Happy Birthday to me. 34 years of being alive, 34 years of smiles and tears 😄
At age 34 i'm starting to understand how everything that has happened, has happened for me. Things don't just happen to me. They happen for me. To learn in general, learn to accept, to acknowledge, to embrace and to face whatever come my way.
If birthday wishes works, i wish for myself and my loved ones "平安". 平平无奇的安稳, that is the kind of blessing i truly am grateful for 🤍 And i wish for the world the same.
Reflection on my life thus far, 34 years; 408 months; 12,410 days; 297,840 hours.. First 4 years, blur. Tbh do not rem much except going to the hospital to see @pigpigrocks when she was born. I was 3.
5th - 12th year, fear and confusion 😂 Preschool and Primary school were generally very confusing for someone who don't understand English, and who mostly have no idea what the teacher is saying 😃 And that lead to me eating alone in the toilet sometimes LOL i much prefer that than eating alone at canteen during recess 😄
13th - 16th year, infatuation and frustration 🥲 I just wanted to fall in love, get married and have kids??? Why do i have to learn algebra??? 🙂😂 Can't say i feel greatly different about algebra now 😂
17 yro me was just wild 🙈🙉🙊
18 yro me met Josh and the rest is history 😂 He stuck with me for the rest of his life man 🙂🤡
28 yro me got pregnant and my entire life purpose changed ❤️
30 yro me got served with two lawsuits and spiralled deep down into the dark side of life 😂 Bouncing back has been a journey i treasure and reflect upon a lot ❤️
32 yro me became a mother of 3 and started @qingbyqult ❤️ Learnt how to.. Let life lead me.
34 yro me.. Trying to find ways to do more, give more, live more, love more❤️
Happy Birthday, me. Thank you for those who sent wishes and gifts, i appreciate them but really just a good wishing is more than enough 🙏🏻🙇🏻♀️
how to say toilet in english 在 โปรแกรมเมอร์ไทย Thai programmer Facebook 的最佳貼文
มีน้องๆ ถามมาว่าอยากเป็นโปรแกรมเมอร์ได้มั๊ย
.
ดังนั้นผมจึงทำลิสต์ไว้ 3 ข้อเอาไว้เช็ค
ดูว่าเราเองนี้มีคุณสมบัติเหมาะกับการเป็นโปรแกรมหรือเปล่า
.
😍 1) ต้องมีความเป็นนักประดิษฐ์
การเขียนโปรแกรมต้องมีการสร้างโน่นสร้างนี้ตลอดเวลา
สร้างเว็บ เกม แอพลิเคชั่นมือถือ สร้างโปรแกรมต่างๆ บนโลกคอมพิวเตอร์
.
พูดง่ายๆ คือสร้างซอฟต์แวร์บนคอมนะครับ
นี้คือสิ่งประดิษฐ์ที่ล้วนเกิดจากแป้นพิมพ์คีย์บอร์ด
ที่เหล่าโปรแกรมเมอร์เสมือนร่ายเวทมนต์เสกมันออกมา
.
จะให้ลองนึกถึงนักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ระดับโลก
เช่น โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison)
ถ้าสมัยนี้ก็ พี่มาร์ค ซัคเคอร์เบิกผูสร้างเฟสบุ๊ค
บิลเกตผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์
สติฟจอป ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล
.
นี้ขอยกตัวอย่างคนดังๆ
ถ้าน้องไม่รู้จักลองคนเหล่านี้
ลองเอาชื่อที่เอ่ยมาสักครู่ไปค้นประวัติดูได้
.
แล้วถ้าเกิดชอบ
รู้สึกว่ามีคนพวกนี้เป็นไอดอล
อยากขอลายเซนต์
อยากถ่ายรูปด้วย
ก็อยากจะกวักมือให้อ่านบทความนี้จนจบ
.
เอาเป็นว่าอยากให้ลองถามหัวใจตัวเอง
ถ้าน้องๆ ชื่นชอบการสร้าง การประดิษฐ์คิดค้น
มีความสุขที่ได้สร้างอะไรขึ้นมาด้วยสองมือเราเอง
ยิ่งมันเสร็จขึ้นมา เราจะรู้สึกวาว
มันเจ๋ง มันเยี่ยมยองกระเทียมเจียว
แล้วยิ่งมีคนมาใช้งานสิ่งที่เราสร้าง
.
ลองนึกถึงน้องๆ ได้สร้างเฟสบุ๊คมากับมือ
น้องภูมิใจไหมที่มีคนใช้กันเป็นพันล้านคนทั่วโลก
ถ้าน้องๆ รู้สึกโคตรภูมิใจมากๆๆ มีความสุข
ที่เห็นสิ่งประดิษฐ์เราออกสู่สายตาโลก
ยินดีด้วยนี้คือก้าวแรกของเส้นทางการเขียนโปรแกรม
.
😍 2) ต้องเป็นนักแก้ปัญหา
นึกถึงคนที่เขียนโปรแกรม
พวกเขาจะมีอุปสรรคปัญหาให้แก้ตลอดเวลา
.
✔ จากลูกค้าที่โยนปัญหามาให้เรา
✔ หรือโปรแกรมเราที่ติดบั๊ก แต่ไม่ติดรอหัวใจ
✔ โปรแกรมเกิด error หรือข้อผิดพลาดในโปรแกรม
✔ เวลาทำงานไม่ผ่าน ทำงานไม่ตรงตามจุดประสงค์
✔ โปรแกรมก็ต้องมานั่งตามเช็คตามล้าง
.
อาชีพนักเขียนโปรแกรม พวกเขาต้องมานั่งขบ คิด
บางทีปัญหาไม่จบในที่ทำงาน
นอกเวลาก็ต้องมานั่งคิด
เช่น กินข้าว อาบน้ำ นั่งถ่ายในห้องน้ำ ก็ต้องนั่งมานั่งคิด
.
เพราะบ้างทีชั่วโมงทำงานมันจบไปแล้ว
แต่หัวสมองเรายังไม่จบ
ยังเกิดความรู้สึกคาใจ อยากแก้ปัญหาคาใจให้ออก
.
บางคนขนาดตอนหลับก็เอาไปฝัน
สามารถคิดแก้ปัญหาตอนหลับได้ก็มี
หัวสมองเราต้องเป็นนักสู้
สู้ในที่นี้ หมายถึงสู้เพื่อแก้ไขปัญหา
พอแก้ปัญหาได้ รู้สึกว่ากูเจ๋ง กูเยี่ยมว่ะ
เราเองสุดยอดที่แก้ปัญหาได้
.
ลองนึกถึงเวลาเล่นเกมปัญหาเชาว์ต่างๆ เช่น
จับผิดสิ่งที่อยู่รูปภาพ
หรือทายปริศนาคำศัพท์
หรือเล่นเกมรูบิก เป็นต้น
.
ถ้าน้องรู้สึกชอบว่ะ พยายามสู้
พยายามแก้ปัญหาเชาว์พวกนี้
แก้ให้ได้ แก้ไม่ได้ จะไม่เลิก
.
ยิ่งแก้ได้ ยิ่งจะกระโดดโลดเต้น
ถ้าน้องมีความรู้สึกแบบนี้ ยินดีด้วยครับ
นี้คือก้าวที่สองของเส้นทางสู้การเขียนโปรแกรม
.
😍 3) ต้องสนใจและติดตามเทคโนโลยี
งานเขียนโปรแกรม
งานส่วนใหญ่อยู่ใลกไอที คอมพิวเตอร์
พื้นฐานจะเป็นนักเขียนโปรแกรมได้
ต้องสนใจและติดตามเทคโนโลยี
ตรงไปตรงมามากๆ
อยากลืมว่าเทคโนโลยีมันเปลี่ยนแปลงเร็ว
บ้างตัวมา แล้วไปฆ่าเทคโนโลยีอื่นตาย
.
✔ กล้องถ่ายรูปแบบฟิล์ม เดี่ยวนี้เป็นกล้องดิจิตอล
✔ โทรศัพท์มือถือเมื่อก่อนยังขาวดำ ปุ่มกดธรรมดา
ปัจจุบันเป็นทัสสกรีน หน้าจอสัมผัส เป็นสมาร์ทโฟน
.
การที่คนเขียนโปรแกรมต้องเรียนรู้
ปรับตัวตามกระแสเทคโนโลยีให้ทัน
จะทำให้คนภายนอกมองว่าเราคือผู้เชี่ยวชาญ
เขามาจ้างเราเพราะอะไรรู้ไหมครับ?
.
เพราะเขาทำไม่เป็น
อย่าลืมว่าคนไม่เป็นไอที
ยังไงเขาก็ไม่เป็นจริงๆ เลยนะ
.
ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องจ้างเขียนโปรแกรม
ยิ่งเราเก่งด้านนี้
กล้าพูดได้เลยว่า
สามารถเรียกค่าตัวให้แพงได้
เพราะเราในสายตาลูกค้า หรือนายจ้าง
คือผู้เชียวชาญ เพราะเขาทำไม่ได้อย่างเรา
ดังนั้นเราไม่ใช่กระจอก
.
เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่หมั่นตามเทคโนโลยี
ไม่หมั่นฝึกฝน
ไม่เป็นผู้เชียวชาญ
แล้วเราจะเก่งได้ไง
.
นี้แหละคือคุณสมบัติ 3 ข้อ
ในการเช็คว่าเราเป็นนักเขียนโปรแกรมได้หรือไม่
.
.
🧘♂ ++++++ 🧘♂
.
ทิ้งท้าย
ทุกอาชีพมันก็มีด้านมืดด้านสว่าง
ด้านสว่างทางสายนี้ คือเงินดี
.
ยิ่งเป็น เอาท์ซอร์ส หรือ contact
เงินเดือนเกินครึ่งแสน
เก่งจริงมีให้เห็นมาแล้ว
ยิ่งภาษาอังกฤษได้
โปรไฟล์จะเราจะหล่อสวย
มีแต่คนจ้องตามจีบ
.
ยิ่งรู้จักเก็บเงินดีๆ
ยิ่งรู้จักใช้เงินทำงานให้เป็น
รับรองได้เห็นเงินล้านก่อนอายุ 30 ไม่ยาก
.
แต่ถ้าเป็นพนักงานประจำ
ก็ต้องบอกตามตรงรายได้จะไม่สูงมาก
ยกเว้นไปทำต่างชาติ
หรือพวก startup บางเจ้า เขากล้าจ้างแพง
.
ส่วนด้านมืดคืองานเครียด
อาชีพนี้อยู่ได้เพราะเรา....
ต้องใช้สมองแก้ปัญหา ให้ลูกค้า
เพราะลูกค้า หรือนายจ้าง
เขาทำไม่ได้เหมือนเรา
จึงต้องมาจ้างเราเขียนโปรแกรมให้
.
สำหรับบทบาทอาชีพนี้
ถ้าเปรียบเป็นนักฟุตบอลคือ
ไม่ตำแหน่งกองหลัง ก็ผู้รักษาประตู
ทำงานปิดทองหลังพระเสียมากกว่า
เราไม่ใช่กองหน้า
.
พอไม่ใช่กองหน้าซุปเปอร์สตาร์
บางคนเลยเจอกดเงินเดือนลง
ทั้งที่ความรับผิดชอบเกินเงินเดือน
.
ถ้าใจไม่รักไม่ชอบอยู่ยาก
ยิ่งถ้าไม่มีพื้นฐาน 3 ข้อที่กล่าวมา
รับรองอยู่ได้ไม่นาน
ก็เบื่อลาออก
ไปทำอย่างอื่นกันหมด
.
อย่าลืมในโลกใบนี้
มันมีงานที่เงินดี
ที่ไม่ต้องใช้สมองแก้ปัญหา
เหมือนนักเขียนโปรแกรม
งานดีเงินดีมีเยอะมากมาย
.
เพียงแต่อาชีพไหน?
จะเหมาะกับตัวตนน้องๆ
ถูกจริตหรือไม่ ก็เท่านั้นเอง
.
งานที่ไม่ใช่ ยังไงก็ไม่ใช่
.
.
.
.
.
.
.
.++++++++++++++++++++++++++++
<ประชาสัมพันธ์ ขายหนังสือ/>
“โปรแกรมเมอร์ก็รวยได้ ด้วยเส้นทางเอาท์ซอร์สสายดำ”
ความยาว 176 หน้า กระดาษ A5 (≈ 41,002 คำ)
แบ่งเป็น 2 เวอร์ชั่น
.
👉 1) เวอร์ชั่นพิเศษเป็น PDF
ปรินต์ออกมานอนเกาพุงอ่านได้ ราคา 330 ฿
ติดต่อสั่งซื้อไดที่ไลน์ @269aibvq (เฉพาะ PDF)
.
👉 2) เวอร์ชั่นอีบุ๊กอ่านผ่านโปรแกรมของเว็บ mebmarket
ไม่มีแจก PDF ปรินต์ออกมาไม่ได้
ราคาถูกลงมาหน่อย 250 บาท ฿
กับ 279 บาท ฿ (ซื้อผ่านระบบ Apple)
ซื้อได้ที่ 👇
https://www.mebmarket.com/web/index.php…
.
สำหรับตัวอย่างหนังสือ ดาวน์โหลดได้ตามลิงก์ข้างล่าง 👇
https://drive.google.com/open…
.
✍ เขียนโดย โปรแกรมเมอร์ไทย thai programmer
Sisters asked me if I want to be a programmer.
.
So I made 3 lists for checking out.
Let's see if we qualify as a program.
.
😍 1) An inventor must be
Programming must be built all the time.
Build web games, mobile application, create programs in the computer world.
.
Easy to say. It's built software on computer.
This is an invention that was all caused by keyboard.
Where the virtual programmers cast their spells.
.
Let's think about the scientists, the innovators, the world.
Like Thomas Alva Edison (Thomas Alva Edison)
If these days, it's me, Mark sạkh, the creator of Facebook.
Bill Gate, the founder of Microsoft.
Stiff Jopp, founder of Apple Company.
.
Let's give a celebrity example.
If you don't know, try these guys.
Let's get your name in a while. Let's go through the history.
.
What if I like it?
Feel like these people are idols
I want to ask for a signature.
Wanted to take a picture
I want to shake my hand to read this article until the end.
.
Let's just say that I want you to ask your heart.
If the sisters love creating invention
Happy to create something with our own two hands.
The more it's done we'll feel shiny
It's cool. It's great. Jeaw garlic.
And more people use what we create.
.
Let's think about the brothers and sisters. Created Facebook with their hands.
Are you proud that there are billions of people around the world?
If the sisters are feeling very proud and happy.
Seeing our invention out of the world.
Congratulations, this is the first step of the programming path.
.
😍 2) must be a problem solver
Think of the programming people.
They will always have obstacles to solve.
.
✔ from customers who throw us trouble
✔ or our program that sticks to the buck but doesn't get stuck waiting for the heart.
✔ error or error program error
✔ Working time, not working, not working on purpose.
✔ Programme, I have to come to sit and check and wash.
.
Programmers career. They need to sit and think.
Maybe problems don't end at work
I have to sit and think about it.
Such as eating, taking shower, sitting and filming in the toilet, I have to sit and think.
.
Because sometime in the working hours are over
But our head is not over yet.
I still feel like I want to solve my problem.
.
Some people even when they sleep, they take it to dream.
I can think of solving problems when I sleep.
Our head is a fighter.
Fighting here means fighting to fix the problem.
When I can solve the problem, I feel like I'm cool. I'm great.
It's me. The best that I can solve problems.
.
Think about game time, chow problems like
Catching the wrong thing in the photo
Or guess the vocabulary puzzle
Or play Rubik, etc.
.
If you feel like it, try to fight.
Trying to solve these chao problems
I can't solve it. I can't fix
.
The more I can solve, the more I can jump and dance.
If you have feelings like this, congratulations.
This is the second step of the path to programming.
.
😍 3) Must be interested and follow technology.
Programming
Most jobs are in computer IT.
The basics can be a program writer.
Need to be interested and follow technology
Very candid.
I want to forget that technology is changing fast.
Some of them come and kill other technologies.
.
✔ This single film camera is a digital camera.
✔ Mobile phone used to be white, black, black, normal pressing button.
Currently, it's Tuspicious. The touch screen is a smartphone.
.
The way a programmer needs to learn
Adapt to the technology trend.
Will make outsiders think that we are experts
Why did he hire us?
.
Because he can't do it.
Don't forget that people are not IT.
He's not really real at all
.
That's why he has to hire to program.
The more we are good at this.
I dare to say that
Can be charged to be expensive
Because we are in the eyes of customers or employers.
I'm an expert because he can't do it like me.
So we are not shoddy
.
So if we don't stand by technology
No practice.
I'm not an expert
How can I be good at it?
.
Here are 3 qualifications.
In check if we can be programmers
.
.
🧘♂ ++++++ 🧘♂
.
Backing up.
Every career has a dark side, bright side.
The bright side this line is good money
.
The more outsource or contact
Salary is over half hundred thousand
Really good. I have seen it.
The more English I get.
My profile will be handsome, beautiful.
There are many people who follow me.
.
The more you know how to save good money.
The more you know how to spend money to work.
I guarantee that it's not difficult to see a million before 30
.
But if it's a full time employee.
I have to be honest. The income won't be very high.
Except to go foreign.
Or some startups. They dare to hire expensive people.
.
The dark side is stressful work
This career lasts because of us....
Need brain to solve problems for customers.
Because of a customer or an employer.
He can't do it like us
So you have to hire us to program it.
.
For this career role.
If it's like a footballer, it's
No defender position, goalkeeper.
Working to close gold after monk's back is more broken.
We are not a striker
.
Enough is not a superstar striker.
Some people found that they pressed their salary down.
Responsibility is beyond salary
.
If you don't love, you don't like
If you don't have the 3 basics that you say.
Guaranteed it won't last long
I'm bored to quit.
Let's go do something else
.
Don't forget in this world
It has a job that pays well
That doesn't need brain to solve problems.
Like a program writer.
Good work, good money, lots of them.
.
Just what profession is this?
I will be suitable for the younger ones.
Right or not. That's all.
.
A job that is not a job is not a thing.
.
.
.
.
.
.
.
.++++++++++++++++++++++++++++
< Public relations book sale />
′′ Programmers can also be rich with black outsource routes
Length 176 pages h̄n̂ā paper (≈ 41,002 words)
Divided into 2 versions
.
👉 1) Special version as PDF
Princess came out to sleep and scratch my belly. Read it. Price is 330 ฿
Contact Line s̄ạ̀ng sụ̄̂x 269 aibvq (PDF only)
.
👉 2) Ebook version read through the program of mebmarket web.
There is no PDF giving away. Can't print.
The price is cheaper. 250 baht ฿
With 279 Baht ฿ (Buying via Apple System)
Buy it at 👇
https://www.mebmarket.com/web/index.php?action=BookDetails&data=YToyOntzOjc6InVzZXJfaWQiO3M6NzoiMTcyNTQ4MyI7czo3OiJib29rX2lkIjtzOjY6IjEzMTQxMiI7fQ
.
For the book preview, download the link below 👇
https://drive.google.com/open?id=1tAnMozeYd63dcbBGTQmT_ZrpSaamZS3e
.
✍ Written by Thai programmer thai coderTranslated
how to say toilet in english 在 謙預 Qianyu.sg Facebook 的最佳解答
【教書育人,立德樹人】(English writing below)
「李老師,怎麼我看妳都不會發火的?看來我要跟妳修行,學學妳的耐性!」
上星期,一位同事突然冒出這句可愛的話語。
我教書不知不覺已有十一年, 教了至少兩百多個學生。教導小朋友和我的客人,其實沒什麼分別,一樣都是迷糊,一樣需要一位老馬識途的老師來引導,有些小孩其實比大人還懂事。在這引導過程中,我嚴厲時,客人、孩子是否能受教,就看他們對我的信任和自身的學習態度了。
身為老師,臨場反應和懂得變通是很重要的,而我自己對這三項事也很堅持:
一、我不稱讚學生的外表
有些父母會把幼小的女兒打扮得很漂亮,頭髮綁得美美,每星期穿著不一樣的蓬蓬公主裙,頭上還戴著一個小皇冠來上課。但穿得再美麗,我絕不對她們說:「哇!可愛啊!漂亮啊!美麗啊!」
課室不是選美的舞台。我不想學生們的心靈建立在外表上,內心卻是空洞的。沒有被李老師稱讚漂亮的孩子,心裡會怎麼想呢?以後她們也要打扮漂亮來上課嗎?父母若沒這經濟能力呢?
.
某小一生喜歡打扮清涼,總穿著牛仔熱褲和無袖露臍裝。她向我喊冷,被我狠狠地訓:「妳來上課,妳知道課室有冷氣,為什麼妳沒有穿好來或帶外套?妳看老師也沒穿妳那樣的衣服,妳的朋友也沒有。每個星期老師在講課,妳冷到分心,又一直打斷老師的課喊冷。那妳告訴老師,這是妳的問題還是李老師的問題?」
她默默地說:「我的問題。」
「是妳的問題,妳就自己去解決,不要把妳的問題推給老師,妳這樣是很自私的。」
那天下課,我提醒她母親讓孩子帶外套上課。她母親得知後,就說:「哎呀,她啦,每次都要穿成那樣,說那樣才美!」
「媽媽,孩子不懂,需要家長的提醒。我已告訴孩子了,請媽媽協助。」
那也是那小女孩在我課堂上,最後一次喊冷了。
.
那天是新學年的第一堂課。
這小孩躲在課室門外,無論媽媽怎麼勸和哄,她都一直哇哇大哭,不肯踏進課室。所有的孩子都已就座,唯獨她。我看著她那嬌小的身影,心想要上課了,總得想個辦法。
我走到門外,伸出我的手,說:「下午好,我是李老師。妳可以告訴我妳叫什麼名字嗎?」
孩子一把鼻涕,一把淚地說出自己的名字。我便驚呼:「XX,哇!妳知道嗎?妳的頭髮好漂亮啊!卷卷蓬蓬的!李老師好喜歡啊!是媽媽幫妳梳頭嗎?還是妳自己梳?」
就這樣,一問一答中,我慢慢地把孩子牽進課室了。那是我第一次,也是最後一次稱讚她的外表。我是真心覺得她的自然捲髮很漂亮。據聞,這孩子到別班補課時,還是會哭得唏哩哇啦,唯獨來我班。她自己也說不上為什麼。我想,也算是我們師生間的一種五行的緣份。
..........................
二、我注重孩子的禮儀
某次有位同事說,助我的課是一種享受,因為學生的秩序好,功課也好。
我要求孩子進到課室,要向老師打招呼 (很多都不會),上課時不許講話,也不準以英語和同學溝通,交上作業,要放整齊。要上廁所,要先站好才問老師:「李老師,請問我可以上廁所嗎?」而不是一邊拉著褲子,一邊嚷嚷:「我要去廁所!」
禮貌,是最容易行的善,也是我們人類最初學的善。
在這方面,我很有原則。同事問我,為什麼注重學生們的體統和禮貌?
我說,這才能製造一個好的學習環境,對老師來說,教書愉快,對小朋友來說,學習也愉快。懂得說謝謝,懂得說對不起,懂得謙讓,可以促進人與人之間的關係。將來他們長大後,我希望他們好的禮貌,能為他們贏來好的人緣,工作起來,很多事情會比較順利。
..........................
三、我對能力強孩子的要求
每一個班上,都會有些小朋友天資聰穎,一教就會。完成功課彷彿電光石火般的速度。
問題是,年紀小小就比同學們卓越時,會忽略了互相幫助的重要。
有一次,一位已完成功課的學生被我安排去協助班上較弱的同學。她教到一半時,發出很不耐煩的聲音,馬上被我喝止。
「妳也會有做錯功課,或不會做功課的時候,李老師每一次都教妳,有沒有這樣地喊過妳?」
她扁著嘴搖搖頭。
「那妳為什麼沒有學習老師教導的態度,去幫助妳的同學?」
她說不出話。
「妳很聰明,老師很開心,妳的學習能力很強,但老師希望妳的聰明不只是為自己,也能夠去幫助比妳慢的朋友,就好像老師用我們的聰明來幫助你們,大家一起進步,這樣的聰明才是最厲害的。」
天賜於你大能力,你就要學會擔當比較大的責任,種下善因,將來依舊有這因緣能有大智慧。
..........................
這十多年來,教了兩百多個學生,遇到很多不同類型的父母和莘莘學子。我當然也曾被一些孩子推倒,抓傷,甚至大聲吼叫,也曾親眼看到同事被學生用鉛筆挫傷手掌,鮮血淋漓,嚇得我在那兒大呼小叫。
很多父母有空生,沒空教,沒能力教,這是事實。我無法用我的玄學本領來改善他們的家庭問題,雖難免有遺憾,但在四面牆的課室裡,我盡我教書的能力,幫助家長們培育他們的孩子。
無論是客人還是小朋友,在我心中,從來都沒有壞學生,只是我還沒找到最適合的教導方法而已。
今年我遇到很多很棒的老師,都很努力地貢獻給小朋友。感恩有她們的陪伴,也很感謝父母們這一年裡送給我的禮物。
我們都是人類靈魂的工程師,大家再接再厲,一定能賦予孩子們一個非常健康的生命成長過程,讓他們擁有既美好又有意義的回憶。
.....................................................
"Teacher Lee, why do you never get angry? I must learn spiritual cultivation from you to learn your patience!"
Last week, a colleague adorably said that to me out of the blue.
I have been teaching for 11 years unknowingly. Teaching my clients and young children are not very different. Both are equally clueless, both need the guidance of an experienced teacher. Some children also turn out to be more sensible than adults. In this process of guiding, when I am strict, whether the clients or students can accept the teachings, will depend on their trust in me and their personal learning attitude.
As a teacher, adaptability and spontaneous reaction are very critical. And these are the three matters that I am very principled in:
1) I do not praise the outer appearance of my students.
Many parents will doll up their daughters for class. Some little girls will come with fanciful braids and in different princess frocks every week. There are some who even wear a sparkling tiara. No matter how prettily dressed they are, I never exclaim at them, "Wow, how cute! How pretty! How beautiful!"
A classroom is not a stage for a beauty pageant. I do not wish for the young children to build a strong mindset based on external appearances, and have an empty heart. For the children who do not get praised on their appearances by me, what would they be thinking? What if they too wish to dress up next time? What is going to happen if their parents do not have the financial ability to support their vanity?
.
One P1 girl liked to dress in denim shorts and sleeveless cropped tops. Very often, she would complain of coldness. Once I got very stern and told her, "You know that the classroom is air-conditioned. Why did you come to class without a jacket? You do not see me dressed like you, your classmates do not either. Every week, you would get so cold that you cannot focus in class and would interrupt me often with your complaints of coldness. Tell me, is this a problem you or Teacher Lee created?"
She replied quietly, "I created."
"Since you created this problem, then you have to solve it yourself. Do not push your problem to me. That is very selfish of you."
That day after class, I reminded her mother to pack a jacket for her. After knowing what happened, her mum said, "Aiyah, she lah, always want to dress like that, say like that then pretty."
"Madam, the kid does not realise that, so she needs the reminder from her parents. I have already spoken to her and I seek your assistance."
That was the last time the little girl ever complained of coldness in my class again.
.
It was the first lesson of a new academic year.
This child hid beside the classroom door. Regardless how her mother advised or coaxed her, she cried non-stop, refusing to step inside the class. All the kids were already seated, sans for her. I looked at her minute figure, and looked at the clock. The class got to start soon. I had to think of a way.
I walked out of the classroom and stretched out my hand, "Good afternoon, I am Teacher Lee. Can you tell me your name?"
In between her blubbers of tears and mucus, the child told me her name. I exclaimed, "XX, wow! Do you know that your hair is very pretty? It's curly and bouncy! Teacher Lee likes it a lot! Did Mummy comb your hair for you, or did you do it yourself?"
Just like that, in our mini Q&A, I slowly led the child into the classroom. That was my first and last time complimenting on her looks. I sincerely do think she has really pretty natural curls. From what I heard, when this child goes for make-up lessons in other classes, she would still cry like a baby, except for my class. She couldn't tell me why either. I guess, this is an elemental affinity of our teacher-student bond.
..........................
2) I value manners in my students
A colleague once told me that assisting me in my class was an enjoyment, as the class had good order and the children could do their work well.
I insist that children must greet the teachers when they enter the classroom (Many don't). They are not allowed to talk during lessons, and definitely not in English. When they submit their work, they have to do it neatly and not throw it onto the teachers. If they wish to go to the restroom, they must stand properly and ask, "Teacher Lee, may I go to the restroom?", and not grab on to their pants and yell, "Teacher, I want to go toilet!"
I am very principled on this, and my colleague asked why the extra emphasis on propriety and courtesy?
Courtesy is the very first form of kindness that we humans learn, and it remains as the easiest kind deed to do.
My reply was: so that we can create a conducive learning environment, that the teachers enjoy teaching in and the children revel learning in. Knowing how to say thank you, sorry and giving way can enhance inter-personal relationships. When these children grow up, my hope is that with their good manners, it pave the way for better relations with people, and life will be much easier for them at home and at work.
..........................
3) I have expectations towards children of stronger abilities
In every class, there will be some children that are especially smart. They learn fast and finish homework at the speed of lightning. Problem is, when they are better than their peers at a young age, they do not always understand the concept of helping one another.
Once, I asked a student who had finished her work to help her weaker classmate. Halfway through, she made loud exasperation sounds and I immediately put a halt to her behaviour.
"There will be times when you do your homework wrongly or do not know how to do. And every time when I teach you, have I ever shouted at you?"
She pursed her lips and shook her head.
"Then why did you not learn my teaching attitude to help your classmates?"
She could not say a word.
"You are very smart and I am happy that you have strong learning ability. However, I hope you do not use your cleverness only for yourself, but also to help your friends who are slower than you. Just like how we teachers use our cleverness to help all of you, so that everyone can improve themselves together. Such cleverness is the most amazing kind."
When Heaven bestows great abilities onto you, you have to learn how to shoulder greater responsibility. As you plough these seeds of kindness, you then regain the affinity for great wisdom even in your next rebirths.
..........................
Having taught 200+ students in over a decade, I have met many different types of parents and children. In this journey of teaching, I have had students who pushed me down with force, scratched me and bellowed at me. I once witnessed a fellow teacher, who had her palm stabbed by a student with a pencil. It was somewhat an accident, but still...
Many parents have the time to give birth to children, but do not have the time and ability to teach. That is a fact of reality. It is always with a slight regret that I cannot use my Metaphysics ability to help them manage their domestic issues, but within the four walls of a classroom, I do my best to help parents groom their children.
Be it my clients or these young children, in my heart, there is never a bad student. Sometimes, it is just that I have yet to find a teaching method that is most suitable for them.
This year, I met many great teachers who are working very hard to contribute to the children. I am thankful to have their help, and also thank you to the parents who have showered me with gifts this year.
We are all engineers of the human soul. Let's work hard so that we can give the children a very healthy growing up process, and that their childhood memories will be beautiful and meaningful.