LAZADA เผยเทรนด์พฤติกรรมนักช้อปออนไลน์ 2021 ช้อปถี่ขึ้นแม้อยู่บ้าน
.
เนื่องด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ รวมถึงมาตรการล็อกดาวน์ ทำให้อีคอมเมิร์ซกลายมาเป็นช่องทางสำคัญสำหรับผู้บริโภคที่หันมาพึ่งช่องทางออนไลน์ ซึ่งช้อปได้อย่างปลอดภัยแม้ต้องเก็บตัวอยู่บ้าน ขณะเดียวกัน อีคอมเมิร์ซยังกลายเป็นช่องทางหลักสำหรับผู้ประกอบการในการประคับประคองธุรกิจให้ไปต่อ LAZADA ประเทศไทย ได้รวบรวมสถิติน่าสนใจจากผู้บริโภคบนแพลตฟอร์ม พร้อมเผยทิศทางอีคอมเมิร์ซ ดังข้อมูลที่นำมาฝากในบทความนี้
https://www.it24hrs.com/2021/lazada-shopping-behavior-2021/
#Lazada #ช้อปออนไลน์ #อีคอมเมิร์ซ
同時也有3部Youtube影片,追蹤數超過11萬的網紅ลงทุนแมน,也在其Youtube影片中提到,โอกาสการเติบโต ในธุรกิจเมกะเทรนด์กับ Jitta Wealth Thematic ปัจจุบัน หลายธุรกิจ กำลังเผชิญกับดิสรัปชัน ในขณะที่โควิด 19 เป็นอีกตัวเร่งที่จะทำให้ผู้นำน...
「อีคอมเมิร์ซ」的推薦目錄:
- 關於อีคอมเมิร์ซ 在 Facebook 的最佳貼文
- 關於อีคอมเมิร์ซ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於อีคอมเมิร์ซ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於อีคอมเมิร์ซ 在 ลงทุนแมน Youtube 的最讚貼文
- 關於อีคอมเมิร์ซ 在 Human & Tech by May Youtube 的精選貼文
- 關於อีคอมเมิร์ซ 在 iT24Hrs Youtube 的最佳貼文
- 關於อีคอมเมิร์ซ 在 EASY: e-COMMERCE บทที่ 1 : อีคอมเมิร์ซ คือ อะไร? - YouTube 的評價
- 關於อีคอมเมิร์ซ 在 Facebook สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ: โซลูชั่นด้านโฆษณาและการตลาด 的評價
อีคอมเมิร์ซ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
รู้จัก Flipkart แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ อันดับ 1 ของอินเดีย /โดย ลงทุนแมน
ประเทศอินเดีย มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และมีจำนวนประชากรกว่า 1.3 พันล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีน
พอเป็นเช่นนี้ หนึ่งในธุรกิจที่น่าจะได้ประโยชน์จากขนาดเศรษฐกิจและฐานผู้บริโภคดังกล่าว ในโลกยุคที่กิจกรรมหลายอย่างอยู่บนโลกออนไลน์ ก็คงหนีไม่พ้น “อีคอมเมิร์ซ”
รู้ไหมว่าในปัจจุบัน ผู้ที่ครองตลาดอีคอมเมิร์ซของอินเดีย ไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติ
แต่เป็นสตาร์ตอัปจากท้องถิ่น ชื่อว่า “Flipkart”
อะไรที่ทำให้ Flipkart ดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง
แล้วใครเป็นเจ้าของบริษัทนี้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Flipkart เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์จากประเทศอินเดีย
เปิดให้บริการเมื่อปี 2007 หรือ 14 ปีที่แล้ว
ผู้ก่อตั้งบริษัท คือ คุณ Sachin Bansal และคุณ Binny Bansal
ซึ่งต้องบอกว่า ทั้งคู่ไม่ได้เป็นพี่น้องกัน
แค่บังเอิญนามสกุลเหมือนกัน เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน และเคยทำงานที่ Amazon.com ด้วยกัน..
ต่อมา พวกเขาเล็งเห็นโอกาสการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินเดีย
จึงตัดสินใจลาออกมาร่วมกันก่อตั้ง Flipkart
เริ่มแรก Flipkart ขายหนังสือออนไลน์ คล้ายกับ Amazon.com
เนื่องจากขณะนั้น ผู้ขายสินค้าประเภทอื่น ๆ ยังไม่ค่อยสนใจช่องทางจำหน่ายทางออนไลน์สักเท่าไร เพราะมองว่าคนอินเดียส่วนใหญ่ ไม่คุ้นเคยกับการสั่งของออนไลน์
ต่อมา Flipkart ก็ได้พยายามพัฒนารูปแบบบริการ ที่จะจูงใจให้คนหันมาซื้อขายหนังสือออนไลน์มากขึ้น
เช่น มีบริการจัดส่งทั่วประเทศ และรับจ่ายเป็นเงินสดตอนส่งมอบ
ทำให้ Flipkart เริ่มมีชื่อเสียงติดตลาด จนบริษัทสามารถระดมทุนจากนักลงทุน Venture Capital ได้เป็นครั้งแรก ในปี 2009
พอมีเงินทุนในมือและเป็นที่รู้จัก Flipkart จึงวางแผนเพิ่มประเภทสินค้าบนแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะสินค้ายอดนิยม อย่างเช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเสื้อผ้าแฟชั่น
ซึ่งวิธีที่บริษัทใช้ขยายธุรกิจ คือ การเข้าซื้อกิจการที่มีฐานลูกค้าออนไลน์อยู่แล้ว หรือมีบริการที่เกี่ยวข้อง เพื่อเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มของ Flipkart ได้ทันที
ตัวอย่างกิจการที่ Flipkart เข้าซื้อ
- ปี 2010 ซื้อ WeRead ธุรกิจฐานข้อมูล และสังคมออนไลน์เกี่ยวกับหนังสือ
- ปี 2012 ซื้อ Letsbuy แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 5,500 ล้านบาท
- ปี 2014 ซื้อ Myntra แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสินค้าแฟชั่น มูลค่า 9,200 ล้านบาท
- ปี 2016 ซื้อ Jabong แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสินค้าแฟชั่น มูลค่า 2,300 ล้านบาท
- ปี 2016 ซื้อ PhonePe ธุรกิจระบบชำระเงินออนไลน์
รวมทั้ง ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ชื่อดัง เพื่อสิทธิ์นำเข้าสินค้ามาจำหน่ายในอินเดียแต่เพียงผู้เดียว
เช่น จับมือกับ Motorola และ Xiaomi วางขายสมาร์ตโฟนบางรุ่น เฉพาะที่ Flipkart เท่านั้น
นอกจากนั้น Flipkart ยังมีการจัดแคมเปนในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี เรียกว่า “Big Billion Days” ซึ่งมีการเสนอดีลลดราคามากมาย เพื่อกระตุ้นยอดขายสินค้าออนไลน์
แล้วปัจจุบัน Flipkart ใหญ่แค่ไหนในอินเดีย ?
ตลาดอีคอมเมิร์ซของอินเดีย มีผู้เล่นที่แข่งขันกันดุเดือด 2 ราย คือ Flipkart และ Amazon.com บริษัทยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกา ที่เข้ามาทำตลาด ตั้งแต่ปี 2013
เรามาลองดูส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซปัจจุบันในอินเดีย
Flipkart ส่วนแบ่งตลาด 31.9%
Amazon.com ส่วนแบ่งตลาด 31.2%
จะเห็นได้ว่า Flipkart ครองตลาดเหนือ Amazon อยู่เล็กน้อย
ซึ่งความจริงแล้ว ถ้านับรวม Myntra และ Jabong ที่มีแพลตฟอร์มแยกต่างหากด้วย ธุรกิจในเครือของ Flipkart จะมีส่วนแบ่งตลาดรวม 38.3%
ทีนี้ลองมาดูการเติบโตของรายได้ของ Flipkart
(บริษัทมีรอบบัญชีที่เริ่มต้นจาก 1 เมษายน ถึง 31 มีนาคม ปีถัดไป)
ปี 2016 รายได้ 58,331 ล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 96,000 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 153,000 ล้านบาท
สรุปได้ว่า ในวันนี้ Flipkart เป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซของอินเดีย ที่มียอดขายระดับแสนล้านไปแล้ว
และก็คงต้องบอกว่า บริษัทยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก
เพราะขณะนี้ แม้ชาวอินเดียเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตประมาณ 776 ล้านคน แต่ก็คิดเป็นแค่ราว 57% ของจำนวนประชากร ซึ่งค่อนข้างต่ำ ถ้าเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
อีกทั้งในแง่ของพฤติกรรมผู้บริโภคนั้น เมื่อปี 2019 ยอดขายอีคอมเมิร์ซ มีสัดส่วนเพียง 4.7% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกทั้งหมด พูดง่าย ๆ คือ คนอินเดียส่วนใหญ่ยังนิยมซื้อของที่หน้าร้าน
ที่น่าสนใจคือช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียมีนโยบายชื่อว่า Digital India ที่มีวัตถุประสงค์ที่จะสนับสนุนธุรกิจบนโลกออนไลน์มากขึ้น
จึงมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2024 ยอดขายอีคอมเมิร์ซ จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 10.7% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกทั้งหมด
แนวโน้มที่น่าสนใจนี้ ทำให้ธุรกิจ Flipkart ไปเข้าตา “Walmart” บริษัทเจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน
โดย Walmart ได้เข้าซื้อหุ้นของ Flipkart ในสัดส่วน 77% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5.3 แสนล้านบาท เมื่อปี 2018 และมีการซื้อเพิ่มเป็น 82.1% ในเวลาต่อมา
นอกจากนั้น ยังมีบริษัทชื่อดังอีกหลายราย เข้ามาลงทุนใน Flipkart ด้วย ยกตัวอย่างเช่น
Tencent ถือหุ้น 5.1%, Microsoft ถือหุ้น 1.5% รวมไปถึง SoftBank Group ที่เคยถือหุ้นถึง 20% ก่อนที่จะตกลงขายไปให้กับ Walmart
ทั้งนี้ในการระดมทุนรอบล่าสุด เมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 ที่ผ่านมา
Flipkart ถูกประเมินมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 37,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท
และมีการคาดการณ์ว่า บริษัทเตรียมจะจดทะเบียน IPO เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ในช่วงปลายปีนี้
ซึ่งอาจทำให้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท
เรื่องราวนี้คงเป็นแนวคิดที่ดีสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ว่า
ในบางตลาดที่คนอาจยังไม่คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยี แทนที่พฤติกรรมที่ปฏิบัติมาอย่างยาวนาน
เราคงต้องเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ก่อน แล้วคอยปรับบริการให้เหมาะสม และขยับขยายเมื่อผู้บริโภคมีความพร้อม
เหมือนในกรณีของ Flipkart ที่เริ่มจากการขายหนังสือออนไลน์ ก่อนเข้าซื้อกิจการสินค้าประเภทอื่น ที่มั่นใจว่ามีลูกค้าใช้งานแพลตฟอร์มจริง ๆ ที่ทำให้ Flipkart ค่อย ๆ เป็นอาณาจักรอีคอมเมิร์ซที่ยิ่งใหญ่ของอินเดียในที่สุด..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://businesbsinspection.com.bd/history-and-rise-of-flipkart/
-https://www.bbc.com/news/business-57815431
-https://en.wikipedia.org/wiki/Binny_Bansal
-https://entrackr.com/2020/10/festive-sale-first-week-processed-gmv-worth-4-1-bn/
-https://www.statista.com/statistics/1053314/india-flipkart-revenue/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Flipkart
-https://www.ibef.org/industry/indian-retail-industry-analysis-presentation
อีคอมเมิร์ซ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
รู้จัก Flipkart แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ อันดับ 1 ของอินเดีย /โดย ลงทุนแมน
ประเทศอินเดีย มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก และมีจำนวนประชากรกว่า 1.3 พันล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากประเทศจีน
พอเป็นเช่นนี้ หนึ่งในธุรกิจที่น่าจะได้ประโยชน์จากขนาดเศรษฐกิจและฐานผู้บริโภคดังกล่าว ในโลกยุคที่กิจกรรมหลายอย่างอยู่บนโลกออนไลน์ ก็คงหนีไม่พ้น “อีคอมเมิร์ซ”
รู้ไหมว่าในปัจจุบัน ผู้ที่ครองตลาดอีคอมเมิร์ซของอินเดีย ไม่ใช่บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างชาติ
แต่เป็นสตาร์ตอัปจากท้องถิ่น ชื่อว่า “Flipkart”
อะไรที่ทำให้ Flipkart ดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง
แล้วใครเป็นเจ้าของบริษัทนี้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Flipkart เป็นแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าออนไลน์จากประเทศอินเดีย
เปิดให้บริการเมื่อปี 2007 หรือ 14 ปีที่แล้ว
ผู้ก่อตั้งบริษัท คือ คุณ Sachin Bansal และคุณ Binny Bansal
ซึ่งต้องบอกว่า ทั้งคู่ไม่ได้เป็นพี่น้องกัน
แค่บังเอิญนามสกุลเหมือนกัน เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน และเคยทำงานที่ Amazon.com ด้วยกัน..
ต่อมา พวกเขาเล็งเห็นโอกาสการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอินเดีย
จึงตัดสินใจลาออกมาร่วมกันก่อตั้ง Flipkart
เริ่มแรก Flipkart ขายหนังสือออนไลน์ คล้ายกับ Amazon.com
เนื่องจากขณะนั้น ผู้ขายสินค้าประเภทอื่น ๆ ยังไม่ค่อยสนใจช่องทางจำหน่ายทางออนไลน์สักเท่าไร เพราะมองว่าคนอินเดียส่วนใหญ่ ไม่คุ้นเคยกับการสั่งของออนไลน์
ต่อมา Flipkart ก็ได้พยายามพัฒนารูปแบบบริการ ที่จะจูงใจให้คนหันมาซื้อขายหนังสือออนไลน์มากขึ้น
เช่น มีบริการจัดส่งทั่วประเทศ และรับจ่ายเป็นเงินสดตอนส่งมอบ
ทำให้ Flipkart เริ่มมีชื่อเสียงติดตลาด จนบริษัทสามารถระดมทุนจากนักลงทุน Venture Capital ได้เป็นครั้งแรก ในปี 2009
พอมีเงินทุนในมือและเป็นที่รู้จัก Flipkart จึงวางแผนเพิ่มประเภทสินค้าบนแพลตฟอร์ม โดยเฉพาะสินค้ายอดนิยม อย่างเช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเสื้อผ้าแฟชั่น
ซึ่งวิธีที่บริษัทใช้ขยายธุรกิจ คือ การเข้าซื้อกิจการที่มีฐานลูกค้าออนไลน์อยู่แล้ว หรือมีบริการที่เกี่ยวข้อง เพื่อเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มของ Flipkart ได้ทันที
ตัวอย่างกิจการที่ Flipkart เข้าซื้อ
- ปี 2010 ซื้อ WeRead ธุรกิจฐานข้อมูล และสังคมออนไลน์เกี่ยวกับหนังสือ
- ปี 2012 ซื้อ Letsbuy แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 5,500 ล้านบาท
- ปี 2014 ซื้อ Myntra แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสินค้าแฟชั่น มูลค่า 9,200 ล้านบาท
- ปี 2016 ซื้อ Jabong แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสินค้าแฟชั่น มูลค่า 2,300 ล้านบาท
- ปี 2016 ซื้อ PhonePe ธุรกิจระบบชำระเงินออนไลน์
รวมทั้ง ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ชื่อดัง เพื่อสิทธิ์นำเข้าสินค้ามาจำหน่ายในอินเดียแต่เพียงผู้เดียว
เช่น จับมือกับ Motorola และ Xiaomi วางขายสมาร์ตโฟนบางรุ่น เฉพาะที่ Flipkart เท่านั้น
นอกจากนั้น Flipkart ยังมีการจัดแคมเปนในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปี เรียกว่า “Big Billion Days” ซึ่งมีการเสนอดีลลดราคามากมาย เพื่อกระตุ้นยอดขายสินค้าออนไลน์
แล้วปัจจุบัน Flipkart ใหญ่แค่ไหนในอินเดีย ?
ตลาดอีคอมเมิร์ซของอินเดีย มีผู้เล่นที่แข่งขันกันดุเดือด 2 ราย คือ Flipkart และ Amazon.com บริษัทยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกา ที่เข้ามาทำตลาด ตั้งแต่ปี 2013
เรามาลองดูส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซปัจจุบันในอินเดีย
Flipkart ส่วนแบ่งตลาด 31.9%
Amazon.com ส่วนแบ่งตลาด 31.2%
จะเห็นได้ว่า Flipkart ครองตลาดเหนือ Amazon อยู่เล็กน้อย
ซึ่งความจริงแล้ว ถ้านับรวม Myntra และ Jabong ที่มีแพลตฟอร์มแยกต่างหากด้วย ธุรกิจในเครือของ Flipkart จะมีส่วนแบ่งตลาดรวม 38.3%
ทีนี้ลองมาดูการเติบโตของรายได้ของ Flipkart
(บริษัทมีรอบบัญชีที่เริ่มต้นจาก 1 เมษายน ถึง 31 มีนาคม ปีถัดไป)
ปี 2016 รายได้ 58,331 ล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 96,000 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 153,000 ล้านบาท
สรุปได้ว่า ในวันนี้ Flipkart เป็นผู้นำตลาดอีคอมเมิร์ซของอินเดีย ที่มียอดขายระดับแสนล้านไปแล้ว
และก็คงต้องบอกว่า บริษัทยังมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก
เพราะขณะนี้ แม้ชาวอินเดียเข้าถึงการใช้งานอินเทอร์เน็ตประมาณ 776 ล้านคน แต่ก็คิดเป็นแค่ราว 57% ของจำนวนประชากร ซึ่งค่อนข้างต่ำ ถ้าเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
อีกทั้งในแง่ของพฤติกรรมผู้บริโภคนั้น เมื่อปี 2019 ยอดขายอีคอมเมิร์ซ มีสัดส่วนเพียง 4.7% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกทั้งหมด พูดง่าย ๆ คือ คนอินเดียส่วนใหญ่ยังนิยมซื้อของที่หน้าร้าน
ที่น่าสนใจคือช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียมีนโยบายชื่อว่า Digital India ที่มีวัตถุประสงค์ที่จะสนับสนุนธุรกิจบนโลกออนไลน์มากขึ้น
จึงมีการคาดการณ์ว่า ในปี 2024 ยอดขายอีคอมเมิร์ซ จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 10.7% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกทั้งหมด
แนวโน้มที่น่าสนใจนี้ ทำให้ธุรกิจ Flipkart ไปเข้าตา “Walmart” บริษัทเจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน
โดย Walmart ได้เข้าซื้อหุ้นของ Flipkart ในสัดส่วน 77% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5.3 แสนล้านบาท เมื่อปี 2018 และมีการซื้อเพิ่มเป็น 82.1% ในเวลาต่อมา
นอกจากนั้น ยังมีบริษัทชื่อดังอีกหลายราย เข้ามาลงทุนใน Flipkart ด้วย ยกตัวอย่างเช่น
Tencent ถือหุ้น 5.1%, Microsoft ถือหุ้น 1.5% รวมไปถึง SoftBank Group ที่เคยถือหุ้นถึง 20% ก่อนที่จะตกลงขายไปให้กับ Walmart
ทั้งนี้ในการระดมทุนรอบล่าสุด เมื่อเดือนกรกฎาคม 2021 ที่ผ่านมา
Flipkart ถูกประเมินมูลค่าบริษัทอยู่ที่ 37,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท
และมีการคาดการณ์ว่า บริษัทเตรียมจะจดทะเบียน IPO เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ในช่วงปลายปีนี้
ซึ่งอาจทำให้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท
เรื่องราวนี้คงเป็นแนวคิดที่ดีสำหรับการทำธุรกิจออนไลน์ว่า
ในบางตลาดที่คนอาจยังไม่คุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยี แทนที่พฤติกรรมที่ปฏิบัติมาอย่างยาวนาน
เราคงต้องเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ก่อน แล้วคอยปรับบริการให้เหมาะสม และขยับขยายเมื่อผู้บริโภคมีความพร้อม
เหมือนในกรณีของ Flipkart ที่เริ่มจากการขายหนังสือออนไลน์ ก่อนเข้าซื้อกิจการสินค้าประเภทอื่น ที่มั่นใจว่ามีลูกค้าใช้งานแพลตฟอร์มจริง ๆ ที่ทำให้ Flipkart ค่อย ๆ เป็นอาณาจักรอีคอมเมิร์ซที่ยิ่งใหญ่ของอินเดียในที่สุด..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://businesbsinspection.com.bd/history-and-rise-of-flipkart/
-https://www.bbc.com/news/business-57815431
-https://en.wikipedia.org/wiki/Binny_Bansal
-https://entrackr.com/2020/10/festive-sale-first-week-processed-gmv-worth-4-1-bn/
-https://www.statista.com/statistics/1053314/india-flipkart-revenue/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Flipkart
-https://www.ibef.org/industry/indian-retail-industry-analysis-presentation
อีคอมเมิร์ซ 在 ลงทุนแมน Youtube 的最讚貼文
โอกาสการเติบโต ในธุรกิจเมกะเทรนด์กับ Jitta Wealth Thematic
ปัจจุบัน หลายธุรกิจ กำลังเผชิญกับดิสรัปชัน ในขณะที่โควิด 19 เป็นอีกตัวเร่งที่จะทำให้ผู้นำนวัตกรรม มีบทบาทเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
การประชุมจากที่บ้าน การเก็บข้อมูลทางธุรกิจ ไว้บนอากาศ
สิ่งเหล่านี้ กำลังจะเป็นเมกะเทรนด์
แล้วเรา จะมีโอกาสเติบโตไปกับมัน อย่างไรได้บ้าง?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
รู้ไหมว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เติบโตมากถึง 48% ในปีที่ผ่านมา
(อ้างอิงจาก MSCI World Information Technology)
โดยธีมธุรกิจ ที่กำลังเป็นเมกะเทรนด์ มีตั้งแต่ธุรกิจที่จะเข้ามาช่วยให้การทำงาน มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เช่น Zoom แอปพลิเคชันประชุมที่เติบโตขึ้นเป็น 6 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี
รวมถึง ซอฟต์แวร์องค์กรอย่าง Salesforce และ Zendesk ที่กำลังเติบโตได้ดี เช่นกัน
อีกหนึ่งเมกะเทรนด์ ก็คือ อีคอมเมิร์ซ ที่กำลังเติบโต แบบก้าวกระโดด
มูลค่าการซื้อของบนอีคอมเมิร์ซ ทั่วโลก
ปี 2014 มูลค่า 39 ล้านล้านบาท
ปี 2020 มูลค่า 126 ล้านล้านบาท)
การเติบโตคิดเป็น 3 เท่า ภายใน 6 ปี
ซึ่งผู้ที่เป็นผู้นำในเรื่องนี้ก็คือ Amazon ที่สหรัฐ กับยุโรป และ Alibaba ที่ประเทศจีน
นอกจากนี้ ก็ยังมี เจ้าของเทคโนโลยีทางการเงิน เช่น Square และ PayPal ที่เป็นตัวกลางการจ่าย และโอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ต ก็เป็นอีกเมกะเทรนด์ที่น่าสนใจ
ในขณะที่โรคระบาดโควิด 19 ก็ทำให้เราเห็นวิวัฒนาการเกี่ยวกับวงการแพทย์
หนึ่งในนั้นก็คือ การคิดค้นวัคซีนโดยบริษัท Pfizer ร่วมกับ BioNTech ที่ทำสำเร็จในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี
นอกจากนั้น การประยุกต์ใช้กัญชาในวงการแพทย์ ก็เป็นอีกก้าวสำคัญไม่แพ้กัน
ธุรกิจเหล่านี้ ถือเป็นเมกะเทรนด์ ที่มีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นมาเป็นธุรกิจ ยักษ์ใหญ่ในอนาคต
ซึ่งเราก็สามารถเติบโตไปกับธุรกิจเมกะเทรนด์เหล่านี้ได้ด้วยบริการกองทุนส่วนบุคคล Thematic จากบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด หรือ Jitta Wealth
บริษัทแห่งนี้เป็น สตาร์ตอัป WealthTech แห่งแรกในประเทศไทย ที่ได้รับใบอนุญาต จาก ก.ล.ต. ในการบริหารจัดการเงินลงทุนในรูปแบบ กองทุนส่วนบุคคล
โดย Thematic เป็นบริการจัดการกองทุนส่วนบุคคลที่จะเข้าไปลงทุนใน ETF ซึ่งจะลงทุนในเมกะเทรนด์ของโลก เช่น ธุรกิจคลาวด์ อีคอมเมิร์ซ ระบบ AI เทคโนโลยีทางการเงิน และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีแนวโน้มในการเติบโตในระยะยาว ตามหลักการลงทุนแบบ Passive
โดยใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 100,000 บาท
ซึ่งถือว่าต่ำกว่า หากเราไปเริ่มลงทุนต่างประเทศเอง
อีกจุดสำคัญ คือเรา สามารถลงทุนได้ถึง 5 ธีม ในพอร์ตเดียวโดย Jiita ก็มีเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดการให้อัตโนมัติ ทำให้เรา ไม่ต้องกังวล และคอยหาจังหวะตลาด ด้วยตัวเอง
บวกกับการลงทุนใน ETF ซึ่งจะเข้าไปลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม ก็ถือเป็นการกระจายความเสี่ยง และอิงการเติบโตตามกลุ่มธุรกิจ นั่นเอง
วิกฤติปีนี้ เป็น Black Swan ที่ส่งผลกระทบรุนแรง ทั่วทุกมุมโลก
แต่มันก็เป็น โอกาส ที่ทำให้เราเริ่มต้นลงทุนในธุรกิจเมกะเทรนด์ ได้เช่นกัน
หากเราเป็นหนึ่งในผู้ที่กำลังมองหาธีมการลงทุนในธุรกิจเมกะเทรนด์ และต้องการเติบโตไปกับธุรกิจเหล่านั้นในระยะยาว
บริการ Thematic ของ Jitta Wealth ที่ทำให้เราลงทุนในธุรกิจเมกะเทรนด์และมีเทคโนโลยีการจัดพอร์ตการลงทุนส่วนบุคคล ครบวงจรก็น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือก ที่น่าสนใจที่สุด ในช่วงนี้..
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน ก่อนตัดสินใจลงทุน
อีคอมเมิร์ซ 在 Human & Tech by May Youtube 的精選貼文
การค้าขายทุกครั้งก็ต้องใช้ต้นทุน จะทำอย่างไรให้ลงทุนน้อยที่สุด ทำให้ความเสี่ยงน้อยที่สุด เพื่อผลกำไรที่มากที่สุด
เริ่มต้นจากการหาลูกค้า ไม่ใช่ การผลิตของจำนวนมาก !
------------------------
สามารถติดตามข่าวสารผ่านทางช่อง facebook ได้ที่ช่อง Human and Tech https://www.facebook.com/HumanAndTechByMay/
รับความรู้ สาระบันเทิงผ่านไลน์ https://line.me/R/ti/p/%40fgk4074r
และชมวิดีโอที่
https://goo.gl/EZvcyV
อีคอมเมิร์ซ 在 iT24Hrs Youtube 的最佳貼文
ทัวร์หางโจว ประเทศจีน เมืองที่เป็นแบบอย่างในการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมรูปแบบใหม่ของจีน โดยได้รับแรงหนุนมาจากนวัตกรรมที่แข็งแกร่ง และเติบโตอย่างต่อเนื่อง และที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่อาลีบาบา อีกด้วย
ออกอากาศวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561
รายการ Digital Thailand ออกอากาศ ทุกวันอังคาร ทางช่อง 3 SD ช่อง 28 เวลา 23.30 น.
ติดต่อโฆษณา it24hrs@it24hrs.com
www.it24hrs.com
อีคอมเมิร์ซ 在 Facebook สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ: โซลูชั่นด้านโฆษณาและการตลาด 的推薦與評價
เพิ่มการรับรู้แบรนด์ให้เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซของคุณ ดูกรณีศึกษาจากร้านค้าออนไลน์อื่นๆ ที่ใช้โฆษณาบน Facebook เพื่อบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ. ... <看更多>
อีคอมเมิร์ซ 在 EASY: e-COMMERCE บทที่ 1 : อีคอมเมิร์ซ คือ อะไร? - YouTube 的推薦與評價
EASY: e-COMMERCE ACADEMY SKILLS LEARN BY YOURSELF” ของ ETDA ต่อยอดความรู้ธุรกิจด้วย อีคอมเมิร์ซ เสริมสร้างความรู้และประสบการณ์ เรียนง่าย ... ... <看更多>