หมอสูติฝากมาครับ อันนี้ข้อมูลอัพเดทสุดเกี่ยวกับการใช้ยาคุม และพวกประเด็นความเสี่ยงเนื้องอกต่างๆ ใครสนใจลองอ่านกันดูโลดดด
#ยาคุมกับมะเร็งเต้านมและก้อนในตับ
เชื่อว่าหลายคนอาจทราบว่าขณะนี้เรื่องนี้กำลังก่อให้เกิดปัญหาในการใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อคุมกำเนิดและการรักษาโรคเป็นอย่างมากในประเทศไทย
เนื่องจากมีข่าวและแชร์ออกไปอย่างกว้างขวางทำให้มีความเข้าใจที่อาจคลาดเคลื่อนไป และไปเข้าใจว่ายาคุมอันตรายมากมาก
คนไข้จำนวนมากที่แพทย์ได้ตรวจพบโรคหรืออาการบางอย่างที่ควรจะต้องรักษาด้วยยาคุมกำเนิดชนิดทาน มาโรงพยาบาลเพื่อ “ขอหยุดยา”
แต่เชื่อเหลือเกินว่าอาจมีอีกจำนวนไม่น้อยที่หยุดยารักษาเองโดยไม่บอกแพทย์เพียงเพราะข่าวนี้และกลัวการเป็นมะเร็งเต้านมและเนื้องอกตับในอนาคต
………………
วันนี้ OBG Social จึงได้ขออนุญาตนำข้อมูลเรื่องนี้ที่ขอบอกว่านี่คือ
#ข้อมูลเรื่องยาคุมที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านมและก้อนในตับที่ทันสมัยที่สุด
โดยเป็นคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญสาขาที่เกี่ยวข้องโดยตรงมาฝากทุกคนครับ
………………
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลจากคุณหมอทั้งสองเรื่องนี้จะสามารถทำให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันทั้งแพทย์และผู้ป่วย และผู้ป่วยที่มีความจำเป็นที่ควรใช้ยาคุมรักษาโรคหรืออาการเหล่านั้นได้รับการรักษาที่เหมาะสมต่อไปอย่างไม่ขาดช่วง
#การคุมกำเนิดมีหลายวิธีคุณเลือกได้ว่าอันไหนใช่สำหรับคุณ
#ยาคุมมีประโยชน์หลายด้านอย่าหยุดเองเพราะเรื่องที่ไม่จริงมันจะทำให้โรคเดิมคุณแย่ลง
******************************
กินยาคุมแล้วเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม...จริงหรือ???
อันที่จริงเรื่องนี้มักเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันอยู่บ่อยๆ และเป็นสิ่งที่คนไข้รวมไปถึงญาติๆส่วนใหญ่มักจะถามเวลาที่หมอสั่งยาคุมกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อคุมกำเนิดหรือเพื่อรักษาโรคก็ตาม
#กินยาคุมแล้วจะเป็นมะเร็งเต้านมไหมคะ???
วันนี้หมอจึงนำข้อมูลการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน New England Journal of Medicine ปี 2017 ซึ่งเป็นวารสารทางวิชาการชั้นนำที่เชื่อถือได้มาเล่าให้ฟังกันค่ะ
เขาทำการศึกษาในคนไข้ชาวเดนมาร์ก 1.8 ล้านคน ซึ่งจำนวนคนในงานวิจัยเยอะขนาดนี้ถือว่าทำได้ยากมากและผลที่ได้จะน่าเชื่อถือมากทีเดียว คนเหล่านี้ใช้ยาคุมกำเนิดช่วงอายุระหว่าง15-49 ปี ติดตามดูการเกิดมะเร็งเต้านมเป็นระยะเวลา 10 ปี พบว่า
- ไม่เพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเต้านมเลย ถ้าหากใช้ยาคุมกำเนิดน้อยกว่า 1 ปี
- เพิ่มความเสี่ยงเพียงเล็กน้อย...”ย้ำว่าเล็กน้อยเท่านั้นนะคะ”... !!! หากใช้ยาคุมกำเนิดนานขึ้น โดยเมื่อคิดเปรียบเทียบกับความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านมในคนที่ไม่ได้ใช้ยาคุมกำเนิด พบว่า ในคนไข้ทุกๆ 7,690 ราย ที่ใช้ยาคุมกำเนิด...จะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านมเพียง 1 รายเท่านั้น
- เมื่อพิจารณาแยกตามชนิดของฮอร์โมนที่เป็นส่วนประกอบในยาคุมกำเนิดแล้วพบว่า ความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านมจะเพิ่มขึ้นในกรณีใช้ยาคุมกำเนิดรุ่นเก่าๆและที่สำคัญเป็น highlight เลยคือหากเป็นฮอร์โมนรุ่นใหม่ๆพบว่าแทบจะไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งเต้านมเลย
- หลังจากหยุดยาแล้ว ความเสี่ยงนี้จะลดลงเท่าคนปกติได้ หากใช้ยาคุมกำเนิดเป็นระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี
ในทางกลับกันค่ะ...การใช้ยาคุมกำเนิดในการรักษาโรคบางโรค เช่น PCOS ซึ่งเป็นโรคที่มีภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเยื่อบุโพรงมดลูกหนาผิดปกติ และเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในโพรงมดลูกได้มากขึ้นถึง 3 เท่านั้น ทราบกันใช่ไหมคะว่าการใช้ยาคุมกำเนิดจะ “ช่วยลดความเสี่ยง” นี้ได้ ไม่เพียงเท่านั้นนะคะ มีการศึกษามาแล้วว่าการใช้ยาคุมกำเนิดนอกจากจะช่วยลดการเกิดมะเร็งโพรงมดลูกได้แล้ว ยังช่วยลดการเกิดมะเร็งรังไข่ได้อีกด้วยค่ะ
ดังนั้น หากแพทย์สั่งให้ใช้ยาคุมกำเนิดเพื่อรักษาโรคควร “ต้องทานต่อ” “ไม่ควรหยุดยาเอง” และแนะนำให้ตรวจเต้านมด้วยตนเอง รวมถึงเข้ารับการตรวจแมมโมแกรมตามคำแนะนำของแพทย์ด้วยค่ะ
#ยาคุมยุคใหม่
#หากแพทย์สั่งยาคุมเพื่อรักษาโรคควรต้องทานต่อ...ห้ามหยุดยาเอง
#ยาคุมลดความเสี่ยงมะเร็งโพรงมดลูกได้
#ยาคุมลดความเสี่ยงมะเร็งรังไข่ได้
ด้วยความปรารถนาดี
พญ. ณิชมน ภาคย์ภิญโญ
ผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
******************************
กินยาคุมกำเนิดแล้วมีก้อนที่ตับ
เจ้าก้อนที่ตับที่หลายคนกล่าวถึงมีชื่อเรียกว่า Hepatocellular adenoma เป็นเนื้องอกธรรมดา (Benign tumor) ไม่ใช้เนื้อร้ายค่ะ
ความชุกของการเกิดโรคไม่ชัดเจนนัก
แต่ก็พบได้ประมาณแค่ 1-4 คนใน 1000 คนในกลุ่มประชากรทั่วไป
และหากมองแค่กลุ่มสตรีแล้วพบว่าความชุกของโรคเพียง 3-4 คนใน 100000 คนเท่านั้น
จึงเป็นเนื้องอกตับธรรมดาที่พบได้น้อย ทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มีอย่างจำกัด
แต่จากการเก็บรวบรวมข้อมูลพบว่ามีความสัมพันธ์กันการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดกิน โดยขึ้นกับปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจน และระยะเวลาการใช้ที่นาน
โดยพบว่าหากระยะเวลาการใช้มากกว่า 2 ปีจะพบความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของก้อนเนื้อตับชนิดนี้ อย่างไรก็ตามเป็นการเก็บข้อมูลในช่วงปี 1975-2008 ซึ่งในขณะนั้นยาคุมกำเนิดมีปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีปริมาณสูง ต่างจากยาคุมที่ใช้ในปัจจุบันที่มีปริมาณฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำลงมากจึงทำให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้นแล้วในปัจจุบัน นอกจากนี้หากหยุดกินยาคุมกำเนิดแล้ว ก้อนก็สามารถเล็กลงได้
ตามความเห็นของผู้เขียน ยาคุมกำเนิดยังมีประโยชน์มากกว่าโทษ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คุมกำเนิดอย่างมีประสิทธิภาพ
#รักษาอาการปวดประจำเดือน
#รักษาภาวะเลือดออกผิดปกติ
#รักษาภาวะขนดกในสตรี
#ป้องกันมะเร็งเยี่อบุโพรงมดลูกในสตรีที่ไข่ไม่ตก
หากใช้ยาคุมกำเนิดตามข้อบ่งชี้และอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ยาคุมกำเนิดก็ยังเป็นยาที่ใช้ได้อย่างปลอดภัย ไม่อยากให้ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่จุดดำเพียงจุดเดียวทั้งๆที่มีพื้นที่สีขาวอีกตั้งมากมาย
เอกสารอ้างอิง
1. European Association for the study for liver. EASL Clinical Practice Guidelines on the management of benign liver tumor. J Hepatol. 2016;65:386–98.
2. Lin H, Esschert VD, Liu C, Gulik TM. J. Systematic review of hepatocellular adenoma in China and other regions. Gastroenterol Hepatol. 2011;26(1):28-35.
3. Haring M, Haas A, Cuperus F, Jong K, Meijer V. The effect of oral contraceptive pill cessation on hepatocellular adenoma diameter: A retrospective cohort study. Liver Int. 2019 May; 39(5): 905–913.
ด้วยความปรารถนาดีนะคะ
พญ.กตัญญุตา นาคปลัด
ผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์
-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-
ฝากช่วยกันบอกคนที่ต้องใช้ยารักษาโรคหรืออาการให้ใช้ยาต่อไปนะครับ อย่าเพิ่งหยุดยาเอง ...
#ถ้าสื่อออนไลน์ทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อน
#เราก็น่าจะสามารถใช้สื่อเดิมทำให้เข้าใจตรงกันได้นะ
Search