รวันดา จากสงครามล้างเผ่าพันธุ์ สู่ประเทศเติบโตสูง /โดย ลงทุนแมน
ปี 1994 ในประเทศเล็ก ๆ ใจกลางทวีปแอฟริกา
ได้เผชิญโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
เมื่อผู้คนในชาติเดียวกัน แต่ต่างเผ่าพันธุ์ ได้จับอาวุธมาสังหารกัน
จนบานปลายกลายเป็นสงครามกลางเมืองที่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นเกือบ 1 ล้านคน
คนทั่วโลกรู้จักโศกนาฏกรรมครั้งนั้นภายในชื่อ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รวันดา”
ภาพเหตุการณ์ในครั้งนั้น ยังคงอยู่ในความทรงจำของชาวรวันดาผู้รอดชีวิตทุก ๆ คน
เป็นฝันร้ายที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศพังยับเยิน
GDP หดตัวลง 50% และรวันดากลายเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก
แต่ 26 ปีหลังพายุใหญ่ครั้งนั้นผ่านพ้นไป ผู้คนในประเทศนี้กลับมุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง
จนมีเศรษฐกิจที่เติบโตโดดเด่นกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
รวันดาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจเติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปแอฟริกา
และติดอันดับ Top 10 ของโลกเป็นเวลาหลายปี
GDP ต่อหัวเพิ่มขึ้นมา 6 เท่า จากจุดต่ำสุดในปี 1994
ประเทศเล็ก ๆ ที่เพิ่งตื่นขึ้นมาจากฝันร้าย ประชากรส่วนใหญ่ยังคงยากจน
แต่กลับมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ โดยความใฝ่ฝันสูงสุดของประเทศนี้
คือการเป็น “ศูนย์กลางทางเทคโนโลยีของทวีปแอฟริกา”
เรื่องราวของรวันดาเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
รวันดา เป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีพื้นที่เพียง 26,338 ตารางกิโลเมตร
ขนาดพอ ๆ กับจังหวัดนครราชสีมา ไม่มีทางออกสู่ทะเล ตั้งอยู่ใจกลางทวีปแอฟริกา
และมีฉายาว่า ดินแดนแห่งหุบเขานับพัน เพราะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขา
สูงกว่า 1,500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
ด้วยความที่ตั้งอยู่บนที่สูงและอยู่แถบเส้นศูนย์สูตรพอดี ทำให้กรุงคิกาลี เมืองหลวงของรวันดา เป็นเมืองที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ราว 20 องศาเซลเซียส ตลอดทั้งปี
ภูมิอากาศที่เหมาะสมทำให้รวันดาเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชผลมากมาย ทั้งกาแฟ ชา ข้าวสาลี ผักและผลไม้ ความอุดมสมบูรณ์ทำให้ปัจจุบันรวันดามีประชากร 12 ล้านคน ซึ่งนับเป็นประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงมาก ถึง 470 คนต่อตารางกิโลเมตร
ด้วยความอุดมสมบูรณ์นี้เอง เมื่อย้อนกลับไปในยุคล่าอาณานิคมช่วงปลายศตวรรษที่ 19
ดินแดนรวันดาก็ได้ดึงดูดให้ประเทศมหาอำนาจในยุโรปเข้ามาครอบครอง
แรกเริ่ม รวันดาตกเป็นอาณานิคมของเยอรมนี จนเมื่อเยอรมนีแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1
รวันดาก็ตกเป็นอาณานิคมของเบลเยียม ซึ่งมีส่วนทำให้รวันดามีภาษาราชการในปัจจุบัน
คือ ภาษาฝรั่งเศส คู่กับภาษากิญญาร์วันดา และภาษาอังกฤษ
การเป็นอาณานิคมของเบลเยียมนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของฝันร้ายสำหรับประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้..
แต่เดิมผู้คนพื้นเมืองในรวันดาประกอบไปด้วยชนเผ่า 2 เผ่าหลัก ได้แก่
เผ่าฮูตู ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 85% ของประชากร ชาวฮูตูจะมีผิวคล้ำ ตัวค่อนข้างเตี้ย
และอีกเผ่าชื่อว่า ทุตซี คิดเป็นสัดส่วน 14% ชาวทุตซีจะมีผิวคล้ำน้อยกว่า และมีความสูงมากกว่า
ซึ่งผู้คนทั้ง 2 เผ่าอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมาหลายร้อยปี
แต่เมื่อเบลเยียมเข้ามา ก็ได้นำนโยบายหลักของเจ้าอาณานิคมยุโรปในยุคนั้น
คือ “การแบ่งแยกแล้วปกครอง” มาใช้กับรวันดา
ด้วยการให้ประชาชนทุกคนต้องมีบัตรประชาชน ที่ระบุว่าตัวเองเป็นเผ่าพันธุ์อะไร
โดยรัฐบาลอาณานิคมเลือกสนับสนุนชนเผ่าทุตซีที่มีจำนวนน้อยกว่า
และเป็นชนชั้นปกครองมาแต่ดั้งเดิม มอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ ให้ ทั้งการศึกษา การจ้างงาน
ขณะที่ชนเผ่าฮูตูซึ่งเป็นคนหมู่มาก กลับถูกกีดกัน และต้องกลายเป็นพลเมืองชั้นสอง
ความบาดหมางนี้ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างผู้คน 2 เผ่าพันธุ์
จนมาถึงปี 1959 ชาวฮูตูจึงเริ่มลุกฮือ และล้มล้างระบอบการปกครองเดิม
จนทำให้ชาวทุตซีนับหมื่นต้องอพยพลี้ภัยไปประเทศเพื่อนบ้าน
กระทั่งปี 1962 รวันดาจึงได้รับเอกราช และมีประธานาธิบดีคนแรกของประเทศเป็นชาวฮูตู
เมื่อชาวฮูตูขึ้นเป็นใหญ่ ก็เริ่มออกนโยบายที่กดขี่ชาวทุตซี ทำให้ชาวทุตซีถูกขับไล่ไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากยิ่งขึ้น บางส่วนก็ได้เริ่มรวมตัวกันจัดตั้งกองกำลัง Rwandan Patriotic Front หรือ RPF เพื่อจะกลับไปยึดบ้านเกิดของตัวเอง
ความวุ่นวายนี้เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาราว 30 ปี จนมาถึงฟางเส้นสุดท้าย ในเดือนเมษายน ปี 1992
เมื่อประธานาธิบดีรวันดาในขณะนั้นซึ่งเป็นชาวฮูตูได้ถูกลอบสังหาร สื่อมวลชนฝั่งรัฐบาลปล่อยข่าวว่าสาเหตุเกิดมาจากชาวทุตซี มีการเรียกร้องให้ชาวฮูตูออกมาทำการสังหารชาวทุตซีทุกคนที่พบ หากเพิกเฉย ก็จะถือว่าชาวฮูตูคนนั้นเป็นผู้ทรยศและจะต้องถูกสังหารเช่นเดียวกัน
กลุ่มชาวฮูตูสุดโต่ง ก็ได้ออกมาสังหารชาวทุตซีทุกคน รวมไปถึงชาวฮูตูที่ให้ความช่วยเหลือชาวทุตซี ก็ไม่ละเว้น
โดยอาศัยการแบ่งแยกด้วย “บัตรประชาชน” ซึ่งระบุเชื้อชาติไว้อย่างชัดเจน หรือหากใครไม่มีบัตรประชาชน ก็อาศัยดูจากสีผิวที่คล้ำน้อยกว่า ไม่ว่าจะเป็นเด็กทารก ผู้หญิง หรือคนชรา
ภาพยนตร์ชื่อดังเรื่อง Hotel Rwanda ก็ถูกสร้างขึ้นมาจากเหตุการณ์จริงที่ผู้จัดการโรงแรม
ชาวฮูตูสายกลาง ได้พยายามช่วยเหลือชาวทุตซีทุกคนที่หลบหนีเข้ามาในโรงแรม
เป็นระยะเวลา 100 วันแห่งโศกนาฏกรรมอันโหดร้าย
ที่ชาวรวันดา สังหารเพื่อนร่วมชาติเดียวกันไปถึง 800,000 คน..
จนเมื่อกองกำลังปลดปล่อย RPF ของชาวทุตซี ซึ่งมีผู้นำคือ Paul Kagame
ได้เริ่มปฏิบัติการตีโอบล้อมกรุงคิกาลี และยึดอำนาจเป็นผลสำเร็จ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แห่งรวันดาจึงปิดฉากลงในเดือนกรกฎาคม
หลังจากนั้นได้มีการสถาปนารัฐบาลใหม่ ที่มีทั้งชาวฮูตูและทุตซีขึ้นปกครองร่วมกัน
โดยมีประธานาธิบดี Pasteur Bizimungu ซึ่งเป็นชาวฮูตู
ส่วน Paul Kagame ชาวทุตซี ได้เป็นรองประธานาธิบดีและรัฐมนตรีกลาโหม
ถึงแม้ความวุ่นวายในประเทศจะสงบลง แต่รวันดาก็ยังเผชิญกับความวุ่นวายจากประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะคองโกเป็นเวลาเกือบ 6 ปี เศรษฐกิจที่อ่อนแอ จึงยังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือทางการเงินจากต่างประเทศ
แต่เมื่อความวุ่นวายภายนอกเริ่มสงบ รัฐบาลรวันดาของ Pasteur Bizimungu กลับเต็มไปด้วยการคอร์รัปชัน ทำให้รองประธานาธิบดี Paul Kagame ได้ตัดสินใจฟ้องศาล เพื่อบีบให้ประธานาธิบดีลาออก
และ Paul Kagame ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของรวันดา ในปี 2000
และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เพราะสิ่งแรกที่ประธานาธิบดีผู้นี้ทำ
ก็คือ การร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรให้รวันดา ที่พยายามยุติการระบุอัตลักษณ์เชื้อชาติ
โดยให้ประชาชนระบุตัวตนว่าเป็นชาวรวันดาเท่านั้น ไม่มีชาวฮูตูหรือชาวทุตซีอีกต่อไป..
หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปี 2003 Paul Kagame ก็ได้ลงสมัครเลือกตั้ง
และได้เป็นประธานาธิบดีด้วยคะแนนเสียงอย่างท่วมท้นถึง 95%
เขาจึงเริ่มต้นวางแผนพัฒนาประเทศด้วยการปราบคอร์รัปชันอย่างหนัก และวางนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจครั้งใหญ่
รวันดาเป็นประเทศที่ยากจนมาก ๆ ถึงแม้จะมีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ แต่ก็มีประชากรหนาแน่น
มีทรัพยากรแร่ธาตุแต่ก็ไม่ได้มากมาย หนทางเดียวที่รวันดาจะหลุดพ้นจากความยากจนได้
คือการพัฒนา “เทคโนโลยี”
นำมาสู่แผน Rwanda 2020 ยุทธศาสตร์ชาติที่จะทำให้รวันดาหลุดพ้นจากประเทศยากจน
กลายเป็นประเทศรายได้ปานกลางภายในปี 2020 โดยมุ่งเน้นด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด้านเทคโนโลยีอย่างหนัก
รวันดาเปิดเสรีทางด้านโทรคมนาคม และลงทุนสร้างโครงข่ายใยแก้วนำแสงที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคแอฟริกากลาง ด้วยความยาวถึง 3,000 กิโลเมตรทั่วประเทศ
ทำให้รวันดามีความเร็วอินเทอร์เน็ตสูงที่สุดติด Top 3 ของทวีปแอฟริกา และถูกต่อยอดมาเป็นการให้บริการของภาครัฐผ่าน e-Governance และธุรกรรมการเงินผ่าน e-Banking
เป็นประเทศแรก ๆ ของภูมิภาค
บริษัทโทรคมนาคม Terracom ซึ่งให้บริการอินเทอร์เน็ตทั้งในรวันดาและครอบคลุมไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่ง “บริการเทคโนโลยีสารสนเทศ” นี้ สร้างรายได้กว่า 10,000 ล้านบาทให้ประเทศ และคิดเป็นสัดส่วน 23% ของการส่งออกสินค้าและบริการทั้งหมด
The Rwanda Development Board (RDB) ถูกจัดตั้งขึ้นในปี 2009 เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ รัฐบาลพยายามปฏิรูปขั้นตอนกระบวนการทำธุรกิจให้ง่ายขึ้น ลดระเบียบยุ่งยากจากภาครัฐ และอำนวยความสะดวกด้านภาษีและสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างเต็มที่
รวันดาติดอันดับประเทศที่มีความสะดวกในการทำธุรกิจ อันดับ 38 ของโลกในปี 2020 จาก 190 ประเทศ ซึ่งเป็นอันดับ 2 ของทวีปแอฟริกา และดีกว่าประเทศร่ำรวยหลายประเทศ
นอกจากภาคบริการเทคโนโลยีสารสนเทศแล้ว รวันดายังพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์
โดยมีกิจกรรมท่องเที่ยวที่สำคัญ คือ การเข้าไปชมลิงกอริลลาในป่าดงดิบอย่างใกล้ชิด
คิดค่าใบอนุญาตชมกอริลลาแพงถึงคนละ 45,000 บาทต่อวัน เพื่อจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว
ไม่ให้กระทบกับสภาพแวดล้อมมากจนเกินไป และสร้างรายได้ให้กับพรานในชุมชนแทนที่การล่าสัตว์
แม้แต่สินค้าเกษตรที่ส่งออกหลักอย่างกาแฟ รวันดาเน้นส่งออกแต่กาแฟอะราบิกาคุณภาพสูง
ผู้ผลิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสหกรณ์ที่มีสถานีล้างเมล็ดกาแฟเป็นของตัวเอง มีการควบคุมและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้กาแฟรวันดามีราคาสูง และเป็นผู้ผลิตกาแฟรายแรกของทวีปแอฟริกา ที่มีการจัดประกวด “Cup of Excellence” เพื่อเฟ้นหากาแฟคุณภาพ และเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับกาแฟรวันดา
การปราบปรามคอร์รัปชันอย่างหนัก และการพัฒนาการบริหารของภาครัฐด้วยเทคโนโลยี
มีส่วนทำให้รวันดากลายเป็นประเทศที่มีดัชนีความโปร่งใสสูงเป็นอันดับ 3 ของทวีปแอฟริกา
และเป็นอันดับที่ 49 ของโลก จากทั้งหมด 179 ประเทศ
เป็นอันดับที่ดีกว่าประเทศร่ำรวยกว่ามากอย่าง อิตาลี มอลตา และซาอุดีอาระเบีย
เมื่อคอร์รัปชันต่ำ เงินภาษีทุกฟรังก์รวันดาก็ส่งผลไปถึงประชาชนได้มาก
ทำให้การพัฒนาเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว รวันดายังมีโครงการเมกะโปรเจกต์ในกรุงคิกาลี
คือ “Kigali Innovation Center” ด้วยงบลงทุนกว่า 60,000 ล้านบาท ร่วมกับธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งแอฟริกา โดยเขตนี้จะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีครบครัน เพื่อดึงดูดสถาบันการศึกษา บริษัทไอที และบริษัทไบโอเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
เป้าหมายสูงสุดของรวันดา คือการเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีของทวีปแอฟริกา เป็นศูนย์รวมการให้บริการสารสนเทศ เป็นแหล่งผลิตสินค้าไอที และสินค้าที่ใช้นวัตกรรมขั้นสูง
ที่จะพาให้ประเทศนี้ก้าวสู่การเป็นประเทศรายได้สูงภายในปี 2050
แน่นอนว่าปัญหาความยากจนยังคงเป็นปัญหาเรื้อรัง ถึงแม้ GDP ต่อหัว ในปี 2020
จะเติบโตจากปี 1994 ถึง 6 เท่า แต่ GDP ต่อหัวของรวันดา ก็อยู่ที่เพียง 25,420 บาทต่อปี
ประชากรส่วนใหญ่กว่า 39% ของประเทศ ยังคงใช้ชีวิตต่ำกว่าเส้นแบ่งระดับความยากจน (Poverty Line) และการเพิ่มของประชากรอย่างรวดเร็วถึงร้อยละ 2.6 ต่อปี ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่รวันดาต้องเผชิญหน้า
แต่การที่ประเทศหนึ่งซึ่งแทบสิ้นเนื้อประดาตัวจากสงครามกลางเมือง
สามารถพลิกกลับมามีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
และวางแผนพัฒนาอย่างยั่งยืนโดยใช้ “เทคโนโลยี” เป็นตัวขับเคลื่อน
ก็นับว่า รวันดาได้ทิ้งความขมขื่นเอาไว้ข้างหลัง และพร้อมจะก้าวต่อไปเพื่ออนาคตที่ดีกว่า..
ลงทุนแมนเคยเล่าเรื่องราวของหลายประเทศ ที่เริ่มต้นจากความยากจน ความขัดแย้ง
หรือแม้กระทั่งกองเถ้าถ่านจากสงคราม แต่ก็สามารถฝ่าฟันปัญหาต่าง ๆ และพัฒนาประเทศได้สำเร็จ
จนกลายเป็นเรื่องราวความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจที่คนทั้งโลกยกย่อง
ทั้งเกาหลีใต้ สิงคโปร์ และจีน
บางทีในอีก 30 ปีข้างหน้า อาจมีชื่อ “รวันดา” อยู่ในนั้นด้วย ก็เป็นได้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.MKTP.KD.ZG?locations=RW-CN-VN
-https://www.un.org/africarenewal/magazine/april-2011/information-technology-super-charging-rwandas-economy
-https://atlas.cid.harvard.edu/explore?country=187&product=undefined&year=2018&productClass=HS&target=Product&partner=undefined&startYear=undefined
-https://www.doingbusiness.org/en/rankings
-https://www.trtworld.com/magazine/what-makes-rwanda-one-of-africa-s-fastest-growing-economies-23410
-https://www.visitrwanda.com/interests/gorilla-tracking/
-https://www.newtimes.co.rw/news/africa-kigali-innovation-city
-https://www.newtimes.co.rw/section/read/22031
-https://www.fdiintelligence.com/article/77769
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.PCAP.CD?locations=RW
-https://www.indexmundi.com/g/r.aspx?v=69
เทคโนโลยี 20 ปีข้างหน้า 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的精選貼文
"เมื่อ รมต. อุดมศึกษาฯ ประกาศจะส่งยานอวกาศไปดวงจันทร์ ในอีก 7 ปีข้างหน้า .. มันจะเป็นไปได้แค่ไหน?"
ตามคำเรียกร้องของหลายๆท่าน ที่อยากจะให้ช่วยวิเคราะห์ข่าวเรื่องนี้ ว่ามันเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ... ก็จะขอเรียบเรียงข้อมูลให้ฟังตามนี้นะครับ ยาวหน่อยนะ
1. เมื่อ 14 ธ.ค. ที่ผ่านมา นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รมต. ก. การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้กล่าวปาฐกถาว่า "เร็วๆ นี้ไทยจะเป็นชาติที่ 5 ของเอเชีย ที่จะสามารถผลิตยานอวกาศและส่งไปโคจรรอบดวงจันทร์ได้ โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาดำเนินการไม่เกิน 7 ปี และอาจมีการขอความร่วมมือและสนับสนุนจากประชาชนในการระดมทุน เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้จะเปลี่ยนวิธีคิดของคนไทย ว่าไทยไม่ใช่ประเทศที่ด้อยพัฒนาอีกแล้ว เราเป็นประเทศที่มีอนาคต มีโอกาส และมีความหวัง"(จาก https://www.sanook.com/news/8316210/)
2. หลังจากนั้น ก็เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายต่างๆ ตามมาอย่างหนัก ส่วนผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปที่ GISTDA (จิสด้า) หรือ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) ได้รับการยืนยันว่า มีโครงการนี้จริง แต่ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ โดยทางรัฐมนตรีฯ จะเป็นผู้แถลงข่าวเรื่องนี้อีกครั้ง (จาก https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/138400)
3. จากที่ผมได้รับข้อมูลมาจากแหล่งข่าววงในทางด้านดาราศาสตร์ ทำให้ทราบว่า จริงๆแล้วไม่ใช่เป็นยานอวกาศใหญ่โตอะไร แต่เป็นยานขนาดเล็กระดับ "ดาวเทียม" ภายใต้โครงการ Thai Space Consortium หรือ TSC ซึ่งร่วมมือกับประเทศจีนอยู่แล้ว และจะพัฒนาให้มีศักยภาพสูงขึ้น ด้วยการใส่ระบบขับเคลื่อนแบบใหม่ที่เรียกว่า ion drive (ไออ้อน ไดรฟ์) มาใช้ในการบังคับให้ดาวเทียมนี้ ไปโคจรรอบดวงจันทร์ เพื่อการสำรวจถ่ายภาพพื้นผิวดวงจันทร์ ด้วยงบประมาณที่ต่ำมาก ในแบบเดียวกับที่ประเทศอินเดียใช้สำหรับโครงการสํารวจดวงจันทร์
4. โครงการ TSC นั้น กำลังดำเนินการพัฒนาดาวเทียม TSC-1 ที่เป็นฝีมือคนไทยออกแบบและสร้างเอง เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีทางอวกาศของไทย ซึ่งโครงการนี้ดูแลโดยสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ , จิสด้า และสถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน เป็นดาวเทียมวิจัยขนาดเล็ก ประมาณ 100 กิโลกรัม ใช้งบประมาณ 2,000 ล้านบาท จุดเด่นคือ จะมีกล้องโทรทรรศน์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 ซม. และมีอุปกรณ์ตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงสภาพอวกาศที่ใกล้กับชั้นบรรยากาศด้านบนสุดของโลก คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์กลางปี 2564 และจะมีการติดต่อและจองเครื่องปล่อยดาวเทียม และถูกส่งขึ้นสู่อวกาศปี 2567 ภายใต้ความร่วมมือกับ สถาบันทัศนศาสตร์ กลศาสตร์ขั้นสูงและฟิสิกส์แห่งฉางชุน สาธารณรัฐประชาชนจีน (จาก https://www.thairath.co.th/news/local/1487588)
5. ดังนั้นถ้ามีการพัฒนาให้ดาวเทียมดวงต่อไปของโครงการ TSC คือ TSC-2 มีศักยภาพสูงขึ้น ให้สามารถจะไปโคจรที่ดวงจันทร์ได้ ก็น่าจะทำคล้ายกับที่โครงการ SMART-1 ขององค์การอวกาศยุโรป ESA เคยทำมาก่อน ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนแบบไอออนไดรฟ์เหมือนกัน (อันนี้ผมคาดเดาเอง)
6. เทคโนโลยี Ion Drive (เครื่องขับดันไอออน) เป็นแนวคิดค่อนข้างใหม่ ของการสร้างระบบขับเคลื่อนในอวกาศ ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงกำลังอัดสูง ปริมาณมหาศาล อย่างในอดีต แต่ใช้พวกก๊าซเฉื่อย (อย่างก๊าซ ซีนอน xenon) มาทำให้แตกตัวเป็นไอออน (อนุภาคที่มีประจุขนาดเล็กจิ๋ว) จากนั้น เร่งความเร็วของไอออนเหล่านั้น ให้ผลักดันออกไปยังด้านหลังของยาน ด้วยความเร็วสูงถึง 20-50 กิโลเมตรต่อวินาที ทำให้ได้แรงผลักดันที่มาก ต่อมวลเชื้อเพลิงขับดันอันน้อยนิด ดังเช่นที่เคยใช้ในยานสำรวจอวกาศดอว์น Dawn, ยานดีพสเปซวัน Deep Space 1, ยานฮายาบูซะ Hayabusa ฯลฯ ซึ่งเครื่องยนต์ Ion Drive มีแรงขับดันที่ค่อนข้างต่ำ อัตราเร่งต่ำ เหมาะกับยานขนาดเล็ก และต้องใช้ระยะเวลาในการเดินทางเป็นเวลานาน (จาก https://m.facebook.com/NARITpage/photos/a.148308931899396/982060195190928/?type=3)
7. ตัวอย่างของการทำยานสำรวจดวงจันทร์ ที่ใช้ระบบ ion drive ก็ได้แก่ ยานสมาร์ต-1 (SMART-1 , Small Mission for Advanced Research and Technology) เป็นยานสำรวจดวงจันทร์ลำแรกของยุโรป มีน้ำหนักเพียง 366 กิโลกรัม ออกเดินทางจากโลกเมื่อปี 2546 และเดินทางถึงดวงจันทร์ปี 2547 ด้วยเส้นทางที่ยาวนาน ใช้วิธีวนรอบโลกหลายรอบ พร้อมกับขยายวงโคจรออกไปเรื่อย ๆ ก่อนจะบ่ายหน้าสู่ดวงจันทร์ ด้วยการใช้เครื่องยนต์ไอออนในการเดินทางในอวกาศจริงเป็นครั้งแรก และการใช้เครื่องยนต์ไอออนร่วมกับแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์ ในการปรับเส้นทางยานเข้าโคจรรอบดวงจันทร์ โดยใช้เวลาโคจรอีกราว 16 เดือน ทำการศึกษาดวงจันทร์ทั้งด้านสัญฐานวิทยา องค์ประกอบของแร่บนพื้นผิว ทั้งย่านความถี่แสงขาว อินฟราเรด และรังสีเอกซ์ ซึ่งภารกิจของสมาร์ต-1 นี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น (จาก http://thaiastro.nectec.or.th/news/2548/)
8. ส่วนที่มีการอ้างอิงว่า โครงการสำรวจดวงจันทร์ของประเทศไทย จะพยายามใช้โมเดลเรื่องงบประมาณคล้ายๆ ของประเทศอินเดียนั้น ล่าสุด อินเดียได้ส่งยานลงจอดและสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ชื่อ "วิกรม” (Vikram) และยานโคจรรอบดวงจันทร์ ชื่อ "จันทรายาน 2" (Chandrayaan-2) ไปเมื่อปี 2562 ซึ่งเกือบทั้งหมดพัฒนาขึ้นเองในอินเดีย และใช้งบประมาณเพียง 140 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 4,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับปฏิบัติการสำรวจดวงจันทร์ของนาซาที่ใช้เงินถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 30 ล้านล้านบาท ในโครงการอะพอลโล (Apollo) (จาก https://mgronline.com/science/detail/9620000086182)
สรุป : แม้จะถูกเก็บเป็นความลับ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะลับไปทำไม) แต่ประเมินศักยภาพและงบประมาณตามที่ผมคาดการณ์ว่าจะเป็นนั้น ก็ฟังขึ้นว่า "เป็นไปได้" ที่คนไทยเราจะพัฒนายานสำรวจขนาดเล็ก หรือดาวเทียม ไปโคจรรอบดวงจันทร์ได้จริงๆ และถ้าทำได้สำเร็จ ก็ถือว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งยิ่งใหญ่ และจะเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับการศึกษาวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีด้านอวกาศของไทย ให้ก้าวหน้ามากขึ้น
ปล. แต่ผมว่าจริงๆ น่าจะผลักดันโครงการ "ส่งนักบินอวกาศไทยคนแรก" ขึ้นไปอวกาศให้ได้นะครับ ใช้งบประมาณก็ไม่มากเกินไป ความร่วมมือกับนานาชาติก็มีอยู่แล้ว และจะได้ผลเรื่องการสร้างไอดอลด้านอวกาศ ให้เป็นแรงบันดาลใจกับเยาวชนของไทยเราต่อไปนะครับ
เทคโนโลยี 20 ปีข้างหน้า 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
6G เทคโนโลยีที่จีนกำลังเริ่มพัฒนา / โดย ลงทุนแมน
ในขณะที่ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยกำลังจะเริ่มมีการใช้ 5G
แต่รู้หรือไม่ว่า ณ ปัจจุบันนี้ จีนได้เริ่มการพัฒนาเทคโนโลยี 6G ไปแล้ว
แล้ว 6G คืออะไร และเราจะได้ใช้เมื่อไหร่
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
เทคโนโลยี 5G คือ เครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ในปัจจุบันมีความเร็วที่ 10 ถึง 20 เท่า
ด้วยความเร็วระดับนี้ เทคโนโลยี 5G จะรองรับการนำไปใช้กับเทคโนโลยีใหม่ๆ
อย่างรถยนต์ไร้คนขับ และ เทคโนโลยีภาพเสมือนจริง ที่จะเหมือนจริงยิ่งกว่าในปัจจุบัน
หากบอกว่า นี่คือเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าแล้ว
คงต้องบอกว่า..
ในอนาคตเรากำลังจะมีเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ล้ำหน้ามากกว่าเดิม
และมีประสิทธิภาพที่รวดเร็วกว่าเดิม
และนั่นคือ เทคโนโลยี 6G
แล้ว 6G คืออะไร?
แม้จะยังอยู่ในช่วงพัฒนา
แต่ก็มีการคาดการณ์กันว่า ความเร็วของ 6G จะเร็วกว่า 5G ถึง 8,000 เท่า
ซึ่งให้ความเร็วได้ถึง 8,000 Gigabit ต่อวินาที
ถ้าให้พูดง่ายๆ คือ
เราจะสามารถดาวน์โหลดภาพยนตร์รวมกันยาว 142 ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 1 วินาทีเท่านั้น…
ซึ่งด้วยความเร็ว ณ ระดับนี้
จึงทำให้มีการคาดการณ์กันว่า เทคโนโลยี 6G จะถูกนำมาใช้กับ อุปกรณ์ที่เราสามารถสั่งงานได้ผ่านสมองของเรา โดยที่เราไม่ต้องพิมพ์ หรือพูดอีกต่อไป
แล้วเราจะได้ใช้ 6G เมื่อไหร่?
มีการคาดการณ์กันว่า เราจะสามารถใช้ 6G ได้ในปี 2030
หรืออีกประมาณ 10 ปีข้างหน้า
อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าเราลองมองย้อนกลับไป
โลกของเราได้สร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาครั้งแรก ในปี 1980
เราเรียกสิ่งนั้นว่า 1G (First Generation)
ยุคระบบสื่อสารแบบแอนะล็อก ซึ่งโทรศัพท์จะมีขนาดใหญ่มาก และมีการใช้เพื่อการโทรเข้าและออกเท่านั้น
ปี 1990
2G (Second Generation) ยุคที่การส่งข้อมูลเปลี่ยนจากแอนะล็อก มาเป็นดิจิทัล ยุคที่คนเริ่มใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ และ ยุคที่โทรศัพท์สามารถใช้ในการรับส่งข้อความตัวอักษร
ปี 2000
3G (Third Generation) ยุคที่เริ่มมีการนำไปใช้กับ Smartphone ยุคที่การติดต่อสื่อสารระหว่างผู้คนสามารถทำได้ง่ายขึ้นและมีข้อจำกัดลดลง เนื่องจาก 3G ช่วยให้มีการส่งผ่านข้อมูลที่รวดเร็วขึ้น และหลากหลายมากขึ้น เช่น ไฟล์วิดีโอ
และ
ปี 2008
4G (Fourth Generation) ยุคที่การรับส่งข้อมูลเพิ่มขึ้นเร็วมากยิ่งขึ้น และมีการใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
จะเห็นได้ว่า จาก 1G มาถึง 6G
โลกของเราได้สร้างการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ไว้มากมาย
ในตอนนั้นเราก็คงไม่คิดมาก่อนว่าเทคโนโลยี
จะนำพาโลกของเรามาถึงจุดนี้
เคยมีคำกล่าวเอาไว้ว่า ทุกสิ่งที่มนุษย์จินตนาการได้ สุดท้ายแล้วมนุษย์จะสามารถสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาได้จริงๆ
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะจินตนาการอะไรอยู่ตอนนี้
ในที่สุด มันก็น่าจะกลายเป็นจริงในที่สุด
รวมไปถึงเทคโนโลยีที่เรียกว่า 6G..
┏━━━━━━━━━━━━┓
Blockdit โซเชียลมีเดีย รูปแบบใหม่
Blockdit.com/download
┗━━━━━━━━━━━━┛
References
-https://www.nextgov.com/…/china-said-its-developing…/161225/
-https://www.cnbc.com/…/china-starts-6g-development-having-j…
-https://thenewdaily.com.au/…/tech/2019/08/22/huawei-6g-res…/