การศึกษานิติปรัชญา (ปรัชญากฎหมา ยตะวันตก)
สำหรับการเริ่มต้นศึกษานิติปรัชญา สิ่งแรกที่สมควรทำความเข้าใจให้กระจ่างนั้นน่าจะอยู่ที่การศึกษาความหมายหรือขอบเขตของคำว่า นิติปรัชญา
นิติ + ปรัชญา
นิติ นั้นแต่เดิมแปลว่า ขนบธรรมเนียม (ย่อมแปลว่ากฎหมายในความหมายปัจจุบันที่ใช้กันอยู่)
ส่วนคำว่ากฎหมายตามความเข้าใจในปัจจุบันนั้นภาษาโดยดั้งเดิมเราใช้คำว่า ธรรม
ธรรมอาจมีความหมายในแนวลึกว่าหมายถึงกฎธรรมชาติหรือความเป็นไปต่าง ๆ ของสรรพสิ่งตามธรรมชาติซึ่งอาศัยความสัมพันธ์และความเป็นปัจจัยต่อเนื่องอาศัยสิ่งทั้งหลาย โดยไม่มีตัวการอย่างอื่นนอกเหนือไปในฐานะผู้สร้างหรือผู้บันดาล
กฎหมาย = ธรรม
ธรรม = ธรรมชาติ กฎธรรมชาติ
ดังนั้น กฎหมาย = ธรรมชาติ กฎธรรมชาติ
เมื่อเราได้วิเคราะห์ศัพท์นิติ หรือกฎหมาย และคำถามในวิเคราะห์ศัพท์มา คือ ปรัชญา นั้นคืออะไร
ปรัชญา ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2525 แปลความว่า ปรัชญา คือ วิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง แบ่งออกเป็น 2 สาขาใหญ่ คือ
- ปรัชญาบริสุทธิ์
- ปรัชญาประยุกต์
ปรัชญาบริสุทธิ์ แยกออกได้ 5 สาขา คือ
1. อภิปรัชญา คือ ปรัชญาที่มุ่งศึกษาหรือสอบค้นปัญหาเกี่ยวกับสัจธรรมของโลก
2. ญาณวิทยา คือ เป็นปรัชญาที่มุ่งศึกษาหาคำจำกัดความของความรู้คืออะไร
3. ตรรกวิทยา คือ ศึกษาถึงเกณฑ์ในการใช้เหตุผลโต้แย้ง
4. จริยศาสตร์ คือ เป็นปรัชญาที่ศึกษาปัญหาในทางศีลธรรมและคุณค่าต่าง ๆ ของความประพฤติ
5. สุนทรีศาสตร์ คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยความงานคุณค่าของความงาม ตลอดจนสิ่งที่ถือว่าเป็นมาตรฐานของความงาม
ส่วนปรัชญาประยุกต์ เป็นการนำเอาแนวความคิดและวิธีการทางปรัชญาบริสุทธิ์ไปใช้กับศาสตร์สาขาต่าง ๆ ซึ่งทำให้เกิดปัญญาในแต่ละสาขาวิชา
เช่น ปรัชญากฎหมายสาขาวิชานิติศาสตร์ อาจารย์ปรีดี เกษมทรัพย์ แยกได้ 3 แขนงใหญ่ คือ
1. นิติศาสตร์โดยแท้ เป็นวิชาการสอนและการศึกษาเพื่อทำให้รู้กฎหมายและใช้กฎหมายเป็น กฎหมายที่ว่านี้ หมายถึง กฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Positive Law อาจแปลว่ากฎหมายบ้านเมือง แยกได้ 2 ส่วน คือ
1. ส่วนของเนื้อหาของกฎหมาย
2. ส่วนที่เป็นนิติวิธี คือ วิธีคิดเกี่ยวกับกฎหมาย
บางทีก็เรียกวิชานิติศาสตร์โดยแท้ว่าเป็น Legal Dogmatics ซึ่งแปลว่าวิชาหลักกฎหมาย คือ วิชากฎหมายที่เราเรียนกันอยู่
2. วิชานิติศาสตร์ทางข้อเท็จจริง อีกแง่หนึ่งเราอาจตีความบทกฎหมายในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่ในสังคมหรือที่เกิดขึ้นในกระแสธารแห่งเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ก็ได้
ประวัติศาสตร์กฎหมาย เป็นวิชาศึกษาความเป็นมาและการเปลี่ยนแปลงกฎหมายในอดีต
สังคมวิทยากฎหมาย เป็นวิชาศึกษากฎหมายในฐานะที่เป็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งในสังคมศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในสังคมว่าเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกันอย่างไร
3. วิชานิติศาสตร์ทางคุณค่า ได้แก่ วิชากฎหมายเปรียบเทียบและวิชานิติบัญญัติ
ดังนั้น นิติปรัชญาเป็นสาขาหนึ่งในปรัชญาประยุกต์ จากแนววิเคราะห์ถ้อยคำที่ผ่านมา อาจทำให้มองเห็นความหมายคร่าว ๆ ว่านิติปรัชญาน่าจะเป็นการศึกษาภาพรวมของกฎหมายในเชิงปรัชญา คือ เรื่องธรรมชาติของกฎหมายหรือความสัมพันธ์ของกฎหมายกับจริยธรรม เป็นต้น
ความหมายหรือคำนิยามของนิติปรัชญา ในทรรศนะของอาจารย์ผู้รู้วิชานิติปรัชญาของไทยก็ได้คำนิยาม วิชานิติปรัชญา ดังนี้
1.ศ.ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ ได้ให้ความหมานของ คือ “วิชานิติปรัชญาศึกษาถึงรากฐานของทฤษฎีของกฎหมาย (Theoretical foundation of Law) ศึกษาถึงอุดมคติสูงสุดหรือคุณค่าอันแท้จริงของกฎหมายหรือแก่นสาระของกฎหมาย (Nature of Law) ความมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ของกฎหมายอยู่ไหน คำตอบเหล่านี้ย่อมจะแตกต่างไปตามสำนักความคิดทางปรัชญานิติปรัชญาศึกษาว่าทำไมคนจึงต้องยอมรับนับถือกฎหมาย (Validity of Law) นอกจากนี้แล้ว นิติปรัชญาจะกล่าวถึงเรื่องความยุติธรรมและความสำคัญระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรม”
2.ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ได้ให้ความหมาย คือ “วิชานิติปรัชญา ได้แก่ การศึกษาหลักการพื้นฐานอย่างลึกซึ้งในกฎหมายเพื่อแสวงหาอุดมการณ์ขั้นสุดท้าย และค่านิยมที่แท้จริงของกฎหมาย เช่น ปัญหาว่าด้วยลักษณะอันแท้จริงของกฎหมายคืออะไร เหตุใดจึงต้องมีกฎหมาย กฎหมายมีคุณประโยชน์อย่างไร รากฐานของกฎหมายมีอยู่อย่างไร เจตนารมณ์ของกฎหมายคืออะไร แนวความคิดและทฤษฎีทางกฎหมายโบราณกับปัจจุบันมีข้อแตกต่างกันอย่างไร เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของวิชานิติปรัชญากฎหมายทั้งสิ้น แต่วิชาปรัชญากฎหมายจะไม่มุ่งไปในเนื้อหารายละเอียดของบทบัญญัติแห่งกฎหมายในปัจจุบัน……”
3. ดร. รองพล เจริญพันธ์ ได้ให้ความหมาย คือ “นิติปรัชญาเป็นการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมเป็นการศึกษาให้เข้าถึงซึ่งสัจธรรม, วิญญาณกฎหมายหรือสิ่งที่เป็นคุณค่าของหลักการและทฤษฎีกฎหมาย ซึ่งอยู่เบื้องหลังตัวบทและวิธีการทางกฎหมาย…”
4. ศ. ดร.วิษณุ เครืองาม ได้ให้ความหมาย คือ “นิติปรัชญา หมายถึง วิชาที่ศึกษาในลักษณะที่เป็นทฤษฎีมิใช่หลักหรือตัวบทกฎหมายเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะทฤษฎีที่ว่านี้ หมายถึง ทฤษฎีว่าด้วยความหมายของกฎหมาย การกำเนิดของกฎหมาย ประเภทของกฎหมาย เจตนารมณ์ของกฎหมาย และเรื่องราวปัญหารากฐานในทางนิติปรัชญามีอยู่ 3 ประการ คือ
- ปัญหาว่ากฎหมายคืออะไร
- ปัญหาว่ากฎหมายมีผลบังคับอย่างไร
- ปัญหาว่าอะไรควรถือเป็นหลักการที่ผู้บัญญัติกฎหมายพึงยึด คือ เป็นแนวทางในการ
บัญญัติกฎหมายขึ้นมาใช้บังคับให้เกิดความเป็นธรรม”
วัตถุประสงค์ของการศึกษาวิชานิติปรัชญา เพื่อให้รู้และเข้าใจแนวความคิดทางปรัชญาที่อยู่เบื้องหลังกฎหมาย
- เพื่อให้รู้จักมองกฎหมายในเชิงปรัชญา
- เพื่อให้เข้าถึงวิญญาณของกฎหมาย เป็นนักกฎหมายที่มีจิตใจเป็นนักกฎหมายอย่าง
แท้จริง
- เพื่อให้ผู้ศึกษามีความรู้ความเข้าใจในบทบาทหรือความสำคัญของกฎหมายในสังคม
- เพื่อให้ผู้ศึกษารู้จักใช้ดุลยพินิจและหาเหตุผลกำกับการใช้ดุลพินิจ
- เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจความหมายคำว่า “ ทำนองคลองธรรม “
สรุป วิชานิติปรัชญา ว่าเป็นการศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมเรื่องธรรมชาติของกฎหมายโดยส่วนรวมและนอกจากนั้นยังรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับหลักคุณค่าอื่นๆ ในสังคม อาทิ ศีลธรรม อิสรภาพ ความเสมอภาค หลักเรื่องอรรถประโยชน์ หรือประโยชน์สุขของสังคมซึ่งเป็นการพิจารณาในเชิงมิติทางสังคมของกฎหมาย หรือบริบททางสังคมภายในกฎหมาย ภายในปริมณฑล เกี่ยวกับการศึกษากฎหมายในเชิงปรัชญาดังกล่าว จึงมีเรื่องราวหรือคำถามหลักๆ ที่ควรคิดมากมาย เช่น กฎหมายคืออะไร
- อะไรคือเงื่อนไขความสมบูรณ์ของกฎหมาย
- กฎหมายกับความยุติธรรมสัมพันธ์กันอย่างไร
- เป็นไปได้ไหมที่กฎหมายจะขัดแย้งกับความยุติธรรม ถ้าได้ผลจะเป็นย่างไร
- จริงหรือว่าเราทุกคนต่างล้วนมีหน้าที่ทางศีลธรรมที่จะต้องเคารพเชื่อฟังกฎหมาย
ในทุกกาลเทศะโดยไม่ต้องคำนึงว่ากฎหมายนั้นๆ จะมีเนื้อหาสาระที่ชอบธรรมหรือไม่ประการใด
- สิ่งที่เรียกว่า หลักนิติธรรม (The Rule of Law) มีความศักดิ์สิทธิ หรือคุณค่าในตังมันเองเสมอไปหรือ
- หลักนิติรัฐ คืออะไร มีความหมายในทางลบได้หรือไม่
- กฎหมายมีความสัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจหรือการเมืองเพียงใด
เหล่านี้ นับว่าเป็นตัวอย่างคำถามสำคัญที่อาจถือเป็นหัวใจศึกษาในวิชานิติปรัชญาจะได้พูดกันต่อไป และการตอบคำถามดังกล่าวต่างก็มีแง่มุมหรือวิธีการเข้าสู่คำตอบอย่างเป็นระบบต่าง ๆ กันสุดแล้วแต่แนวคิดทฤษฎีความเชื่อถือในสำนักความคิดทางปรัชญากฎหมาย ซึ่งมีกฎหลายทฤษฎีสำนัก ได้แก่
- สำนักกฎหมายธรรมชาติ
- สำนักปฏิฐานนิยม
- สำนักกฎหมายประวัติศาสตร์
- สำนักนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา
- สำนักสัจนิยมทางกฎหมาย
- สำนักมาร์กซิสต์ เป็นต้น
Search