กรณีศึกษา จากอินฟลูเอนเซอร์ TikTok สู่เจ้าของ Venture Capital /โดย ลงทุนแมน
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวันนี้ กลุ่มคนที่มีพลังในการโน้มน้าวเทรนด์ความนิยมของผู้บริโภคเป็นอย่างมาก คือ “อินฟลูเอนเซอร์” บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่าง ๆ
ซึ่งในอนาคต เราอาจได้เห็นพวกเขาแผ่ขยายอิทธิพล เข้ามามีส่วนชี้นำทิศทางในโลกธุรกิจด้วย
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว คือ กรณีของคุณ “Josh Richards” ซึ่งเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาจาก TikTok ที่ตอนนี้ได้ก่อตั้งบริษัท Venture Capital ขึ้นมา เพื่อลงทุนในสตาร์ตอัปที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่
แล้วอินฟลูเอนเซอร์ จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในวงการ Venture Capital ได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เรามาทำความรู้จักตัวละครหลักของเรื่องนี้กันก่อน คือ คุณ Josh Richards เป็นเด็กหนุ่มชาวแคนาดา เกิดเมื่อปี 2002 ปัจจุบันมีอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น
เขาเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่อายุ 14 ปี จากการทำคลิปวิดีโอเต้นและลิปซิงก์ใน TikTok โดยล่าสุด มีผู้ติดตามถึง 25.5 ล้านบัญชี
ในปี 2020 นิตยสาร Forbes ได้มีการประเมินว่า คุณ Richards สามารถสร้างรายได้ค่าสปอนเซอร์โฆษณาสินค้าประมาณ 49 ล้านบาท ซึ่งสูงเป็นอันดับ 5 ของแพลตฟอร์ม TikTok
แต่นอกจากการเป็นอินฟลูเอนเซอร์โซเชียลมีเดีย เขายังมีความฝันที่จะเป็นมหาเศรษฐีระดับ Billionaire คือมีทรัพย์สินมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการทำธุรกิจและลงทุนอีกด้วย
โดยก่อนหน้านี้ คุณ Richards ได้เริ่มก้าวเข้ามาสู่โลกธุรกิจในหลายบทบาท เช่น
- เป็นผู้บริหารด้านกลยุทธ์ของ Triller แพลตฟอร์มคลิปวิดีโอสั้น คู่แข่ง TikTok
- ร่วมก่อตั้งบริษัท TalentX Entertainment ค่ายดูแลอินฟลูเอนเซอร์โซเชียลมีเดีย
- ร่วมก่อตั้งบริษัท Ani Energy ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลัง
- เป็นพาร์ตเนอร์ของ Remi Capital บริษัทลงทุนแนว Venture Capital สัญชาติออสเตรเลีย
และในปี 2021 เขาได้ตัดสินใจก่อตั้งบริษัท Venture Capital ของตัวเอง ชื่อว่า “Animal Capital” ร่วมกับกลุ่มเพื่อนอินฟลูเอนเซอร์ ด้วยเงินทุนเริ่มต้นราว 490 ล้านบาท
โดยบริษัทมีนักธุรกิจชื่อดังหลายราย เข้าร่วมลงทุนและคอยให้คำแนะนำต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น
- คุณ Kevin Mayer อดีตซีอีโอ TikTok
- คุณ Sean Rad ผู้ร่วมก่อตั้ง Tinder
- คุณ Justin Kan ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitch
- คู่แฝดมหาเศรษฐี Tyler และ Cameron Winklevoss อดีตคู่อริที่เคยฟ้องร้อง มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ว่าขโมยไอเดียของพวกเขาไปสร้างเฟซบุ๊ก
แล้ว Animal Capital ของคุณ Josh Richards แตกต่างจาก Venture Capital ทั่วไปอย่างไร ?
คุณ Richards เล็งเห็นว่า อิทธิพลที่อินฟลูเอนเซอร์มีต่อผู้บริโภค เป็นจุดเด่นที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อยอดกับการลงทุนได้อย่างมหาศาล
กลยุทธ์ของ Animal Capital คือ การเข้าไปลงทุนในสตาร์ตอัป ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นกิจการ จากนั้นก็จะนำเอาสินค้าหรือบริการของบริษัท มาทำการตลาดออนไลน์ช่องทางโซเชียลมีเดียของอินฟลูเอนเซอร์
ซึ่งนอกจากคุณ Richards แล้ว พาร์ตเนอร์คนอื่นก็โด่งดังใน TikTok ไม่แพ้กัน อย่างเช่น คุณ Griffin Johnson ที่มีผู้ติดตาม 10.8 ล้านราย และคุณ Noah Beck ที่มีผู้ติดตาม 30.2 ล้านราย
โดย Animal Capital กล่าวว่า อินฟลูเอนเซอร์ที่เป็นพาร์ตเนอร์ของบริษัท มียอดผู้ติดตามทั้งใน TikTok และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่น ๆ รวมทั้งหมดกว่า 100 ล้านบัญชี
นั่นหมายความว่า Animal Capital สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ของสตาร์ตอัปที่บริษัทลงทุน ให้ผ่านสายตาผู้บริโภค 100 ล้านราย ได้ทันที และมีโอกาสสูงมากที่หลายคนจะทดลองใช้งาน ตามการโน้มน้าวของอินฟลูเอนเซอร์ที่พวกเขาชื่นชอบ
ซึ่งกลยุทธ์นี้เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย ทางฝั่งสตาร์ตอัปได้ฐานลูกค้า และกระแสตอบรับจากการใช้งานจริง เพื่อมาปรับปรุงธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น
ในขณะที่ Animal Capital ก็อาจได้ผลตอบแทนสูง หากบริษัทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ คุณ Richards บอกว่า เขาเคยใช้วิธีการนี้สำเร็จมาแล้ว จากการลงทุนส่วนตัวในแพลตฟอร์มทายผลกีฬา ชื่อว่า VersusGame และทำคอนเทนต์แนะนำแพลตฟอร์ม VersusGame ลงในโซเชียลมีเดียของตัวเอง
ทำให้ตอนนี้ VersusGame มีผู้ใช้งาน 7 ล้านราย และสามารถระดมเงินทุนได้ราว 100 ล้านบาท แม้เพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 2019
ในปัจจุบัน Animal Capital มีการเข้าไปลงทุนในบริษัท ที่มุ่งเน้นทำธุรกิจที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนยุค Generation Z ซึ่งเป็นฐานผู้ติดตามหลักของอินฟลูเอนเซอร์ เช่น
- WHOOP สตาร์ตอัปเทคโนโลยีติดตามข้อมูลสุขภาพ และการออกกำลังกาย
- Lolli แอปพลิเคชันรับเงินคืนเป็น Bitcoin หลังจากช็อปปิงออนไลน์
- Deux Foods บริษัทผลิตคุกกี้ ที่ใช้ส่วนผสมเพื่อสุขภาพ
- WonderFi แพลตฟอร์มธุรกรรมการเงินแบบ Decentralized Finance (DeFi)
- Whatnot แพลตฟอร์มไลฟ์สตรีมมิง สำหรับซื้อขายสินค้าออนไลน์
- Parallel Learning สตาร์ตอัปเทคโนโลยีวัดผลการเรียน
ก็น่าติดตามต่อไปว่า หากคุณ Josh Richards และบริษัท Animal Capital ที่เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง สามารถประสบความสำเร็จ ในอนาคต เราอาจได้เห็นกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ เข้ามามีบทบาทต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี และวงการ Venture Capital มากขึ้น ก็เป็นได้
เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่า
ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์อยู่ตลอดเวลา
สิ่งสำคัญ คือ ทำอย่างไรให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้เร็วและมากที่สุด เพื่อสร้างความคุ้นเคยต่อแบรนด์
ซึ่งคนที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้ อาจไม่ใช่นักธุรกิจ หรือผู้เชี่ยวชาญการเงินการลงทุน
แต่เป็น อินฟลูเอนเซอร์ ที่สามารถกำหนดเทรนด์ ให้ผู้ติดตามหลายล้านรายทำตามได้ นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม บริษัทที่จะเป็นพาร์ตเนอร์กับอินฟลูเอนเซอร์ คงต้องพิจารณาข้อมูลให้ละเอียด
เพราะถ้าหากคนที่ร่วมทำธุรกิจด้วย มีข่าวอื้อฉาวในแง่ลบแม้เพียงนิดเดียว
มันก็อาจเป็นดาบสองคม ที่ทำให้ผู้บริโภค เลิกใช้สินค้าได้เช่นกัน..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://edition.cnn.com/2021/04/30/business/josh-richards-tiktok-investing-venture-capital/index.html
-https://www.crunchbase.com/organization/animal-capital/recent_investments
-https://www.intheknow.com/post/josh-richards/
-https://www.animalcapital.co/introduction
-https://www.prnewswire.com/news-releases/versusgame-secures-3-million-in-funding-from-top-music-artists-and-entertainment-producers-301347748.html
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過53萬的網紅วรัทภพ รชตนามวงษ์ WARATTAPOB,也在其Youtube影片中提到,?แจกหนังสือฟรี?" เงิน มา ง่ายๆ" เขียนโดย อ.วรัทภพ รชตนามวงษ์ มีเนื้อหามากถึง 357 หน้า รับหนังสือฟรี! รีบกดลิงก์ ? https://get.moneyeasybook.com/?ref=...
「อินฟลูเอนเซอร์ คือ」的推薦目錄:
- 關於อินฟลูเอนเซอร์ คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於อินฟลูเอนเซอร์ คือ 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的最讚貼文
- 關於อินฟลูเอนเซอร์ คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於อินฟลูเอนเซอร์ คือ 在 วรัทภพ รชตนามวงษ์ WARATTAPOB Youtube 的最讚貼文
- 關於อินฟลูเอนเซอร์ คือ 在 "อินฟลูเอนเซอร์" อาชีพใหม่ทำเงิน ยังมาแรง? l การตลาดเงินล้าน l 31 ... 的評價
- 關於อินฟลูเอนเซอร์ คือ 在 Brand Inside - เปิดคู่มือทำตลาดด้วย อินฟลูเอนเซอร์ สินค้าไหน ต้อง ... 的評價
อินฟลูเอนเซอร์ คือ 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的最讚貼文
มีใครในที่นี้ เคยหรือกำลังทำงานไม่ตรงสายจากที่เรียนมา แต่กลับรักงานนี้มากและมันก็ทำให้คุณประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้บ้างหรือเปล่า ?
“Chiara Ferragni” บล็อกเกอร์สาวตัวท็อปจากอิตาลี ที่ไม่ว่าจะมีงานแฟชั่นวีคระดับโลกที่ไหน มักมีภาพเธอปรากฏเป็นแขกอยู่ในงานนั้นเสมอ แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่เธอจะโลดแล่นอยู่ในวงการแฟชั่น เธอเป็นเพียงนักศึกษากฎหมายในมหาวิทยาลัยท้องถิ่นในอิตาลี แต่เพราะรักในแฟชั่น จึงผันตัวสู่การเป็นบล็อกเกอร์อย่างเต็มตัว
.
จากการถ่ายภาพไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันของตัวเองลงโซเชียลมีเดียอย่าง Instagram ที่มีตั้งแต่ด้านแฟชั่น เครื่องสำอาง ความสวยความงาม อาหาร ภาพคนในครอบครัว และด้วยการคุมโทนที่เป็นเอกลักษณ์ บวกกับทักษะการถ่ายภาพที่ยอดเยี่ยมส่งผลให้มีคนให้ความสนใจกับไลฟ์สไตล์ของเธอเพิ่มขึ้น และจำนวนผู้ติดตามใน Instagram ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
.
ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้เธอตัดสินใจว่าจะทำบล็อกแฟชั่นเป็นของตัวเอง โดยใช้ชื่อว่า “The Blonde Salad” มีที่มามาจากคำว่า Mixed Salad หรือการผสมผสานของวัตถุดิบที่หลากหลายแต่ลงตัว เช่นเดียวกับบล็อกของเธอที่เปรียบเสมือนเป็นศูนย์รวมความชอบ ความหลงใหลส่วนตัวของเธอ และต้องการบอกเล่า ถ่ายทอดให้กับคนที่มีความสนใจในสิ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ไลฟ์ไสตล์ แฟชั่น ความสวยความงาม เป็นต้น
.
ซึ่งแน่นอนว่าบล็อกของเธอได้รับความสนใจจากบรรดาแฟนคลับ ผู้ติดตาม จนทำให้เธอได้รับงานโฆษณาในระดับที่ใหญ่ขึ้น ทั้งสปอนเซอร์คอนเทนต์, รีวิวสินค้า โปรโมทสินค้า ไปจนถึงการเป็นนางแบบและทำการตลาดร่วมกับแบรนด์ดังระดับโลก เช่น Dior, Gucci, Louis Vuitton เป็นต้น โดยเธอเคยมีรายได้จากการเขียนบล็อกสูงถึง 6 ล้านยูโร หรือราว 228 ล้านบาท ติดอันดับบล็อกเกอร์ที่มีรายได้มากที่สุดในโลกปี 2014
.
และเมื่อความเป็นบล็อกเกอร์ อินฟลูเอนเซอร์ ชื่อเสียง เติบโตอย่างไม่หยุด ซึ่งส่งผลให้รายได้ของเธอก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน เธอจึงเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องขยับขยาย สร้างรายได้เพิ่มอีกหนึ่งช่องทาง เพื่อความมั่นคงของเธอในอนาคต ด้วยการเปิดตัวแบรนด์สินค้าแฟชั่น และเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซขายสินค้าออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้ชื่อเดียวกับชื่อของเธอก็คือ “Chiara Ferragni”
.
โดยมีสินค้าแฟชั่นที่ครอบคลุมหลายประเภท ตั้งแต่ รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ เสื้อผ้าผู้หญิง ไปจนถึงเสื้อผ้าเด็ก ภายในระยะเวลา 4 ปี แบรนด์ที่เธอทุ่มเทตั้งใจทำก็กลายเป็นแบรนด์ที่ทำเงินให้เธอกว่า 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 600 ล้านบาท ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอได้ตำแหน่งเศรษฐีร้อยล้านด้วยมูลค่าทรัพย์สินปัจจุบันกว่า 8.5 ล้านยูโร หรือราว 323 ล้านบาท
.
นับว่าเธอคือหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลของวงการแฟชั่นระดับโลกเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเธอจะใส่เสื้อผ้า เครื่องประดับอะไร ก็ทำให้กลายเป็นกระแสนิยมอยู่ตลอด ทั้งเธอยังมีแฟนคลับที่คอยติดตามผลงานเธออยู่ทั่วโลก ส่งผลให้ในตอนนี้ยอด Follow ใน Instagram ของเธอสูงถึง 23 ล้านคน และแพลตฟอร์มอื่น ๆ รวมทั้งหมดกว่า 31 ล้านคน
.
นอกจากนี้เธอยังได้รับรางวัลติดอันดับโลกมากมาย ได้แก่
- ปี 2015 “30 Under 30 - Art & Style” ได้รับการจัดอันดับจาก Forbes ให้เป็นบุคคลอายุต่ำกว่า 30 ปีที่ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง ด้าน Art และ Style
- ปี 2016 “30 Under 30 – Europe - Art & Style” และ “30 Under 30 - Europe – Fashion”
- ปี 2017 “Top Influencers – Fashion”
.
เชื่อว่าเธอจะต้องเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจของสาวๆ หลายคน ทั้งในด้านแฟชั่น และการทำในสิ่งที่รักแล้วประสบความสำเร็จมากขนาดนี้ แต่รู้อะไรหรือไม่? ว่าเบื้องหลังความสำเร็จของเธอก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด บางคนอาจมองว่า ก็แค่ต้องหุ่นดี แต่งตัวสวย ถ่ายรูปสร้างคอนเทนต์ เดี๋ยวก็มีคนมากดไลค์เอง ซึ่งถูกต้อง! แต่มันเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของการทำงานแบบเธอเท่านั้น
.
แท้จริงแล้ว มันยังมีส่วนประกอบอีกหลายส่วนที่ทำให้เธอเป็นเธออย่างทุกวันนี้ คือ ความพยายาม มีวินัย ช่างสังเกต ไอเดียความคิดสร้างสรรค์ เพราะแฟชั่นไม่ใช่ว่าจะหยิบอะไรมาใส่ก็ได้ แต่ต้องคิดตลอดว่า ถ้าหยิบอันนี้มา Mix&Match กับอันนู้นจะเข้ากันจนสามารถเตะตาลูกค้าหรือเหล่าแฟนคลับจนเกิดเป็นกระแสได้หรือเปล่า ต้องสังเกตและคอยติดตามเทรนด์ต่างๆ อยู่เสมอ
.
ที่สำคัญที่สุดคือ “ความเป็นตัวเอง” Chiara Ferragni เคยบอกว่า มีหลายคนที่ประหลาดใจเมื่อเจอเธอในชีวิตจริงแล้วพบว่า เธอตลกและเป็นมิตร เพราะเคยคิดมาตลอดว่า ตัวจริงน่าจะหยิ่งและเข้าถึงยาก แต่ความจริงเธอเป็นแบบเดียวกันทั้งในโซเชียลและชีวิตจริง ดังนั้น ใครก็ตามที่กำลังอยากทำตามความฝันหรือสิ่งที่ชื่นชอบ ขอให้คุณก้าวไปอย่างมั่นใจอย่ากลัวที่จะเริ่ม และอย่ากลัวกับผลลัพธ์ที่ยังมาไม่ถึง เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม การทำในสิ่งที่รักย่อมดีที่สุด
.
ที่มา : https://www.forbes.com/profile/chiara-ferragni/?sh=9f60f835a547
https://www.spearswms.com/chiara-ferragni-net-worth/
https://www.ceochannels.com/make_money/chiara-ferragni/
https://praew.com/people/celeb-story/237709.html
.
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan
#ChiaraFerragni #Fashion #TheBlondeSalad #Blogger #Influencer #เศรษฐีร้อยล้าน #บล็อกเกอร์ร้อยล้าน
อินฟลูเอนเซอร์ คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
ข่าวประชาสัมพันธ์..
เปิดแนวคิด Converse To Convert ทำไมการสร้างบทสนทนาใน Twitter ถึงช่วยสร้างยอดขาย
เวลาที่เราเปิดร้านขายของ เป้าหมายที่สำคัญที่สุด คือ “ตัวเลขยอดขายของสินค้า” หรือ “ตัวเลขยอดคลิกจากการยิงโฆษณา” ?
แน่นอนว่าแทบจะทุกคนก็คงตอบว่า “ยอดขาย” คือเรื่องสำคัญที่สุด ในโลกที่ทุกแบรนด์กระโดดลงมาทำการตลาดออนไลน์กันหมด เพราะรู้ว่ากลุ่มเป้าหมาย หรือกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อ พวกเขากระจุกตัวอยู่ในโลกโซเชียล หรือชอปปิ้งอยู่ในตลาด eCommerce ทำให้การแข่งขันเพื่อยอดขายสูงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อพูดถึงคำว่า “การตลาดออนไลน์” สิ่งที่แบรนด์นิยมทำช่วงนี้ก็คือ
การเฟ้นหาเทคนิคยิงโฆษณา เพื่อเอาชนะอัลกอริทึ่ม
การยิงโฆษณาก็เป็นทางเลือกที่มีโอกาสทำให้คนรู้จักแบรนด์ หรือนำไปสู่การสร้างยอดขายได้จริง แต่การพุ่งโฟกัส ทุ่มเวลาไปที่การใช้กลยุทธ์เดียวอาจไม่เพียงพอแล้วในยุคนี้
ทุกวันนี้เรานิยมให้ทีมงานหลายคนเฝ้าดู Stat หลังบ้าน วิเคราะห์เวลาโพสต์ที่จะได้ Engage เยอะที่สุด หรือแม้แต่การประชุมระหว่างแบรนด์และเอเจนซี ก็มักจะวนอยู่ในเรื่อง Advertising Format ต้นทุนค่าคลิก (CPC) อัตราการคลิก (CTR), การปรับเรื่องราวให้ดูครีเอทีฟ, และปรับกลุ่มเป้าหมายของโฆษณา
นอกจากที่กล่าวมาก เราอยากให้หลายแบรนด์เริ่มตั้งคำถามว่า นอกจากการยิงโฆษณาแล้ว เรามีกลยุทธ์อื่น ๆ อีกหรือไม่ ที่ทำให้คนเกิดความผูกพันธ์กับแบรนด์ หรือพูดคุยกันจนนำไปสู่การทดลองใช้ และนำไปบอกต่อ ไม่เพียงแค่กดคลิกเข้าชมเพจหรือเว็บไซต์แล้วผ่านเลยไป
ดังนั้นถ้าเรากำลังประสบปัญหาที่มียอดคลิกเยอะ แต่คนไม่ค่อยซื้อสินค้า เราก็ควรเริ่มมองหากลยุทธ์ใหม่ๆ
แล้วอะไรบ้างที่ทำให้คนสนใจแบรนด์อย่างแท้จริง ไม่ผ่านมาแล้วผ่านไป?
แบรนด์ควรถอยกลับมาตั้งคำถาม เหมือนเป็นการเช็คลิสต์ตัวเองตามสเต็ปเหล่านี้
1.Core Value หรือแก่นหลักของแบรนด์คืออะไร ?
2.แล้ว Core Value นี้ เราได้สื่อสารมันออกไปครบถ้วนหรือไม่ ?
3.วิธีการสื่อสาร Core Value ของเราที่ผ่านมา มันทำให้ลูกค้ามีอารมณ์ร่วมกับสินค้านี้หรือเปล่า ?
คำถามข้อที่ 3 นี้ ถือเป็นจุดสำคัญ เพราะถ้าทุกอย่างเราดีมีคุณภาพ แต่ทำให้ลูกค้า “รู้สึกร่วม” ไม่ได้ การเน้นไปที่ยอดเข้าถึง หรือเน้นไปที่จำนวนคลิกก็คงไม่มีพลังมากพอ ที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึก “อยากควักเงินออกจากกระเป๋า”
ดังนั้น “ก่อนทำให้ผู้บริโภคอยากคลิกไปซื้อสินค้า” ผู้บริโภคต้องถูกแรงดึงดูดจากแบรนด์ ให้เขารู้สึกเห็นคุณค่าของสินค้านั้นๆ
ตัวอย่างเช่น ชานมแบรนด์ ฉุน ชุ่ย เฮ้อ หรือ Just Drink ที่เถ้าแก่น้อยเอามาวางขายใน 7-Eleven เป็นชานมชื่อดังจากไต้หวัน ที่สินค้าหมดก่อน 8 โมงเช้า และกลายเป็นของหายากในชั่วข้ามคืน นั่นก็เพราะคนไทยได้อ่านรีวิวจากคนที่ไปเที่ยวไต้หวันบอกว่าเป็นชานมที่รสชาติดี และเป็นสิ่งที่คนมักจะซื้อมาเป็นของฝากกัน
และไม่ว่าจะปรากฏการณ์รอซื้อกระเป๋า รองเท้า เครื่องสำอางแบรนด์ดัง หรือเทรนด์ตามล่าหาเซิร์ฟสเก็ต ก็ล้วนเกิดมาจากการได้รับฟีดแบ็ก หรือเห็นการใช้งานของคนจริงๆ จึงทำให้เกิดการบอกต่อ จนสินค้าขาดตลาด หรือมีการขึ้นราคากันหลายเท่าตัว
จากเรื่องนี้เราเห็นอะไรบ้าง?
ยุคนี้คนเราชอบการเล่าเรื่อง หรือฟังรีวิวมากขึ้น เพราะมันคือการช่วยยืนยันว่า แบรนด์หรือสินค้านี้น่าเชื่อถือ น่าสนใจ หรือเข้ามาแก้ปัญหาชีวิตของพวกเขาได้อย่างแท้จริงหรือไม่ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ต้องมีคนเดินไปตื๊อให้พวกเขาซื้อ เขาถึงจะรู้จักและสนใจ
และบางครั้งการที่คน ๆ หนึ่งตัดสินใจซื้อสินค้า อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเห็นโฆษณาตามหน้าเพจหรือบิลบอร์ดเพียงอย่างเดียว แต่อาจเพราะมีคนพูดถึงสินค้านั้น ๆ กันเป็นวงกว้าง จนทำให้เกิดความรู้สึกอยากลอง หรือเจอคนเขียนรีวิวในโลกออนไลน์ ทำให้ต้องลองค้นหาต่อ และนำไปสู่การซื้อในที่สุด
ดังนั้นในยุคที่ eCommerce และการซื้อขายหรือทำโฆษณาในโลกออนไลน์กำลังเฟื่องฟู สิ่งที่แบรนด์ห้ามลืมคือเรื่องของ “Converse To Convert” แม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องเก่า หรือเป็นเรื่องที่พูดกันมายาวนาน แต่สุดท้ายแล้ว มนุษย์ก็ต้องการการสื่อสาร ถึงจะนำไปสู่ความเข้าใจ และวางใจที่จะซื้อสินค้าของแบรนด์
แนวคิด Converse To Convert คืออะไร?
แนวคิด Converse To Convert คือการที่แบรนด์ให้ความสำคัญกับบทสนทนาต่อสินค้าหรือบริการ โดยผู้ที่สามารถเริ่มต้นสร้างบทสนทนาที่เกี่ยวกับแบรนด์ ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวแบรนด์ ซีอีโอ หรือทีมงานเสมอไป
แต่คนที่เป็นผู้บริโภค อินฟลูเอนเซอร์ ผู้ที่มีชื่อเสียง หรือแม้แต่คนที่ไม่เคยเป็นลูกค้ามาก่อนก็ตามก็สามารถกลายมาเป็นผู้ที่ช่วยกระตุ้นอารมณ์ และสร้างบรรยากาศ “ความน่าซื้อ” ได้
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การอ่านหรือดูรีวิวจากคนทั่วไป ที่ไม่ใช่มาจากแบรนด์โดยตรง เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ช่วยสร้างบรรยากาศความน่าซื้อ หรือความน่าสนใจของแบรนด์
จากข้อมูลของ Global Consumer Survey โดย Statista ระบุว่า 59% ของคนไทยที่ซื้อสินค้าออนไลน์เห็นด้วยว่า Consumer Reviews หรือ การรีวิวจากกลุ่มผู้บริโภคเองในโลกออนไลน์ มีประโยชน์ในแง่การช่วยพวกเขาในการตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการ
จากข้อมูลงานศึกษาของ GlobalWebIndex ที่ศึกษากลุ่ม Mobile Shoppers ในไทย พบว่า คนกว่า 1 ใน 3 ของนักช้อปผ่านมือถือ เห็นด้วยว่า คำสนทนาที่ดีต่อสินค้าหรือบริการมี ผลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อของในออนไลน์
โดยรองจาก การส่งฟรี (61%) และ ส่วนลดที่ดึงดูดใจ (53%) และนอกจากนั้น การได้อ่านหรือเห็นคำสนทนาที่ดีในสินค้าหรือบริการ ยังทำให้ Mobile Shoppers มีแนวโน้มจะคลิกเข้าชม เว็บไซต์ของแบรนด์เพิ่มมากขึ้นอีก 15%
นั่นก็แปลว่า หากแบรนด์ขยับมามองเรื่องของ Conversation To Commerce มองเรื่องการผลักดันให้เกิดการสร้างบทสนทนาเกี่ยวกับแบรนด์ ก็จะส่งผลให้แบรนด์มีโอกาสที่จะได้ลูกค้าจริงๆ มากขึ้น หรือช่วยสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์มากขึ้นด้วย ซึ่งแน่นอนว่ามันก็จะนำไปสู่การมียอดคลิก หรือยอดชมเว็บไซต์ที่ดีตามไปด้วย
ในยุคนี้มีพื้นที่อะไร ที่มาช่วยผลักให้เกิดพลังของสร้างบทสนทนา ?
หากย้อนกลับไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว พื้นที่ที่สร้างบทสนทนามากที่สุดก็จะเป็นเว็บบอร์ด อย่างเช่น Pantip, Dek-D.com, PRAMOOL.COM และ Blog ต่างๆ อีกมากมาย และจะเต็มไปด้วยบุคคลธรรมดาที่ไม่เปิดเผยตัวตน มาสนทนาในห้องต่างๆ ซึ่งก็จะมีตั้งแต่การรีวิวสินค้า สอบถามเรื่องร้านอาหาร สถาบันเรียนพิเศษ หนังสือ และพูดคุยในประเด็นอื่นๆ
แต่ทุกวันนี้นอกจาก Pantip ก็มี Twitter ที่เป็นพื้นที่แห่งการสนทนา ที่ค่อนข้างมีอิมแพคไม่น้อย เพราะการทวีตหรือโพสต์ออกไปนั้น จะใช้ข้อความแค่ไม่กี่ตัวอักษร หรือลงเพียงโพสต์เดียว ก็สามารถส่งต่อไปที่คนอื่นๆ เป็นหมื่นเป็นแสนคน ผ่านการรีทวิตเป็นหมื่นเป็นแสนครั้งได้ ซึ่งถือว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ส่งต่อข้อมูลกันได้อย่างรวดเร็วอันดับต้นๆ ของโลก
มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งของ Twitter* ที่ศึกษาเกี่ยวกับพลังของการสนทนาที่มีต่อแบรนด์ ระบุว่า หากแบรนด์สามารถเพิ่มจำนวนการสนทนาที่ดีในสินค้าหรือบริการได้เพียงแค่ 10% โอกาสในการสร้างยอดขายจะเพิ่มอีกถึง 3%
และจากการสำรวจในสหรัฐอเมริกา พบว่า ถ้ามีการซื้อโฆษณาหรือดัน Hashtag ใน Twitter จำนวนคนที่จะเข้ามาสนทนาเกี่ยวกับแบรนด์จะเพิ่มขึ้นถึง 105% ซึ่งเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่นๆ Twitter เป็นพื้นที่ที่ขับเคลื่อนการสนทนาได้มากกว่า 3 เท่า
เพราะ Twitter กลายเป็นเหมือน Marketplace ที่คนรุ่นใหม่ หรือกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ จะสามารถเข้ามาถามหาสินค้าได้ ถามหารีวิวได้ ผ่านการใช้ Hashtag อย่างเช่น #รีวิวเซเว่น #รีวิวเครื่องสำอางค์เกาหลี #ตามหาเคส #รีวิวบ้าน #รีวิวคาเฟ่ต์ เป็นต้น
และการพิมพ์สิ่งที่ต้องการ พร้อมกับติด Hashtag ก็จะมีคนมาเห็น และ Reply เข้ามาบอกพิกัด บอกร้าน หรือแปะลิงค์ช่องทางการซื้อให้โดยทันที
อีกทั้งเราก็คงจะเห็นได้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อย หรือคนรอบตัวของเราที่ไปร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือซื้อสินค้าจากการที่ “โดนรีวิวใน Twitter ป้ายยา” ซึ่งก็แปลว่า Twitter กลายเป็นแหล่งสร้างพลังของบทสนทนาที่ดีที่จะช่วยให้คนสนใจสินค้า บริการ
Twitter มีข้อมูลอะไรที่น่าสนใจอีกบ้าง ขั้นตอนการสนทนาเกิดขึ้นได้อย่างไร?
Conversation Flow หรือการสนทนาของกลุ่มคนบนทวิตเตอร์ มี Flow หลักอยู่ 5 ช่วง
1.Conversation starts: ก็คือช่วงก่อนถึงจุดพีคจะมาประมาณ 1 สัปดาห์ จะมีบางคนที่เริ่มเปิดประเด็นขึ้นมาก่อน เช่น ร้านนี้มีจุดขายอย่างไร ดีกว่าที่อื่นอย่างไร หรือบอก Tips ในการได้ Code ลับ เพื่อเป็นส่วนลดสินค้าหรือบริการ
2.Warm-up: หลังจากนั้นจะเข้าสู่ช่วงที่เครื่องเริ่มติด โดยจะมีกลุ่มคนเริ่มมาคุยถึงประเด็นที่กล่าวไปมากขึ้น คนจะเริ่มมาถกเถียงหรือให้ข้อมูลกันว่า อันไหนน่าสนใจหรืออันไหนไม่ควรซื้อ
3.Event Day: วันที่ Conversation พุ่งสูงสุดแตะค่าเฉลี่ยที่มีคนพูดถึงสูงสุด ทำให้เกิดกระแสแฮชแทคติด Trending ขึ้นมา ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็อย่างเช่น วันที่เทศกาล อย่างเช่น 11.11 เทศกาลคนโสด ก็จะมีกลุ่มคนกลัวตกรถ อดได้สินค้าราคาโปรโมชัน ทำให้ต้องติดตามแฮชแทคใน Trending ที่เกี่ยวกับ 11.11
4.Unboxing: ช่วงนี้คือช่วงที่คนเริ่มออกมารีวิวสิ่งที่ได้ซื้อตาม ซึ่งจะเกิดขึ้น 2-3 วันหลังจากช่วง Event Day ถ้าของดีสินค้าดี นี่คือช่วงเวลาที่คนกำลังทวิตบอกต่อๆ กัน หรือเรียกว่าช่วงเวลาทองในการ Advocacy ของแบรนด์
5.Aftermath: ช่วงกระแสเริ่มซา แต่ช่วงนี้เราจะได้ Insight จากลูกค้าที่จริงมากขึ้น เพราะถ้ายังมีคนพูดถึงอยู่ แปลว่าสินค้าของเรายังได้รับความสนใจ และถ้าการสนทนานี้มีการสนทนาในทางบวก แบรนด์ก็จะยิ่งได้รับความสนใจในทางที่ดีมากขึ้น
ในขณะเดียวกันถ้ามีฟีดแบ็กไม่ดีเกิดขึ้น Twitter จะเป็นแหล่งที่ทำให้แบรนด์ได้ข้อมูลจริงจากปากลูกค้า เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาสินค้า โดยที่ไม่ต้องออกไปทำรีเสิร์ชให้วุ่นวายยุ่งยาก เพียงแค่เสิร์ชสินค้าหรือชื่อแบรนด์ของเรา
และนี่คืออีกข้อมูลที่น่าสนใจจาก GlobalWebIndex โดยทีมงานได้ไปทำการศึกษาเปรียบเทียบระหว่าง นักช้อปออนไลน์บน Twitter ที่ได้อ่านบทสนทนาที่ดีเกี่ยวกับสินค้าและบริการ กับ นักช้อปออนไลน์บน Twitter ที่ไม่ได้อ่านบทสนทนาที่ดีเกี่ยวกับสินค้าและบริการ
สถิติเหล่านี้ก็ถือเป็นการตอกย้ำว่า ในยุคนี้คือยุคแห่งพลังของบทสนทนา ยิ่งมีการพูดคุยเกี่ยวกับสินค้าและบริการนั้นมากเท่าไหร่ โอกาสที่กลุ่มลูกค้าจะเห็นแบรนด์ เข้าใจคุณค่าของแบรนด์ จนนำไปสู่การซื้อหรือโดนป้ายยา ก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นนักการตลาด หรือคนที่ทำแบรนด์ ที่กำลังลงมาเล่นในสมรภูมิออนไลน์ยุคนี้ อย่าเพิ่งมองข้ามไปที่เรื่องของเทคนิค หรือทางลัดล้ำๆ ให้ได้ยอดวิวยอดคลิกเยอะๆ เพียงอย่างเดียว ควรมองกลับไปที่จุดสำคัญ ที่เป็นตัวผลักให้ “คน” รู้สึกอยากมีส่วนร่วมในสินค้าและบริการมากขึ้น เพราะถ้ากลุ่มลูกค้า “เห็นคุณค่าของสินค้า” จากการพูดคุยหรือสนทนาจากผู้ใช้งานคนอื่นๆ มาก่อน เขาถึงจะตัดสินใจคลิก และตัดสินใจซื้อตามมา
เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของการทำแบรนด์คือ ทำให้เกิดยอดขาย ไม่ใช่แค่ยอดคลิก
ดังนั้นในวันนี้ เราอยากชวนให้แบรนด์กลับมาถามตัวเองว่า เราได้เริ่มทำให้สินค้าและบริการของเราเป็นที่ถูกพูดถึงหรือยัง?
หากนักการตลาดยุคใหม่ อยากทำให้แบรนด์เป็นหนึ่งในบทสนทนาสำคัญในโลกออนไลน์อย่าง Twitter สามารถติดต่อได้ที่ MediaDonuts ตัวแทนจำหน่ายโฆษณาของ Twitter ประจำประเทศไทย ผ่านทาง marketingSEA@mediadonuts.com
อินฟลูเอนเซอร์ คือ 在 วรัทภพ รชตนามวงษ์ WARATTAPOB Youtube 的最讚貼文
?แจกหนังสือฟรี?" เงิน มา ง่ายๆ" เขียนโดย อ.วรัทภพ รชตนามวงษ์ มีเนื้อหามากถึง 357 หน้า รับหนังสือฟรี! รีบกดลิงก์ ? https://get.moneyeasybook.com/?ref=YTA-20210603
Influencer หรือที่เราเรียกกันว่า "บุคคลที่มีชื่อเสียง" ในปัจจุบันมักจะแจ้งเกิดในทาง เฟซบุ๊ค บนยูทูป ตามโซเชียลอื่น ๆ เช่นถ้าคุณรู้จักแม่หญิงลี เจ้าแม่แห่งเมืองทิพย์ นั่นก็คือ Influencer เช่นกัน
ผมคิดว่าใครหลาย ๆ คนอยากจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักวงกว้างในบรรดาโซเชียลต่าง ดังนั้นมันต้องมีทักษะอะไรบ้าง ถึงจะมีชื่อเสียงได้? หาคำตอบในพอดแคสต์ EP นี้ครับ
? พบกับวิดีโอใหม่ทุกวัน ? ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จและรวย "เร็วขึ้น"
จากประสบการณ์การทำธุรกิจไทย-จีน มาแล้ว 14 ธุรกิจของผม
? คลิกลิงก์แล้วกด “SUBSCRIBE - ติดตาม และกดกระดิ่งแจ้งเตือน ตอนนี้เลย!! ?
https://www.youtube.com/channel/UC6GkGouzOitA6vUzOEBEqwA?sub_confirmation=1
—
// ดูวิดีโอของ "วรัทภพ" ตามเพลย์ลิสต์
? คลิปใหม่ล่าสุด (มีคลิปใหม่ทุกวัน) https://bit.ly/2OCDdvb
========================
?ลงทุนอะไรดี https://bit.ly/2kH0Lm0
?วิธีขายของ LAZADA https://bit.ly/2TUxuRn
?วิธีขายของ SHOPEE https://bit.ly/2lJ5LHe
?วิธีสั่งสินค้าจากจีน https://bit.ly/2IERdmE
?วิธีสร้างรายได้บน YOUTUBE https://bit.ly/2NT8l8L
?การทำตลาดจีน และส่งออกจีน https://bit.ly/2GWdITq
?วิธีขายสินค้าแบบ ดรอปชิป https://bit.ly/2x2sOPf
?WARATTAPOB PODCAST https://bit.ly/2SBlrHR
?วิธีทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ https://bit.ly/2lRZuZn
?วิธีปลดหนี้ https://bit.ly/2PKNplE
========================
??VLOG IN CHINA ชีวิตในจีนของผม https://bit.ly/2AqaFNB
??VLOG IN THAILAND ชีวิตในไทยของผม https://bit.ly/2AUvnWf
========================
?แกะคำคม ข้อคิด นักปราชญ์ และนักธุรกิจ https://bit.ly/2SDzHjh
?5 นาที หาเงินแบบมหาเศรษฐี https://bit.ly/2k9oyuu
?รีวิวหนังสือที่ผมชอบ http://bit.ly/2lRZJnf
?วิธีเริ่มต้นธุรกิจ ในปัจจุบัน https://bit.ly/2ChCNT7
?ความรู้ หาเงิน เพิ่มรายได้ ที่จะทำให้คุณรวยเร็วขึ้น https://bit.ly/2CR2Jqc
?เคล็ดลับ การตลาดและการขาย https://bit.ly/2M8P7cV
?ไอเดียธุรกิจเงินล้าน https://bit.ly/2TrY2IT
?พัฒนาตัวเอง เพื่อความสำเร็จในด้านที่ต้องการ https://bit.ly/2LTPms2
?แรงบันดาลใจและกำลังใจ ในการใช้ชีวิต https://bit.ly/2TKQAbW
?รีวิว ธุรกิจจีนและเศรษฐกิจจีน https://bit.ly/2M8Phkx
?ความรู้ไทย-จีน อื่นๆ http://bit.ly/2kIZaMn
—
// วรัทภพ รชตนามวงษ์ คือ ใคร?
ผม "วรัทภพ รชตนามวงษ์" เป็นคนไทย เกิดที่จังหวัดเชียงใหม่
เป็นผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจมาแล้ว 14 ธุรกิจ
ทั้งในประเทศไทย และ จีน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545 จนถึงปัจจุบัน
ผมตั้งใจทำสื่อเพื่อแบ่งปันความรู้และประสบการณ์
ให้คนรุ่นใหม่ที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิตและรวย “เร็วขึ้น”
?คุณสามารถดูคลิปจากลิงก์ล่างนี้ ว่าผมมีประสบการณ์ธุรกิจอะไรบ้าง?
http://bit.ly/2kHDgt4
—
// ติดตาม วรัทภพ รชตนามวงษ์ เพิ่มเติมได้ที่
Website : https://www.warattapob.com
?SOCIAL
Instagram : https://www.instagram.com/warattapob_rachatanamwong
Facebook : https://fb.me/WarattapobRachatanamwong
YouTube: https://www.youtube.com/warattapob?sub_confirmation=1
Line official : http://line.me/ti/p/~@warattapob
Twitter : https://twitter.com/warattapob
Tiktok : https://www.tiktok.com/@warattapob
LinkedIn : http://linkedin.com/in/warattapobrachatanamwong
?PODCAST
--สำหรับ Android
Soundcloud : https://bit.ly/2QjfVYm
Spotify : https://spoti.fi/2Jcwh6Y
--สำหรับ iOS
Apple Podcast : https://apple.co/2QjW5fM
—
#WARATTAPOB #podcast #พอดแคสต์
วิดีโอนี้เกี่ยวกับ Influencer ต้องมีความสามารถอะไรบ้าง | WARATTAPOB PODCAST EP127 ไทย
LINK https://youtu.be/fhIP3bQPLYs
LINK https://youtu.be/fhIP3bQPLYs
อินฟลูเอนเซอร์ คือ 在 Brand Inside - เปิดคู่มือทำตลาดด้วย อินฟลูเอนเซอร์ สินค้าไหน ต้อง ... 的推薦與評價
อินฟลูเอนเซอร์ ถ้าอธิบายแบบง่าย ๆ คือผู้มีอิทธิพลทางความคิด สามารถจูงใจความคิดของผู้รับสารให้คล้อยตามกับสิ่งที่ตัวเอ งสื่อสารได้ ซึ่งใน ... ... <看更多>
อินฟลูเอนเซอร์ คือ 在 "อินฟลูเอนเซอร์" อาชีพใหม่ทำเงิน ยังมาแรง? l การตลาดเงินล้าน l 31 ... 的推薦與評價
... บุคคลเหล่านี้ คือ อินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งก็มีหลายระดับขึ้นอยู่กับผู้ติดตาม (Follower) ตั้งแต่ระดับที่เรียกว่า นาโน, ไมโคร ไปจนถึง แมคโคร รวมถึงปัจจุบันมี เวอร์ชวล อินฟลูเอนเซอร์ ... ... <看更多>