ข้อสังเกตเกี่ยวกับการกำหนดกรอบเวลาเลือกตั้ง ๑๕๐ วันรวมไปถึงการประกาศผลเลือกตั้งหรือไม่ และ คสช.จะพ้นไปจากระบบการเมืองไทยเมื่อไหร่
(คัดลอกข้อความมาจาก เปลว สีเงิน
“รู้กฎกติกาก่อนเลือก ๒๔ มีนา” 24 มกราคม พ.ศ. 2562 เวลา 00:01 น.https://www.thaipost.net/main/detail/27376)
ราชกิจจานุเบกษาประกาศ พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.(๒๓ ม.ค.๖๒)
วันที่ ๔-๕ ก.พ. รับสมัคร ส.ส.
วันที่ ๘ ก.พ.ประกาศรายชื่อ "ว่าที่นายกฯ" แต่ละพรรค
๑๕ ก.พ.ประกาศรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.
๒๔ มี.ค.เลือกตั้ง ส.ส.
โดย ๔-๑๖ มี.ค. ลงคะแนนนอกราชอาณาจักร
๑๗ มี.ค. ลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าในและนอกเขตจังหวัด รวมถึงการออกเสียงเลือกตั้งในสถานเลือกตั้งกลางของผู้ทุพพลภาพ และผู้สูงอายุ
กำหนดวันเลือกตั้งนี้ กกต.ส่งให้รัฐบาล เพื่อนำประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไปแล้ว
รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๐๓ วรรค ๓ บอกว่า....
"ภายในห้าวัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาตามวรรคหนึ่งใช้บังคับ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวัน แต่ไม่เกินหกสิบวัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวใช้บังคับ"
พระราชกฤษฎีกา มีผลใช้บังคับตั้งแต่หลังสองยาม เมื่อย่างเข้าวันที่ ๒๓ ม.ค. ๖๒
ฉะนั้น ภายใน ๕ วัน......
๒๓-๒๗ ม.ค.วันใด-วันหนึ่ง กกต.ต้องประกาศ "กำหนดวันเลือกตั้ง" ในราชกิจจานุเบกษา
กกต.ก็ประกาศแล้ว คือ ๒๔ มี.ค."วันเลือกตั้ง"
จะน้อยกว่า ๔๕ วัน หรือไม่เกิน ๖๐ วัน นับแต่วันพระราชกฤษฎีกาใช้บังคับ ก็นับกันเอง!?
กกต.กำหนด ๔-๘ ก.พ.เปิดรับสมัคร ส.ส.
ก็ไปดูมาตรา ๘๘ ที่บอกว่า
"......ให้พรรคการเมืองที่จะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแจ้งรายชื่อบุคคลซึ่งพรรคการเมืองนั้นมีมติว่าจะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีไม่เกินสามรายชื่อต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนปิดการรับสมัครรับเลือกตั้ง และให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศรายชื่อบุคคลดังกล่าวให้ประชาชนทราบ..." หมายความว่า ๘ ก.พ.ปิดรับสมัคร ส.ส.ปุ๊บ ก็จะรู้ว่า แต่ละพรรค "เสนอชื่อใคร" เป็นนายกรัฐมนตรี?
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา.....
นายกฯ ปัจจุบัน จะรับเทียบเชิญพรรคพลังประชารัฐ ยอมให้เสนอชื่อเป็นว่าที่นายกฯ ของพรรคต่อกกต.หรือไม่?
และพรรคอื่นๆ เช่น พรรคตระกูลเพื่อ... (แตกหน่อเพียบ เช่น ทษช. เพื่อไทย เพื่อขาติเป็นต้น) ประชาธิปัตย์ รวมพลังประชาชาติไทย ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา ฯลฯ
แต่ละพรรค จะส่งใคร รู้กันวันนั้นแหละ!
โดยเฉพาะกลุ่มตระกูลเพื่อ.... หลายปลอกคอ แต่รวมโซ่กระตุกในเส้นเดียว เขาจะเชิดใครขึ้นแต่ละหัวบ้าง
เห็นจ้องกันตาโบ๋!
ผมว่า "ว่าที่นายกฯ" นี่แหละ
จะเป็นตัวชี้เป็น-ชี้ตายในวันเลือกตั้ง ๒๔ มีนาว่า พรรคไหน-ขั้วไหน จะชนะเป็นนายกฯ-เป็นรัฐบาล โดยไม่ต้องไปรอลุ้นผลตอนนั้น
คอยดูเถอะ.......
ชื่อนายกฯ ประยุทธ์ จะมีหรือไม่มี ในบัญชีนายกฯ ของพรรคการเมืองหรือไม่
ซึ่งการเลือกตั้งครั้งประชาชนได้ลุ้น-ได้มันจากเลือกตั้งเที่ยวนี้ ถึง ๒ ขยัก
ขยักแรก ลุ้น "ว่าที่นายกฯ" แต่ละพรรค วันที่ ๘ กุมภา
ขยักที่สอง ลุ้นผลเลือกตั้ง ส.ส. หลังปิดหีบวันที่ ๒๔ มีนา!
ข้อสังเกตเกี่ยวกับการกำหนดกรอบเวลาเลือกตั้ง ๑๕๐ วันรวมไปถึงการประกาศผลเลือกตั้งหรือไม่
เปลวสีเงิน อธิบายว่า กรอบเวลาเลือกตั้งทั้งหมดมี ๑๕๐ วัน คือ ๕ เดือน นับจากวันที่กฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้ง ๔ ฉบับประกาศใช้เมื่อ ๑๑ ธันวา ๖๑ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๘ จะไปครบ ๑๕๐ วัน ก็ตกวันที่ ๙ พฤษภาคม ๖๒ คือ ภายใน ๑๕๐ วัน นี้จะกำหนดให้เลือกตั้งวันไหนได้ทั้งนั้น จะ ๘ พฤษภาก็ยังได้เลย!
๑๕๐ วัน ไม่เกี่ยวกับการ "ประกาศผลเลือกตั้ง" ซึ่ง ๑๕๐ วัน เป็นกรอบกำหนดเฉพาะวันเลือกตั้ง ตามมาตรา ๒๖๘ ไม่เกี่ยวกับประกาศผลเลือกตั้ง ว่าต้องอยู่ภายใต้กรอบ ๑๕๐ วันนั้นด้วย
ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๘๕ วรรคสี่ ระบุไว้ว่า........
"ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการเลือกตั้งเมื่อตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว มีเหตุอันควรเชื่อว่าผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และมีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบห้าของเขตเลือกตั้งทั้งหมด ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องตรวจสอบเบื้องต้นและประกาศผลการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แต่ต้องไม่ช้ากว่าหกสิบวันนับแต่วันเลือกตั้ง.........."
ดังนั้น เลือกตั้ง ๒๔ มีนาแล้ว กกต.ยังมีเวลาอีก ๖๐ วัน ถึง ๒๔ พ.ค.โน่น จะประกาศผลเลือกตั้ง ส.ส.ตอนไหนก็ได้ ถ้า กกต.จะ "เอาไวที่สุดในปฐพี"เลือกตั้ง ๒๔ มีนาเสร็จปุ๊บ ประกาศผลภายใน ๙ พฤษภาของกรอบเลือกตั้ง ๑๕๐ วัน ก็เอาเลย!
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พ้นไปหลังจากมีการเลือกตั้งแล้วหรือไม่
ประกาศผลเลือกตั้งแล้ว จะเปิดสภากันตอนไหน-เมื่อไหร่ล่ะ? มาตรา ๑๒๑ บอกว่า
"ภายในสิบห้าวันนับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป ให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก"
และมาตรา ๑๒๒ บอกว่า
"พระมหากษัตริย์ทรงเรียกประชุมรัฐสภา ทรงเปิดและทรงปิดประชุม......"
สรุป คือ ประกาศผลเลือกตั้งแล้ว นับจากนั้นไป ภายใน ๑๕ วัน เปิดประชุมรัฐสภา คือทั้ง ส.ส.-ส.ว.เป็นนัดปฐมฤกษ์
จากนั้น ก็เข้าสู่ขั้นตอน เลือกประธานสภา เลือกนายกฯ เพื่อให้นายกฯ ไปตั้งรัฐบาล
ก็ตกราวๆ มิถุนาโน่นแหละ!
ประเด็นควรจะทราบ การเลือกนายกฯ ครั้งนี้ ใช้บทเฉพาะกาล มาตรา ๒๗๒ วรรคแรก ที่บอกว่า
"ในระหว่างห้าปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการตามมาตรา ๑๕๙ เว้นแต่การพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙ วรรคหนึ่ง ให้กระทำร่วมกันในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๕๙ วรรคสาม ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา"
ส.ส.มี ๕๐๐ คน ส.ว.มี ๒๕๐ คน รวม ๗๕๐ คน
"กึ่งหนึ่ง" ของทั้งสองสภา เท่ากับ ๓๗๕ คน
ก็หมายความว่า.......
ใครจะเป็นนายกฯ ต้องได้เสียง "ส.ส-ส.ว." รวมกัน ตั้งแต่ ๓๗๖ คนขึ้นไป!
สุดท้ายที่ควรทราบ ที่สงสัยกัน เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จะต้องเป็น "รัฐบาลรักษาการ" ใช่หรือไม่?
ปกติใช่ แต่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ คสช.และ สนช. ยังเหมือนเดิมทุกประการ จนกว่ามีรัฐบาลใหม่มาแตะมือ
เป็นรัฐบาลมีอำนาจเต็ม ทำงานทางนโยบายได้ปกติ คสช.-สนช.ก็ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเหมือนเดิม
ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๔ ที่บอก
"ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่........"
และมาตรา ๒๖๕
"ให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ยังคงอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่......"
สรุป คสช.พ้นไปจากระบบการเมืองไทย ในราวเดือน มิถุนายน แต่เชื้ออำนาจแห่งอำนาจ คสช.ก็ยังคงมีอยู่ กลายพันธุ์มาเป็น ส.ว. 250 คน ใน 5 ปี แรก
เปลวสีเงิน 在 sittikorn saksang Facebook 的最讚貼文
"เดียวดายอยู่ปลายโลกร้าง"
โดย เปลว สีเงิน Thursday, 20 February, 2014 - 00:00 ไทยโพสต์
เอาข้อความตอนหนึ่งที่เขียนโดย เปลวสีเงิน ในไทยโพสต์มาให้อ่านวอเคราะห์ในแง่ข้อกฎหมาย กับการสลายชุมนุมภายใต้ พรก. ว่าด้วยการบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ดังนี้
"ระบอบทักษิณ เป็นศูนย์รวมนักกฎหมายฟอกโจรใช่มั้ย ก็คงมีคนเสี้ยมสอนให้เถียงหรอกว่า...จ้างก็ไม่ผิด เพราะกระทำภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ๒๕๔๘ มาตรา ๑๗ คุ้มครอง
เอ้า...งั้นมาดู มาตรา ๑๗ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกันหน่อย ม.๑๗ บอกว่า...
"พนักงานเจ้าหน้าที่และผู้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชกำหนดนี้ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญา หรือทางวินัย เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย หากเป็นการกระทำที่สุจริต ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือไม่เกินกว่ากรณีจำเป็น แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่"
แต่จำกันได้มั้ย เมื่อ ๓๑ ม.ค.๕๗ ศาลแพ่งมีคำสั่งคุ้มครอง โดยห้ามชั่วคราวไว้แล้วตามคำร้องนายถาวร เสนเนียม ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยศาลสั่งขั้นต้นว่า
"ก่อนมีคำพิพากษา มิให้จำเลยทั้ง ๓ คือ ยิ่งลักษณ์-เฉลิม-อดุลย์ กระทำการให้ประชาชนได้รับความเสียหาย"
แล้ววานซืน ๑๘ ก.พ. ทั้ง ๓ ก็ฝ่าฝืนคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่ง โดย ศรส.สั่งให้ตำรวจฆ่าประชาชนเป็นผักปลา
ไม่รู้จะยับยั้งการฆ่าผู้ชุมนุมได้ทางไหน ตอนบ่าย ๑๘ ก.พ.นั้น นายถาวรจำต้องไปร้องขอให้ศาลแพ่งไต่สวนและเรียกจำเลยมาสั่งห้ามมิให้กระทำอีก
ทั้งขอให้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในวันนั้นเลย แทนที่จะเป็นวันที่ ๑๙ ก.พ.ตามนัดหมายเดิม
แล้ว ๑๘ ก.พ.ศาลก็มีคำสั่งว่า...ก็ได้สั่งห้ามชั่วคราวไว้แล้ว ตั้งแต่ ๓๑ ม.ค.!
นั่นก็หมายความว่า การสลายชุมนุม ๑๘ ก.พ.จำเลยทั้ง ๓ ละเมิดคำสั่งศาล เลือกปฏิบัติ แถมไม่สุจริต เป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ-เกินกว่าความจำเป็น
ต้องรับผิดตามมาตรา ๑๗ ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งอาญาและแพ่ง โทษคุก ๑-๑๐ ปี สูงสุดประหารชีวิต ไม่เพียง ๓ จำเลย รวมถึงนายตำรวจที่สั่งการ และตำรวจที่ลงมือวันนั้นด้วย
กฎหมายไม่คุ้มครอง เพราะละเมิดคำสั่งศาล เตรียมตัว "ร้อยพวง" ขึ้นศาลในฐานะจำเลยกันไว้เหอะ!
สำหรับคำพิพากษาศาลแพ่งกรณี พ.ร.ก.ฉุกเฉินเมื่อวาน (๑๙ ก.พ.) สรุปชัดๆ ศาลไม่เพิกถอนประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่เพิกถอนประกาศมาตรการและข้อกำหนดต่างๆ รวมทั้งห้ามสลายชุมนุม
พูดง่ายๆ ศาลไม่ห้ามรัฐบาลมีปืน แต่ริบลูกปืน และห้ามมี!
เรื่องกฎหมาย จะให้ชัดเจนต้องฟังนักกฎหมายพูด ดังนั้น วันนี้ขออนุญาตนำที่ท่านชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา เขียนใน fb มาเผยแพร่เป็นวิทยาทาน
"Chuchart Srisaeng"
คำพิพากษาของศาลแพ่งคดีที่นายถาวร เสนเนียม เป็นโจทก์ฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับพวก เป็นจำเลย นั้น บอกให้ทราบเพื่อความเข้าใจกันว่า โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง
ไม่ได้ขอให้เพิกถอน พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548
-ตามรัฐธรรมนูญ ศาลไม่มีอำนาจเพิกถอนพระราชกำหนดและพระราชบัญญัติ
-การเพิกถอนหรือยกเลิกพระราชกำหนดและพระราชบัญญัติเป็นอำนาจของรัฐสภา
-คำพิพากษาของศาลแพ่งระบุว่า นอกจากมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยแล้ว ให้มีผลผูกพันถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้มีหน้าที่ในการปฏิบัติและประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมกับโจทก์ด้วย
โดยศาลแพ่งห้ามให้จำเลยทั้งสามคือ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ 1 ร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง ที่ 2 พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ 3 ดังต่อไปนี้
ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม นำประกาศตามเอกสารหมาย จ.1 มาใช้บังคับเพื่อการออกประกาศ และข้อกำหนดตามเอกสารหมาย จ.4 และ จ.6
และให้ข้อบังคับตามประกาศและข้อกำหนดดังกล่าว ไม่มีผลบังคับต่อโจทก์และประชาชน นับแต่วันลงในประกาศและข้อกำหนด รวมทั้งห้ามมิให้จำเลยทั้งสามกระทำการดังต่อไปนี้
1.ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม ใช้หรือสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ ให้ใช้กำลังหรืออาวุธเข้าสลายการชุมนุมของโจทก์ และประชาชนที่ได้ชุมนุมกันโดยสงบ และปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 63 วรรคหนึ่ง
2.ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม มีคำสั่งยึดหรืออายัดสินค้าเครื่องอุปโภคบริโภค เคมีภัณฑ์หรือวัตถุอื่นใดที่ได้ใช้ หรือจะใช้สิ่งนั้นเพื่อการกระทำการ หรือสนับสนุนการชุมนุมของโจทก์และประชาชน
3.ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม ออกคำสั่งตรวจค้นหรือถอน หรือทำลายซึ่งอาคาร สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งกีดขวางของโจทก์และประชาชน
4.ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม สั่งการห้ามการซื้อ ขาย ใช้ หรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งสินค้า เวชภัณฑ์ เครื่องอุปโภค บริโภค เคมีภัณฑ์ หรือวัสดุอุปกรณ์ อย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งอาจใช้ในการชุมนุมของโจทก์และประชาชน
5.ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม สั่งการห้ามกระทำการอย่างใดๆ ที่เป็นการปิดการจราจร ปิดเส้นทางคมนาคม หรือกระทำการอื่นใด ที่ทำให้ไม่อาจใช้เส้นทางคมนาคมได้ตามปกติ ในทุกเขตพื้นที่ที่โจทก์และประชาชนใช้ในการชุมนุม
6.ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม ประกาศกำหนดพื้นที่ที่ห้ามมีการชุมนุมของโจทก์และประชาชน ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
7.ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม สั่งการห้ามการใช้เส้นทางคมนาคม หรือการใช้ยานพาหนะ หรือกำหนดเงื่อนไขในการใช้เส้นทางคมนาคม หรือการใช้ยานพาหนะของโจทก์และประชาชนในการชุมนุม
8.ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม ห้ามโจทก์และประชาชนใช้อาคารหรือเข้าไป หรืออยู่ในสถานที่ หรือห้ามเข้าไปในพื้นที่ใดๆ
9.ห้ามมิให้จำเลยทั้งสาม สั่งให้อพยพโจทก์และประชาชนออกจากพื้นที่การชุมนุม และห้ามมิให้ออกคำสั่งห้ามโจทก์และประชาชนเข้าไปในพื้นที่ชุมนุม
-ถ้ากล่าวโดยสรุปก็คือ ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง จำเลยทั้งสามไม่อาจใช้ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินมาใช้ เพื่อห้ามมิให้โจทก์และประชาชนทำการชุมนุมกันต่อไป
-ผู้เข้าร่วมชุมนุมทุกคนไม่มีความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฯ อีกต่อไป
-ผู้ที่ถูกศาลอาญาออกหมายจับในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฯ ก็ไปขอให้ศาลเพิกถอนหมายจับได้
จบที่ท่านชูชาติเขียนไว้ ต้องบอกว่า คำพิพากษาศาลแพ่งคดีนี้ "คมกริบ" แยกแยะเขตแดนอำนาจ "ศาล-บริหาร-รัฐสภา" ไว้เป็นมาตรฐานปฏิบัติได้เลย
ป.ล. ...คนอ่านกฎหมายรู้-ดูกฎหมายเป็นอย่างเหลิม รีบบอกยิ่งลักษณ์ "เก็บหีบ" หนีด่วน ตัวเองก็...ด้วย
ทิ้งไอ้ริตไว้ให้มันแดกแบล็กเมาบ้าไปคนเดียวเหอะ!"
เปลวสีเงิน 在 sittikorn saksang Facebook 的精選貼文
ปตท. ในสายตา เปลวสีเงิน (รวมทั้งในสายตาผม) ใน ไทยโพสน์ออนไลส์ วันที่ 2 สิงหาคม 2556 กล่าวว่า
"วันนี้ ท่อส่งน้ำมันของ PTTGC อันเป็นบริษัทลูกปตท.รั่วในทะเล ห่างจากฝั่งท่าเรือมาบตาพุด ระยอง ประมาณ ๒๐ กม.ทำให้น้ำมันดิบกว่า ๗ หมื่นลิตรทะลักแล้วกระจายคราบไปทั่ว จนถึงชายหาดอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด
ก็เห็นและรู้กันอยู่แล้ว จากข่าว-ภาพ "ทะเลสีดำ" ด้วยคราบน้ำมัน ที่แพร่หลายไปทั่วโลก คงไม่มีใครปฏิเสธว่า สิ่งนั้น เป็นตัวทำลายการท่องเที่ยวเรา "พัง" ในพริบตา!
อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครว่า แต่การขาดความเอาใจใส่ และความจริงใจด้วยรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนี่ซี สมควรแล้วที่กระทรวงพลังงาน และ ปตท.รวมถึง พีทีที โกลบอล เคมิคอล ถูกตำหนิ ถูกด่าว่า
อย่าถือว่ามีประกัน ใครเสียหายเท่าไหร่ ปตท.ก็มีเงินฟาดหัว เงินมันก็แค่ทุเลาความเสียหายเฉพาะคน แต่มันไม่สามารถซื้อทัศนคติที่ดี ซื้อภาพลักษณ์จากการเที่ยวทะเลอ่าวไทยที่หายไป จากผู้ต้องการมาเที่ยวได้
เพราะอะไรน่ะหรือ....เอาเท่าที่ผมตามสังเกต เหตุเกิดแต่เสาร์ ๒๗ กค.๕๖ แต่ผู้บริหารทั้ง ปตท. และทั้ง PTTGC ตีค่าเหมือนท่อน้ำในบ้านแตก ฟังรายงานแล้ว ก็ไม่มีทั้งจิตประเมิน ทั้งความรับผิดชอบ และที่สำคัญ
ไม่มีความจริงใจ "สำนึกในผิด" กับสังคม!
ปล่อยให้ระดับเจ้าหน้าที่ว่ากันไปร่วมสองวัน ตัวรัฐมนตรีพลังงานเอง "นายเพ้ง" หรือนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ในฐานะผู้รับผิดชอบสูงสุด ก็มีปฏิกิริยาสนองตอบเรื่องนี้ ด้วยทีท่าหยิ่งยโส คล้ายเล็กน้อย
"เอาอยู่ วันนี้-พรุ่งนี้ก็เสร็จ พวกนักข่าวอย่าไปทำเรื่องเล็กให้มันเป็นเรื่องใหญ่" ประมาณนั้น แล้ว ๒-๓ วันก็เอาไม่อยู่ ต้องขอกำลังทหารเรือ และใครต่อใครมาช่วยมาช่วย
ตรงนี้แสดงให้เห็นว่า ปตท.ซึ่งมีทุกอย่างพร้อม แต่กลับไม่มีหน่วยรับมืออุบัติเหตุจากท่อน้ำมันรั่วเลย ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้สำหรับธุรกิจองค์กรใหญ่ระดับโลกอย่างปตท.!
นั่นก็พอทน ที่ชาวบ้าน โดยเฉพาะชาวระยอง "รับไม่ได้" ก็คือ ผู้บริหาร ปตท. และ PTTGC ไม่แสดงความรับผิดชอบอะไรเลยแต่แรก นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ซีอีโอ ปตท.เพิ่งออกมาแถลงขอโทษ และแสดงความเสียใจ เมื่อมันบานปลายมาเป็นวันที่ ๕ ที่ ๖
มันไม่สายไปหน่อยหรือ ปตท.เกิดจากเงินชาวบ้าน อีกทั้งธุรกิจที่ทำ ร่ำรวยจากทรัพยากรแผ่นดินอันประชาชนทุกคนร่วมเจ้าของ ฉะนั้น ตราบที่ใหญ่อยู่บนสมบัติประชาชน ปตท.ในฐานะรัฐวิสาหกิจ นายไพรินทร์ต้องให้เกียรติ และแคร์ความรู้สึกประชาชนให้มากไว้
ถ้าไม่รู้ ก็ควรศึกษาจากแนวทางซีอีโอคนเก่าๆ เช่นจากนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ เป็นต้น ในด้านผูกพันและสร้างภาพลักษณ์องค์กร "ด้วยการกระทำ" ที่จริงใจ ให้เป็นที่รักของสังคมชน
ปตท.วันนี้ กำลังเป็นองค์การที่ประชาชนเกลียดชัง หวาดระแวง ส่วนหนึ่งมาจากการเมืองระบอบทักษิณที่เข้าไปไชแทะ และอีกส่วน มาจากผู้บริหารใหญ่โต เย่อหยิ่ง จนมองไม่เห็นหัวประชาชนผู้เป็นเจ้าของตัวจริง
ที่ถูก-ที่ควร นายไพรินทร์ ในฐานะซีอีโอใหญ่ กับผู้บริหาร PTTGC ต้องตั้งโต๊ะชี้แจงเหตุที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันเสาร์ หรือวันอาทิตย์นั่นแล้ว พร้อมทั้งแสดงความเสียใจและขอโทษประชาชน โดยเฉพาะชาวระยอง และต้องออกแถลงสรุปผลคืบหน้าให้ประชาชนทราบทุกวัน
ต้องลงพื้นที่ ร่วมทุกข์-ร่วมปัญหาเก็บกวาดคราบน้ำมัน เผชิญหน้ากับชาวบ้านที่นั่น ถ้าทำอย่างนี้แต่แรกๆ การแสดงความจริงใจนั้น จะแปลงความไม่พอใจชาวบ้าน เป็นความเห็นใจ-เข้าใจทันที!
ก็เป็นบทเรียน ผมเชื่อ "รั่วครั้งนี้" จะไม่เป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้น ผู้บริหาร ปตท.ต้องปรับทัศนคติ ตั้งหน่วยฝึกบุคลากรให้พร้อม และที่สำคัญคือ CEO นั้น
"ตาดูดาวแล้ว เท้าต้องติดดิน" ด้วย!.