สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse จัดพอร์ตลงทุนยังไง ในไตรมาสนี้ ?
Clubhouse BBLAM x ลงทุนแมน
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ลงทุนแมน ชวนผู้เชี่ยวชาญหุ้นเทคโนโลยีจากกองทุนบัวหลวง มาร่วมพูดคุยอัปเดตสถานการณ์การลงทุนครึ่งปีแรกที่ผ่านมา และแนวทางการจัดพอร์ตลงทุนให้เหมาะสม ในช่วง 3 เดือนต่อจากนี้
โดย 3 Speakers มากประสบการณ์จากกองทุนบัวหลวง ได้มาร่วมพูดคุย ร่วมให้ไอเดียกัน
- คุณสันติ ธนะนิรันดร์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน กองทุนบัวหลวง
- คุณเศรณี นาคธน AVP, Portfolio Management กองทุนบัวหลวง
- คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, AVP, Portfolio Management กองทุนบัวหลวง
สถานการณ์โลกการลงทุนครึ่งปีแรกเป็นอย่างไร แล้วเราควรจัดพอร์ตลงทุนอย่างไรในไตรมาสนี้ ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
คุณสันติ ธนะนิรันดร์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน กองทุนบัวหลวง เริ่มต้นประเด็นแรก ด้วยการสรุปภาพรวมการลงทุนทั่วโลก ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา
ตั้งแต่เริ่มปี 2021 มา เราเห็นเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวจากปีที่แล้วมากขึ้น ซึ่งทำให้หุ้นวัฏจักร ที่ฟื้นตัวได้ดีตามเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มน้ำมัน ธนาคาร ได้รับประโยชน์และฟื้นตัวกลับมาได้ดี
ขณะที่ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ หลังเข้าช่วงครึ่งปีหลังมา เริ่มลดลง อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ที่เคยขึ้นไปสูงช่วงต้นปีก็ลดต่ำลง ทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เป็นหุ้นเติบโต (Growth Stock) เริ่มกลับมาเติบโตได้ต่อ
แล้วตลาดในแต่ละภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา และตอนนี้ เป็นอย่างไร ?
เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว อย่างเช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป กำลังฟื้นตัวได้เร็วโดยมีปัจจัยสำคัญคือ มีประชากรได้รับวัคซีนในสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับประชากรทั้งประเทศ และเริ่มทยอยกลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอีกครั้ง
ขณะที่ประเทศกลุ่มกำลังพัฒนา อย่างเช่นแถว ๆ ไทยเรา ยังคงเผชิญปัญหาการระบาดระลอกใหม่ และประชากรยังได้รับวัคซีนน้อย ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเป็นไปได้ล่าช้ากว่า
กองทุนบัวหลวงมองว่า โลกการลงทุนวันนี้มี “Unknown” หรือสิ่งที่เราไม่รู้ คือ รู้ว่าจะเกิดขึ้นแต่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด หรือไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะเป็นเช่นไร ทำให้ยังต้องติดตามสถานการณ์กันมากพอสมควร เช่น เรื่องไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่อาจควบคุมการระบาดได้ยากขึ้น, เงินเฟ้อที่รู้ว่ามาแน่ แต่ก็ไม่รู้ชัดว่าจะหนักและยาวนานแค่ไหน
เพราะฉะนั้นกลยุทธ์การลงทุนช่วงไตรมาสนี้และครึ่งปีหลัง แนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตแบบกระจายความเสี่ยง ไม่เน้นหนักไปที่ตลาดใดตลาดหนึ่ง
นอกจากนั้น การถือเงินสดบางส่วนไว้เตรียมลงทุน หากมีเหตุการณ์หรือจังหวะที่เหมาะสมเข้ามา ก็จะทำให้เราไม่พลาดโอกาสการลงทุนดี ๆ ได้เหมือนกัน
ในช่วงนี้กองทุนบัวหลวงยังให้มุมมองเชิงบวกกับตลาดของประเทศพัฒนาแล้วมากกว่า โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา แต่ให้จับตาช่วงครึ่งปีหลัง ที่เงินทุนจะเริ่มไหลเข้าตลาดฝั่งเอเชีย
ปัจจุบันบริษัทในเอเชียเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่ทั่วโลกให้ความสนใจ เช่น TSMC, Samsung Electronics และที่หลายคนอาจยังไม่ค่อยคุ้นหูอย่าง ASUSTek ที่ถือเป็นหุ้นคุณภาพ ราคาไม่แพง มีการเติบโตสูง ในช่วงปีที่ผ่านมา
ขณะที่บริษัทในดัชนี MSCI All Country Asia Ex Japan ที่ถือเป็นตัวแทนของตลาดเอเชียยกเว้นญี่ปุ่น มี P/E อยู่ที่ 14 เท่า เท่านั้น ซึ่งถือว่าราคาถูกและน่าสนใจ หากเอเชียควบคุมสถานการณ์โรคระบาดได้ดีขึ้นในอนาคต
ทางกองทุนบัวหลวง ก็มีกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นเอเชีย คือ B-ASIA ที่ไปลงทุนในหุ้นเอเชียที่มีศักยภาพเติบโตเหล่านี้
คราวนี้ มาเจาะลึกกันที่ “จีน” กันบ้าง..
จีนยังคงเน้นการสร้างเสถียรภาพในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ความเด็ดขาด ชัดเจน และเข้มแข็งในการกำกับดูแล นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับนโยบายเน้นการบริโภคภายในประเทศควบคู่ไปกับการส่งออก และพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ที่ผ่านมาเราจะเห็นทางการจีน เริ่มเข้มงวดกับหลาย ๆ กลุ่มในตลาด เช่นกลุ่มเทคโนโลยี แต่ความเข้มงวดนี้ ก็น่าจะส่งผลดีต่อเสถียรภาพของจีนในระยะยาว
เมื่อบวกกับแนวโน้มการเติบโตต่อจากนี้ของจีน ที่คาดว่าจะโตเฉลี่ยปีละ 5% ซึ่งถือว่าไม่น้อยสำหรับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของโลก ณ ตอนนี้ ก็ถือว่าการลงทุนในจีน เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
แล้วเราจะลงทุนในหุ้นจีนแบบไหนดี ?
พูดถึงการลงทุนในจีน หลายคนจะกังวลเรื่องหุ้นเทคโนโลยีจีนที่ดูทรงไม่ค่อยดีในช่วงที่ผ่านมา แต่การลงทุนในจีนนั้นไม่ได้มีแค่เรื่องหุ้นเทคโนโลยีเท่านั้น
ถ้าดูบริษัทในตลาดหุ้นจีนแล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค, การสื่อสาร, การเงิน และการแพทย์ ส่วนบริษัทเทคโนโลยีนั้น มีสัดส่วนแค่ 6.5% ในดัชนี MSCI China
ตัวอย่างความน่าสนใจของจีนคือ กำลังบริโภคของคนรุ่นใหม่ในจีนนั้นมีแนวโน้มเติบโตสูงมาก เพราะเป็นกลุ่มที่เติบโตมาในครอบครัวที่เริ่มมีฐานะแล้ว
โดยกลุ่มนี้ มีความนิยม Local Brand มากขึ้น เช่น ใช้สมาร์ตโฟนของ Xiaomi ใช้อุปกรณ์กีฬา Li-Ning, Anta Sports เพราะมองว่าสินค้าเหล่านี้คุณภาพคุ้มราคากว่าแบรนด์นอก นี่จึงเป็นปัจจัยทำให้หุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค มีแนวโน้มเติบโตได้อีกมากในอนาคต
ซึ่งบริษัทเหล่านี้ ก็เป็นบริษัทที่กองทุน B-CHINE-EQ ของกองทุนบัวหลวงไปลงทุนด้วย
คำถามต่อมาคือ ถ้าลองดูรายเซกเตอร์ มีเซกเตอร์ไหนบ้างที่น่าสนใจในตอนนี้ ?
มาเริ่มกันที่ “หุ้นเทคโนโลยี”
กองทุนบัวหลวงมองว่าหลังวิกฤติโควิด 19 บางสินค้า บางบริการที่คนเคยใช้แล้วติดใจ ใช้แล้วรู้สึกขาดไม่ได้แล้ว กลุ่มนี้จะยังเติบโตต่อไปได้เรื่อย ๆ
ส่วนอีกปัจจัยที่ทำให้หุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกยังไปต่อได้ คือภาครัฐโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและจีน ที่สนับสนุนด้านเทคโนโลยีกันอย่างชัดเจน เพื่อแข่งขันกันเป็นผู้นำเทคโนโลยีโลก
นอกจากนั้น ยิ่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ปรับลดลงมาอย่างในตอนนี้ ก็ยิ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้หุ้นเทคโนโลยีที่อ่อนไหวต่อ Bond Yield เติบโตต่อได้
แล้วเราจะเลือกหุ้นเทคโนโลยีอย่างไรดี ?
กองทุนบัวหลวงมองว่า ให้พยายามเลือกหุ้นเทคโนโลยีตัวใหญ่ ๆ ที่เป็นเจ้าของบริการที่ “คนขาดไม่ได้” อย่างเช่น Microsoft, Apple, Google, Facebook เอาไว้เป็นทางเลือกแรก ๆ
เพราะตอนนี้ตลาดมองหุ้นเทคโนโลยีใหญ่ ๆ เหล่านี้ว่าเป็น Defensive Stock ไปแล้ว พูดง่าย ๆ ว่า เศรษฐกิจดีหรือไม่ดี ก็เติบโตได้
ซึ่งบางบริษัทเหล่านี้ ก็เป็นบริษัทที่กองทุน B-INNOTECH ของกองทุนบัวหลวงเน้นไปลงทุน
แล้วเซกเตอร์ Go Green หรือหุ้นกลุ่มเน้นความยั่งยืน น่าสนใจไหม ?
ระยะยาวทั่วโลกจะให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันยังคงเป็นแค่เพียงช่วงเริ่มต้น และยังมีโอกาสที่จะพัฒนาไปได้อีกไกล
เช่น กลุ่มยานยนต์ ที่หันมาใช้พลังงานไฟฟ้า กลุ่มพลังงานที่หันมาพัฒนาพลังงานสะอาด หรือกลุ่มแบตเตอรี่ที่พัฒนาให้สามารถจัดเก็บพลังงานได้มากขึ้น
ซึ่งใครที่สนใจ Theme การลงทุนนี้ กองทุนบัวหลวงก็มี B-SIP กองทุนรวมที่เน้นลงทุนในบริษัทที่เน้นความยั่งยืน และมีนวัตกรรมรักษ์โลก
ตัดภาพกลับมาที่หุ้นไทยกันบ้าง ช่วงนี้เป็นอย่างไร ?
ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ตกใจกับตัวเลขผู้ติดเชื้อมากนัก คนมองไปข้างหน้ากันมากและให้ความหวังกับตลาดไปไกลแล้ว อีกทั้งสภาพคล่องในตลาดยังล้นอยู่ เพราะเอาเงินไปฝากธนาคารได้ผลตอบแทนน้อย คนก็หันมาลงหุ้นมากขึ้น
อย่างไรก็ตามเราก็ต้องติดตามสถานการณ์รายวันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการควบคุมการระบาดในประเทศ ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน กองทุนบัวหลวงมองว่า ช่วงนี้ตลาดจะเคลื่อนไหวขึ้นลง Sideway ไปก่อน
โดยแนวทางการลงทุนหุ้นไทยตอนนี้ คือต้อง “เลือกหุ้น” จะดีกว่าลงแบบเหมารวม ให้เลือกลงทุนในบริษัทที่พื้นฐานดี ยืนหยัดแข็งแกร่งได้ในวิกฤติ
ซึ่งสำหรับกองทุนบัวหลวง ก็มี “กองทุนเปิดบัวหลวงทศพล”
ที่เด่นเรื่อง Stock Selection เลือกลงทุนแค่ในหุ้น 10 ตัว ที่ดีที่สุดในไทย
ลองมาดูภาพรวมของตลาดพันธบัตรกันบ้าง
กองทุนบัวหลวงมองว่า ตอนนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ในระยะสั้นจะยังคงต่ำอยู่ ทั้งจากความคาดหวังเงินเฟ้อที่อ่อนแรงลงจากต้นปี สภาพคล่องยังล้นระบบ
ต้องดูความเคลื่อนไหว Bond Yield สหรัฐอเมริกา เพราะเป็นตลาดพันธบัตรใหญ่สุดในโลก ถ้า Bond Yield ในสหรัฐอเมริกาปรับตัวสูงขึ้น เงินก็ไหลเข้าตลาดพันธบัตรสหรัฐอเมริกามากขึ้น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐก็จะแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย
ถ้าจะจัดสรรน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ ควรไปลงที่ไหนดี ช่วงไตรมาสนี้ ?
กองทุนบัวหลวงมองว่า US High Yield หรือพันธบัตรที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงในสหรัฐอเมริกา ตอนนี้น่าสนใจ เพราะให้ผลตอบแทนค่อนข้างสูง ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกต่ำมากในขณะนี้
แต่แน่นอนว่าเมื่อเป็น “High Yield” คือมีอัตราผลตอบแทนสูง ก็จะสวนทางกับเครดิตเรตติงที่ต่ำ ซึ่งมันก็ตามมาด้วยความเสี่ยงผิดชำระที่สูงกว่าพันธบัตรในระดับ Investment Grade
แต่ทางกองทุนเห็นสถิติในเวลานี้ว่า อัตราการผิดนัดชำระหนี้ (Default Rate) ลดลงจนเกือบเท่าช่วงก่อนเกิดวิกฤติแล้ว
เพราะฉะนั้นจึงควรกระจายลงทุนในหลาย ๆ บริษัท โดยวิธีการกระจายการลงทุนที่น่าสนใจก็คือการลงทุนในกองทุนรวมที่ไปลงทุนในพันธบัตรที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง
ซึ่งกองทุนบัวหลวงเองก็มี กองทุนเปิด “บัวหลวงไฮยิลด์” ที่มาตอบโจทย์การลงทุนในจุดนี้
และหากท่านใดที่สนใจจะลงทุนหรือต้องการจัดพอร์ตการลงทุนเอง ทางกองทุนบัวหลวง ก็มีการสรุปแนวทางการลงทุนอย่าง “B-SELECT” เพื่อให้นักลงทุนนำไปเป็นข้อมูลเพื่อพิจารณาในการจัดพอร์ตกองทุนด้วยตัวเองได้
- ถ้าชอบหุ้นเทคโนโลยี กองทุนบัวหลวงมี “B-INNOTECH”
- ถ้าชอบหุ้นกลุ่มยั่งยืน (มีเทคโนโลยีผสม) กองทุนบัวหลวงมี “B-SIP”
- ถ้าชอบหุ้นเอเชีย กองทุนบัวหลวงมี “B-ASIA”
- ถ้าชอบหุ้นจีน กองทุนบัวหลวงมี “B-CHINE-EQ”
- ถ้าชอบหุ้นไทย แบบคัดเอาแค่ 10 สุดยอดบริษัท กองทุนบัวหลวงมี “บัวหลวงทศพล (BTP)”
- ถ้าอยากลงทุนในพันธบัตรที่ให้อัตราผลตอบแทนสูงในสหรัฐอเมริกา กองทุนบัวหลวงก็มีบัวหลวงไฮยิลด์ ให้เลือก 2 แบบ คือ กองทุนเปิดบัวหลวงไฮยิลด์ (อันเฮดจ์) ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย หรือ B-HY (UH) AI กับกองทุนเปิดบัวหลวงไฮยิลด์ (เฮดจ์ 75) ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย หรือ B-HY (H75) AI
หรือถ้าไม่รู้จะเลือกอะไร อยากให้กองทุนบัวหลวงจัดพอร์ตลงทุนให้ตามความเสี่ยงที่แต่ละคนยอมรับได้
ก็มีกองทุนรวม “BMAPS” ที่มีให้เลือกสัดส่วนการลงทุนในหุ้น สูงสุด 25%, 55% และ 100%
แล้วผู้จัดการกองทุนรวม BMAPS ก็จะนำเงินไปลงทุนในกองทุนรวมต่าง ๆ ตามสัดส่วนที่ผู้ลงทุนเลือก ให้เหมาะกับสถานการณ์ และโอกาสการเติบโตในอนาคตต่อไป
และทั้งหมดนี้ ก็คือบทสรุปของประเด็นที่ได้พูดกันในห้อง Clubhouse “จัดพอร์ตลงทุนยังไง ในไตรมาสนี้ ?”
สำหรับประเด็นพูดคุยกันใน Episode หน้าจะเป็นเรื่องอะไร รอติดตามได้ เร็ว ๆ นี้..
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
yield rate คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse ทำไมคนไทยไม่ควรพลาด ในการลงทุนหุ้นเทคโนโลยี ?
BBLAM x ลงทุนแมน
หลังจาก ลงทุนแมน ได้ชวนผู้เชี่ยวชาญหุ้นเทคโนโลยีจากกองทุนบัวหลวง
มาร่วมพูดคุยในเรื่องหุ้นเทคโนโลยีกันแบบเจาะลึก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา
โดยมี 2 Speakers มากประสบการณ์จากกองทุนบัวหลวง ได้เปิดเผยข้อมูลน่าสนใจมากมาย
- คุณเศรณี นาคธน AVP, Portfolio Management กองทุนบัวหลวง
- คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, AVP, Portfolio Management กองทุนบัวหลวง
สถานการณ์ความท้าทาย, โอกาสในอนาคต รวมทั้งแนวทางการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จะเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
คำถามที่ 1 : หุ้นเทคโนโลยีจะกลับมาอีกครั้งหรือยัง ?
สังเกตไหมว่าในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนได้ดีมาโดยตลอด
โดยในปีนี้ ดัชนีที่รวบรวมบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Nasdaq ก็ให้ผลตอบแทน 12%
ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่านักลงทุนเริ่มกลับมาให้ความสนใจหุ้นเทคอีกครั้ง
อย่างในช่วงโควิดที่ผ่านมา เราก็คงได้มีโอกาสใช้บริการแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Grab, Lazada, Shopee หรือ Netflix
แต่ถ้าถามว่ามุมมองต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในอนาคตจะเป็นอย่างไร ?
แน่นอนว่า สิ่งที่จะทำให้โลกขับเคลื่อนต่อไปได้ก็คือเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินค้าหรือบริการ ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีในการพัฒนา ให้ถูกขึ้น ดีขึ้น และเร็วขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
รวมไปถึงเรื่องของสังคมผู้สูงวัยทั่วโลก ส่งผลให้แรงงานมีจำนวนน้อยลง จึงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอย่าง หุ่นยนต์ หรือ AI เพิ่มมากขึ้น หรือแม้แต่แนวโน้มการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมกับการแพทย์อื่น ๆ เช่น การหาหมอออนไลน์, การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ, 3D printing ฯลฯ
ซึ่งถ้าถามว่าถึงเวลาของหุ้นเทคโนโลยีหรือยัง ก็จะเห็นได้ว่า ตลาดเริ่มส่งสัญญาณบวกแล้ว เพราะแม้จะมีความชัดเจนในเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่หุ้นเทคในช่วงที่ผ่านมาก็ยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งคุณเอมได้เสริมว่า ทุกวันนี้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเทคโนโลยียังไม่เปลี่ยนแปลง และกำไรยังเติบโต อีกด้วย จากเหตุผลที่ว่ามานี้หุ้นเทคโนโลยีจึงเป็น Theme ลงทุนหลักของโลกในระยะต่อไปแน่นอน
คำถามที่ 2 : “เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย” ส่งผลต่อหุ้นเทคโนโลยีอย่างไร ?
ปกติแล้ว การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) จะส่งผลต่อหุ้นเทคโนโลยี 2 เรื่องสำคัญ นั่นคือ
- ต้นทุนในการกู้ยืมเงินของบริษัท เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ต้นทุนในการกู้ยืมเงินก็จะสูงตามไปด้วย
- การประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Dividend Discount Model (DDM) เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น อัตราคิดลดก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อคิดเป็นมูลค่าหุ้นกลับมา จึงทำให้มูลค่าหุ้นเทคโนโลยีลดลง
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นเทคโนโลยีค่อนข้างอ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ย นั่นเอง
ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว หลายประเทศเริ่มเปิดเมืองและมีการเร่งฉีดวัคซีน
จึงเป็นไปได้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงคาดว่า Bond Yield ต้องปรับตัวขึ้นอย่างแน่นอน
ซึ่ง Bond Yield อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ก็เคยปรับขึ้นไปสูงถึงเกือบ 1.8% จากเดิมที่มีตัวเลข 1%
แต่แล้ว.. เมื่อประกาศอัตราเงินเฟ้อออกมาสูงตามที่นักลงทุนคาดไว้จริง ๆ Bond Yield ที่ปรับขึ้นมารออยู่แล้ว จึงเริ่มกลับปรับตัวลดลง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แท้จริง หรือที่เรียกว่า Real Yield ที่คำนวณจาก Bond Yield หลังหักเงินเฟ้อคาดการณ์ ยังอยู่ในระดับต่ำ -0.8%
สะท้อนได้ว่า ผลตอบแทนพันธบัตรไม่น่าจะเอาชนะเงินเฟ้อได้
จึงส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นกลับมาน่าสนใจ จากนั้นมาหุ้นเทคโนโลยีก็เริ่มปรับตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ผ่านเครื่องมือ Dot Plot
ยังมองว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ (Fed Fund Rate) อาจเกิดขึ้น 2 ครั้งภายในปี 2023
ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เร็วกว่าที่นักลงทุนคาดไว้
นักลงทุนจึงมองว่า ยิ่งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยมาเร็วมากขึ้น โอกาสที่จะเกิดอัตราเงินเฟ้อย่อมลดลง
ดังนั้น Bond Yield คงไปต่อได้ไม่ไกล จึงน่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น รวมทั้งหุ้นเทคโนโลยี อีกด้วย
คำถามที่ 3 : ปัจจัยใดส่งผลต่อ “การปรับฐานของหุ้นเทคโนโลยี” ในตอนนี้ ?
ปัจจัยแรกคือ Bond Yield
หากถามว่า Bond Yield เท่าไรถึงจะส่งผลต่อตลาดหุ้น คำตอบจากการสำรวจของ Bank of America นั้นอยู่ที่ 2.5% ซึ่งปัจจุบันนี้ อัตราดอกเบี้ยยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ บวกลบไม่เกิน 1.5%
ดังนั้น กว่าที่ Bond Yield จะปรับตัวสูงถึงระดับนั้น อาจใช้เวลานาน ตลาดหุ้นถึงจะเริ่มปรับฐาน
ปัจจัยที่สองคือ Sector Rotation
เมื่อต้นปีเกิดแรงขายของหุ้นเทคโนโลยี ไปลงทุนในหุ้นวัฏจักรที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง
โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาปรับสูง จนกลายเป็น Commodity Supercycle
สะท้อนได้ว่า สินค้าโภคภัณฑ์กลายเป็น Most Crowded Trade ที่อาจเข้าใกล้จุดสูงสุดไปแล้ว
ดังนั้น เมื่อนักลงทุนเริ่มคลายกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อ บวกกับผลประกอบการของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีที่ออกมาดี จึงเป็นเหตุผลให้นักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุนหุ้นเทคโนโลยีอีกครั้ง
ปัจจัยสุดท้ายที่หลายคนกังวลคือ เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น คนยังจะพึ่งพาเทคโนโลยีอยู่หรือไม่ ?
ซึ่งต้องยอมรับว่า พฤติกรรมหลาย ๆ อย่างได้กลายเป็น New Normal ไปเรียบร้อยแล้ว
อาทิ Work From Home, การช็อปปิงออนไลน์, การสั่งอาหารแบบ Delivery
สิ่งเหล่านี้สะท้อนได้ว่า ปัจจัยพื้นฐานการใช้เทคโนโลยีจะยังคงอยู่ต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง
คำถามที่ 4 : “QE Tapering” กระทบหุ้นเทคโนโลยีหรือไม่ ?
การปรับลดวงเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการ QE ของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า QE Tapering
แม้ว่าจะมีวงเงินลดลง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในสถานะอัดฉีดเงินอยู่ดี
โดย QE Tapering เป็นหนึ่งในสัญญาณชี้ว่า สภาวะเศรษฐกิจอาจดีขึ้นแล้วจริง ๆ
เพราะแม้ว่า FED จะลดวงเงินอัดฉีดเงิน แต่เศรษฐกิจและภาคธุรกิจก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้
สะท้อนได้ว่า เราอาจจะกำลังอยู่ในช่วง Mid-cycle ของวงจรเศรษฐกิจ
ซึ่ง Mid-cycle จะเป็นช่วงที่ระดับอัตราดอกเบี้ยไม่ได้สูงมาก และเศรษฐกิจยังโตต่อเนื่องได้
โดยปกติแล้วจะส่งผลดีต่อกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก
ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่าความกังวลเรื่องสภาพคล่องก็ถูก Price In ไปแล้วบางส่วน
เมื่อทุกอย่างชัดเจน เชื่อว่ากลุ่มหุ้นเทคโนโลยีก็พร้อมจะไปต่อได้
นอกจากนี้ ต้องให้เครดิตคุณเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ
ผู้เป็นสุดยอดนักสื่อสาร และเข้าใจตลาดการลงทุน ซึ่งการค่อย ๆ ออกมาพูด ทำให้ตลาดปรับตัวได้
ที่น่าสนใจคือ หุ้นเทคโนโลยีตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา มีเพียงปีเดียวที่ให้ผลตอบแทนที่เป็นลบ คือปี 2018 ที่ให้ผลตอบแทน -1.1% จากมรสุมลูกใหญ่ อาทิ Trade War, ทรัมป์ ทวีต และการประกาศขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีเดียว ส่วนปีอื่นๆ ล้วนให้ผลตอบแทนในอัตราเลขสองหลัก
สะท้อนได้ว่า หุ้นเทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ และให้ผลตอบแทนที่ดีได้
คำถามที่ 5 : ถ้าอนาคตเกิด “การดูดกลับสภาพคล่อง” หุ้นเทคโนโลยีจะยังไปต่อไหม ?
ก่อนหน้านี้ สภาพคล่องได้กระจายตัวไปทั่วตลาดหุ้น แม้แต่ในหุ้นที่ขาดทุนไม่มีกำไร
ดังนั้น เมื่อสภาพคล่องลดลง หุ้นที่มีคุณภาพและมีกำไร เชื่อว่าจะยังไปต่อได้
ต่างจากหุ้นพื้นฐานไม่ดี ยังไม่มีกำไร คงยากที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในปีนี้
ทีนี้น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่า ไม่ใช่หุ้นเทคทุกตัว ที่จะน่ากลัวเสมอไป
หนึ่งวิธีที่จะช่วยเฟ้นหาหุ้นเทคในช่วงเวลานี้คือ วิธี Bottom Up
ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานจากตัวธุรกิจ ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจ
ตัวอย่างเช่น Shopify ธุรกิจ E-commerce แบบครบวงจรสัญชาติแคนาดา ทั้งในด้านการตลาด โกดังเก็บของ และบริการขนส่งสินค้า แม้จะมี P/E สูงมาก แต่ก็สร้างกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเท่าตัว และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องได้ นักลงทุนจึงได้เข้าไปลงทุนจนราคาหุ้นปรับตัวสูง 150% ในปีที่ผ่านมา
ดังนั้น คำตอบของคำถามที่ว่าหุ้นเทคโนโลยีจะยังไปต่อไหม จึงขึ้นอยู่กับการเลือกหุ้น นั่นเอง
โดยลักษณะหุ้นที่มีโอกาสไปต่อก็คือ หุ้นที่ยังไม่แพง หุ้นที่มีกำไรสม่ำเสมอ และเป็นหุ้นใหญ่
อาทิ หุ้นกลุ่ม FAANG, หุ้นกลุ่ม Software-as-a-Service (SaaS) ที่ให้บริการในด้านซอฟต์แวร์ที่มี Recurring Income หรือมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอ และราคาหุ้นยังไม่แพง ก็น่าจะยังไปต่อได้
คำถามที่ 6 : หุ้นเทคโนโลยี “ลงทุนระยะยาว” ได้ไหม ?
หลายคนอาจจะยังไม่กล้าถือหุ้นเทคโนโลยีในระยะยาวเพราะกลัวปัจจัยเรื่องดอกเบี้ย
ซึ่งคำถามสำคัญคือ หากมีการขึ้นดอกเบี้ยจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ?
อิงจากสถิติตั้งแต่ช่วงปี 1990 จนถึงปัจจุบัน FED ได้มีการขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 7 ครั้ง บวกการทำ QE Tapering อีก 1 ครั้ง
ผลปรากฏว่า Sector ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้มาโดยตลอดก็คือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากที่สุดเมื่อเทียบกับ Sector อื่น ๆ
หรืออย่างในปัจจุบันเอง ที่มีปัจจัยมากระทบมากมาย อย่างเรื่อง Sector Rotation, ภาษีนิติบุคคลฉบับใหม่, กฎหมายเรื่องการผูกขาด แต่กองทุน B-INNOTECH ยังคงเติบโตกว่า 17%
ดังนั้น ทางกองทุนบัวหลวงก็มองว่า อาจไม่จำเป็นต้องดู Timing มาก แต่ให้เน้นจัดพอร์ตการลงทุนโดยให้คงสัดส่วนหุ้นเทคโนโลยีไว้ เพราะถือเป็น Sector ที่มีโอกาสเติบโตได้ดี เมื่อเทียบกับ Sector อื่น ๆ ในตลาด
คำถามที่ 7 : ตอนนี้ “ควรเลือกลงทุน” หุ้นเทคโนโลยี อย่างไรดี ?
หุ้นเทคโนโลยีในช่วงนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็นหลัก ๆ 3 ประเภท คือ
1. กลุ่ม Hardware เช่น อุปกรณ์ไอที คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร อย่างบริษัท HP หรือ Logitech
2. กลุ่ม Software as a Service หรือว่าซอฟต์แวร์ที่ใช้ในบริษัทองค์กรใหญ่ ๆ เช่น Microsoft Office, Salesforce (CRM) และ ServiceNow
3. กลุ่ม Semiconductor เช่น ชิปเซต การ์ดจอ อย่าง TSMC และ NVIDIA
ซึ่งกลุ่มที่ 2 และ 3 นั้นตลาดจะให้ P/E ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูง ต่างกับกลุ่มที่ 1 ที่อาจเติบโตได้ดีแค่ในช่วงโควิด แต่เป็นสินค้าที่คนไม่ได้ซื้อบ่อย ทำให้ตลาดยังให้ราคาค่อนข้างต่ำ
อย่างบริษัท NVIDIA ผู้ผลิตการ์ดจอ ที่กำลังเป็นที่ต้องการของนักขุดเหรียญคริปโทฯ ที่มี P/E สูงถึง 76 เท่า แต่ก็มีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น ในไตรมาสที่ผ่านมาสูงถึง 100% ในขณะที่กลุ่ม Hardware อย่าง HP หรือ Logitech นั้นจะมี P/E อยู่ที่ประมาณ 20 เท่า เท่านั้น
จะเห็นได้ว่า หุ้นเทคโนโลยีแต่ละกลุ่มนั้น ให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น การเลือกกองทุนที่มีนโยบายบริหารแบบ Active Management หรือ กองทุนที่มีเป้าหมายเพื่อเอาชนะดัชนีอ้างอิง จึงเป็นนโยบายที่เหมาะกับการลงทุนใน Theme เทคโนโลยีนี้ เพราะจะช่วยให้กองทุนมีความยืดหยุ่นในการคัดเลือกหุ้นมากขึ้น โดยสามารถเลือกลงทุนในหุ้นที่เห็น Upside ได้เยอะกว่าได้ เมื่อเทียบกับแบบ Passive Management ที่ลงทุนอิงตามดัชนีเท่านั้น
คำถามที่ 8 : แล้ว “B-INNOTECH” เลือกหุ้นเทคโนโลยีเข้าพอร์ตอย่างไร ?
วิธีคัดเลือกหุ้นของผู้จัดการกองทุน Fidelity ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ B-INNOTECH
จะประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยสำคัญ นั่นคือ
- Growth คือ หุ้นบริษัทที่เน้นการสร้างนวัตกรรมทันสมัย มีแนวโน้มเติบโต และเป็นผู้นำได้ในระยะยาว
- Cyclical คือ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และที่จะเติบโตไปตามสภาพเศรษฐกิจได้
ตัวอย่างเช่น หุ้นผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ Semiconductor ที่จะยังเติบโตต่อไปได้
- Special Situation คือ หุ้นบริษัทคุณภาพในช่วงเวลาไม่ปกติ
เมื่อกองทุนเห็นบริษัทคุณภาพที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
หากบริษัทนั้น มีโอกาสฟื้นตัวได้สูง น่าสนใจในอนาคต ก็จะเข้าไปลงทุนเก็บสะสมไว้
ดังนั้น การเลือกหุ้นเทคโนโลยีของกองทุน B-INNOTECH ที่มักจะลงทุนในหุ้นใหญ่
ลักษณะไม่หวือหวา เช่น Alphabet, Microsoft
ด้วยพื้นฐานของการประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสม เป็นธุรกิจผู้นำในกลุ่ม
รวมทั้งเป็นธุรกิจมีรายได้และกำไรที่มีคุณภาพ และต้องเติบโตต่อเนื่องในอนาคตด้วย
ซึ่งการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่, ธุรกิจเทคโนโลยีพื้นฐาน และเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน
ที่มีแนวโน้มผลการดำเนินการค่อยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังส่งผลให้ B-INNOTECH เป็นกองทุนที่มีความผันผวนที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับกองทุนเทคโนโลยีและ Innovation อื่น ๆ อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ สะท้อนได้ว่า B-INNOTECH เป็นอีกหนึ่งกองทุนหุ้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจเลยทีเดียว ในตอนนี้..
คำเตือน:
การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อนู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
yield rate คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
เงินเฟ้อคาดการณ์ วัดจากอะไร สำคัญขนาดไหน ? /โดย ลงทุนแมน
ความผันผวนของตลาดทุนทั่วโลกในช่วงนี้
สาเหตุหนึ่งที่ถูกพูดถึงบ่อยก็คือความกังวลของนักลงทุน
ที่มองว่า “เงินเฟ้อ” จะปรับเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป
ซึ่งก็เป็นเพราะเม็ดเงินมหาศาล ที่ทั้งรัฐบาลและธนาคารกลาง
ใช้รับมือกับสถานการณ์โควิด 19 รวมไปถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกือบทุกชนิด
ที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบหลายปี
แล้วมุมมองอัตราเงินเฟ้อในอนาคต ของนักลงทุนในตลาด
วัดได้จากอะไร และทำไมถึงมีความสำคัญ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
อัตราเงินเฟ้อที่รายงานจากหน่วยงานรัฐ เป็นข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงไปแล้ว
ซึ่งการตีความข้อมูลนั้น ก็มักจะถูกนำไปเทียบกับตัวเลข
ที่นักเศรษฐศาสตร์ได้ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ว่า
ตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาจริง สูงกว่า ต่ำกว่า หรือใกล้เคียงกับการคาดการณ์ขนาดไหน
เช่น
ประเทศสหรัฐอเมริการายงานเงินเฟ้อในเดือนเมษายน 4.2%
เมื่อเทียบกับเดือนเมษายนของปีก่อนหน้า
นักลงทุนก็จะนำไปเปรียบเทียบกับตัวเลขเงินเฟ้อ
ที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ที่ 3.6%
จากข้อมูลชุดนี้ เมื่ออัตราเงินเฟ้อที่เกิดจริง ออกมาสูงกว่าการคาดการณ์
มันจึงเป็นการตอกย้ำความกังวลของนักลงทุนว่าเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นเร็วกว่า
ที่นักเศรษฐศาสตร์รวมถึงธนาคารกลางเคยประเมินไว้
จนอาจนำไปสู่การเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่เร็วกว่าเดิม
ซึ่งมุมมองต่ออัตราเงินเฟ้อในอนาคตของนักลงทุนนี้
มีชื่อเรียกว่า “Inflation Expectation” หรืออัตราเงินเฟ้อคาดการณ์
เมื่อมันเป็นเพียง “มุมมอง”
จึงไม่มีใครรู้ว่าจะถูกหรือผิด
และแม้ว่าไม่มีถูกผิด แต่มุมมองนี้กลับมีความสำคัญ
อย่างธนาคารกลาง ผู้มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อก็ให้ความสนใจกับมุมมองนี้
เพราะอัตราเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจริง ส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากสิ่งที่ผู้คนคิดว่ามันจะเป็น
ยกตัวอย่างเช่น
มีข่าวว่าน้ำมันปาล์มกำลังขาดตลาดและจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มสูงขึ้น
ดังนั้น ธุรกิจที่มีวัตถุดิบเป็นน้ำมันปาล์มต่างก็ต้องรีบไปซื้อน้ำมันปาล์มมาเก็บไว้
และนั่นจะทำให้ราคาน้ำมันปาล์มปรับตัวเพิ่มขึ้น
สะท้อนให้เห็นว่า มุมมองของผู้คนที่มีต่อราคาสินค้าในอนาคต
จะส่งผลต่อเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันในที่สุด
นอกจากผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริงแล้ว
มุมมองอัตราเงินเฟ้อนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งของความผันผวนในตลาดทุนได้อีกด้วย
อย่างเมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ถึงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นทั่วโลกเผชิญกับแรงขาย โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี
อย่างเช่นดัชนี Nasdaq ของสหรัฐอเมริกา
ที่ปรับตัวลง 10% ภายในเดือนเดียว
ในขณะที่ อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอายุ 10 ปี
ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลับไปสู่ระดับเดิมก่อนเกิดโรคระบาด
ซึ่งความผันผวนที่เกิดขึ้นนี้
ก็เป็นผลมาจากการที่นักลงทุน ปรับสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ใหม่
เพราะมองว่าอัตราเงินเฟ้อในอนาคตจะเพิ่มได้เร็วขึ้นและสูงขึ้นไปสู่ระดับที่สูงสุดในรอบ 7 ปี
แล้วมุมมองต่ออัตราเงินเฟ้อในอนาคต ดูได้จากอะไร ?
วิธีการวัดเงินเฟ้อคาดการณ์นี้
นอกจากจะสามารถวัดได้จากการทำแบบสอบถามแล้ว
อีกทางหนึ่งที่สะดวกกว่า ก็คือดูได้จากเครื่องมือทางการเงินที่เชื่อมโยงกับอัตราเงินเฟ้อ
โดยแบบที่คนนิยมใช้กันมากที่สุด มีชื่อเรียกว่า “10-Year Breakeven Inflation Rate”
10-Year Breakeven Inflation Rate เป็นตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ
ที่สะท้อนจากนักลงทุนว่ามองอัตราเงินเฟ้อในอนาคตอย่างไร
โดยคำนวณมาจาก
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี หักลบด้วย
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี รุ่นชดเชยเงินเฟ้อ หรือ Treasury Inflation-Protected Security เรียกสั้น ๆ ว่า TIPS
โดยอัตราผลตอบแทนแบบแรก เป็นแบบทั่วไป คือ Nominal Yield
ส่วนอัตราผลตอบแทนแบบหลัง เป็นแบบหักผลจากเงินเฟ้อออกไปแล้ว คือ Real Yield
ซึ่งก็เป็นคอนเซปต์เดียวกับเรื่อง อัตราเงินเฟ้อ = Nominal Yield - Real Yield นั่นเอง
เนื่องจากอัตราผลตอบแทนทั้ง 2 แบบ เปลี่ยนแปลงไปตามการซื้อขายของนักลงทุน
อัตราเงินเฟ้อที่ได้ จึงสะท้อนอัตราเงินเฟ้อจากมุมมองของนักลงทุน นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม มุมมองเหล่านี้ก็มีความผันผวน
และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามข่าวสารหรือข้อมูลใหม่
อย่างเช่น จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น
จากรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ออกมาดีกว่าคาด
หรือแม้แต่จากการสื่อสารของธนาคารกลาง
สำหรับใครที่สนใจติดตามข้อมูลเหล่านี้
เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน
ก็สามารถดูข้อมูลได้จาก https://fred.stlouisfed.org/series/T10YIE
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.brookings.edu/blog/up-front/2020/11/30/what-are-inflation-expectations-why-do-they-matter/
-https://fred.stlouisfed.org/series/T10YIE
-https://www.cnbc.com/2021/05/10/americans-fear-highest-inflation-in-nearly-a-decade.html
-https://www.cnbc.com/2021/05/12/consumer-price-index-april-2021.html