โลก
การที่เราจะเอาขยะออกจากมหาสมุทร ยังยากกว่าการไปดาวอังคาร

ไม่ใช่แค่อายุยืน แต่ใช้ชีวิตอยู่อย่างไรให้มีสุขภาพดี
ไม่ใช่แค่ใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดี แต่ใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข
สุดท้าย มนุษย์ต้องโฟกัสที่คุณค่า มนุษย์ต้องมีความฝัน
ไม่ใช่เทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโลก แต่เป็นความฝันที่อยู่เบื้องหลังเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนโลก

เราต้องเชื่อในตัวเราเอง เราต้องเชื่อในความเป็นมนุษย์ เราต้องเชื่อในมนุษย์รุ่นต่อไป

เราควรรับผิดชอบสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มากกว่าการอยากแก้ปัญหาทั้งหมดของโลกในวันพรุ่งนี้

มันเป็นเรื่องดีที่มนุษย์จะผิดพลาด
มันเป็นเรื่องดีที่มนุษย์จะเรียนรู้จากความผิดพลาด
และ มันเป็นเรื่องดีที่มนุษย์จะตาย

ปิดท้ายด้วยคำพูดของ อีลอน มัสก์ ที่กล่าวปิด หลังแจ็ก หม่า พูดจบ

“Fight for the life of consciousness”
จงต่อสู้เพื่อให้ความนึกคิด มีชีวิตอยู่ในจักรวาลนี้ต่อไป..
╔═════════════════╗
Blockdit แอปที่เป็นเหมือน คลังความรู้ขนาดใหญ่
อ่านฟรี โหลดเลย Blockdit.com/download
╚═════════════════╝
Summary of Debet Jack Ma vs Elon Musk in World AI / By Investing Man
Investing man is the most interesting thing these days.

A few hours ago.
There was a conversation between Jack Ma and Elon Musk.
The topic is opinion of AI in various aspects.
How interesting is this story?
Investing man will summarize it.

Starting with Elon Musk said now everyone is underestimating AI

I think that Chimpanzee monkey understands humans. (Why do humans have cars, why do humans have buildings?)

We are being like that in the future. We may not understand the reason AI does things.

So what do we do with this situation

The answer is, if we can't win it, cooperate with it. Neuralink (ELON Musk's project) meets this problem.

What Neuralink does is create a large communication channel (High Bandwidth) connecting to the brain.

This is like a cyborg, but we're actually a cyborg now.

Nowadays, we use computer, phone as a tool to expand our body's ability.
If we lack a phone, our ability will decrease.

But the bandwidth we are using is low.

Specifically, sending information to the engine (input)
Input was actually low from computer in the past.
Because we have to type with two thumbs instead of ten fingers.

When Elon Musk finishes talking
Jack Ma also said he's not tech-savvy.
What he thinks about life (Life)

AI is opening a new era of society for us to understand ourselves better.
And he thinks AI is good. Not a threat or a bad thing.

Elon Musk argues that AI is scarier than anyone thinks.
For example, video games were just blogged to play. Now video games can make realistic images.

This world has happened for 4,000 million years.
Human civilization just happened 70,000 years
Lots of volatile events during these 70,000 years.
What's happening now with so much technology is just a small point of all.
What can happen? Let us start again.

Jack Ma changed the story. Let's talk about fun.
You want to go to Mars
What will happen to life on Mars
But I'm more interested in what happens on earth.

Elon Musk replied
I think Mars can make our thoughts (consciousness) continue in the future, so that we can understand the universe better.

Living on many stars (Multi planet species) will unbroken our civilization.

And this is the first time in 4,000 million years that there is a window open for us to be able to do something like this.

The question is how long will this window open before it closes again if we don't do anything from today

Jack Ma argues that
We don't need to think about them.
Making our world 7,000 million people better, standing up would be a better one.

Nothing to do with how long our civilization has passed.
But we have lived so much 100 years
We don't have to solve all the future problems by ourselves alone.

All we should do is take responsibility for the world now.
If we know ourselves better, we can make this world better.

It's good to have a hero like Mr. Elon Musk to take humans outside the world.
But we need more heroes like us
A hero who works hard on earth and develops everyday things to make the world better.

Elon Musk argues that
Going out of the world uses less resources than 1 % of the total use of things on this planet, cosmetic production, production of other things that are less necessary.

For the next topic discussed, will AI come to steal the job?

Jack Ma answered.
Every time there is a technological revolution, everyone worries.
200 years ago there was an industrial revolution, everyone worried, but at the end there were many emerging events.

And we actually don't need a lot of work. We might work 3 days off 4 days.

Future humans will have time to enjoy living more humanity.

My grandfather had a chance to go to 3 cities in the world.
My dad had a chance to go to 30 cities.
Personally, I have visited 300 cities.

What matters is that we must be prepared for the age we live longer, which may be 120 years. How can we live if we live that long?

For this topic, Elon Musk briefly said that in the future, AI might replace all human beings. Human beings are just programmers for AI.

The next topic is how should education in this generation teach kids?

Jack Ma answered that current education course is suitable for children in industrial age.
Teaching you to memorize.

But now we don't have to remember because robots remember better.
What we should teach is how to make a child enjoy his life.

Elon Musk answers education that children should learn as much as possible to predict the future at least. In addition to prediction, we have to build a future.

Next Neuralink will allow humans to upload skills directly into the brain.

Current studies are still considered very low performance (Low Bandwidth)

Jack Ma said he wasn't afraid of mistakes, mistakes, mistakes, then fixing is normal.
Human beings have been wrong, always been right.
And he thinks the future AI disaster is not due to AI, but by human error.
He also believes that humans have a process that can fix that situation.

The important thing is how we teach kids to be more creative.
Humans can't create animals or other things that are smart as humans.

Elon Musk argues that we can create something smarter than us.
For example, humans in the beginning of the era. We just eat in the forest.
But now we have many amenities.
We are much smarter than before
And now we ain't the smartest
Human future will be smarter than this.

Jack Ma challenged Elon Musk for an example of an animal that is smarter than human beings on this planet ever created.

Elon Musk replied that robots are now smarter than humans in some things.

Both chess and human race lost. Alpha Go and Alpha Go and Alpha Go lose to Alpha Zero. Finally, robots will take us very far.

Jack Ma argues that the word robot can be smarter (Clever)
But humans are more smart because humans experience it.
We can build computers but computers can't build people.

About the racing.
Ko made for humans to play with humans.
Stupid human to compete with a computer in Ko.
It's no different that a human would run a car race.

There's something designed for robots to do better than humans.
Humans don't need to compete with robots in those specific things.
Human beings have a duty to create tools to make smarter.
But AI can't build those tools by itself.

Elon Musk says this is about level of freedom (Degree of freedom)
Starting from chess, next to a more complex and future robots will do more complicated things.
And Elon Musk is concerned that one thing that harms humanity is ′′ birth rate
In another 20 years, our population will be gone as everyone cannot think about it.

Jack Ma agrees with this and reinforces that in 20 years, the population will face this problem.
And the birth rate is reduced to accelerate (Accelerate)
The important thing is that the Chinese population born is 18 million each year. We need to spend the best time with these kids.

If it's a logical recurring process, AI will do better.
But if it's not logical, like love, people will do better because it doesn't make sense
In the future, humans will not need cảpĕn t̂xng or EQ but LQ or Q of Love.

The topic of the last question is how can humans live in a sustainable world?

Elon Musk said if Neuralink succeeded, it would allow us to record the state of brain (save state) like a video game save.

Or what it takes to age is DNA change like DNA stop a DNA clock. But the question is, will humans agree to this?

For Jack Ma to answer about sustainability
In the future, AI will make us understand ourselves better.
Wise people know what we want
A wise man knows what he doesn't want.
And will make this world a better place eventually

Jack Ma said the end
He wants to focus on the world.
It's harder to take garbage out of the ocean than going to Mars.

It's not just a longevity, but how to live healthy.
Not just living a healthy life but how to live a happy life
Finally, humans must focus on values. Human must have dreams.
It's not technology that will change the world, but it's the dream behind technology that will

We must believe in ourselves. We must believe in humanity. We must believe in the next generation of humans.

We should be responsible for what is present, rather than wanting to solve all the problems of the world tomorrow.

It's a good thing humans can go wrong.
It's good that humans learn from mistakes.
And it's a good thing that humans will die.

Ending with the words of Elon Musk that shuts down after Jack Ma's finish.

“Fight for the life of consciousness”
Fight to keep your thoughts alive in this universe..
╔═════════════════╗
Blockdit an app that is like a huge inventory of knowledge.
Read it for free. Load it Blockdit.com/download
╚═════════════════╝Translated

反對黨中選定候選人楊美盈的一篇介紹自己的英文文章，從這篇文章可以看得出它的架構完全是依魅力故事學的角度來講。（也隱著Joseph Campbell英雄之旅的影子，連這個也講給你們聽，我已經夠慈悲了）。

細節不要問我，除非你是我的學生，就可以在秘密社團討論。

其餘的，若不是我的學生，可以報名 5 月 25 和· 26 日的 《江魔式毒辣NLP》

Entering into Politics - The Story Behind. By Yeo Bee Yin（杨美盈）
-----

"Why are you involved in politics?" I think this is the question my family members, friends, and many others will ask.

It's a long story. I am writing this story today to make sure that, if ever, I forget what am I in politics for, it will serve as a reminder.

Part I: The Beginning - Seed of Love

It all started in 2001 with my first Fast and Pray for Malaysia. Since then, I started to see Malaysia very differently and began to sow the seed of love for this nation. I remember I was only 18 years old then. Looking back now, I realized, I too, can be a part of the answered prayer. How marvellous.

Part II: Years on Distant Shores

No, I am not a super patriotic person that nothing else matters to me beside Malaysia. Being a 'kampung' girl, I dreamed of going overseas - to study, to work and to see the world.

Part II (a): Eyes Opened

My dream finally came true in my fourth year in UTP. I was offered a 6-month internship placement in BASF world biggest chemical site in Ludwigshafen, Germany. As a chemical engineering student, and being the first student in UTP to get the offer, it was indeed was a great blessing for me.

Internship in Germany was my first taste of international exposure as they take interns from all over the world to Germany. I spent countless of hours with some of these friends here discussing about just about anything under the sun.

In Germany, the church that I attended was Rhein River Baptist Church, which is a church of the American army who are based in Mannheim. I was one of the few non-military church members there. Through my interaction with the American armies, I began to understand what "Democracy", "Liberty" and "Patriotism" really mean.

During my stay in Germany, I also took the opportunity to travel to neighboring countries like France, Italy, Luxembourg and England. It was in these trips that changed my world view about culture, nation, development etc.

Before coming to Europe, as a top student, I thought I knew a lot. After I came here, I realized how little I knew about the world. I began to question why in Malaysia we did not learn a more complete world history, different political systems, different ideologies, arts and culture? Neither have we been taught to think critically and objectively. I began to realize that what we've been taught in the schools have been crafted in such a way that we can be easily manipulated if we are not careful. Our syllabus was (and still is) flawed and politically biased.

I have to admit that before coming to Germany, I was an ardent supporter of Dr Mahathir and his legacy. I read his book, watched his documentary, supported the blind protection of GLCs and race-based affirmative action, thinking that it's true 'patriotism'. (You can see how brain-washed I was then.)

Six months of internship in Germany has completely changed my world view , my eyes began to open, my previous perceptions shattered and I began to see things very differently. There is actually a much BETTER way for Malaysia.

I was 22 years old then.

Part II (b): A Disheartened Young Malaysian

After the internship, I came back to Malaysia to finish my study in UTP and graduated in 2006. Before I finished my study in UTP, I received offer from my dream university, Cambridge University, for a program called MPhil in `Advanced Chemical Engineering. I was so happy! So I started to apply for funding from various organizations. I didn't get any. Although disappointed, I wasn't blaming anybody as I understood that nobody was obliged to fund me. Despite financial difficulties in his business in 2006, my dad agreed to fund my study in Cambridge.

However, I still had one problem. I was bonded to Petronas for 10 years and was supposed to serve my bond after I finished my study in UTP. So I wrote to Petronas again to ask for deferment of service until after I finished my master degree in Cambridge. A few weeks later, I was called to come to the education unit. I really thought everything was gonna to be ok. There, I saw a nice guy, he told me that the program was great and he really wanted to help, but it was in the policy that they couldn't allow any deferment for the bond or I would have to pay up my bond in lump-sump. My dream crashed.

I did not blame Petronas for that, as they were just following the contract and it would be a havoc if every scholar would come and ask for deferment or for more funding. I understood that. However, it was a small incidence in the education unit that made me utterly disappointed with how things work in Malaysia. While waiting at the lounge, I met two returning scholars from Nottingham University, UK. I started to talk to them. After a while, an education unit guy came and met them, I accidentally saw their results - one of them get second class lower and the another one a third class. That blasted my mind. Here I was, with a CGPA of 3.95/4.00 begging only for 1 year of deferment, not even a scholarship, but was denied. Here they were, spent 4 years in the UK fully sponsored and yet graduated with mediocre results.

Am I not as much a Malaysian as them? Being a 23 years old, I was utterly disheartened and disappointed.

Part II (c): The Only Way out

It was just a few days after I came back from Petronas education unit that I received a call from an American oil and gas company informing me that I was recruited. How did I get the job? While searching for scholarships to Cambridge, I casually attended 5 stages of job interviews with this company as my mom advised me to go for job interview experience. The salary would allow me to pay up my Petronas bond in just a few months! Since the offer was great and there was no way that I could attend Cambridge anyway, I decided to take up the job.The company assigned me to Turkmenistan where I spent most of my next 2 years.

I was 24 years old when I left home for Turkmenistan and never thought I'll be back again. My plan was to climb up the corporate ladder and finally settle down in one of the developed countries.

Part II (c): When Money Rules

Being paid in a salary comparable to many general managers here in Malaysia, I managed to settle my bond with Petronas very quickly and saved some for myself. With the traveling allowances from the company, I traveled to many other countries too during the holidays. Life was great, I worked hard, played hard. Because of the good compensation scheme, I did not really think much about what I really want to do in life, my dream or my passion for the country. What I went after were money, bonus and performance. I became terribly self-centered.

I just didn't care anymore.

It was until 9th Mar 2008, when I opened The Star online and saw the news on the political tsunami that I realized how I still love and care about my country. They were just buried very deeply under my frustration and disappointment. How I wished I would be able to contribute to the change no matter how small the contribution was, instead of just seeing it as an outsider.

I began to question, why am I here? Is this really what I want to pursue? Do I do this because there's no more option? Do I do this just because of money? If I were born in the US with many other opportunities, would I still leave my home and do what I am doing now? How many more Malaysians out there left Malaysia because they went for better opportunities, just like myself and many other Malaysians abroad I've met throughout the years?

After more than half a year of consideration, I quit the job just months before my second promotion (when I still could resist the temptation). I wanted to be back to make a change to my nation, so that our next generation do not need to wander around the world for a better future, because the better future IS in Malaysia. I knew that I am a nobody and of me coming back would not help much, but I thought I should just do my part as a Malaysian, to serve our nation, regardless.

However, before I was back for good, I wanted to fulfill my childhood dream first, that was, to study in Cambridge University. I did not need to worry about my finance anymore now as I could afford to pay for everything. So I re-applied and got the admission offer within a month. A double blessing to me was that Cambridge Gates Scholarship, the most prestigious post-graduate scholarship in Cambridge University, also offered me a full scholarship! Everything was paid for including air tickets, living expenses and school fees! I was and always will be grateful for Bill and Merlinda Gates Foundation.

With that, I went to Cambridge University at the age of 27 years old, a long-delayed dream finally came true.

Part II (d): Living Cambridge Dream

My experience in Cambridge continued to make my burden for Malaysia even stronger. Throughout the year, I've met with many brilliant Malaysian students or working adults from top universities in the UK. I usually asked if they will one day be back to Malaysia. For those with JPA or Petronas bond, they said yes because no choice, whereas for those who are not bonded, almost 80% said No or they'll only be back to Malaysia if they can't find a job in UK, Europe or US. Malaysia has become the last resort. For the Gates scholars, it's even more dismal. Out of the 10 who have received the scholarships from 2001 to 2010 (unfortunately none received the scholarship in 2011 and 2012), I am the ONLY 1 who is back.

Where do many of the talented Malaysians go? There are all at the foreign land seeking for better opportunities and a better future. Can we blame them for not coming back? NO, absolutely NOT. Malaysia has just too little to offer them.


Part III: Hello Malaysian Politics


After pursuing my personal dream, as I've promised myself, I was finally back to Malaysia to pursue my dream for the country. Even with a strong burden for the country, it hadn't crossed my mind that I should be in politics, mainly because to me, being a politician was too far-fetch. I had no idea as in where to start, what to do, and which party to join. Also, I had been non-partisan all my life. What I thought I would do to make a change was probably community works and joining NGOs.

Until my company did a project with Democratic Action Party (DAP) in their general election social media campaign that I was exposed to politics first hand. I finally came to realization that if I want to make a good impact in this nation, with the limited things I have, it can only be done effectively through politics.

So joining politics? It was a tough decision, especially this year, only 1 year plus after I started my own business. I am not a person that go after fame and power, why bother to join politics? In addition, I am already 29 years old, isn't that better for me to find a husband and start a family? (God knows, when I was young I wanted to get married at 25!). Why waste time fighting for a job, of which I'll risk losing every 5 years and getting a pay that is not even half of what I used to get? Why bother to play the so called 'dirty politics'? As my mom has so rightly put it, "you can have a decent and comfortable life now, why choose such a hard life?".

However, what my mom did not know, is my love for this nation since I was 18 years old, and my desire to see a better Malaysia.

As I look back my life, by the grace of God, I was blessed with good and free education, MNC job training as well as so many different opportunities of international exposure. What I want to do now is really to be a faithful steward to the gifts of God and use them to bless my fellow Malaysians.

"For everyone to whom much given, of him shall much be required" Luke 12:48

So I've made up my mind to join politics.

Even after I've decided that I should join politics, I wasn't quite sure of which party to join. I was still a non-partisan by then. So I examined through the ideology, history and leadership of different parties, and had finally come to a conclusion that DAP is the best choice for me.

Ideologically, with years of European influences (though a The Economist reader), I have always been a social democrat, so it fits just well. Historically, DAP stood the test of time and never wavered in its principle. Finally, I think I can follow the leadership of DAP without worry because most of the time they make sense to me (unlike the other side) and most importantly, they uphold integrity and righteousness.

One setback of DAP to me was the party ethnicity-mix. It is still made-up of mostly Chinese and I am definitely not very into a race-based party. However, as I was involved in the Roketkini (DAP Malay news portal) Facebook page promotion, I could see the effort of DAP to reach out to Malay population and a genuine intention top down to make DAP a multiracial party. No party is perfect anyway. So I decided to join DAP and believe that through hard-work and time, we can build a true multiracial party together.

Part IV: Hope for the Future

So now, I am in politics and volunteering in DAP. What am I going to do for the next 20-30 years in politics?

Firstly, my heart is to use my gifts to serve the people regardless of income, race and religion. I believe politician is in fact public servant, we should always work towards maximizing the interest of the public.

For the long run, my hope for Malaysia is very simple. I hope that through the hard work of our generation, we'll make sure that Malaysia can be a land of opportunities and equality for our children. I hope that Malaysia can be a land where, no matter how big and what your dreams are, they can be fulfilled here; and no matter what your potential are, they can be reached here. I hope that our children, no matter where they are outside of Malaysia, they will so look forward to come back to Malaysia. I hope for a Malaysia that is free from corruption, united regardless or race and religion as well as competitive in the global economy.

And now, I shall work hard for it. May God bless the works of our hands.

-----

This is one of the articles summary of: www.yeobeeyin.com

Follow Yeo Bee Yin on Facebook at: https://www.facebook.com/yeobeeyin

----