ความเข้าใจผิด เกี่ยวกับ PASSIVE INCOME
.
วันนี้มีเวลานั่งดูรายการในช่อง YouTube จับพลัดจับผลูเปิดไปเจอช่องรายการสอนรวยของกูรูธุรกิจและการลงทุน ตอนแรกว่าจะข้ามไป แต่เห็นเขาพูดถึง PASSIVE INCOME แถมยกหนังสือ Rich Dad Poor Dad (พ่อรวยสอนลูก) ที่ผมเป็นคนเรียบเรียงขึ้นมาอ้าง ก็เลยนั่งฟังดูสักหน่อย
.
เผลอแพร๊บเดียว นั่งดูไปตั้งหลายคนหลายตอน แต่บทสรุปที่ได้รับจากการดู ก็คือ ทุกคนพูดเรื่อง PASSIVE INCOME ดีเกินจริง ดีเกินไป เหมือนมีแล้วไม่ต้องทำอะไร ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย
.
วันนี้ผมเลยอยากหยิบยก 5 ความเข้าใจผิดๆ ที่พูดถึงกันบ่อยๆ เกี่ยวกับ Passive Income มาเล่าให้ฟังกันครับ
.
1) PASSIVE INCOME เป็นเรื่องง่ายๆ
.
ที่จริงประเด็นนี้ก็ใช่ว่าจะผิดไปทั้งหมดหรอกนะครับ เพราะ PI ที่ทำได้ง่าย มันก็มีจริงๆ อย่างเช่น “เงินฝาก” แค่เอาเงินไปฝากธนาคาร เราก็ได้ “ดอกเบี้ย” เป็น Passive Income แล้ว เพียงแต่อาจต้องมีเงินฝากเป็นกอบเป็นกำจริงๆ ดอกเบี้ยถึงจะพอเลี้ยงตัวเราได้
.
แต่ถ้าเป็น Passive Income จากธุรกิจและการลงทุน ในรูป “ค่าเช่า” “เงินปันผล” หรือ “ค่าลิขสิทธิ์” เช่น เป็นเจ้าของกิจการ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า การลงทุนในหุ้น หรือกองทุนรวม รวมไปถึงลิขสิทธิ์ในงานที่เราสร้างขึ้น อันนี้ต้องใช้ทักษะและความรู้เพิ่มขึ้นมาเยอะเลย ถึงจะมีรายได้จากทรัพย์สินได้
.
ทั้งนี้ไอ้ประเภท จ่ายเงินครั้งเดียว กินกำไรกันไปตลอด ผมคิดว่าไม่น่าจะใช่ และน่าจะเป็นการหลอกลวงเสียมากกว่า ยิ่งถ้าโฆษณาการันตีผลตอบแทนสูง ๆ อันนี้ยิ่งต้องระวังครับ
.
2) มี Passive Income แล้วเป็นเสือนอนกิน ไม่ต้องทำอะไร
.
ประเด็นนี้คิดว่าน่าจะเป็น Gimmick เอาไว้หลอกคนขี้เกียจอยากรวย อยู่เฉยๆ แล้วอยากได้เงิน ซึ่งก็ไม่่มีจริงหรอกครับ ผมเองมี Passive Income จากทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ดอกเบี้ย ค่าเช่า เงินปันผล และค่าลิขสิทธิ์ บอกได้เลยว่า ไม่ต้องทำอะไรแล้วจะได้รายได้ เป็นเรื่องไม่จริง
.
การมีทรัพย์สินที่สร้างรายได้ อาจช่วยผ่อนแรงให้คุณไม่ต้องทำงานทุกวัน และเลือกจัดสรรเวลาทำงานได้ แต่ไม่ทำงานเลย อันนี้คงไม่ใช่ ยกตัวอย่างเช่น
.
ถ้าคุณมีธุรกิจ: คุณอาจไม่ได้เข้าออฟฟิศทุกวัน เพราะมีลูกน้องคอยช่วยคุณทำงาน แต่คุณไม่ทำงานเลย ไม่บริหารจัดการ ไม่พบปะลูกค้า ไม่มีปัญหาอะไรให้คุณแก้เลย ก็คงจะไม่ใช่
.
ถ้าคุณมีบ้านเช่า: คุณก็ไม่ต้องทำงานทุกวัน สิ้นเดือนคอยเก็บค่าเช่าก็จริง แต่ระหว่างเดือนมีปัญหามาได้ตลอดนะ ไอ้โน่นเสีย ไอ้นี่พัง ผู้เช่ามีเรื่องทะเลาะกับบ้านข้างๆ วันดีคืนดีผู้เช่าย้ายออก ค่าเช่าหายแว๊บเลยนะ
.
ถ้าคุณมีลิขสิทธิ์: คุณก็ต้องคอยบริหารลิขสิทธิ์และผลประโยชน์ของตัวเอง มีเรื่องสู้กับคนละเมิดลิขสิทธิ์อยู่บ่อยๆ
.
ถ้าคุณมีหุ้น: คงไม่มีหุ้นที่ซื้อไว้ครั้งเดียวแล้วกินปันผลจนตายได้หรอกครับ เวลาเปลี่ยน ธุรกิจมีทั้งเติบโตล้มตาย พอร์ตหุ้นก็ต้องปรับ มีข้อมูลให้ต้องติดตามอยู่ตลอด
.
โดยสรุปการมี Passive Income ไม่ใช่ว่ามีแล้วจะมีไปตลอด มันก็มีเพิ่มมีลดตามความสามารถในการสร้างรายได้ของทรัพย์สินที่เราถือครอง ดังนั้นมันจะขาดการทำงานของเจ้าของทรัพย์สินไปไม่ได้หรอกครับ
.
เพียงแต่ว่าถ้าคุณมีทรัพย์สินที่สร้างกระแสเงินสด มันจะเหมือนคุณมี “เครื่องผ่อนแรง” ให้คุณได้พักจากการทำงานแลกเงิน (Active Income) อยู่บ้าง ช่วยให้คุณจัดสรรเวลาในชีวิต มีอิสระทางเวลาที่มากขึ้นเท่านั้น
.
จะสังเกตผมใช้คำว่า “เครื่องผ่อนแรง” เพราะมันทำงานให้เราได้ มันก็หยุดเสียหยุดซ่อมได้ อะไรที่มีคำว่า “เครื่อง” นำหน้า มีลักษณะแบบนี้เหมือนกันหมดครับ
.
3) Passive Inome จะทำเงินให้เราไปตลอด
.
ประเด็นนี้ก็ไม่จริงนะครับ ไม่มีอะไรเป็นอมตะนิรันดร์กาลขนาดนั้นหรอก จำไว้ว่า ทรัพย์สินใดๆ ในโลกล้วน Dynamic มีขึ้น มีลง มีเติบโต มีตกต่ำ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ด้วยกันทั้งหมดทั้งปวง (สาธุ)
.
ธุรกิจที่เคยทำเงิน วันหนึ่งก็กลายเป็นธุรกิจที่ล่มสลายได้ (ลองนึกธุรกิจที่เราเห็นในตอนเป็นเด็ก แต่วันนี้ไม่อยู่แล้วดู)
บ้านเช่าที่เคยมีคนอยู่อาศัยไม่เคยขาด วันหนึ่งก็อาจร้าง ไม่มีผู้เช่าได้เหมือนกัน (ช่วงโควิดนี่ชัดเลย)
.
ลิขสิทธิ์เพลง หนังสือ ที่เคยได้รับความนิยม วันหนึ่งคนก็ลืม ไม่ซื้อ ไม่โหลด (วันนึงโค้ชหนุ่มหันหลังให้ยุทธจักร ก็คงไม่มีคนซื้อหนังสือโค้ชหนุ่มแล้ว 555)
.
หุ้นที่เคยปันผล วันหนึ่งกิจการไม่ดี ไม่ทำกำไร ก็คงไม่มีปันผล
.
ไม่มีอะไรทำครั้งเดียวแล้วสบายไปตลอดชาติหรอกครับ ทุกอย่างมันมีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเสมอ ดังนั้นอย่าเผลอติดกับดักหลอกลวงแบบนี้ การรู้เท่าทันในทรัพย์สินที่เราลงทุน ความรู้ทางการเงินต่างหาก ความพร้อมในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง คือ สิ่งที่จะช่วยให้เรามั่งคั่งและมั่นคงได้จริง
.
4) PASSIVE INCOME ดีกว่า ACTIVE INCOME
.
ได้ยินการพูดถึง Passive Income ที่ไหน ก็มักจะมีการหยิกกัดรายได้จากการทำงาน หรือ Active Income เสียทุกครั้งไป พาลกันไปว่าการเป็นพนักงานประจำนั้นไม่ดี เงินเดือนมีเพดาน ไม่ทำหรือหยุดทำก็ไม่มีรายได้
.
โดยส่วนตัวผมมองว่า รายได้จากการทำงานไม่ใช่สิ่งเลวร้าย และหลายคนก็ใช้มันเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างรายได้จากทรัพย์สิน ด้วยการเก็บออม แล้วก็นำเงินไปลงทุนต่อยอด และจากเหตุผลในข้อ 3 ที่ว่า ไม่มีรายได้ช่องทางใดที่เป็นอมตะนิรันดร์กาล Passive Income ที่เรามี อยู่ดีๆ ก็อาจวูบหายไปเลยก็เป็นได้
.
ทางที่ดีผมว่าเราควรมีแหล่งรายได้จากหลายช่องทาง หรือ Multi-Income Stream คือ มีทั้งรายได้จากทรัพย์สินคอยช่วยผ่อนแรง ไม่ให้เราต้องเหนื่อยไปตลอด และมีรายได้จากการทำงาน คอยเติม คอยสะสมต่อยอดความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้น่าจะดีกว่า
.
นอกจากนี้ สิ่งที่ผมอยากจะบอกจากใจของคนที่มี Passive Income พอเลี้ยงตัวแล้วก็คือ ผมเองยังรักและชอบรายได้จากการทำงาน หรือ Active Income อยู่นะ เพราะแม้มันจะต้องทำงานถึงได้เงิน ต้องเหนื่อยอยู่บ้าง แต่ผมรู้สึกว่าการทำงานมันทำให้เรารู้สึกมีคุณค่า และได้รับความรู้สึกดีๆ ที่ได้ทำงาน ยิ่งถ้าได้ทำงานที่รัก ที่เราชอบ และเลือกทำมันด้วยตัวเองแล้วละก็ ยิ่งแจ่มกันไปใหญ่ ส่วน Passive Income ผมชอบที่มันช่วยผ่อนแรง ช่วยลดความกังวลทางการเงิน ทำให้เรามีเวลามากขึ้น และมีทางเลือกที่มากขึ้น
.
สรุปเลยดีกว่าไอ้โค้ช ชอบอะไรมากกว่าระหว่าง Active กับ Passive Income
คำตอบคือ “ทำอะไรที่สนุกแล้วได้ตังค์ กูเอาหมดครับ” 555
.
5) ต้องมี Passive Income ถึงจะมีอิสรภาพการเงิน
.
ถ้ายึดเอาตามนิยามหนังสือพ่อรวยสอนลูก ที่ว่าคนเราจะมีอิสรภาพการเงินได้ ก็ต่อเมื่อมีรายได้จากทรัพย์สินมากกว่ารายจ่ายรวม อิสรภาพทางการเงินแบบนี้ก็คงต้องขึ้นอยู่กับ Passive Income แต่ถ้าเรามองว่า อิสรภาพทางการเงินนั้น แก่นของมันคือ อิสระทางเวลา และการเบาบางความกังวลทางการเงิน ก็อาจไม่จำเป็นที่จะต้องมี Passive Income เยอะแยะมากมาย
.
ตัวผมเองตอนเริ่มต้นไม่ได้ตั้งโจทย์ว่าต้องมีรายได้จากทรัพย์สินดูแลตัวเองไปได้ตลอดชีวิต เพราะคิดว่าชีวิตคนเรามันเปลีี่ยนตลอด โจทย์มันถูกปรับตลอดตามเวลาและสถานการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ตอนนั้นเลยคิดโจทย์ง่ายๆ ว่า จะเก็บสะสมเงินให้พอใช้ได้ 5 ปี ให้ได้เร็วที่สุด
.
ลองนึกภาพว่า ถ้า 5 ปีต่อจากนี้ ไม่มีเงินรายได้เลยแม้แต่บาทเดียว เป็นเวลา 1,825 วัน แต่คุณมีเงินพอใช้จ่ายได้ทุกวัน ไม่เดือดร้อน มันทำให้คุณรู้สึก 1) มีอิสระทางเวลาขึ้นนิดนึงหรือเปล่า และ 2) มันเบาบางความกังวลทางการเงินของคุณไปได้บ้างมั้ย
.
ถ้าใช่! ในมุมมองผมนี่ก็เป็น “อิสรภาพทางการเงินเล็กๆ” แล้วเหมือนกันนะครับ ตัวผมเองตอนเก็บเงินพอใช้ 5 ปี มีหยุดพักเที่ยวอยู่ช่วงใหญ่ๆ เลย ประมาณว่าอยากซึมซับอิสระทางเวลาสักหน่อย ตอนแรกกะว่าจะพักผ่อนเต็มๆ 1 ปี สุดท้ายผ่านไปได้ 3 เดือน ก็เหมือนได้พักเต็มที่ คราวนี้กลับมาจัดหนักกว่าเดิม ขยับสู่ความสำเร็จทางการเงินที่เติบโตมากขึ้นได้อีก
.
นี่คือ 5 ประเด็นที่ผมอยากจะเคลียร์และอธิบายให้ฟังเกี่ยวกับ Passive Income หวังว่าคงเป็นประโยชน์สำหรับคนกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว และสร้างชีวิตกันทุกคนนะครับ
.
สุดท้ายแล้วการมีรายได้จากทรัพย์สิน ก็ดีกว่าไม่มีแหละครับ แต่การมีความคิดความเข้าใจที่ผิด จะทำให้เราเสียเวลาและไปสู่ความสำเร็จทางการเงินได้ช้า ยังไงก็ลองนำข้อคิดในวันนี้ไปปรับใช้กันดูนะครับ
.
เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากมีอิสรภาพการเงินครับ
.
#โค้ชหนุ่ม #TheMoneyCoachTH
「เงินปันผล คือ」的推薦目錄:
เงินปันผล คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
ทำไม บางบริษัทมีกำไร แต่ไม่ยอมจ่ายเงินปันผล /โดย ลงทุนแมน
สำหรับคนที่ลงทุนในหุ้น ผลตอบแทนจากการลงทุนจะมาจาก 2 ส่วน คือ
1. กำไรจากการขายหุ้น (Capital Gain) และ
2. เงินปันผล (Dividend)
ซึ่งโดยพื้นฐาน ทั้ง 2 ส่วนจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเรื่องของ กำไรของกิจการเป็นหลัก
เพราะโดยทั่วไปแล้ว ถ้าบริษัทมีกำไรเติบโตมาก
ราคาหุ้นก็จะปรับเพิ่มขึ้น รวมไปถึงจ่ายเงินปันผลมากขึ้น
แต่ประเด็นของบทความนี้ก็คือ มีบางบริษัท ที่แม้ว่าจะมีกำไรมาก แต่กลับเลือกที่จะไม่จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นเลย
มีเหตุผลอะไรที่บางบริษัทแม้ว่าจะมีกำไรมหาศาล
แต่เลือกที่จะไม่จ่ายเงินปันผลออกมา
แล้วถ้าเราอยู่ในฐานะนักลงทุน เราควรหลีกเลี่ยงหุ้นที่ไม่จ่ายเงินปันผลหรือไม่ ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า นักลงทุนบางส่วนที่ลงทุนในหุ้น หวังจะได้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ เป็นประจำทุก ๆ ปี เพราะฉะนั้น นักลงทุนในกลุ่มนี้ จึงชอบมองหา บริษัทที่มีการประกาศจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น จึงอาจมีนักลงทุนจำนวนหนึ่ง
ที่มีกฎเหล็กเลยว่า จะไม่ลงทุนในบริษัทที่ไม่จ่ายเงินปันผล
ในมุมของบริษัท หลัก ๆ แล้วจะสามารถจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นได้ เมื่อในรอบปีบัญชีนั้น บริษัทมีกำไร และไม่มีผลขาดทุนสะสม
อย่างไรก็ตาม ก็มีบริษัทจำนวนไม่น้อย ที่เลือกไม่จ่ายเงินปันผล ทั้งที่บริษัทก็มีกำไร และไม่ได้ขาดทุนสะสม
ซึ่งก็มีเหตุผลที่ไม่จ่ายหลากหลายกรณี เช่น
กรณีแรก: บริษัทต้องการนำผลกำไรนั้น ไปลงทุนต่อ
การนำผลกำไรกลับไปลงทุนต่อ (Reinvesting Profits)
คือสิ่งที่หลายบริษัทเลือกทำ โดยเฉพาะถ้าบริษัทนั้น กำลังอยู่ในช่วงของการเติบโต ซึ่งต้องการทุ่มเงินลงทุนไปในโครงการต่าง ๆ
บางบริษัทเชื่อว่า การนำผลกำไรนั้นกลับไปลงทุนต่อ จะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า การที่ผู้ถือหุ้นได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล
ซึ่ง Netflix ผู้ให้บริการสตรีมมิงวิดีโอรายใหญ่ของโลก ก็คือกรณีศึกษาที่ดีของเรื่องนี้
เราลองมาดูผลประกอบการของ Netflix ในช่วงปี 2018-2020
ปี 2018 รายได้ 521,000 ล้านบาท กำไร 40,000 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 666,000 ล้านบาท กำไร 62,000 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 833,000 ล้านบาท กำไร 92,000 ล้านบาท
รู้ไหมว่า สิ้นปี 2020 Netflix มีกำไรสะสมมากถึง 252,000 ล้านบาท แต่ที่ผ่านมา บริษัทไม่เคยจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นเลย
เนื่องจากบริษัทนำผลกำไรนั้นกลับไปลงทุนต่อในการผลิตคอนเทนต์ เช่น สร้างภาพยนตร์ สร้างแอนิเมชัน ซีรีส์ รวมไปถึงการจ่ายคืนหนี้ และซื้อหุ้นคืน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้ถือหุ้นจะไม่ได้เงินปันผล แต่มูลค่าบริษัทของ Netflix ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 119,000 ล้านบาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว มาอยู่ที่ 8.5 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน
หมายความว่า ถ้าเราลงทุนในหุ้น Netflix 1 ล้านบาท เมื่อ 10 ปีที่แล้ว
มาวันนี้ เงิน 1 ล้านบาทนั้นของเรา จะกลายเป็น 71 ล้านบาท
และนั่นคงไม่ทำให้ผู้ถือหุ้น Netflix มีปัญหาอะไร แม้ว่าจะไม่เคยได้รับเงินปันผลเลยก็ตาม..
กรณีที่สอง: เก็บเงินสดไว้ซื้อกิจการเป้าหมาย
อีกหนึ่งบริษัทที่ไม่จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นมานานแล้ว คือ Berkshire Hathaway ที่มีวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังระดับโลกเป็นผู้บริหารอยู่
รู้ไหมว่า ปัจจุบัน Berkshire Hathaway นั้นมีเงินสดอยู่ในบริษัทกว่า 2 ล้านล้านบาท ซึ่งการที่ Berkshire Hathaway เลือกถือเงินสดไว้มาก ๆ เหตุผลหนึ่งก็คือ เก็บเอาไว้ใช้ซื้อกิจการที่น่าสนใจ
ตัวอย่างกิจการที่ Berkshire Hathaway เข้าไปซื้อในอดีตที่ผ่านมา เช่น
ปี 2010 ซื้อหุ้น 100% ของบริษัท BNSF Railway ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าทางรถไฟรายใหญ่ ที่มีเครือข่ายในทวีปอเมริกาเหนือ มูลค่ากว่า 1.5 ล้านล้านบาท
ปี 2013 ซื้อหุ้น 50% ใน The H. J. Heinz Company บริษัทแปรรูปอาหารและผลิตซอสมะเขือเทศ มูลค่ากว่า 410,000 ล้านบาท
แม้ว่าหลัง ๆ มา Berkshire Hathaway จะไม่ได้เข้าซื้อกิจการด้วยมูลค่ามาก ๆ เท่าในอดีต
แต่การที่บริษัทมีเงินสดอยู่มหาศาล ก็ทำให้บริษัทสามารถเข้าไปซื้อกิจการเป้าหมายได้ เมื่อไรก็ตามที่บริษัทต้องการ
กรณีที่สาม: ปัญหาทางการเงินของบริษัท
นอกเหนือจากการนำผลกำไรนั้นกลับไปลงทุนต่อ และเก็บเงินไว้เพื่อซื้อกิจการเป้าหมายแล้ว การที่บริษัทจะไม่จ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอาจเกิดจากปัญหาทางการเงินของบริษัทเอง
บางบริษัทแม้ว่า จะมีกำไรในบางปี แต่ก็ไม่สามารถจ่ายเงินปันผลออกมาได้ เนื่องจากบริษัทยังมีผลขาดทุนสะสมอยู่ ซึ่งตามกฎแล้ว บริษัทจะยังไม่สามารถที่จะจ่ายเงินปันผลออกมาให้ผู้ถือหุ้นได้
หรือแม้แต่กรณีที่บริษัทมีกำไรสะสม และสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ แต่บริษัทก็อาจจะยังไม่จ่าย เนื่องจากสถานะการเงินที่ยังไม่แข็งแรง จึงเลือกที่จะเก็บเงินสดไว้ระดับหนึ่งก่อน
อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็น่าจะพอได้ไอเดียแล้วว่า
ทำไมบางบริษัทที่มีกำไรแต่ไม่จ่ายเงินปันผลออกมาให้ผู้ถือหุ้น
เพราะว่าบริษัทเหล่านั้น ต้องการที่จะนำผลกำไรไปลงทุนต่อในธุรกิจตัวเอง ไปซื้อกิจการอื่น จ่ายคืนหนี้ ซื้อหุ้นคืน หรือแม้แต่เก็บเงินสดไว้ เพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน
ดังนั้น ก่อนที่เราจะปฏิเสธไม่ลงทุนในบริษัทที่ไม่จ่ายเงินปันผล เราต้องดูให้ดีก่อนว่า ที่บริษัทไม่ยอมจ่ายเงินปันผลนั้น เพราะอะไร หรือมีแผนเอาเงินที่ไม่จ่ายออกมาเป็นปันผลนั้น ไปต่อยอดได้ดีแค่ไหน
ถ้ามองแล้วว่า ถึงแม้บริษัทจะไม่จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น
แต่มีการเอาเงินส่วนนั้น ไปต่อยอดสร้างอนาคตที่ดีให้กิจการ
หุ้นที่เราถืออยู่ ก็สามารถมีมูลค่าที่เติบโตเพิ่มขึ้น
จนทำให้สุดท้ายแล้ว เราในฐานะผู้ถือหุ้น ก็อาจได้ผลตอบแทนจากราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ซึ่งถ้าผู้ถือหุ้นอยากได้เงินสดมาใช้ ก็อาจแบ่งขายหุ้นออกมาได้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.suredividend.com/why-companies-never-pay-dividends/
-https://www.set.or.th/th/regulations/simplified_regulations/files/20200914_Dividend.pdf
-https://ir.netflix.net/financials/financial-statements/default.aspx
-https://www.investopedia.com/ask/answers/12/why-do-some-companies-pay-a-dividend.asp
-https://www.wallstreetzen.com/stocks/us/nasdaq/nflx/dividends
-https://finance.yahoo.com/quote/NFLX/balance-sheet?p=NFLX
-https://www.investopedia.com/ask/answers/021615/why-doesnt-berkshire-hathaway-pay-dividend.asp
-https://kunaldesai.blog/berkshire-hathaway-acquisitions/
เงินปันผล คือ 在 Money Coach Facebook 的最佳貼文
3 ตะกร้าตัวช่วยเก็บออมเงิน 🧺💰
มีคำถามเข้ามาว่า “ควรจัดแบ่งเงินออมยังไงดี?” เพราะหลายคนเอาเงินออมไปกองไว้ในที่เดียวกัน แล้วก็หยิบใช้ และออมเพิ่มในที่เดียวกัน สุดท้ายเงินออมเลยไม่เติบโตสักที
.
วันนี้เลยอยากพูดถึงการ “แบ่ง” หรือ “จัดสรร” เงินออม สำหรับผู้ที่เริ่มออมเงินได้และมีเงินกับกันครับ
.
ที่จริงก่อนจะไปถึงเรื่องการจัดสรรเงินออม ก็ต้องชื่นชมก่อนครับ เพราะเอาเข้าจริงคนที่จะเก็บออมเงินได้ มีเงินออมให้บริหาร ในบ้านเราก็อาจเรียกได้ว่า “ครึ่งต่อครึ่ง” เลย
.
คือ ไม่มีเงินออมครึ่งนึง (รีบทำให้มีนะ) และอีกครึ่งคือมีเงินออม แต่ก็บริหารจัดการไม่ถูกต้อง เอาเงินออมทั้งหมดที่มีไปออมไว้ในที่เดียวกัน พอจะลงทุน ก็ยกโขยงไปลงทุนพร้อมกันทั้งหมด ที่ถูกต้องเราควรจัดสรรเงินออมที่มีออกจากกัน โดยแบ่งตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งใจจะใช้เงินก้อนนั้นในอนาคต
.
โดยส่วนตัวผมมักจะแนะนำคนที่มาเรียนด้วย ให้แบ่งเงินออมเบื้องต้น ออกเป็นสามตะกร้า ดังนี้ (มีมากกว่านี้ได้นะ ถ้ามีวัตถุประสงค์อื่นๆ เช่น เก็บเงินซื้อของ เก็บเงินเรียนต่อ ฯลฯ อันนี้แล้วแต่ละบุคคลเลยครับ)
.
1. ตะกร้าเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน (Emergency Basket)
.
ตะกร้านี้เป็นแหล่งเก็บเงินสำรองเผื่อไว้สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ที่อาจจะส่งผลกระทบกับการเงินของเรา เช่น ตกงาน ไม่ได้รับค่าจ้าง เจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ ฯลฯ เป็นตะกร้าเงินที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันความเสี่ยงปกป้องสภาพคล่องของการเงินเรา
.
ขนาดที่เหมาะสมของตะกร้านี้ คือ 6-12 เท่าของรายจ่ายรวมต่อเดือน โดยควรเก็บออมในทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องดี รักษามูลค่าได้ไม่ผันผวนมาก เช่นเงินฝาก สลากออมทรัพย์ กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ หรือทองคำ
.
2. ตะกร้าเงินเกษียณรวย (Retirement Basket)
.
ตะกร้านี้เป็นแหล่งเก็บสะสมเงินไว้สำหรับใช้จ่ายยามเกษียณจากการทำงาน เน้นทยอยสะสมและลงทุนในเครื่องมือกลุ่มตราสารการเงิน ใช้วิธีการที่ไม่ซับซ้อน ลงทุนแบบระยะยาว เป้าหมายคือ มีกินใช้หลังเกษียณสบายๆ 20-25 ปี
.
เครื่องมือที่ช่วยเก็บเงินสำหรับตะกร้านี้ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ , กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) , กองทุนรวมต่างๆ (ตราสารหนี้ อสังหาริมทรัพย์ หุ้น), กองทุนรวมที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี (RMF และ SSF), ประกันชีวิต ประกันบำนาญ หุ้นสหกรณ์ หุ้นสามัญ เป็นต้น
.
ที่ดีควรเริ่มต้นวางแผนเงินเกษียณนี้ ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นทำงาน ควบคู่ไปกับการวางแผนชำระหนี้ให้หมดก่อนเกษียณ เริ่มต้นลงทุนทีละน้อยสร้างประสบการณ์ ที่สำคัญ! เงินก้อนนี้ห้ามแบ่งให้ใครเด็ดขาด เพราะมันคือเงินที่เราต้องเก็บไว้กินใช้ในวันที่รายได้ลดลง
.
3. ตะกร้าเงินเกษียณเร็ว (Money Freedom Basket)
.
ตะกร้านี้เป็นแหล่งเงินสะมที่จะนำไปลงทุนในทรัพย์สินที่สร้างกระแสเงินสด (Passive Income) เพื่อสร้างความมั่งคั่งอย่างรวดเร็ว ทำให้หมดกังวลเรื่องการเงินได้ก่อนเกษียณอายุจากการทำงาน
.
เป้าหมายของตะกร้านี้คือ รายได้จากทรัพย์สิน (Passive Income) มากกว่ารายจ่ายรวมต่อเดือน (Total Expenses) เครื่องมือที่ช่วยของตะกร้าเกษียณเร็วก็คือ ธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์สินทางปัญญา ที่ให้รายได้เราในรูปแบบ ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า และค่าลิขสิทธิ์ (หรือปัจจุบันจะมาในรูปแบบค่าโฆษณาก็ได้)
.
ทั้งหมดนี้คือ ตะกร้าเงินพื้นฐานที่ควรจะจัดแบ่งเงินออมไว้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อย่างไรก็ดี แต่ละคนมีความต้องการแต่ปัจเจก แตกต่างกันไปในแต่ละคน ดังนั้นหากจะมีตะกร้าเงินอื่นๆ เพิ่มเติมจากนี้ หรือแบ่งเงินแตกต่างไปจากนี้ ก็ไม่ถือว่าผิดกติกา
.
ยังไงลองวางแผนจัดการเงินออมของตัวเองดูนะครับ หวังว่าแนวทางข้างต้นจะเป็นประโยชน์กับทุกคนครับ
#TheMoneyCoachTH
เงินปันผล คือ 在 ลงทุนแมน - เงินปันผล คืออะไร แบบเข้าใจง่ายๆ / โดย ... - Facebook 的推薦與評價
จะระบุวันที่นักลงทุนไม่ได้สิทธิรับเงินปันผลด้วย นั่นคือ การขึ้นเครื่องหมาย XD หรือย่อมาจาก Excluding Dividend XD คืออะไร? ตัวอย่างเช่น ถ้า บริษัท A ประกาศขึ้น ... ... <看更多>
เงินปันผล คือ 在 เงินปันผล คืออะไร ? ร.ว.ย. EP.273 (13-02-23) - YouTube 的推薦與評價
เงินปันผล คือ อะไร ? - ผลตอบแทนจากปันผล ควรได้เท่าไร - เงินปันผล กับ หุ้นปันผล แตกต่างกันอย่างไร - เลือกหุ้นแบบไหนให้ปันผล ... ... <看更多>