ถ้าไม่อยากอ่านเพราะมันยาว กดเข้าไปดูคลิปได้เลยครับ "ยาวพอกัน"https://youtu.be/B9_D8rr__jI
3 ข้อในการฝึกเล่นกีต้าร์และร้องเพลงยังไง ให้ดูเป็นมืออาชีพ
แน่นอนล่ะที่ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถทำเรื่องพวกนี้ได้เลย โดยที่ไม่ฝึกมาก่อน หรืออาจจะมีคนบางพวกบางกลุ่มทำได้เลยโดยที่ไม่ต้องฝึก หรืออาจจะฝึกแต่ก็ฝึกน้อยกว่าชาวบ้าน พวกนั้นเราไม่ต้องไปพูดถึงครับ เพราะเราจัดให้มันอยู่ในกลุ่มของพวกที่มี พวงสวรรค์ เอ๊ย…“พรสวรรค์”
อ้าว แล้วอย่างเราๆ คนธรรมดาล่ะ จะทำอย่างไรถึงจะสามารถฝึกและทำได้อย่างเขาบ้าง อดทนดูคลิปนี้ให้จบครับ น้าปูพยายามรวบรวมสิ่งที่คาดว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย ในการฝึกฝนมาให้ทุกท่านได้เป็นแนวทาง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ถ้าดูจบแล้ว มันจะเป็นประโยชน์ต่อทุก ๆ คนในการฝึกหัดอย่างมีเป้าหมาย
อันดับแรกมาวิเคราะห์กันก่อน ว่าปัญหาที่เกิดและวิธีการแก้เราสามารถทำอะไรกับมันได้บ้าง
จังหวะ
อันนี้คือปัญหาใหญ่ไม่ว่าคุณจะร้องเก่งแค่ไหนเอื้อนได้กี่ชั้นหรือเสียงจะหวานปานน้ำตาลปิ๊บที่ เคี่ยวจนข้น ถ้าเล่นไปด้วยร้องไปด้วยแล้วเกิดปัญหาไม่สามารถคุมจังหวะได้ละก็ ล่มเละทุกราย ซึ่งสาเหตุมันไม่ได้เกิดจากอะไรที่เราไม่รู้หรือคาดไม่ถึง แต่มันเป็นเป็นแค่สิ่งที่เรามองข้ามมาตลอดในขั้นตอนการฝึกนั่นก็คือ
หมกมุ่นและจริงจังกับการฝึกที่มันกระโดดข้ามขั้นตอนเกินไป สุดท้ายไปไม่สุดซักทาง ครึ่งๆ กลางๆ
ข้อนี้สามารถอธิบายได้ง่ายๆ คือ ในยุคนี้ การที่เราอยากเล่นเพลงอะไรซักเพลงมันไม่ใช่เรื่องยากที่จะหาคนสอน ก็แค่คุณมีโทรศัพท์หนึ่งเครื่องที่ต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตได้ ก็สามารถใช้ปลายนิ้วจิ้มหาคลิปสอนต่างๆ ได้มากมายบน Youtube หรือโลกแห่ง Internet แต่สิ่งที่คุณไม่เคยประเมินตัวเองเลยจากการดูคลิปเหล่านั้นก็คือ เทคนิคบางอย่างคุณไม่เคยรู้ที่มาที่ไปของมัน คุณหวังแค่ว่า จิ้มตามๆ ไปเรื่อยๆ คุณก็จะทำได้ คุณก็จะเก่ง คุณไม่ได้คิดผิดหรอกครับ แต่แค่สิ่งที่คุณคิดมันถูกไม่หมด ทดสอบง่ายๆ ก็ได้ ลองดูสิ ลองเล่นไปด้วยร้องไปด้วยจากคลิปที่คุณพึ่งฝึกมาว่า เฮ้ย….มันเล่นและร้องออกมาเป็นธรรมชาติหรือดูแล้วไม่ฝืนแค่ไหน ถ้าไม่มีใครวิจารณ์ ก็ลองใช้วิธีที่ง่ายที่สุดครับ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วอัดตัวเองดู มองอย่างใจเป็นกลางอย่าเข้าข้างตัวเอง ถ้าดูแล้วชอบ ก็ปล่อยผ่านข้อนี้ไปได้เลย แต่ถ้าดูแล้วขัดใจตัวเอง มาดูกันว่าจะแก้ไขยังไงได้บ้าง
แนวทางแก้ไข
o หยุดทุกแพทเทิร์นที่เคยฝึกมาถ้ารู้สึกว่า กำลังเป๋ แล้วย้อนกลับมาที่เบสิค โดยการนึกภาพเหมือนปรบมือร้องเพลง แล้วไม่ต้องคิดอะไรมาก ดีดลงอย่างเดียวเหมือนเราตบมือนั่นแหละ ให้มันตรงจังหวะก็พอ นึกภาพไม่ออกว่าทำอย่างไร ก็เปิดคลิปตามลิงค์ดูประกอบ
o ถ้าทำได้แล้วค่อยเพิ่มการขยี้ คราวนี้จะเล่นยังไงมันก็ทำได้ไม่ยาก
o ถ้ามั่นใจว่าทำได้ ทำดีแล้ว คราวนี้ไปที่ข้อต่อไป
ใส่ความรู้สึกและอารมณ์ลงไปบ้าง อย่าสักแต่เล่นให้จบๆ เพลง
อันนี้สำคัญ ถ้าคุณรักหรืออยากที่จะทำในสิ่งนี้แล้ว ทำไมไม่ลองคิดสักเสี้ยวละครับว่า เราน่าจะทำมัน
ให้ออกมาดีที่สุดโดย ละทิ้งความรู้สึกเขินอายทั้งปวง ทำไมน้าปูถึงหยิบประเด็นนี้มาพูด มันง่ายมากครับ ถ้ายังไม่อ๋อหรือเข้าใจประเด็นที่น้าปูกำลังพูด งั้นลองคิดแบบนี้ครับ เวลาที่เราดูนักแสดง ดูนักร้อง หรือดูใครก็ตามที่กำลังแสดงโชว์บางสิ่งให้เราดู แล้วเรารู้สึกว่ามันไม่ดี มันแข็ง มันไม่ถูกใจ เรารู้สึกยังไง แน่นอนครับไม่ต้องมีทฤษฎีหรือหลักวิชาการใด ๆ มารองรับ เราก็สามารถบอกกับตัวเองได้เลยว่า เราไม่อยากดูต่อ ดังนั้น ถ้ารักหรืออยากจะทำ ลองทำให้สุดในศักยภาพที่เรามีครับ อย่าเขิน อย่าอาย เพราะถ้าทำไปอายไป น้าปูแนะนำว่าหยุดทำเถอะ เพราะคนดูเขาดูแล้วเขาจะจำว่าเราเป็นอย่างรสุดท้ายเขาจะไม่อยากกลับมาดูเราอีก
และสุดท้ายสำหรับข้อที่ 3 คือ
อย่ากลัวว่าจะทำออกมาแล้วไม่ดีเลยไม่กล้าทำ
กลัวและไม่กล้าที่จะเล่นหรือร้อง อันนี้เป็นปัญหาใหญ่ แก้ยังไงก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นปัญหาทางด้านจิตใจ คำว่าปัญหาทางด้านจิตใจแปลว่าอะไรโดยในข้อนี้ น้าปูขอแยกมันออกมาที่การร้องอย่างเดียวก่อนนะครับ เรายังไม่เอามันไปรวมในหัวข้อของการเล่นและร้องไปพร้อมกัน
ข้อนี้ทุกคนสามารถคิดหรือกลัวได้ครับ แต่น้าปูขออย่างเดียวคือให้คิดและกลัวแค่ตอนซ้อมเท่านั้น
อย่าเอาความคิดนี้แบกขึ้นไปบนเวที หรือสถาณที่ที่จะโชว์ด้วยด้วยเด็ดขาด เพราะเมื่อคุณขึ้นไปยืนตรงนั้นแล้ว คนดูเขาไม่รู้หรอกว่าคุณพร้อมแค่ไหนกับโชว์ เขาคิดอย่างเดียวคือ เขากำลังจะได้ดูโชว์จากคุณ ซึ่งมันต้องผ่านการเตรียมตัวมาดีแล้วแน่ๆ ( หรืออาจจะไม่ดี อันนี้เรารู้อยู่แก่ใจ ) โอเคล่ะมันอาจจะไม่ได้ดีหรือสมบูรณ์แบบระดับมืออาชีพ หรือศิลปินระดับโลก แต่คุณต้องคิดว่า ณ.เวลานั้น ไม่ว่าคุณจะตั้งใจหรือไม่ก็ตามในการขึ้นไปยืนบนเวทีนั้น คุณได้กลายเป็นจุดสนใจ หรือจุดเด่นของสถาณที่หรืองานนั้นๆ ไปแล้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้สิ่งที่คุณต้องทำให้ได้ไม่ว่าโชว์จะผิดพลาด หรือเตรียมตัวมามากน้อยแค่ไหนก็ตามยังไงก็ตามคุณต้องเต็มที่กับการร้องหรือการแสดง อย่าคิดหรือเผลอคิดเด็ดขาดว่า วันนี้ไม่พร้อม เลยร้องและเล่นแบบครึ่งๆ กลางๆ แล้วมาพูดตบท้ายทีหลังว่า “ขออภัยพวกเรามีเวลาซ้อมกันน้อยมาก เลยทำออกมาได้ไม่ดี คราวหน้าถ้ามีโอกาส เราจะทำให้เต็มที่ครับ”
เชื่อผมครับ 80% คุณไม่มีโอกาสแก้ตัวหรอก เพราะอะไรก็เพราะว่าคนดูเหล่านั้นเขามีภาพโชว์ที่แย่ของคุณฝังในหัวแล้ว คราวนี้คุณลองคิดตามนะแล้วคราวหน้าเขาจะอยากดูคุณอีกหรือ ดังนั้นซ้อมให้ดีอย่ามีข้ออ้างของความผิดพลาดที่เกิดจากการไม่เตรียมตัว
ทั้งหมดทั้งมวลคือ 3 หัวข้อคร่าวๆ ที่น้าปูนึกได้ ณ.เวลานี้ที่นำมาเรียบเรียงจากประสบการณ์ของการเป็นนักดนตรีกลางคืน ลองเอาไปคิดต่อยอด วิเคราะห์ดูนะครับ มันอาจจะไม่ใช่ทั้งหมด หลายๆ คนอาจจะมีข้อคิดหรือเทคนิคที่มากและได้ผลกว่าที่น้าปูพูดถึง ยังไงก็ลองพูดคุยกัน หรือแนะนำเพิ่มเติมเข้ามาครับ
「ครึ่งๆ กลางๆ คือ」的推薦目錄:
- 關於ครึ่งๆ กลางๆ คือ 在 ปู สรธัญ Facebook 的最佳解答
- 關於ครึ่งๆ กลางๆ คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於ครึ่งๆ กลางๆ คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於ครึ่งๆ กลางๆ คือ 在 ครึ่งๆ กลางๆ - bodyslam「Official MV」 - YouTube 的評價
- 關於ครึ่งๆ กลางๆ คือ 在 ครึ่งๆ กลางๆ - bodyslam「Short Film」 กำกับโดย นนทรีย์ นิมิบุตร 的評價
- 關於ครึ่งๆ กลางๆ คือ 在 Tool live สินค้านวัตกรรมที่ทำให้คุณใช้ชีวิตง่ายขึ้นทุก วัน's post 的評價
- 關於ครึ่งๆ กลางๆ คือ 在 พอกะเทินexpress.co.uk football V2.1.8 的評價
ครึ่งๆ กลางๆ คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก คอนเฟิร์ม อุปกรณ์ในยุคถัดไป จะเปลี่ยนจากมือถือ เป็นแว่นตา /โดย ลงทุนแมน
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เห็นอะไรในทศวรรษถัดไป?
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา..
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก โพสต์เรื่องความท้าทายแห่งทศวรรษ
จริงๆ แล้วก็มีอยู่หลายเรื่องที่น่าสนใจ
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุด
ก็คือคำทำนายของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ว่าอุปกรณ์ในทศวรรษนี้ จะไม่ใช่โทรศัพท์มือถือ..
แล้วมันคืออะไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit แอปเขียนบล็อกอันดับ 1
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เรามาดูแพลตฟอร์มเทคโนโลยีในทศวรรษที่ผ่านมาในมุมมองของซักเคอร์เบิร์ก
เขาให้ความเห็นว่า
ในยุค 1990s คือ ยุคของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ
ในยุค 2000s คือ ยุคของเว็บไซต์
ในยุค 2010s คือ ยุคของโทรศัพท์มือถือ
ถึงแม้ว่ายุคโทรศัพท์มือถือจะมีดีหลายอย่าง
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดสำหรับอุปกรณ์ที่เรียกว่า โทรศัพท์มือถือ ก็คือ
มันกำลังทำให้เรา “ห่างกับคนข้างๆ มากขึ้น”
อุปกรณ์ในทศวรรษนี้จะต้องเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยทำให้เรา “มีตัวตนอยู่กับปัจจุบัน”
สามารถทวงคืนความสำคัญของคนที่อยู่รอบข้างกลับมาได้..
ถึงแม้ว่าโทรศัพท์มือถือจะยังเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญในทศวรรษนี้
แต่จะมีจุดหนึ่งในทศวรรษนี้ ที่ทำให้แว่นตา Augmented Reality ก้าวข้ามมาแทนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมันจะมีความสามารถมากพอ ที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์เดิมของพวกเรา
ทำไม แว่นตา Augmented Reality ถึงจะมาช่วยแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ตอนนี้ของโทรศัพท์มือถือ?
ในมุมมองของลงทุนแมน
Pain Point ของโทรศัพท์มือถือ ก็คือ “การก้มหน้า”
ทุกครั้งที่เราก้มหน้า หมายความว่า เราสูญเสียการรับรู้จากสิ่งรอบข้างไป
เทคโนโลยี Augmented Reality จะทำให้เราเพิ่มขีดจำกัดของโลกแห่งความจริง
เราไม่ต้องก้มหน้า ทำให้เราสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้เหมือนเดิม
เพิ่มเติมคือเทคโนโลยีที่จะมาปรากฏผ่านแว่นตา ซึ่งทำให้เราใช้ชีวิตได้สะดวกสบายขึ้น
หมายความว่าเราจะไม่สูญเสียโลกแห่งความจริงไป
ในขณะเดียวกันก็มีเทคโนโลยีมาช่วย สะดวกไม่แพ้การใช้โทรศัพท์มือถือ
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก กล่าวต่อว่า
นอกจากเทคโนโลยี Augmented Reality แล้ว เทคโนโลยี Virtual Reality ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
โลก Virtual Reality ในอนาคต เราจะสามารถเข้าถึงและสัมผัสคนอื่นที่อยู่ห่างไกลได้ ไม่ต่างอะไรไปจากโลกแห่งความจริง
แตกต่างจากโทรศัพท์มือถือที่เราจะเห็นแต่ภาพ ตัวอักษร วิดีโอ โดยเราจะไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึก กิริยาท่าทาง ได้เหมือน Virtual Reality ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของ ความเป็นมนุษย์
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ทำนายว่า
ความสามารถในการนำเสนอ “ความเป็นตัวตนจริงๆ ของคน” จะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในโลกแห่งอนาคตที่จะมาแก้ไขปัญหาทางสังคมหลายๆ อย่างที่กำลังเกิดขึ้นในยุคที่ผ่านมา
ปัจจุบัน คนมากมายต้องอยู่ห่างไกลจากเมืองเกิด
เพราะต้องออกไปทำงานในที่ที่ได้รับโอกาสมากกว่า ซึ่งบางครั้งก็อาจจะเป็นที่ต่างประเทศ
ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาที่ตามมาก็คือ ที่อยู่อาศัยในบางประเทศมีอยู่จำกัด แถมค่าใช้จ่ายสำหรับที่อยู่อาศัยก็ยังมีมูลค่าสูงมากในขณะที่คุณภาพชีวิตของเราลดลงเรื่อยๆ
ลองจินตนาการดูว่าหากเราสามารถเข้าถึงโอกาสและงานบนโลก ไม่ว่าเราจะอาศัยอยู่ที่ไหนก็ตาม
เรื่องนี้ก็น่าจะเป็นอีกก้าวกระโดดครั้งสำคัญของทศวรรษนี้เลย ก็เป็นได้
สรุปได้ว่า
โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดอยู่มาก
มันทำหน้าที่ได้เป็นแค่ตัวช่วยให้เราสะดวกขึ้นแบบ ครึ่งๆ กลางๆ
และยังก่อให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ที่ลดลงกับคนรอบข้าง
ซึ่งก็น่าคิดว่า
หนึ่งในบุคคลสำคัญที่เร่งให้โลกเป็นแบบทุกวันนี้ ก็คือตัว มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เองที่ทำให้คนเสพติดโทรศัพท์มือถือนั่งเล่นโซเชียลมีเดียอยู่ตลอดเวลา
มาวันนี้ตัวเขาเองกลับบอกว่าสิ่งที่เขาสร้างขึ้น กำลังกลายเป็นปัญหาของโลก เพราะตัวตนจริงๆ ของคนหายไป..
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ก็คงต้องยอมรับว่า
สิ่งนี้มันเป็นปัญหาสำหรับมนุษย์ในยุคนี้จริงๆ
อยู่กันต่อหน้า แต่สายตากลับจ้องมองเครื่องสี่เหลี่ยม
สิ่งแวดล้อมรอบข้างกลายเป็นตัวประกอบ ที่ไม่มีความสำคัญเท่าหน้าจอ
ในวันนี้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ยืนยันว่าในอนาคตจะมีอุปกรณ์ใหม่มาแก้ปัญหานี้ได้ ก็ต้องติดตามกันต่อไป ว่ามันจะแก้ได้จริงหรือไม่
ซึ่งเราก็น่าจะเห็นไปพร้อมๆ กัน
เพราะ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ยืนยันว่า
จุดนั้นมันจะเกิดขึ้น ในทศวรรษนี้..
╔═══════════╗
Blockdit แอปเขียนบล็อกอันดับ 1
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Reference
-https://www.facebook.com/zuck/posts/10111311886191191
ครึ่งๆ กลางๆ คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก คอนเฟิร์ม อุปกรณ์ในยุคถัดไป จะเปลี่ยนจากมือถือ เป็นแว่นตา /โดย ลงทุนแมน
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เห็นอะไรในทศวรรษถัดไป?
เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา..
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก โพสต์เรื่องความท้าทายแห่งทศวรรษ
จริงๆ แล้วก็มีอยู่หลายเรื่องที่น่าสนใจ
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุด
ก็คือคำทำนายของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ว่าอุปกรณ์ในทศวรรษนี้ จะไม่ใช่โทรศัพท์มือถือ..
แล้วมันคืออะไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit แอปเขียนบล็อกอันดับ 1
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เรามาดูแพลตฟอร์มเทคโนโลยีในทศวรรษที่ผ่านมาในมุมมองของซักเคอร์เบิร์ก
เขาให้ความเห็นว่า
ในยุค 1990s คือ ยุคของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ
ในยุค 2000s คือ ยุคของเว็บไซต์
ในยุค 2010s คือ ยุคของโทรศัพท์มือถือ
ถึงแม้ว่ายุคโทรศัพท์มือถือจะมีดีหลายอย่าง
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาที่สุดสำหรับอุปกรณ์ที่เรียกว่า โทรศัพท์มือถือ ก็คือ
มันกำลังทำให้เรา “ห่างกับคนข้างๆ มากขึ้น”
อุปกรณ์ในทศวรรษนี้จะต้องเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยทำให้เรา “มีตัวตนอยู่กับปัจจุบัน”
สามารถทวงคืนความสำคัญของคนที่อยู่รอบข้างกลับมาได้..
ถึงแม้ว่าโทรศัพท์มือถือจะยังเป็นอุปกรณ์ชิ้นสำคัญในทศวรรษนี้
แต่จะมีจุดหนึ่งในทศวรรษนี้ ที่ทำให้แว่นตา Augmented Reality ก้าวข้ามมาแทนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งมันจะมีความสามารถมากพอ ที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์เดิมของพวกเรา
ทำไม แว่นตา Augmented Reality ถึงจะมาช่วยแก้ไขปัญหาที่มีอยู่ตอนนี้ของโทรศัพท์มือถือ?
ในมุมมองของลงทุนแมน
Pain Point ของโทรศัพท์มือถือ ก็คือ “การก้มหน้า”
ทุกครั้งที่เราก้มหน้า หมายความว่า เราสูญเสียการรับรู้จากสิ่งรอบข้างไป
เทคโนโลยี Augmented Reality จะทำให้เราเพิ่มขีดจำกัดของโลกแห่งความจริง
เราไม่ต้องก้มหน้า ทำให้เราสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้เหมือนเดิม
เพิ่มเติมคือเทคโนโลยีที่จะมาปรากฏผ่านแว่นตา ซึ่งทำให้เราใช้ชีวิตได้สะดวกสบายขึ้น
หมายความว่าเราจะไม่สูญเสียโลกแห่งความจริงไป
ในขณะเดียวกันก็มีเทคโนโลยีมาช่วย สะดวกไม่แพ้การใช้โทรศัพท์มือถือ
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก กล่าวต่อว่า
นอกจากเทคโนโลยี Augmented Reality แล้ว เทคโนโลยี Virtual Reality ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
โลก Virtual Reality ในอนาคต เราจะสามารถเข้าถึงและสัมผัสคนอื่นที่อยู่ห่างไกลได้ ไม่ต่างอะไรไปจากโลกแห่งความจริง
แตกต่างจากโทรศัพท์มือถือที่เราจะเห็นแต่ภาพ ตัวอักษร วิดีโอ โดยเราจะไม่ได้รับรู้ถึงความรู้สึก กิริยาท่าทาง ได้เหมือน Virtual Reality ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของ ความเป็นมนุษย์
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ทำนายว่า
ความสามารถในการนำเสนอ “ความเป็นตัวตนจริงๆ ของคน” จะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในโลกแห่งอนาคตที่จะมาแก้ไขปัญหาทางสังคมหลายๆ อย่างที่กำลังเกิดขึ้นในยุคที่ผ่านมา
ปัจจุบัน คนมากมายต้องอยู่ห่างไกลจากเมืองเกิด
เพราะต้องออกไปทำงานในที่ที่ได้รับโอกาสมากกว่า ซึ่งบางครั้งก็อาจจะเป็นที่ต่างประเทศ
ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาที่ตามมาก็คือ ที่อยู่อาศัยในบางประเทศมีอยู่จำกัด แถมค่าใช้จ่ายสำหรับที่อยู่อาศัยก็ยังมีมูลค่าสูงมากในขณะที่คุณภาพชีวิตของเราลดลงเรื่อยๆ
ลองจินตนาการดูว่าหากเราสามารถเข้าถึงโอกาสและงานบนโลก ไม่ว่าเราจะอาศัยอยู่ที่ไหนก็ตาม
เรื่องนี้ก็น่าจะเป็นอีกก้าวกระโดดครั้งสำคัญของทศวรรษนี้เลย ก็เป็นได้
สรุปได้ว่า
โทรศัพท์มือถือในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดอยู่มาก
มันทำหน้าที่ได้เป็นแค่ตัวช่วยให้เราสะดวกขึ้นแบบ ครึ่งๆ กลางๆ
และยังก่อให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ที่ลดลงกับคนรอบข้าง
ซึ่งก็น่าคิดว่า
หนึ่งในบุคคลสำคัญที่เร่งให้โลกเป็นแบบทุกวันนี้ ก็คือตัว มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก เองที่ทำให้คนเสพติดโทรศัพท์มือถือนั่งเล่นโซเชียลมีเดียอยู่ตลอดเวลา
มาวันนี้ตัวเขาเองกลับบอกว่าสิ่งที่เขาสร้างขึ้น กำลังกลายเป็นปัญหาของโลก เพราะตัวตนจริงๆ ของคนหายไป..
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ก็คงต้องยอมรับว่า
สิ่งนี้มันเป็นปัญหาสำหรับมนุษย์ในยุคนี้จริงๆ
อยู่กันต่อหน้า แต่สายตากลับจ้องมองเครื่องสี่เหลี่ยม
สิ่งแวดล้อมรอบข้างกลายเป็นตัวประกอบ ที่ไม่มีความสำคัญเท่าหน้าจอ
ในวันนี้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ยืนยันว่าในอนาคตจะมีอุปกรณ์ใหม่มาแก้ปัญหานี้ได้ ก็ต้องติดตามกันต่อไป ว่ามันจะแก้ได้จริงหรือไม่
ซึ่งเราก็น่าจะเห็นไปพร้อมๆ กัน
เพราะ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ยืนยันว่า
จุดนั้นมันจะเกิดขึ้น ในทศวรรษนี้..
╔═══════════╗
Blockdit แอปเขียนบล็อกอันดับ 1
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Reference
-https://www.facebook.com/zuck/posts/10111311886191191
ครึ่งๆ กลางๆ คือ 在 ครึ่งๆ กลางๆ - bodyslam「Short Film」 กำกับโดย นนทรีย์ นิมิบุตร 的推薦與評價
อยู่แห่งใด ใครสักคนที่เชื่อในสิ่งเดียวกัน .. มองดาวดวงเดียวกัน คนคนนั้น คือ ใคร” # ครึ่งๆกลางๆ ภาพยนตร์โดย นนทรีย์ นิมิบุตร #ShortFilm นำแสดงโดย อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม ... ... <看更多>
ครึ่งๆ กลางๆ คือ 在 Tool live สินค้านวัตกรรมที่ทำให้คุณใช้ชีวิตง่ายขึ้นทุก วัน's post 的推薦與評價
ทำอะไรครึ่งๆกลางๆ คือ ไม่เสร็จ ไม่สำเร็จ และไม่เสร็จไม่สำเร็จ = 0 มีความสุขครึ่งๆกลางๆ = ไม่มีความสุข มีความสัมพันธ์ครึ่งๆกลางๆ = ไม่มีความสัมพันธ์ ... <看更多>
ครึ่งๆ กลางๆ คือ 在 ครึ่งๆ กลางๆ - bodyslam「Official MV」 - YouTube 的推薦與評價
... คือ ความจริงที่แสนเจ็บปวด และยังทุกข์ทรมาน อยู่แห่งใด ใคร ... ครึ่งๆ กลางๆ - bodyslam「Official MV」. 34M views · 4 years ago #วิชาตัว ... ... <看更多>