*** มนุษย์ จะ "เป็น" ได้เท่าที่ตนเอง"เชื่อ" ***
หมออยากจะเล่า "การศึกษาเชิงจิตวิทยา" หนึ่งให้ฟังค่ะ
ทำการศึกษา กับเด็กมัธยม ในสหรัฐอเมริกา
.
ในการสอบครั้งหนึ่ง
เมื่อผลสอบออกมา จะแบ่งเด็ก เป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มที่มีผลสอบยอดเยี่ยม
กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่มีผลสอบอันดับล่างๆ
ไม่มีใครรู้ผลสอบนี้ ยกเว้นผู้วิจัย
และจะไม่มีการประกาศคะแนนสอบ
แต่จะเรียกเด็กเข้าพบ เพื่อแจ้งผลทีละคน
เด็กกลุ่มที่ได้คะแนนยอดเยี่ยม จะถูกแจ้งผลว่า
"คุณสอบได้คะแนนแย่มาก...เป็นผลสอบน่าผิดหวังมากๆ"
เด็กกลุ่มที่ได้คะแนนบ๊วย จะได้การแจ้งว่า
"คุณทำผลสอบได้ยอดเยี่ยม...เป็นความหวังของโรงเรียน"
.
ตามเด็กสองกลุ่มนี้ 1 ปี
.
เด็กกลุ่มที่ 1 เป็นเด็กกลุ่มที่ทำคะแนนได้ดี แต่เค้า "เชื่อ" ว่าตัวเองแย่
เด็กกลุ่มที่ 2 เป็นเด็กที่ทำคะแนนย่ำแย่ แต่ "เชื่อ"ว่าตัวเองเก่ง
.
เด็กกลุ่ม 1 ผลการเรียนตกต่ำลง จนท้ายที่สุด ก็กลายเป็นกลุ่มที่ทำคะแนน ได้รั้งท้าย
กลับกัน
กลุ่ม 2 หลังจากการสอบครั้งนั้น การเรียนก็ดีขึ้นตามลำดับ
จนกระทั่ง พลิกกลับมาเป็นผู้นำ
.
การทดลองนี้บอกอะไรกับเรา
"มนุษย์ จะทำสิ่งต่างๆได้ตามระดับ"ความเชื่อ"
ในความสามารถของตนเอง
.
และคนที่มีส่วนทำให้ให้เกิด "ความเชื่อ" ที่แข็งแกร่งได้
คือคนที่มีอิทธิพลกับคนๆนั้น
.
เด็กทุกคนนั้น
คนที่มีอิทธิพล กับความเชื่อของเด็กมากที่สุดในชีวิตเค้า
คือ "พ่อ กับ แม่" ไงคะ
ลูกจะมีความสุข และประสบความสำเร็จ
ได้ตามที่ พ่อแม่ เชื่อว่าลูกจะเป็น
"เชื่อ" นะคะ ไม่ใช่ "อยาก"
.
อยากให้ลูกเป็นเด็กดี
มันคนละ level กับพูดว่า
ลูกฉันเป็นเด็กดีจังเลย...นะคะ
เพราะเมื่อเราเชื่ออย่างหมดใจ
เราจะ พูด ทำ คิด เพื่อให้เกิดสิ่งนั้นได้จริง
.
เด็กที่อยู่ในการทดลอง
เพียงแค่การบอกให้เชื่อ เพียงครั้งเดียว
ยังเปลี่ยนชีวิตได้ถึงเพียงนี้
.
แล้วคำที่เราพูด เราคิด เราปฏิบัติกับลูก
ซ้ำ..ซ้ำ..ซ้ำ..ซ้ำๆๆๆๆๆ
จะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ
จะทางภาษา หรือ อวัจนภาษา
มันจะทรงอิทธิพล ต่อลูกแค่ไหน
ลองคิดดู !
.
หมอเชื่อเหลือเกินว่า
การเลี้ยงลูกเชิงบวก
พ่อแม่เองนั่นล่ะ ที่ต้องพัฒนาตัวเอง
ให้เป็นคนบวก
.
เพราะฉะนั้น
คิด...พูด...กระทำ กับลูก
ต้องไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนนะคะ
.
เพราะคำพูดของพ่อแม่
เป็น ประกาศิต จริงๆเลยค่ะ
.
สุขสันต์ในเทศกาลปีใหม่นะคะ
หมอแพม
「การเลี้ยงลูกเชิงบวก คือ」的推薦目錄:
การเลี้ยงลูกเชิงบวก คือ 在 หมอแพมชวนอ่าน Facebook 的精選貼文
*** มาเป็น “ผู้เชี่ยวชาญการพูดชม” ให้คนฟังมีความสุขกันเถอะ ***
“การเลี้ยงลูกเชิงบวก”
เป็นคำที่ แม่สมัยใหม่ ใส่ใจความรู้ ทุกคน รู้จักดีใช่มั้ยคะ
มีเพจคุณหมอผู้เชี่ยวชาญมากมายแบ่งปันความรู้ดีๆ
หมอก็เป็นแฟนตัวยงของทุกเพจเลยค่ะ
.
แต่การเลี้ยงลูกเชิงบวกนั้นเป็น “วิธีการ”
ซึ่งเป้าหมายที่เราต้องการจากการช้ วิธีการนี้
คือ “อยากให้ลูกมีความสุข เป็นเด็กที่มีจิตใจดี” ใช่มั้ยล่ะคะ
.
ในวิถีของการเลี้ยงลูกเชิงบวกนั้น
“การชมเชย” อย่างถูกวิธี เป็นเทคนิคที่สำคัญมาก
.
การชม บางคนคิดว่า ใครๆก็ทำเป็น
แต่คิดง่ายๆนะคะ
ในแต่ละวัน เมื่อมีคนชมเรา
เราดีใจ หรือปลื้มใจกับทุกคำชมรึเปล่าคะ ?
ไม่ใช่มั้ยคะ...เพราะบางคำชม เราก็รู้ว่าเป็นชมตามมารยาท
บางคำชม เราก็ไม่ได้รับพลังบวก
เพราะมันไม่มีความจริงใจส่งมา
.
แล้วที่เราชมๆลูก เหมือนเป็นสิ่งอัตโนมัติ....สักกี่คำชมคะ
ที่ลูกรู้สึกปลาบปลื้ม...และเป็นแรงผลักให้เค้าทำสิ่งดีๆนั้นซ้ำ
.
วันนี้หมอมีเทคนิคจากหนังสือ เรื่อง “สุขจัง 119%.
โดย ฮิโรมิจิ โมริชิตะ (สนพ.อัมรินทร์)
.
ซึ่งเป็นเคล็ดลับ ที่ทำให้คำชมของเรา ไม่เหมือนกันเยินยอ ที่ไร้ความหมาย
.
คุณโมริชิตะ เป็นนักพูดสร้างแรงจูงใจชื่อดัง ของประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งหนังสือเล่มนี้ หมอซื้อมาจากร้านนายอินทร์
อยู่ในมุมลดราคา 80%
แต่คุณค่าคุ้มเกินคุ้ม (เพื่อนๆที่ชอบอ่านแนว How to
ไปหาซื้อได้นะคะ คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม จาก 150 เหลือเล่มละ 30 บาท)
.
ซึ่งหมอเชื่อว่า
พ่อแม่ ที่ชมเชยลูก แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกนั้น
ตัวคุณพ่อ คุณแม่เอง
ต้องเป็นคนคิดบวกก่อนค่ะ
เราต้องเป็นคนที่สามารถมองเห็นข้อดีของคนอื่น
และชมได้อย่างจริงใจก่อน
เราถึงจะชมลูกได้อย่างจริงใจ และเป็นอัตโนมัติ
ซึ่งถ้าใครติดตามบทความในเพจ
นอกจากเรื่องการแนะนำรีวิวนิทานแล้ว
หมอมักจะเขียนแนวพัฒนาตน ของคนเป็นพ่อแม่ค่ะ
เพราะหมอก็กำลังพัฒนาตนเองอยู่ทุกๆวันเช่นกัน
หมอแพม