“ออกมาจากถ้ำ แล้วใช้ชีวิตอยู่กับโควิดกันเถอะ”
ข้อมูลใหม่ๆเกี่ยวกับโรคโควิดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จำเป็นจะต้องเปลี่ยนยุทธศาสตร์การควบคุมโรคตาม มิฉะนั้นเราจะหลงทางดุ่ย ดุ่ย ดุ่ย ไปโดยไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้น
..
ประเด็นที่ 1.
เลิกฝันถึง Herd Immunity ได้แล้ว
ด้วยอัตราการเกิด breakthrough infection (การติดเชื้อธรรมชาติหลังการฉีดวัคซีนครบแล้ว) อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งในบางรายงานมีสูงถึง 40% มันเป็นไปไม่ได้ที่จะอาศัยวัคซีนมาสร้างภูมิคุ้มกันฝูงชนหรือ herd immunity เพื่อให้โรคสงบ ยุทธศาสตร์มุ่งให้โรคสงบตอนนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว ควรเลิกยุทธศาสตร์นั้นเสีย เปลี่ยนยุทธศาสตร์มามุ่งให้โควิดกลายเป็นโรคประจำถิ่น (endemic) หมายถึงเป็นโรคของเมืองไทย แบบไทยๆ (local) ที่เราพอคาดเดาพฤติการณ์ของโรคได้ (predictable) และพอจัดการมันได้ (manageable) โดย..
..
ประเด็นที่ 2.
ถ้าเราสร้างดุลยภาพระหว่างความต้องการใช้ กับการให้บริการของรพ.ได้ เราก็จัดการโรคได้
ทางด้านความต้องการใช้ วิธีลดความต้องการใช้โรงพยาบาลลง เรารู้อยู่แล้วว่า 92% ของคนป่วยโควิดถึงขั้นต้องเข้ารพ.เป็นคนสูงอายุเกิน 55 ปีขึ้นไป และเราก็รู้อยู่แล้วว่าการได้วัคซีนอย่างน้อยเข็มแรกจะทำให้ความรุนแรงของโรคถึงขั้นเข้ารพ.หรือถึงขั้นตายลดน้อยลงไปมาก มากระดับสิบเท่าทีเดียว เราก็เอาความรู้สองอย่างนี้มาลดความต้องการใช้เตียงในรพ. โดยระดมฉีดวัคซีนผู้สูงอายุอย่างน้อยเข็มแรกให้ครอบคลุม เลิกฉีดวัคซีนคนกลุ่มอื่นไว้ก่อน มาเอากลุ่มนี้กลุ่มเดียว แค่เอาวัคซีน mRNA ที่จะได้มา 2 ล้านโด้สมาฉีดแบบ ID ซึ่งจะลดขนาดลงได้ 10 เท่าเราก็จะฉีดคนได้ถึง 20 ล้านคน แค่นี้ก็ครอบคลุมเข็มแรกสำหรับผู้สูงอายุทั้งหมดแล้ว และเมื่อมีวัคซีน เราเคยฉีดได้ถึงวันละ 4 แสนโด้ส 20 ล้านโด้สก็ใช้เวลาเพียงเดือนครึ่งก็จบแล้ว
ทางด้านฝั่งการให้บริการของรพ. เราก็หันมาวางระบบการจัดการโรคใหม่โดยลงมือรักษาเสียตั้งแต่ต้นมือที่นอกโรงพยาบาล ยาที่มีศักยภาพว่าจะได้ผล ไม่ว่าจะเป็นไอเวอร์เมคติน ฟาวิพิราเวียร์ ฟ้าทลายโจร เราก็เร่งทำวิจัยและรีบเอาออกใช้เสียตั้งแต่ระยะแรกของโรค ยาที่มีความปลอดภัยสูงและราคาถูกยกตัวอย่างเช่นฟ้าทลายโจร เราสามารถเริ่มการรักษาได้ตั้งแต่เริ่มมีหลักฐานว่าได้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ คือยังไม่ทันมีอาการเราก็เริ่มรักษาได้แล้ว เพราะประโยชน์มันคุ้มความเสี่ยงอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นด้านอัตราตายหรือด้านต้นทุนการรักษา คือเราหันมาโฟกัสที่การรักษานอกโรงพยาบาลซึ่งเป็นของใหม่ที่เราไม่เคยทำ ส่วนในโรงพยาบาลนั้นมันเป็นเรื่องของการรับมือกับภาวะภูมิคุ้มกันแรงเกินเหตุ (hyperactive immunity) มันเป็นเรื่องยากแต่ไม่ใช่เรื่องจะไปเปลี่ยนภาพใหญ่ของโรคได้ เราก็ทำการรักษาในรพ.ไปอย่างที่เราทำมา ซึ่งเราก็มีระบบการเคลื่อนย้ายแชร์เตียงระหว่างรพ.และระหว่างเมืองเพื่อลดภาวะผู้ป่วยล้นที่เวอร์คดีมากอยู่แล้ว
เมื่อทำทั้งสองฝั่งนี้คู่กันไป เราก็จะทำให้โรคโควิดเป็นโรคที่จัดการได้ (manageable)
..
ประเด็นที่ 3.
เราต้องเปิดให้ผู้มีความเสี่ยงตายต่ำได้ติดเชื้อตามธรรมชาติมากๆ
งานวิจัยที่เพิ่งเผยแพร่จากอิสราเอลพบว่า การติดเชื้อธรรมชาติให้ภูมิดีกว่าการฉีดวัคซีนมากระดับมากกว่ากัน 13 เท่า และเมื่อติดเชื้อธรรมชาติแล้วไปฉีดวัคซีนซ้ำก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ งานวิจัยที่อังกฤษทำให้รู้ว่าคนที่ได้วัคซีนแล้ว การเกิดลิ่มเลือดหลังได้วัคซีนต่ำกว่าหลังการติดโรคจริง และเมื่อได้วัคซีนแล้วแม้เข็มเดียวแล้วไปติดโรคจริงเข้า การเกิดลิ่มเลือดก็น้อยกว่าการติดโรคจริงโดยไม่ได้วัคซีนมาก่อน ดังนั้น ในข้อ 2 เราเปลี่ยนคนสูงอายุซึ่งมีความเสี่ยงตายสูงมาเป็นผู้มีความเสี่ยงตายต่ำด้วยวัคซีน ในข้อนี้เราเปิดให้ผู้มีความเสี่ยงต่ำทั้งหมดรวมทั้งลูกเล็กเด็กแดงคนหนุ่มคนสาวได้ติดเชื้อจริงตามธรรมชาติโดยไม่ต้องรอให้ได้วัคซีนก่อน เพราะถึงติดยังไงเสียอัตราตายก็ต่ำมาก และติดแล้วมันดีกว่าฉีดวัคซีน คนที่ติดโรคจริงแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปฉีดวัคซีนซ้ำอีก เท่ากับด้านหนึ่งเราประหยัดวัคซีน อีกด้านหนึ่งเราได้ประชากรที่มีภูมิคุ้มกันแข็งแรงที่จะอยู่กับโควิดในฐานะโรคประจำถิ่นไปได้อีกนานเท่านาน ดีกว่าคอยหลบอยู่ในถ้ำแล้วขยันฉีดกระตุ้นวัคซีนซ้ำซากเข็ม 3, 4, 5 โดยไม่รู้ว่าจะออกจากถ้ำได้เมื่อใด
..
ประเด็นที่ 4.
ต้องดึงคนออกมาจากถ้ำ มาใช้ชีวิตอยู่กับโรคโควิดในฐานะโรคประจำถิ่น
ยกตัวอย่างเช่นในกทม. กลุ่มเสี่ยง หมายถึงผู้สูงอายุ ตอนนี้ 95.8% ได้วัคซีนไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งโด้ส(สถิติเมื่อต้นเดือนสค.) ดังนั้นกทม.ตอนนี้เท่ากับว่าคนเสี่ยงสูงที่จะเข้าไปถล่มใช้เตียงในรพ.ไม่มีแล้ว มีแค่คนเสี่ยงต่ำ เราต้องลากเอาคน กทม.ทั้งหมดซึ่งมีแต่คนเสี่ยงต่ำออกมาใช้ชีวิตสัมผัสกับโรคโควิด ให้เขาได้ติดเชื้อโควิดของแท้ตามธรรมชาติ เพราะไม่ว่าจะหลบซ่อนหรือขยันฉีดวัคซีนอย่างไร ด้วยเปอร์เซ็นต์การเกิด breakthrough infection ที่สูงขนาดนี้ อย่างน้อยจุดหนึ่งในชีวิตเขาจะต้องติดเชื้อจริงเข้าสักวันจนได้ ยิ่งติดเชื้อเร็วยิ่งได้ประโยชน์เร็ว คือจะได้ไม่ต้องตะบันกระตุ้นวัคซีนซ้ำซาก
..
อุปสรรคใดๆที่จะขัดขวางการดึงคนออกมาใช้ชีวิตกับโรคโควิดควรเลิกเสีย ซึ่งผมเสนอให้
- ยุบเลิกศบค.เสีย
- เลิกการตรวจคัดกรอง (ATK) ผู้ไม่มีอาการป่วยเสีย เพราะการตรวจคัดกรองเป็นการยั้งไม่ให้คนออกมาใช้ชีวิต ควรหันไปเน้นการรักษาเร็วด้วยตนเองด้วยยาที่หาง่ายและปลอดภัยเช่นฟ้าทลายโจรแทน
- เลิกมาตรการ lock down หรือห้ามโน่นนี่นั่นเสีย
- เปิดโรงเรียน
- ถ้าไม่ใช่ผู้สูงอายุก็ควรเลิกการใช้ใบรับรองการฉีดวัคซีนเป็นใบอนุญาตเข้าร้านอาหารหรือเข้าทำกิจกรรมใดๆเสีย
- เปิดประเทศแบบพลั้วะ อ้าซ่าเลย ไม่ต้องไปสนใจว่าประเทศอื่นเขาจะทำอะไรกัน ใครจะมาเที่ยวใครจะไม่มา เพราะเรากำลังจัดการโรคโควิดแบบโรคประจำถิ่นของเรา เราคาดการณ์ของเราเองไปตามหลักฐานวิทยาศาสตร์ที่ทะยอยโผล่ออกมา และจัดการโรคให้ “อยู่” ตามประสาเรา
แล้วท่านผู้อ่านเชื่อผมเถอะครับ ไม่เกินเดือนตุลาคมปีนี้ ทั่วโลกจะต้องเปิดประเทศ และเลิกพิธีกรรมเกี่ยวกับโควิดกันหมด เพราะหลักฐานวิทยาศาสตร์ตอนนี้มันชี้ชัดแล้วว่าพิธีกรรมเหล่านั้นมันไร้ประโยชน์ เพราะไม่ว่าจะมีพิธีกรรมเหล่านั้นหรือไม่มี โรคโควิดก็จะยังอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน และคนส่วนใหญ่ก็จะต้องได้ป่วยเป็นโควิดกันอย่างน้อยคนละครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่ว่าจะขยันฉีดวัคซีนหรือไม่ก็ตาม
แต่ผมย้ำว่าทุกคนก็ยังตัองฉีดวัคซีนให้ครบสองเข็มอยู่นะ เพราะผลวิจัยจากทุกประเทศให้ผลตรงกันว่าเมื่อถึงคราวเป็นโรค การได้วัคซีนมาก่อนมันลดความรุนแรงของโรคลงได้ทุกมิติ
..
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
**ที่มาโพส
https://www.facebook.com/109891462446904/posts/3598513160251366/?d=n
https://drsant.com/2021/09/ออกมาจากถ้ำ-แล้วใช้ชีวิ.html?fbclid=IwAR0NDDWzGoqU4Rxb9bPvW6AzAkKaE7tebJsfNliK7HC0IR1k7GRX0TrkRV0
ฟาวิพิราเวียร์ 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最讚貼文
"ยาฟาวิพิราเวียร์ กับ ฟ้าทะลายโจร"
เห็นดราม่าเรื่องนี้เมื่อประมาณเดือนที่แล้ว ที่กลุ่มผู้สนับสนุนให้ใช้ "ฟ้าทะลายโจร" กับโรค covid-19 ออกมาโจมตียาต้านไวรัส อย่าง "ฟาวิพิราเวียร์" .. แล้วก็มีคนส่งมาถามหลังไมค์เยอะเลย ว่ามันยังไงแน่
ก็ตอบไปว่า ไม่เห็นจะต้องมาทะเลาะกันเลย ! ถ้ามันเป็นความเชื่อเป็นความนิยมในยาสมุนไพรของเขา ก็ไม่เห็นจะต้องมาโจมตีคนอื่นที่ใช้ยาเคมี ก็เลือกเดินหรือเลือกใช้เป็นคนละทางก็ได้
แล้วจริงๆ ยาทั้ง 2 ตัวนี้ ก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่า "มีผลต่อตับ" ได้ทั้งคู่ จึงมีคำแนะนำว่า ไม่ให้ใช้ร่วมกันอยู่แล้ว
สรรพคุณของพวกมันเอง ก็ไปคนละทางกัน ไม่ได้จะทับเส้นทางการรักษากันสักหน่อย
อย่างฟ้าทะลายโจร ก็มีสรรพคุณแบบสมุนไพรเย็น คือการบรรเทาอาการของโรคหวัด เช่น พวกตัวร้อน เป็นไข้ ปวดเมื่อยร่างกาย ... จริงๆ น่าจะไปทับผลประโยชน์กับยาพาราเซตามอลมากกว่า
ในขณะที่ยาฟาวิพิราเวียร์ เป็น "ยาต้านไวรัส แบบ broadband" ซึ่งแม้จะอยู่ในระหว่างการนำมาใช้แบบยาฉุกเฉิน ในกว่า 30 ประเทศ เนื่องจากยังไม่มีการพัฒนายาต้านไวรัสจำเพาะสำหรับเชื้อโรคโควิด ได้สำเร็จ (สำหรับประเทศญี่ปุ่น ก็มีการทดลองนำมาใช้แบบฉุกเฉินเช่นกัน ส่วนการใช้ทั่วไปอย่างเป็นทางการ จะต้องรอทางจากผลการทดสอบทางคลินิกเฟสที่ 3 ซึ่งคาดว่าจะเสร็จในเดือนตุลาคมนี้)
แต่จนถึงวันนี้ ผลงานวิจัยและผลการนำไปใช้จริงในประเทศต่างๆ ออกมาค่อนข้างเยอะแล้วว่า ฟาวิพิราเวียร์มีส่วนช่วยเรื่องการ "ลดการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัส" ได้จริงในระยะแรกของการติดเชื้อ จึงควรจะให้ยานี้โดยเร็วกับผู้ป่วยสีเขียว เพื่อลดโอกาสเสี่ยงที่จะขยายเป็นสีเหลือง-สีแดง
ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเราต้องนำเข้ายาฟาวิพิราเวียร์ ไม่สามารถผลิตเองได้ จึงใช้อย่างจำกัด ต้องรอให้เกิดอาการปอดอักเสบเสียก่อน ค่อยจ่ายยา.. ซึ่งไม่ค่อยสอดคล้องกับงานวิจัย ที่พบว่ายานี้ไม่ได้ช่วยให้ผู้ป่วยเหลือง-แดง รอดชีวิตในที่สุด สักเท่าไหร่
แต่ตอนนี้ องค์การเภสัชฯ สามารถผลิตได้แล้ว และทำให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างกว้างขวางขึ้น จ่ายยาง่ายขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่กักตัวเองที่บ้าน หรือ home isolation
จึงไม่แปลก ที่จะมีหลายๆ คนอย่างเช่น กลุ่มธุรกิจ สภาอุตสาหกรรม หรือแม้แต่คุณสรยุทธ (ช่องสาม) และผมเอง ที่พยายามเรียกร้องให้องค์การเภสัชฯ ยอมให้มีการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ โดยโรงงานยาเอกชนในไทยให้มากขึ้น เพื่อที่เราจะได้มียามากเพียงพอ ไม่ต้องขาดแคลนเหมือนเมื่อก่อน
ในขณะที่ข้อดีของฟ้าทะลายโจร คือมีการผลิตกันมากมายเต็มไปหมด ประชาชนสามารถเข้าถึงตัวยาได้โดยง่าย ... เมื่อสาธารณสุขยังไม่มียาต่างๆ (เช่น ยาต้านไวรัส ยาแก้ปวด ยาลดเสมหะ ฯลฯ) แจกจ่ายให้ประชาชนเพียงพอ การให้ยาสมุนไพรราคาถูก อย่างฟ้าทะลายโจรไปก่อนนั้น ก็เป็นแนวทางที่สามารถทำได้
แต่ก็มีข้อเสียเรื่อง ต้องระวังว่า ซื้อมาได้มาตรฐานหรือเปล่า และมีตัวยาสำคัญอยู่ในนั้น มากเพียงพอต่อการช่วยบรรเทาอาการของโรคโควิดหรือไม่ ... แล้วที่สำคัญคือต้องเน้นว่า ใช้กินบรรเทาอาการเมื่อป่วยเป็นโรค covid แล้วเท่านั้น ไม่ใช่กินเพื่อป้องกันโรค เดี๋ยวจะมีปัญหาต่อตับและอวัยวะอื่นๆโดยไม่จำเป็น
แต่ที่ปวดหัวจริงๆ คือการเคลมเกินความจริง หรือ overclaim ว่า ฟ้าทะลายโจรสามารถรักษาโรค covid ได้ ซึ่งยังไม่ได้มาจากผลการศึกษาวิจัยทางคลินิก ที่เป็นมาตรฐานเพียงพอ คือ ไม่มีการทดสอบเทียบกับยาหลอก (placebo) และไม่ผ่านการวิเคราะห์ทางสถิติ ว่าได้ผลจริงอย่างมีนัยสำคัญ
แต่มักจะเป็นการอ้างเอาจากการนำไปใช้แจกให้คนกินกัน แล้วสำรวจผลว่า มีคนหายจากโรคโควิดกี่คน เอามาคูณเป็นเปอร์เซ็น (อย่างเช่นที่กรมราชทัณฑ์ชอบเอามาอ้าง) ซึ่งเพียงแค่นี้มันเอามาใช้บอกประสิทธิภาพของยาไม่ได้
ที่สำคัญคือ ผู้ที่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 นั้นกว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์สามารถหายได้เอง โดยไม่ต้องพึ่งพายาอะไร แม้ว่าจะมีอาการป่วยเกิดขึ้นก็ตาม ... นั่นเลยเป็นปัญหาใหญ่ ที่ทำให้บรรดายาสมุนไพรสารพัดชนิด วิธีการรักษาสารพัดแบบ หรือแม้แต่น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ (น้ำโฮมีโอพาธี ของ ก.สาธารณสุข เอง) ถูกเอามาแอบอ้างกันอยู่เรื่อย ว่าสามารถใช้รักษาโรคโควิดได้
#สรุป ผมก็ยังแปลกใจว่า จะมาดราม่าทะเลาะกันทำไม มันมีการขัดผลประโยชน์อะไรกันเหรอ ถึงต้องโจมตีกัน
แต่ถ้าเป็นผม ผมก็คงซื้อสมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจรเก็บเอาไว้ที่บ้าน ... แล้วถ้าป่วยเป็นโควิดขึ้นมา ก็พยายามติดต่อขอยาฟาวิพิราเวียร์ ผ่านระบบ home isolation เพื่อมากินต้านไวรัสในตัว ให้ไวรัสเพิ่มน้อยที่สุดที่ทำได้ .. โดยกินฟ้าทะลายโจรบรรเทาอาการไปก่อนระหว่างที่รอยา
ส่วนใครจะนิยมกินฟ้าทะลายโจรอย่างเดียว ก็เชิญได้เลยนะครับ ไม่ขัดศรัทธากัน 😀
ฟาวิพิราเวียร์ 在 Facebook 的最讚貼文
ปรับให้ “ฟาวิพิราเวียร์” ทันที ภายใน 4 วันแรกที่มีอาการครับ
ไม่ต้องรออาการสีเหลือง
#ร่วมแรงร่วมใจฝ่ามหันตภัยโควิด
รองโฆษกรัฐบาล ยืนยัน ใช้ “ฟาวิพิราเวียร์” เป็นยาหลักรักษาโควิด ปรับแผนให้ทันทีใน 4 วัน เพราะลดความรุนแรงอาการได้ดีกว่าให้ช้า จากเดิมที่ใ้หเฉพาะผู้ป่วยสีเหลือง-สีแดง
23 สค.64 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการแจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล ถึงแนวทางการใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ยืนยันว่ายาฟาวิพิราเวียร์ เป็นยาหลักการรักษาโควิด-19 ที่เป็นโรคอุบัติใหม่ ยังไม่มียารักษาได้โดยตรง และจากผลการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ พบว่าช่วยยับยั้งอาการเกิดโรคได้
“การศึกษาวิจัยในประเทศไทยพบว่า เมื่อให้ยาภายใน 4 วันแรกที่มีอาการ จะลดอาการรุนแรงได้ 28.8% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับยาภายใน 4 วัน”
กระทรวงสาธารณสุข เน้นย้ำและสนับสนุนให้ใช้ยานี้รักษาผู้ป่วยโควิด-19 ต่อไป โดยสามารถให้ฟาวิพิราเวียร์ควบคู่ไปกับฟ้าทะลายโจรได้ ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ส่วนข้อสงสัยว่าทำไมก่อนหน้านี้ ถึงให้ยาเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มสีเหลือง และสีแดง ต้องชี้แจงว่าเกิดจากการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญคณะต่างๆ ที่พิจารณาและแนะนำให้ปรับใช้ตามสถานการณ์ของโรค เมื่อไวรัสกลายพันธุ์ก็ต้องปรับแนวทางการรักษาไปด้วย
ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุข ดำเนินการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 การสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ การวางแนวทางเวชปฏิบัติ อยู่ภายใต้คำแนะนำตามยุทธศาสตร์และทางวิชาการ โดยนำความคิดเห็นและข้อคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิจากคณะต่างๆ ที่ผ่านความเห็นชอบจากศบค. และนำเข้า ครม.
ฟาวิพิราเวียร์ 在 องค์การเภสัชกรรม - ยาฟาวิพิราเวียร์ (ยาฟาเวียร์) รักษาโควิด-19 ของ ... 的推薦與評價
ยาฟาวิพิราเวียร์ ภายใต้ชื่อ ฟาเวียร์ (200 มิลลิกรัมต่อเม็ด) ขององค์การเภสัชกรรม ที่วิจัย พัฒนาและผลิตเอง ได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย ... ... <看更多>