วันที่ 6
ช่วงบ่ายหลังจากที่เรากินข้าวกันก็ออกเดินทางไปสถานที่ ที่อ๋อรอคอย ออกเดินทางสู่สังเวชนียสถานแห่งที่ ๒ “ปรินิพานสถาน” สถานที่เสด็จดับขันธ์ปรินิพาน ณ สาลวโนทยาน ที่มีต้นสาละคู่ ก่อนที่พี่อ๋อจะเข้าถึงพุทธประวัติบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขออยู่ในยุคปัจจุบันก่อนนะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง พี่อ๋อเดินทางมาถึงสถานที่นี้ เมื่อเดินเข้าไปในอานาบริเวณ พี่อ๋อก็ได้พบกับเด็กคนหนึ่งเค้าเอาเมล็ดต้นสาละมาให้ ๒ เม็ด ซึ่งตอนนั้นคิดว่าเค้าใจดีเอามาให้และเห็นว่า ๒ เม็ดเท่าต้นสาละของพุทธองค์พอดี ดีใจมากเลยให้เงินเค้า แต่ปรากฏว่าดันขอมากกว่าที่ให้เลยบอกไม่เอาก็ได้เดี๋ยวไปเก็บเอง หลังจากบอกไม่เอาเค้าก็บอกว่า “OK” ก็เท่านั้นหลังจากนั้นมีมาอีกเพียบ งง แต่ใจยังอยู่ที่สถานที่นั้น แต่นิสัยใจร้อนก็เกิดขึ้น เลยเรียกเจ้าที่แล้วรบกวนให้ท่านพาไปก่อนที่หลวงพี่จะมานำ เมื่อไปถึง นึกภาพเอานะ เป็นห้องที่ใหญ่มากมีพระพุทธรูปปางอนุฏฐิตสีหไสยาสน์หรือปางเสด็จบรรทมครั้งสุดท้ายยาว ๗ เมตร (ถ้าเท่าองค์จริงต้องประมาณ ๔.๘๐ เมตรกว่าเพราะ ๑๖ ศอก) ซึ่งไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม
แต่เมื่อเข้าไป ข้างในสงบมาก และเริ่มเห็นคนร้องไห้ ผู้ชายในขณะยังร้องเลย มองทุกคนแล้ว สงสัยว่าทำไมตัวเองไม่ร้อง แต่หลังจากกราบแทบพระบาท เท่านั้นพี่อ๋อก็ร้องไห้ความรู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรสำคัญในชีวิต ร้องไห้เหมือนจะขาดใจ มันเป็นความรู้สึกเสียใจอย่างที่ไม่รู้จะไปเปรียบกับอะไรดี หลังจากที่พวกเราร่วมกันร้องไห้อยู่นั้นก็มีเสียงหลวงพี่กิติศักดิ์ (พระวิทยากร ท่านมาเรียนปริญญาเอกที่อินเดียเป็นพระธรรมฑูตด้วย) บอกว่ามาร่วมกันสวดมนต์ พวกเราก็สวดมนต์พร้อมกันเสียงเพราะมากๆ ดังไปทั่วเพราะเมื่อมีพระพุทธรูปใหญ่ขนาดนั้นอยู่กลางห้องจึงเหลือเพียงที่ให้เดินด้านละประมาณ ๑ เมตรเท่านั้นเมื่อมีพวกเรามานั่งรอบๆเพื่อสวดมนต์คิดเอาว่าเสียงจะดังแค่ไหน และไม่รู้เพราะอะไรเวลาสวดมนต์มันไปพร้อมกันเสมอเลย ต้องขอบคุณวันแรมทางที่เตรียมหนังสือสวดมนต์ไว้ให้คนละเล่ม หลังจากนั้นพวกเราก็ได้อนิสงฆ์ เมื่อพี่คนหนึ่งเอาผ้าจีวรมาห่มพระพุทธองค์ (คุ้มกับที่ส่งมาเซอร์เวย์ก่อน) หลังจากพวกเราสวดมนต์เสร็จพวกเราก็เดินออกมา เพื่อที่จะกระทำปทักษินพระพุทธองค์ที่ปรินิพานสถูป เมื่อครบสามรอบพวกเราก็ออกเดินทางต่อไปที่ มกุฎพันธนเจดีย์ สถูปที่ถวายพระเพลิงพุทธสรีระ หลังวันที่พระพุทธองค์ปรินิพาน ๗ วัน
แต่ก่อนที่พี่อ๋อจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ มกุฏพันธนเจดีย์ ขอย้อยเวลากลับไปในอดีตเมื่อ ๒๕๕๑ ปีก่อนนะว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
หลังจากที่พญามารมาทูลเชิญนิพาน และพระพุทธองค์ทรงปลงอายุสังขาร ก็มีพุทธประสงค์ที่จะเดินทางมาที่ กุสินารา พระอานนท์ได้ทรงทูลถามว่าทำไมถึงต้องเดินทางมานิพานที่เมืองเล็กด้วย ทำไมไม่นิพานที่เมืองใหญ่ให้สมบารมีของพุทธองค์ แต่พุทธองค์ทรงตรัสเล่าว่า (ขอเล่าแบบย่อนะ)
“กุสินารา นี้แต่ปางก่อนเป็นราชธานี มีนามว่ากุสาวดี เป็นเมืองใหญ่มีความเจริญรุ่งเรื่องมาก และมีกษัตริย์นามว่าสุทัสสนะ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงเจริญธรรมพรหมวิหารธรรม ๔ หลังจากสวรรคตได้เสด็จเข้าสู่โลกพรหม พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนพระอานนท์ว่า”
“อานนท์ เธอจงดูเถิด สังขารเหล่านี้ล่วงไปดับไป แปรไปหมดแล้ว อานนท์ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงอย่างนี้ ไม่ยั่งยืนอย่างนี้ ไม่น่ายินดีอย่างนี้ อานนท์ เพราะเหตุนี้ควรจะเบื่อหน่ายในสังขารทั้งปวง เพราะเมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะเมื่อคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้วย่อมมีญาณรู้ว่า ชาติสิ้นแล้ว กิจที่ควรทาได้ทาเสร็จแล้ว”
“อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะในครั้งนั้นคือเราตถาคตในปัจจุบัน เราย่อมรู้ที่ทอดทิ้งร่างกาย อานนท์ เราไม่เห็นสถานที่ใดในโลก ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดา และมนุษย์ ที่ตถาคตจะทอดทิ้งร่างกายเป็นครั้งสุดท้าย นอกจากสถานที่นี้”
ในอรรถกถาสุมังคลวิลาสินี แสดงเหตุผลที่ทรงพิจารณาในการเลือกเมืองปรินิพานไว้หลายประการคือ
* เป็นการเหมาะสมที่จะประกาศมหาสุทัสสนสูตร ชนเป็นอันมากเมื่อฟังธรรมเทศนาของตถาคตแล้ว จักสำคัญกุศลว่าควรกระทำ
* พระสุภัททปัจฉิมสาวก กำลังอยู่ที่กุสินารา เพื่อให้ได้อรหันต์องค์สุดท้าย
* โทณพราหมณ์เป็นผู้แก้ปัญหาการแบ่งพระบรมสารีริกธาตุทำให้ไม่เกิดสงคราม
ครั้นเมื่อพระพุทธองค์เสด็จสู่นครกุสินาราเพื่อปรินิพาน ชาวบ้านบางส่วนนิยมเรียกเมืองนี้ใหม่ว่า “มถากุนวาร์ หรือ
มถากัวร์ มากจากคาว่า มฤตกุมาร แปลว่า เจ้าชายสิ้นชีพ” เมื่อพระพุทธองค์ทรงบอกพระอานนท์ว่าทรงเหนื่อยแล้ว ทรงพักลงที่ใต้ต้นสาละคู่ เมื่อนั้นต้นสาละก็ผลิดอกหล่นพรูมาถวายสักการะ พระบรมศาสดาจึงตรัสแก่พระอานนท์ว่า “อานนท์ การบูชาก็เท่านี้แหละ ตถาคตมิได้ยินดีเท่ากับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ได้ประพฤติตาม ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติธรรมด้วยดี เป็นการบูชาสูงสุดต่อพระตถาคต” ก่อนที่จะเสด็จนิพาน พระพุทธองค์ตรัสถึงสถานที่เพื่อการระลึกถึง และเจริญในกุศลทั้งหลายให้กุลบุตรผู้ศรัทธาควรเห็นได้แก่ สังเวชนียสถานทั้ง ๔ คือสถานที่ประสูติ ตรัสรู้ แสดงปฐมเทศนาและปรินิพาน ผู้จาริกไปยังเจดีย์สถานด้วยความเลื่อมใส จักเข้าถึงโลกสวรรค์ได้ เมื่อคราวทำกาละ เมื่อเราปรินิพานไปแล้ว บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดว่า พระบรมศาสดาของเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่ควรเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่เราได้แสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แก่พวกเธอ ธรรมวินัยนั้นจะเป็นศาสดาของพวกเธอ”
หลังจากนั้นจึงตรัสปัจฉิมวาจากับภิกษุทั้งหลายว่า
“บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด”
นี้เป็นพระวาจาสุดท้ายของพระพุทธองค์ ทรงนึกถึงผู้อื่นแม้จนวินาทีสุดท้าย ในตอนนั้นพระอนุรุทธผู้เป็นเอกในด้านตาทิพย์ บอกว่า แม้เมล็ดทรายหรือช่องว่างของอากาศจะไม่มีเทวดานั้นไม่มี ทุกคนสูญเสีย ทั้งเทวดา พรหม
อ้าวหยุดซึ้งก่อนกลับมาปัจจุบันได้แล้ว...............ให้เวลาทำใจ จะได้อ่านตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้ต่อค่ะ
อานนท์ แปลว่า 在 มันแปลว่าฮัก+จบแบบเท่ๆ+แพ้รักสนามรบ - YouTube 的推薦與評價
![影片讀取中](/images/youtube.png)
มัน แปลว่า ฮัก+จบแบบเท่ๆ+แพ้รักสนามรบ - อานนท์ น้อย พรวิเศษ l แอ๊ดซาวด์. 1.3K views 1 year ago #TTBLIVESHOW #กดติดตาม #กดกระดิ่ง. ... <看更多>
อานนท์ แปลว่า 在 หมวดตัว A • Arnon อานนท์ แปลว่า ความรื่นเริง, แสงอาทิตย์ • Alinda ... 的推薦與評價
หมวดตัว A • Arnon อานนท์ แปลว่า ความรื่นเริง, แสงอาทิตย์ • Alinda อลินดา, อรินดา แปลว่า สวย หมวดตัว B • Bonita โบนิตา แปลว่า สวย น่ารัก หมวดตัว C •... ... <看更多>