ADMIN REVIEW: JUMBO (สปอยบางส่วน)
.
JUMBO เป็นหนังที่มีพล๊อตชวนให้เข้าใจผิดวิตถาร โดยเฉพาะพวกจิตอกุศลสามารถจินตนาการเลยเถิดไปถึงหนังโป๊เฟติชฮาร์ดคอร์เลยทีเดียว
เพราะมันว่าด้วยผู้หญิงคนหนึ่งที่ตกหลุมรักเครื่องเล่นในสวนสนุก คำว่าตกหลุมรักของเธอในที่นี้ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกผูกพัน ประทับใจ เหมือนเวลาเราไปนั่งชิงช้าสวรรค์ หรือม้าหมุน แต่เป็นความรักลึกซึ้งดูดดื่มถึงขั้นอยากสานสัมผัสกับสิ่งไม่มีชีวิต อยากเป็นส่วนหนึ่ง อยากร่วมรัก อยากสมรสร่วมชีวิตเคียงข้างกันไป
.
ทว่าด้วยพล๊อตเช่นนี้ ผู้กำกับสาวหน้าใหม่ไฟแรง Zoe Wittock กลับถ่ายทอดออกมาละมุนนีมีชีวิตชีวาเจิดจ้าด้วยความรู้สึก ซึ่งความดีความชอบส่วนหนึ่งต้องยกให้นักแสดงนำ Noémie Merlant ที่สามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกได้จริงแท้หมดจด
.
ส่วนตัวเราจะชอบช่วงต้น ๆ ของหนังมาก ที่มี magic moment ระหว่างคนกับเครื่องจักรแบบเต็มที่ ผู้กำกับ+ตากล้อง คิดช๊อตเก่งมาก ๆ สามารถถ่ายทอดให้เราเห็นหัวจิตหัวใจของเครื่องจักรได้โดยมิต้องมีคำพูดใดใด แต่ใช้การเคลื่อนไหวของกลไก และแสงไฟ เป็นตัวบอกเล่า ถ้าเป็นภาษาวรรณกรรมก็ต้องบอกเลยว่าแม่นมากกับการเขียนบุคลาธิษฐาน (การเขียนบรรยายสิ่งไม่มีชีวิต ให้ดูมีชีวิต ความรู้สึกนึกคิด)... ช่วงการสื่อสารของนางเอก กับเครื่องจักรในตอนต้น เข้าใกล้สิ่งที่เรียกว่าภวังค์รักในห้วงแห่งแสงสีนีออนที่แท้จริง เป็น magic moment ที่วิเศษมาก ๆ
หรือแม้แต่ฉาก sex ในมโนทัศน์ของนางเอกระหว่างเธอกับเครื่องจักรก็เป็นอะไรที่ว้าวมาก (แม้จริง ๆ จะไม่ใช่ไอเดียที่ใหม่นัก)
.
Zoe ได้แรงบันดาลใจในการสร้างหนังรักคน-เครื่องจักร มาจากข่าวหญิงสาวแต่งงานกับหอไอเฟล
(https://hilight.kapook.com/view/163173)
ในสายตาของคนทั่วไปอาจมองว่าเป็นอาการทางจิต ในวงการแพทย์นิยามอาการเช่นนี้ว่า Objectum-Sexual (มีอารมณ์รักใคร่กับวัตถุไม่มีชีวิต) แต่เราต้องยอมรับว่าโลกทุกวันนี้ก้าวไกลจนเรามิอาจตัดสินได้ว่าอะไรคือความถูกต้องตามบรรทัดฐานของสังคม ตราบใดที่การกระทำของบุคคลผู้นั้นมิได้เป็นอันตรายต่อบุคคลรอบข้าง มันคือรสนิยมส่วนตัว เราอยู่ในโลกที่ ชายมิได้คู่กับหญิงเสมอไปอีกแล้ว แต่ชายสามารถรักชาย หญิงสามารถรักตุ๊ด เกย์สาวสามารถเป็นแฟนกับเลสเบี้ยน ไปจนถึงมนุษย์แต่งงานกับตัวการ์ตูน สมรสกับตุ๊กตายาง ฉะนั้นหนังเรื่องนี้จึงช่วยทลายพรมแดนดังกล่าว และทำให้เรามองเห็น เปิดใจ ยอมรับ ความแตกต่างของคนในสังคม
.
ฉะนั้นเมื่อถอดเปลือกความแปลกของหนังออก เราจึงมองเห็นหนังเรื่องนี้ในฐานะหนังดราม่า LGBTQ ของคนชายขอบ เราสามารถเขียนสมการโดยถอดคำว่า JUMBO ออก แล้วใส่คำว่า "เกย์" ไปได้โดยสนิทใจ และหนังก็ดำเนินเรื่องไปตามสูตรหนังเกย์ coming of age แทบทุกประการ
ตัวละครได้เริ่มรู้จักความรักนอกขนบ -> ตัวละครทำความเข้าใจกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น -> ตัวละครเปิดใจให้ความรักที่เกิดขึ้น -> ตัวละครเริ่มเดต และสานสัมพันธ์ -> ตัวละครพยายามบอกครอบครัวให้เข้าใจ และยอมรับกับหนทางที่ตัวเองเลือก -> ครอบครัวต่อต้านความรักนอกขนบ มีเหตุทะเลาะตบตี แม่ไม่เข้าใจตุ้ม -> ตัวละครพยายามลองใช้ชีวิตแบบคนปกติ แต่สุดท้ายก็ค้นพบว่ามันคือการหลอกตัวเอง...
.
JUMBO ไม่ใช่เป็นเพียงหนังรักสำหรับคนนอกรีต แต่ยังเป็นหนังรักเพื่อทุกคนในครอบครัว เป็นหนังที่พร้อมจะกุมมือคนรอบข้างคนชายขอบเหล่านี้ให้ทำความเข้าใจกับทางเลือกของพวกเขา หนังเชิดชูความรักความอบอุ่นของสถาบันครอบครัวเช่นกันกับสนับสนุนเสรีภาพในความรัก แม้หนังจะติดกลิ่นเลี่ยน ๆ ดราม่าน้ำตาซึม แม่-ลูก ตอนท้ายหน่อย ๆ (ส่งผลให้มนต์วิเศษของหนังในช่วงต้น ดร๊อปลงโดยปริยาย เมื่อหนังต้องกลายพันธุ์มาเป็นหนังรักแม่-ลูก ตอนท้าย)
.
JUMBO เป็นหนังดราม่า LGBTQ ที่ดูง่ายภายใต้เปลือกหนังคัลต์
อยากแนะนำให้ไปดู JUMBO ไม่ว่าคุณจะเป็นคนเพศไหน ชอบอะไร ไม่ว่าคุณจะเป็นแบบนางเอกในเรื่อง หรือมีคนรู้จักเป็นแบบนั้น ไปดูเถอะ ทำความเข้าใจเขา มองเขาอย่างมี empathy ไม่ต้องเข้าใจเขาทั้งหมด แต่พร้อมยืนอยู่ข้าง ๆ กับเขาก็พอ
.
JUMBO เป็นหนังในโครงการ #หนังผมไม่เล็กนะครับ ของ M Picture ยังพอมีรอบฉายอยู่บ้าง รีบไปดูก่อนออกโรงกัน
ตัวอย่าง https://www.youtube.com/watch?v=tG3PoCsAg44
.
.
.
.
.
.
ป.ล. นอกเรื่อง ขอสปอยฉากเซ็กซ์ระหว่างนางเอกกับมนุษย์ผู้ชาย
เราสนใจการมีเซ็กซ์ของเธอมาก กล่าวคือ เธอเป็นพวกเฟติชเครื่องจักร หรือวัตถุไม่มีชีวิต แต่เมื่อเธอยอมปลงใจพลีกายให้กับมนุษย์ด้วยกัน เธอกลับเลือกมีเซ็กซ์ในท่า doggy แล้วมันสื่ออะไรล่ะ
สำหรับเรามันคือการเลือกที่จะมี sex โดยไม่เห็นหน้าคู่ของตนเอง เพราะเธอจะรู้สึกแค่เพียงแรงกระแทก โดยปราศจากการมองเห็นตัวผู้กระทำ ซึ่งก็คือมนุษย์ด้วยกัน
ฉากนี้ทำให้เรานึกถึงหนังเรื่อง Crash ของ David Cronenberg ถ้าใครเคยดู จะรู้ว่ามันพูดถึงความสัมพันธ์ที่พังทลายระหว่างมนุษย์ จนต้องอาศัยความรุนแรง อุบัติเหตุ รถชน เครื่องยนต์ มาเป็นสื่อกลางในการเชื่อมใจ ตัวละครพระเอกก็มีเซ็กซ์ในท่าหันหลังเกือบทุกครั้งเช่นกัน แค่รู้สึกกระสัน มันไม่ได้หมายความว่าเราต้องอยากรับรู้อารมณ์ของอีกฝ่าย นอกจากตอบสนองให้เสร็จไปไม่ต่างจากวัตถุไร้ชีวิตจิตใจ หรือรถที่บุบสลายคันนึง
ความรู้สึกนึกคิด 在 สาระศาสตร์ Facebook 的最佳解答
เคยสงสัยกันบ้างมั้ยครับว่า...ชีวิตนั้นมีสูตรแห่งความสำเร็จหรือเปล่า ? ซึ่งผมเองก็หนึ่งคนที่สงสัยกับคำถามนี้เช่นกัน
ถ้าอยากได้ผลลัพธ์แบบที่ต้องการต้องใช้สมการไหนดีล่ะ ? เพราะในยุคปัจจุบัน มีคนมาบอกสูตรแห่งความสำเร็จกับเรามากมายเหลือเกิน เช่น ต้องรู้จักใช้พลังจักรวาล , ทำอะไรต้องคิดบวก , ต้องศึกษา NLP ซึ่งวิธีการก็มีให้เลือกเต็มไปหมด
และวิธีการเหล่านี้เราก็ไม่รู้ว่า มีวิธีไหนบ้างมีเคยผ่านการพิสูจน์จากการลงมือทำจริงมาก่อนบ้างหรือเปล่า หรือเป็นแค่งานวิจัยและสิ่งที่สอนต่อๆกันมา
ด้วยความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเลยเริ่มลงมือหาข้อมูล จนได้เจอสูตรหนึ่งของคุณ คาซึโอะ อินาโมริ ชายที่ได้รับการยกย่องจากคนญี่ปุ่นว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการบริหาร และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Kyocera และ KDDI ที่ได้แนะนำว่า "หากอยากมีชีวิตที่ดีและมีความสุข คำตอบซ่อนอยู่ในสูตรนี้ "
ผลลัพธ์ของชีวิตและการทำงาน = ทัศนคติ x ความพยายาม x ความสามารถ
ซึ่งหลักการให้คะแนนจะอยู่ที่ 0 ถึง100 คะแนน แต่คะแนนทัศนะคตินั้นจะอยู่ที่ ติดลบ 100 ถึง 100 คะแนน
เช่น นาย A เป็นคนทัศนคติปานกลางคะแนนอยู่ที่ 10 แต่นาย A เป็นคนมีความพยายามคะแนนอยู่ที่ 80 แต่โชคร้ายหน่อยนาย A เป็นคนที่ความสามารถไม่สูงนักคะแนนอยู่ที่ 20
ผลลัพธ์ของนาย A คือ 10 x 80 x 20 = 16,000 คะแนน
นาย B เป็นคนทัศนคติแย่มากคะแนนอยู่ที่ -10 แต่นาย B ดันเป็นคนขยันที่สุดคนหนึ่งคะแนนอยู่ที่ 100 แถมนาย B ยังเป็นคนที่มีพรสวรรรค์สูงอีกต่างหากคะแนนอยู่ที่ 50
ผลลัพธ์ของนาย B คือ -10 x 100 x 50 = ติดลบ 50,000 คะแนน
หลักการและสูตรนี้ของคุณ อินาโมริ ชี้ให้เห็นว่า ต่อให้คุณเก่งแค่ไหน มีความพยายามเท่าไหร่ แต่ถ้าทัศนคติในชีวิตเราแย่ ( ทัศนคติในความหมายของคุณ อินาโมนิ คือ ความรู้สึกนึกคิด แนวทางในการดำเนินชีวิต ) ผลลัพธ์คือจะกลายเป็นยิ่งเก่งเท่าไหร่ ยิ่งพาชีวิตดิ่งลงเหวมากขึ้นเท่านั้น เราจะเห็นตัวอย่างลักษณะนี้ในสังคมเต็มไปหมด เช่น ทำไมคนเก่งบางคนถึงใช้ความสามารถตัวเองไปกับ การโกง การทำผิด จนบางคนถึงกับหมดอนาคต
แต่ในทางกลับกัน สูตรนี้ของคุณ อินาโมริ ก็ชี้ให้เห็นว่า ถ้าคุณเป็นคนทัศนคติดี มีความขยัน ต่อให้ความสามารถคุณน้อย ทัศนคติและความขยันก็สามารถชดเชยสิ่งที่เรียกว่าความสามารถได้
และนี่แหละครับคือสูตรของความสำเร็จ ของคุณ อินาโมริ ชายที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการบริหารของประเทศญี่ปุ่น
ความรู้สึกนึกคิด 在 สาระศาสตร์ Facebook 的精選貼文
เคยสงสัยกันบ้างมั้ยครับว่า...ชีวิตนั้นมีสูตรแห่งความสำเร็จหรือเปล่า ? ซึ่งผมเองก็หนึ่งคนที่สงสัยกับคำถามนี้เช่นกัน
ถ้าอยากได้ผลลัพธ์แบบที่ต้องการต้องใช้สมการไหนดีล่ะ ? เพราะในยุคปัจจุบัน มีคนมาบอกสูตรแห่งความสำเร็จกับเรามากมายเหลือเกิน เช่น ต้องรู้จักใช้พลังจักรวาล , ทำอะไรต้องคิดบวก , ต้องศึกษา NLP ซึ่งวิธีการก็มีให้เลือกเต็มไปหมด
และวิธีการเหล่านี้เราก็ไม่รู้ว่า มีวิธีไหนบ้างมีเคยผ่านการพิสูจน์จากการลงมือทำจริงมาก่อนบ้างหรือเปล่า หรือเป็นแค่งานวิจัยและสิ่งที่สอนต่อๆกันมา
ด้วยความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมเลยเริ่มลงมือหาข้อมูล จนได้เจอสูตรหนึ่งของคุณ คาซึโอะ อินาโมริ ชายที่ได้รับการยกย่องจากคนญี่ปุ่นว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการบริหาร และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Kyocera และ KDDI ที่ได้แนะนำว่า "หากอยากมีชีวิตที่ดีและมีความสุข คำตอบซ่อนอยู่ในสูตรนี้ "
ผลลัพธ์ของชีวิตและการทำงาน = ทัศนคติ x ความพยายาม x ความสามารถ
ซึ่งหลักการให้คะแนนจะอยู่ที่ 0 ถึง100 คะแนน แต่คะแนนทัศนะคตินั้นจะอยู่ที่ ติดลบ 100 ถึง 100 คะแนน
เช่น นาย A เป็นคนทัศนคติปานกลางคะแนนอยู่ที่ 10 แต่นาย A เป็นคนมีความพยายามคะแนนอยู่ที่ 80 แต่โชคร้ายหน่อยนาย A เป็นคนที่ความสามารถไม่สูงนักคะแนนอยู่ที่ 20
ผลลัพธ์ของนาย A คือ 10 x 80 x 20 = 16,000 คะแนน
นาย B เป็นคนทัศนคติแย่มากคะแนนอยู่ที่ -10 แต่นาย B ดันเป็นคนขยันที่สุดคนหนึ่งคะแนนอยู่ที่ 100 แถมนาย B ยังเป็นคนที่มีพรสวรรรค์สูงอีกต่างหากคะแนนอยู่ที่ 50
ผลลัพธ์ของนาย B คือ -10 x 100 x 50 = ติดลบ 50,000 คะแนน
หลักการและสูตรนี้ของคุณ อินาโมริ ชี้ให้เห็นว่า ต่อให้คุณเก่งแค่ไหน มีความพยายามเท่าไหร่ แต่ถ้าทัศนคติในชีวิตเราแย่ ( ทัศนคติในความหมายของคุณ อินาโมนิ คือ ความรู้สึกนึกคิด แนวทางในการดำเนินชีวิต ) ผลลัพธ์คือจะกลายเป็นยิ่งเก่งเท่าไหร่ ยิ่งพาชีวิตดิ่งลงเหวมากขึ้นเท่านั้น เราจะเห็นตัวอย่างลักษณะนี้ในสังคมเต็มไปหมด เช่น ทำไมคนเก่งบางคนถึงใช้ความสามารถตัวเองไปกับ การโกง การทำผิด จนบางคนถึงกับหมดอนาคต
แต่ในทางกลับกัน สูตรนี้ของคุณ อินาโมริ ก็ชี้ให้เห็นว่า ถ้าคุณเป็นคนทัศนคติดี มีความขยัน ต่อให้ความสามารถคุณน้อย ทัศนคติและความขยันก็สามารถชดเชยสิ่งที่เรียกว่าความสามารถได้
และนี่แหละครับคือสูตรของความสำเร็จ ของคุณ อินาโมริ ชายที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการบริหารของประเทศญี่ปุ่น