เซนต์ โทมัส อไควนัส: ธรรมชาติของกฎหมายคือ เหตุผลของพระเจ้า
เซนต์ โทมัส อไควนัส (ST.Thomas Aquinas) (1226 – 1274) เป็นนักบวชและนักปรัชญา
ชาวอิตาเลียน ผู้สร้างงานนิพนธ์ชิ้นสำคัญ เรื่อง “Suma Theologica” ซึ่งเป็นการเชื่อมวิธีคิดแบบเหตุผลนิยม (Rationalism) กับเจตนานิยม (Voluntarism) เข้าด้วยกันโดยนำเอาปรัชญาของอริสโตเติล มาสังเคราะห์กับปรัชญาทางคริสต์ศาสนา ในขณะที่อริสโตเติล ยืนยันว่ามนุษย์สามารถค้นพบกฎหมายธรรมชาติได้โดยอาศัย “เหตุผล” ในตัวมนุษย์เอง
อไควนัส ก็ได้พยายามเชื่อมโยงเรื่อง “เหตุผล” (Reason) ดังกล่าวเข้ากับ “เจตจำนง” (Will) ของพระเจ้า โดยถือว่า การนำเอาเหตุผลของมนุษย์มาเชื่อโยงกับหลักธรรมของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งเขาเชื่อว่าเหตุผลที่สูงกว่า เป็นเหตุผลที่สมบูรณ์ถูกต้องมากกว่าในการใช้เป็นเครื่องมือค้นหากฎหมายธรรมชาตินั้นปรากฏอยู่ใน “เหตุผลของพระเจ้า” (Divine Reason) หรือ “เจตจำนงของพระเจ้า” ซึ่งถือว่ามีความบริสุทธิ์ถูกต้องมากกว่า “เหตุผลของมนุษย์” ซึ่งอาจมีความผิดพลาดได้และจากจุดนี้เองที่ทำให้เขาสรุปว่า “หลักธรรมโองการหรือเจตจำนงพระเจ้าคือที่มากฎหมายธรรมชาติ” (Christian Natural Law)
อไควนัส ได้กล่าวถึง กฎหมายประเภทต่างๆโดยรับเอาการแบ่งประเภทของกฎหมายของ ออสติน มาอธิบายและให้ความหมายในการแบ่งแยกประเภทของกฎหมายโดยเชื่อมระหว่าง “เหตุผล” เข้ากับ “เจตจำนงของพระเจ้า” ออกเป็น 4 ประเภท ตามลำดับชั้นทางกฎหมาย คือ กฎหมายนิรันดร กฎหมายธรรมชาติ กฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ และ กฎหมายของมนุษย์ ดังนี้
กฎหมายนิรันดร (Lex aeterna / EternalLaw) จัดว่าเป็นกฎหมายสูงสุด ซึ่งเป็นเหตุผลหรือปัญญาอันอันศักดิ์สิทธิ์ที่คอยบงการความเคลื่อนไหวหรือการกระทำทั้งปวงในจักรวาล และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ล่วงรู้ถึงกฎหมายนี้มนุษย์ทั่วไปอาจหยั่งรู้ได้โดยตลอด
กฎหมายธรรมชาติ (Lex naturalis / Natural Law) กฎหมายธรรมชาติถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายนิรันดรที่สามารถเข้าถึงได้โดยอาศัย “เหตุผล” อันเป็นคุณสมบัติธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้ ซึ่งมีหลักธรรมอันเป็นมูลฐานที่สุดก็คือ “การทำความดีและละเว้นความชั่ว” ที่มีอยู่ภายในตัวของเราเอง
กฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ (Lex divina / Divine Law) หมายถึง กฎเกณฑ์หรือหลักธรรมต่าง ๆ ที่ถูกจารึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล (Bible)
กฎหมายของมนุษย์ (Lex humana / Human Law) หมายถึง กฎหมายที่มนุษย์บัญญัติขึ้นมาใช้ในสังคม ซึ่งอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายที่สูงกว่าก่อนหน้า อไควนัส เห็นว่าหากกฎหมายของมนุษย์เรื่องใดที่ไม่เป็นธรรมและขัดต่อกฎหมายธรรมชาติ ย่อมไม่ถือว่าเป็นกฎหมาย แต่เป็นความวิปริตของกฎหมายซึ่งอยู่หางไกลจากลักษณะของกฎหมายที่มีจุดมุ่งหมายให้พลเมืองเป็นคนดี
อไควนัส เห็นว่ากฎหมายที่ไม่เป็นธรรมอาจเกิดขึ้นได้หลายกรณี อาทิเช่น
1. กฎหมายมิได้มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่หากเป็นการตอบสนองต่อกิเลสตัณหาของผู้ออกกฎหมาย
2. กฎหมายบัญญัติขึ้นเกินกว่าอำนาจของผู้ออก
3. เป็นกฎหมายที่กำหนดภาระแก่คน อย่างไม่เสมอภาค
ข้อ 1 – 2 ซึ่ง อไควนัส ถือเป็นโมฆะโดยเด็ดขาดและประชาชนไม่จำต้องคารพเชื่อฟังข้อ 3 หากยึดเอาคุณธรรมเรื่องความรอบคอบเป็นหลักแล้วประชาชนอาจจำต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเช่นนี้
เพื่อความเป็นธรรมในการหลีกเลี่ยงความสับสนวุ่นวายในสังคม
การแบ่งแยกกฎหมายออกเป็น 4 ประเภทนี้ จึงนับว่าเป็นการประนีประนอม ระหว่างความคิดของกรีกกับความคิดของคริสเตียน และได้แก้ปัญหาลำดับชั้นของกฎหมาย ซึ่งมีมาแต่โบราณว่าความยุติธรรมตามธรรมชาติ กับ ความยุติธรรมที่มนุษย์สมมุติขึ้น (กฎหมายที่บัญญัติขึ้น) ควรจะมีความสัมพันธ์กันอย่างไร โดย อไควนัส ได้เน้นว่า “กฎหมายมนุษย์จะต้องสอดคล้องกับกฎหมายธรรมชาติ ถ้ากฎหมายมนุษย์ขัดต่อกฎหมายธรรมชาติ กฎหมายมนุษย์ไม่มีค่าเป็นกฎหมาย” เป็นการเน้น “หลักกฎหมายลำดับสูงกว่า” (Higher law) กล่าวคือ กฎหมายธรรมชาติและกฎหมายศักดิ์สิทธิ์เป็นกฎหมายที่สูงกว่ากฎหมายบ้านเมืองของมนุษย์ถ้ากฎหมายบ้านเมืองเองขัดต่อกฎหมายธรรมชาติ หรือขัดต่อกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ กฎหมายนั้นย่อมไร้ผลและราษฎรย่อมมีสิทธิไม่เชื่อฟังผู้ปกครองได้ (The Right of Disobedience) ทั้งนี้เพราะราษฎรย่อมมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายธรรมชาติและกฎหมายศักดิ์สิทธิ์เหนือสิ่งอื่นใด
ความคิดของ อไควนัส จึงมีฐานะเสมือนข้อต่อทางความคิดกฎหมายธรรมชาติที่เน้นความสำคัญของ เหตุผล ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรีก คือ ตั้งแต่ เพลโต อริสโตเติล สโตอิคและสมัยโรมันถ่ายทอดต่อมาในสมัยกลางอย่างไม่ขาดสาย และส่งทอดต่อไปจนถึงสมัยใหม่ในภายหลังอย่างไม่ขาดตอน
อริสโตเติล 在 Ohlalastory Facebook 的最佳解答
ULTIMA II Delicate Seriesปลุกความสวยอย่างมั่นใจ
พร้อมสร้างแรงบันดาลใจกับลุคใหม่ที่เป็นตัวเอง
.
.
ULTIMA II ได้คิดค้นทุ่มเทเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ปลุกความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้หญิงให้กล้าดึงศักยภาพของตัวเองมาใช้อย่างไม่มีขีดจำกัด ล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เมคอัพสีสันสุดเย้ายวนชวนหลงใหล Delicate Series ที่จะเนรมิตการแต่งหน้าลุคต่างๆ ได้สุดเก๋พร้อมมอบความสดใสได้อย่างครบเครื่อง โดยมุ่งหวังที่จะเป็นส่วนหนึงของแรงผลักดันให้ผู้หญิงกล้าเผยจุดเด่นได้อย่างมั่นใจ ผ่านแคมเปญ #StrengthinDelicate
.
.
คำว่า Delicate หมายถึง ความสุภาพและอ่อนโยน ดังนั้นเพื่อให้มีความหมายผสานสอดคล้องกันกับ ชุดผลิตภัณฑ์ Delicate ที่เปิดตัวใหม่อีกครั้ง ภายใต้แรงบันดาลใจจากคำคมของ แอตติคัส อริสโตเติล ที่กล่าวว่า “ความแข็งแกร่งที่แท้จริง ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ความสุภาพอ่อนโยน” ด้วยความมุ่งหวังที่จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้หญิงเผยจุดเด่นพร้อมด้วยความเชื่อมั่นและกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ เราจึงมุ่งมั่นที่จะทำให้คุณรู้สึกมั่นใจในเรื่องผิวพรรณ พร้อมๆ กับการก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่แห่งนวัตกรรมความงามโดยผ่านแคมเปญ #StrengthinDelicate ของเรา
.
.
หาซื้อได้ที่ Lazada, Konvy และเคาน์เตอร์ที่ห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป เว็บไซต์: www.ultimaii.com/th
Line@: @ultimaiithailand Facebook: Facebook.com/ultimaiith Instagram: @ultimaii_th YouTube: YouTube.com/UltimaiiThailand
.
.
#UltimaiiThailand #StrengthinDelicate #ohlalastory
อริสโตเติล 在 สาระศาสตร์ Facebook 的最讚貼文
ตั้งแต่สมัยโบราณถึงยุคปัจจุบัน มนุษย์ได้ถูกสอนให้รู้จักวิธีคิดในแนวทางต่าง ๆ แต่วิธีคิดที่ได้รับการยอมรับและยังถูกใช้สอนอยู่คือการคิดอย่างเหล่านักปราชญ์
ในโลกฝั่งตะวันตกได้ให้กำเนิดนักคิดและนักปราชญ์ชื่อดังหลายคน แต่บุคคลที่มีชื่อเสียงยาวนานและได้ยอมรับจากทั่วโลกว่าเป็นสุดยอดนักปราชญ์ ก็คงไม่พ้นนักปราชญ์ 3 ท่านนี้ นั้นคือ โซเครติส,เพลโต,อริสโตเติล ซึ่งทั้ง 3 คนนี้ล้วนแต่มีแนวการสอน และให้ความหมายของคำว่า "ความรู้ " ที่แตกต่างกันไป
#โซเครติส
สอนเกี่ยวกับการแสวงหาความเป็นจริง โดยการชี้ให้เห็นสิ่งที่ถูกและผิด แต่ไม่ได้เสนอทางออกของปัญหา
โซเครตีส กล่าวว่า “ความรู้ คือ คุณธรรม” (Knowledge of Virtue) นั่นคือ คนที่รู้จักความดีย่อมทำความดี เป็นไปไม่ได้ที่คนรู้ว่าความดีคืออะไรแล้วยังฝืนทำความชั่ว ส่วนที่คนทำความชั่วก็เพราะขาดความรู้ ถ้าคนเราได้รับการแนะนำที่ถูกต้องแล้วเขาาจะไม่ทำผิดเลย เหตุนั้น โซเครตีสจึงกล่าวว่า “ไม่มีใครทำผิดโดยจงใจ” โซเครตีสเป็นคนที่มีเหตุผลสูงสามารถควบคุมอารมณ์ได้ทุกสถานการณ์ อะไรที่เห็นว่าถูกต้อง โซเครตีสจะทำโดยไม่ลังเล ถึงวาระสุดก็ยอมโดนประหารชีวิต แต่ไม่ยอมทิ้งหลักการของตน
#เพลโต
สอนให้ยึดกฎเกณฑ์แบบแผนที่ถูกต้อง หากมีสิ่งใดที่ไม่ตรงกับมาตรฐานนี้ จะต้องฉุกคิดว่าอาจมีสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้น
ในทัศนะของเพลโต ความรู้ที่แท้จริงไม่ได้มาจากผัสสะหรือการรับรู้ แต่ความรู้ที่แท้จริงได้มาจากเหตุผล สำหรับโซเครตีส ความรู้หมายถึงการค้นพบมโนภาพ (Concept) แต่สำหรับเพลโต ความรู้หมายถึงการค้นพบมโนคติ (Idea) ในความคิดของเพลต้นั้น ได้แบ่งลักษณะความคิดออกเป็น 4 อันดับ คือ จินตนาการเป็นขั้นต่ำสุด ที่สูงขึ้นมาตามลำดับคือความเชื่อ และการคำนวณ ส่วนขั้นสูงสุดคือพุทธิปัญญา
#อริสโตเติล
สอนให้รู้จักวิธีคิดแบบ วิเคราะห์ แยกแยะข้อมูล เป็นประเภทต่าง ๆ อย่างละเอียด
ความรู้สำหรับอริสโตเติลนั้นคือความรู้ที่ต้องประกอบด้วยคุณธรรม ชีวิตที่ดีสำหรับมนุษย์ก็คือ ชีวิตที่มีคุณธรรมทางศีลธรรม มีความประพฤติที่เหมาะสม และชีวิตที่มีคุณธรรมทางปัญญา คือการตริตรองถึงสัจจะ จิตของมนุษย์มีลักษณะที่แตกต่างจากสัตว์ทั้งหลาย คือคิดหาเหตุผลหรือมีเหตุผล ดังนั้นการมีเหตุผลจึงเป็นแบบที่มนุษย์ต้องพยายามบรรลุถึงในที่สุด
คุณละครับชอบแนวคิดของนักปราชญ์คนไหน หรือมีนักปราชญ์คนไหนที่ชอบเป็นพิเศษลองคอมเม้นต์มาบอกกันหน่อย