รู้จัก G7 ขั้วมหาอำนาจโลก ที่กำลัง แลกหมัดกับจีน /โดย ลงทุนแมน
1,228 ล้านล้านบาท คือ GDP ในปีที่ผ่านมา ของ 7 ประเทศ ในกลุ่ม G7 รวมกัน
2,620 ล้านล้านบาท คือ GDP ในปีที่ผ่านมา ของทุกประเทศในโลกรวมกัน
เท่ากับว่าขนาดเศรษฐกิจของเพียงแค่ 7 ประเทศในกลุ่มนี้
คิดเป็น “เกือบครึ่ง” ของขนาดเศรษฐกิจโลกในปีที่ผ่านมา
ทั้ง ๆ ที่มีประชากรรวมกันแค่ประมาณ 773 ล้านคน หรือประมาณ 10% ของประชากรโลกเท่านั้น
กลุ่ม G7 มีประเทศอะไรบ้าง เกิดขึ้นมาอย่างไร
แล้วทำไมถึงบอกว่ากำลังแลกหมัดกับจีน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
แคนาดา
ฝรั่งเศส
เยอรมนี
อิตาลี
ญี่ปุ่น
สหราชอาณาจักร
สหรัฐอเมริกา
นี่คือรายชื่อ 7 ประเทศ ที่รวมตัวกันเป็น “Group of Seven” หรือที่เรียกกันสั้น ๆ ว่า กลุ่ม G7
ซึ่งถ้าเราลองไปเปิดดูตัวเลข GDP ของแต่ละประเทศ ทั้ง 7 รายชื่อนี้ จะอยู่ใน Top 10 ของประเทศที่ GDP มากสุดในโลก
และถ้าเอา GDP ของ 7 ประเทศมาบวกรวมกัน
ก็จะคิดเป็น 47% ของขนาดเศรษฐกิจโลก
นอกจากจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กันทุกประเทศแล้ว
รายได้เฉลี่ยต่อหัวประชากรในประเทศเหล่านี้
ก็ล้วนแล้วแต่อยู่แนวหน้าของโลกทั้งสิ้น
พูดง่าย ๆ ว่า นี่คือสมาคมประเทศร่ำรวย อย่างแท้จริง..
แล้วประเทศเหล่านี้ มารวมตัวกันได้อย่างไร ?
จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งกลุ่มนี้อย่างเป็นทางการ ต้องย้อนกลับไปในช่วงปี 1973
ช่วงนั้นมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น นั่นคือ วิกฤติการณ์น้ำมัน หรือ “Oil Shock”
สรุปเหตุการณ์แบบคร่าว ๆ ก็คือ สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ไปมีปัญหากับกลุ่ม OPEC ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ของโลก
ปัญหาที่ว่าก็คือ 4 ประเทศนี้ ไปสนับสนุนอิสราเอล ที่กำลังทำสงครามกับกลุ่มชาติอาหรับ ที่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นสมาชิกกลุ่ม OPEC
พอเรื่องเป็นแบบนี้ กลุ่ม OPEC จึงระงับการส่งออกน้ำมันไปยังประเทศที่สนับสนุนอิสราเอล ทำให้ประเทศเหล่านี้เจอวิกฤติขาดแคลนน้ำมัน และราคาน้ำมันพุ่งสูงหลายเท่าตัวในช่วงเวลาไม่นาน ซึ่งทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศ ไปจนถึงระดับทวีป และระดับโลก เป็นปัญหาลูกโซ่ตามมา
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่เริ่มลุกลามเป็นวงกว้างไปในระดับโลก
ทำให้ 6 ประเทศมหาอำนาจในตอนนั้น
ซึ่งประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี (สมัยนั้นยังเป็น เยอรมนีตะวันตก), ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น และอิตาลี
จัดการประชุมร่วมกันอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในปี 1975
เพื่อหาทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกไปข้างหน้า
และตกลงกันว่า “เราจะมาร่วมหารือกันแบบนี้ทุก ๆ ปีต่อจากนี้”
อีกหนึ่งปีต่อมา มีอีกชาติมหาอำนาจเข้าร่วมกลุ่ม นั่นก็คือ แคนาดา
เป็นอันสรุปว่า Group of Seven หรือ G7 ครบองค์ประชุมตั้งแต่ปี 1976 เป็นต้นมา..
ในช่วงแรก ตัวแทนของแต่ละประเทศที่เข้าร่วมประชุม ยังเป็นเพียงแค่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
แต่หลัง ๆ มาเรื่องที่ประชุมกันแต่ละปี ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น
ยังรวมไปถึงเรื่องความมั่นคงทางการทหาร, โรคระบาด, สุขอนามัย, การศึกษา ไปจนถึงปัญหาความยากจน และเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นระดับโลกในแต่ละปี
ทำให้ต่อมา ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำประเทศ จะเป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุม
โดยในแต่ละปี กลุ่ม G7 ก็มักจะเชิญหลายประเทศนอกกลุ่ม และตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศอย่าง EU, World Bank และ IMF ให้มาเข้าร่วมการประชุม ตามวาระที่สำคัญของช่วงเวลานั้น
เช่น ในปี 2008 มีการเชิญตัวแทนประเทศในเอเชียอย่าง เกาหลีใต้และอินโดนีเซีย ให้เข้าร่วม เพื่อแลกเปลี่ยนสถานการณ์เศรษฐกิจในเอเชีย
หรือในปี 2011 ที่มีการเชิญหลายประเทศในทวีปแอฟริกาอย่าง กินี, ไนเจอร์, โกตดิวัวร์ และตูนิเซีย ให้มาร่วมพูดคุยเรื่องปัญหาความยากจนในแอฟริกา
และล่าสุด การประชุม G7 ในปีนี้ ก็เพิ่งจัดขึ้นเมื่อ 11 มิถุนายน ที่ผ่านมาที่สหราชอาณาจักร
โดยสมาชิกในกลุ่มก็มีข้อตกลงร่วมกันในหลายเรื่อง อย่างเช่น
- ตกลงจะร่วมกันมอบวัคซีนอย่างน้อย 1,000 ล้านโดส ให้ประเทศรายได้ต่ำที่ต้องการวัคซีนเร่งด่วน
- เริ่มต้นผลักดันประเทศในกลุ่มและนอกกลุ่ม ให้มีการเก็บภาษีขั้นต่ำ 15% กับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เพื่อยุติปัญหาการหลบเลี่ยงภาษีผ่านการนำบริษัทไปจดทะเบียนในประเทศที่เก็บภาษีอัตราต่ำ
แต่เรื่องที่เป็นไฮไลต์สุดของการประชุมครั้งนี้
คือการเปิดตัวโครงการ “Build Back Better World” หรือ B3W
โครงการที่สหรัฐอเมริกาและพันธมิตรในกลุ่ม G7 ใช้เป็นคำประกาศกร้าวว่า
จะไม่ยอมให้คู่แข่งคนสำคัญอย่าง “จีน”
ก้าวขึ้นมามีอิทธิพล หรือก้าวมาเป็นอีกขั้วมหาอำนาจโลกได้ง่าย ๆ
ก่อนหน้านี้เราได้ยินกันมาตลอด ว่าจีนมีโครงการ “Belt and Road Initiative” หรือ BRI
ซึ่งเป็นเหมือนการขยายอิทธิพลและสร้างพันธมิตรผ่านการไปร่วมลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศต่าง ๆ ตามเส้นทางสายไหมที่เคยรุ่งเรืองในอดีต จากตะวันออกของโลกคือจีน ไปสู่ฟากโลกตะวันตก
ส่วนโครงการ B3W ของสหรัฐอเมริกาและพันธมิตร G7 ก็จะเน้นเข้าไปมีส่วนร่วมและสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐานในกลุ่มประเทศรายได้น้อยถึงรายได้ปานกลาง ตั้งแต่ตะวันตก ลากยาวไปตะวันออก
และ G7 เคลมว่า B3W ของพวกเขา พิเศษกว่า BRI ของจีน
เพราะของที่สร้างโดยการสนับสนุนของ G7 จะมีคุณภาพกว่า
มีกระบวนการสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกว่า
ไม่มีทุจริตคอร์รัปชัน สนับสนุนภาคเอกชนให้มีส่วนร่วม
ไม่มีเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน สนับสนุนความเท่าเทียม และที่สำคัญคือสนับสนุนโดยกลุ่มนิยมประชาธิปไตย อย่าง G7..
ขณะที่โฆษกสถานทูตจีนประจำกรุงลอนดอน
ก็โต้กลับมติประชุมของกลุ่ม G7 ทันทีว่า
ให้เลิกกล่าวอ้าง กล่าวหาจีนในเรื่องต่าง ๆ เสียที
และยังโต้กลับในทำนองที่ว่า “มันหมดยุคที่โลกถูกนำโดยบางกลุ่มประเทศไปแล้ว”
จะเห็นว่า 2 ขั้วอำนาจโลกในตอนนี้ กำลังปล่อยหมัดหนักแลกใส่กันไปมา อย่างไม่มีใครยอมใคร
เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายครองอำนาจโลกแต่เพียงผู้เดียวได้โดยง่าย
ฝ่ายหนึ่งคือกลุ่มมหาอำนาจโลกเดิมอย่าง G7
ที่ยังคงมีความสำคัญมากกับทั้งโลก ไม่ว่าจะเรื่องเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และขนบธรรมเนียมโลกแบบเดิมที่ทั่วโลกคุ้นชินมาหลายทศวรรษ
ส่วนอีกฝ่ายคือจีน ที่เป็นประเทศคู่ค้าของหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศในกลุ่ม G7 เอง และขนาดเศรษฐกิจของจีนกำลังจะขึ้นแท่นเบอร์ 1 ของโลกแซงหน้าสหรัฐอเมริกาในเร็ว ๆ นี้
ในขณะเดียวกันจีนก็กำลังเดินหน้าท้าชิงความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม
และเดินหน้าสร้างพันธมิตร สร้างอิทธิพลตามแผนที่วางไว้
ปิดท้ายด้วยเรื่องที่น่าสนใจ
ในอดีต G7 เคยขยายเป็น G8 โดยอีกประเทศที่เพิ่มเข้ามาคือ รัสเซีย ที่เข้าร่วมตั้งแต่ปี 1997
แต่หลังจากที่รัสเซียทำการผนวกไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ในปี 2014
ก็ทำให้ประเทศสมาชิกที่เหลือไม่พอใจ และไม่เชิญรัสเซียเข้าร่วมการประชุมอีกเลย..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://statisticstimes.com/economy/projected-world-gdp-ranking.php
-https://www.g7uk.org/what-is-the-g7/
-https://en.wikipedia.org/wiki/1973_oil_crisis
-https://www.blockdit.com/posts/60c89d166ea44e0c5adf9455
-https://thestandard.co/g7-summit-summary/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Group_of_Seven
-https://www.whitehouse.gov/briefing-room/statements-releases/2021/06/12/fact-sheet-president-biden-and-g7-leaders-launch-build-back-better-world-b3w-partnership/
-https://www.ndtv.com/world-news/small-groups-dont-rule-the-world-china-cautions-g7-2462751
「เยอรมนีตะวันตก」的推薦目錄:
- 關於เยอรมนีตะวันตก 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
- 關於เยอรมนีตะวันตก 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於เยอรมนีตะวันตก 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於เยอรมนีตะวันตก 在 รวมประเทศเยอรมนี พังกำแพงเบอร์ลิน สร้างความเท่าเทียมทั่วประเทศ 的評價
- 關於เยอรมนีตะวันตก 在 รัสเซียเตือน!ตอบโต้ตะวันตก เยอรมนีห้ามใช้อาวุธตะวันตกโจมตี 的評價
- 關於เยอรมนีตะวันตก 在 ผู้นำเยอรมนีปราม สงครามประมูลอาวุธยูเครน เรียกร้องชาติตะวันตกอย่า ... 的評價
- 關於เยอรมนีตะวันตก 在 เยอรมนีรับ ยุโรป-ตะวันตก ส่งรถถังยูเครนไม่ได้ ให้ที่พังแล้วได้ แต่หลัง ... 的評價
- 關於เยอรมนีตะวันตก 在 ข่าวโมโน - #วันนี้ในอดีต 3 ตุลาคม พ.ศ. 2533 เยอรมนีตะวันออก ... 的評價
เยอรมนีตะวันตก 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
ทำไม เยอรมนี จึงเป็นประเทศแห่ง รถยนต์? ตอนที่ 2 /โดย ลงทุนแมน
Mercedes-Benz, Porsche, BMW, Audi
รู้หรือไม่ว่า แบรนด์รถยนต์เยอรมัน 4 แบรนด์นี้ที่หลายคนใฝ่ฝัน
มีจุดเริ่มต้นอยู่บนเส้นทางเดียวกัน
Mercedes-Benz เป็นผู้บุกเบิกอุตสาหกรรมยานยนต์ของเยอรมนี
ส่วน BMW, Audi และ Porsche
หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์เหล่านี้ ล้วนเคยทำงานให้กับ Daimler-Benz มาก่อน
ถึงแม้ทั้ง 4 แบรนด์จะแยกออกมาขับเคลื่อนบนเส้นทางของตัวเอง
แต่โชคชะตาก็พาให้ต้องมาอยู่บนเส้นทางร่วมกันอีกครั้ง
และยังมีอีกแบรนด์หนึ่งเกิดขึ้นมาชื่อ Volkswagen
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจาก การเข้าสู่ตำแหน่งสูงสุดของผู้นำพรรคนาซี “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์”..
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม เยอรมนี จึงเป็นประเทศแห่ง รถยนต์? ตอนที่ 2
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จักรวรรดิเยอรมันอยู่ในสถานะผู้แพ้สงคราม..
การถูกจำกัดอาวุธ ต้องชดใช้หนี้ค่าปฏิกรรมสงคราม
รัฐบาลจึงพยายามพิมพ์เงินมาใช้หนี้จนกลายเป็นภาวะเงินเฟ้อมโหฬาร
และถูกซ้ำเติมด้วยภาวะวิกฤติเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่ หรือ Great Depression
รถยนต์สมัยนั้นยังประกอบด้วยมือ จึงเป็นสินค้าที่มีราคาสูง
เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมยานยนต์จึงได้รับผลกระทบอย่างหนัก
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หัวหน้าพรรคนาซี ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ
และเริ่มต้นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจมากมาย
หนึ่งในนั้นคือการสร้างเอาโทบาห์น หรือ ไฮเวย์ไปทั่วประเทศ
เพื่อซื้อใจประชาชน ฮิตเลอร์ได้ให้คำสัญญาว่าจะผลิต
รถราคาถูกเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้ เรียกว่า “Volkswagen” แปลว่า รถของประชาชน
ฮิตเลอร์ได้ว่าจ้าง Ferdinand Porsche แห่งบริษัทที่ปรึกษาด้านเครื่องยนต์ Porsche
ให้มาเป็นผู้ออกแบบรถยนต์ Volkswagen Type 1 ในปี ค.ศ. 1933
เมืองแห่งโรงงานรถยนต์ หรือ Autostadt ถูกตั้งขึ้นในเมืองว็อลฟส์บวร์คที่อยู่ใจกลางประเทศ
เพื่อใช้เป็นฐานการผลิตรถยนต์โดยเฉพาะ
ฮิตเลอร์ได้ชักชวนชาวเยอรมันเกือบ 300,000 คน ให้เริ่มทยอยผ่อนเงินซื้อรถไว้กับรัฐบาล
ก่อนที่จะได้รับรถจริงในอีกหลายปีต่อมา
แต่แล้ว โครงการผลิตรถยนต์ก็ถูกยกเลิก
เพราะรัฐบาลต้องหันไปทุ่มงบประมาณสนับสนุนด้านการทหารแทนโครงการของพลเรือน
ไม่นาน ผู้นำพรรคนาซีก็พากองทัพเยอรมันเข้าบุกโปแลนด์
และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่ 2
ท่ามกลางสงคราม เหล่าผู้ผลิตรถยนต์ถูกสั่งให้เปลี่ยนมาผลิตรถถังและอาวุธสงครามแทน
Porsche ถูกทาบทามมาเป็นวิศวกรของกองทัพ รับหน้าที่ออกแบบรถถัง
BMW ที่เพิ่งเริ่มต้นพัฒนารถยนต์เป็นของตัวเอง โดยเฉพาะกระจังหน้าแบบไตคู่ ต้องมาผลิตเครื่องยนต์ให้เครื่องบินรบอีกครั้ง
เช่นเดียวกับโรงงานของ Daimler-Benz และ Volkswagen
ที่ต้องเปลี่ยนมาผลิตรถอเนกประสงค์ทางทหาร
สงครามครั้งนี้จบลงในปี ค.ศ. 1945
และเยอรมนีก็อยู่ในสถานะผู้แพ้สงครามอีกครั้ง..
เยอรมนีถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ และถูกปกครองโดยประเทศผู้ชนะสงคราม
เยอรมนีตะวันออก ถูกยึดครองโดยสหภาพโซเวียต ผู้นำโลกคอมมิวนิสต์
เยอรมนีตะวันตก ถูกยึดครองโดยอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ผู้นำโลกทุนนิยมเสรี
ผู้นำนาซีเลือกจบชีวิตตัวเอง ทิ้งประเทศและเหล่าบริษัทรถยนต์ไว้กับความเสียหายมหาศาล..
Ferdinand Porsche ถูกทหารฝรั่งเศสจับตัวไปเป็นเชลยสงครามยาวนานเกือบ 2 ปี
โรงงานของ BMW ถูกทิ้งระเบิดเสียหาย จนต้องนำเศษเหล็กมาขาย และปรับมาผลิตอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนเพื่อต่อลมหายใจของกิจการ
โรงงานของ Daimler-Benz และ Auto Union หรือ Audi บางส่วนตั้งอยู่ในเขตเยอรมนีตะวันออกจึงถูกยึดเป็นสมบัติของรัฐคอมมิวนิสต์
ส่วนบริษัทน้องใหม่ Volkswagen ถูกเจ้าหน้าที่อังกฤษเข้ามาบริหาร
ในเวลานี้ เยอรมนีก็ไม่ต่างอะไรกับคนสิ้นเนื้อประดาตัว
ทั้งโรงงานรถยนต์ ทั้งวิศวกรเก่งๆ ต่างถูกยื้อแย่งโดยผู้ชนะสงคราม
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่มีเพียง “องค์ความรู้”
ความโชคดีที่ยังพอมีอยู่บ้าง ท่ามกลางการแข่งขันอย่างดุเดือด
ของโลกทุนนิยมกับโลกคอมมิวนิสต์ ที่เรียกว่า “สงครามเย็น”
คือการที่ฐานการผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตเยอรมนีตะวันตก ซึ่งได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากสหรัฐอเมริกาภายใต้แผนการมาร์แชลล์ เพื่อสกัดกั้นอิทธิพลของคอมมิวนิสต์
เศรษฐกิจเยอรมนีตะวันตกจึงเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงทศวรรษ 1950-1960
เปิดโอกาสให้แบรนด์รถยนต์ทั้งหลายได้เริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง..
Ferdinand Porsche ในวัย 56 ปี ได้ชักชวนลูกชายให้เริ่มต้นบริษัทขึ้นมาใหม่
แต่ครั้งนี้เปลี่ยนจากบริษัทที่ปรึกษาด้านเครื่องยนต์มาผลิตรถยนต์เอง
โดยเริ่มจากรถสปอร์ต จากเหตุผลที่ว่า “ไม่มีรถสปอร์ตคันไหนถูกใจเลยสักคัน”
รถสปอร์ตของ Porsche ซึ่งถูกผสมผสานออกมาจากไอเดีย และประสบการณ์ทั้งหมดของตัวเขาเอง จนออกมาเป็นรถสปอร์ตคันแรกของบริษัทในรุ่น 356
Mercedes-Benz ได้เริ่มประยุกต์กระบวนการผลิตแบบ Mass-Production ให้เข้ากับการผลิตรถยนต์หรู ทำให้สามารถผลิตรถยนต์ได้จำนวนมากขึ้น
รวมถึงการริเริ่มนำเครื่องยนต์ดีเซลมาใช้กับรถยนต์
ซึ่งให้กำลังได้สูงกว่า และประหยัดพลังงานมากกว่าเครื่องยนต์เบนซิน แม้จะมีข้อเสียคือเสียงที่ดังกว่า
หลังจากนั้น เครื่องยนต์ดีเซลจึงถูกนำมาใช้กับรถบรรทุก และรถบัส
BMW ซึ่งเคยทำรถมอเตอร์ไซค์ และระบบเบรกของรถรางมาก่อน
นำความได้เปรียบมาพัฒนาระบบเบรกของรถยนต์ และระบบกระจายน้ำหนักที่ล้อหน้าและหลังเท่ากัน
ทำให้รถยนต์ของ BMW มีจุดเด่นด้านการทรงตัว สามารถขับขี่ได้คล่องตัว
ถึงแม้จะมีปัญหาด้านการเงิน จนทำให้ BMW เกือบจะถูกควบรวมกิจการกับ Daimler-Benz
แต่ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BMW ตระกูล Quandt ก็ได้เข้าซื้อกิจการทั้งหมด
และปรับเปลี่ยนเป้าหมายลูกค้าจากคนรวยให้เป็นคนทั่วไปมากขึ้น
เปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้มีความโฉบเฉี่ยว และตอบโจทย์คนรุ่นใหม่
ส่วนรถของ Volkswagen ได้เริ่มเปิดการผลิตครั้งแรกในปี ค.ศ. 1949
ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลอังกฤษ จนภายหลังเมื่อทางอังกฤษเห็นว่าไม่คุ้มค่า
จึงปล่อยให้อนาคตของ “รถของประชาชน” อยู่ในมือของผู้บริหารชาวเยอรมัน Heinrich Nordhoff
ด้วยดีไซน์ที่กะทัดรัด ขนาดเบา ราคาไม่แพง และกลยุทธ์การตลาดของ Nordhoff
รถที่มีรูปร่างเหมือนแมลง หรือ “Beetle”
ก็สามารถตีตลาดสหรัฐฯ และทั่วยุโรป จนผลิตได้ถึง 1 ล้านคัน ในอีก 10 ปีถัดมา
อาณาจักรของ Volkswagen เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
จนได้ซื้อกิจการของ Auto Union ในปี ค.ศ. 1964 และเริ่มกลับมาผลิตรถยนต์ Audi อีกครั้ง หลังจากนั้นก็รวมกิจการกับรถสปอร์ตหรู Porsche ในปี ค.ศ. 1969
ในตอนนี้ Volkswagen ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทที่มีหลายแบรนด์ในเครือ
ไม่เพียงแค่รถเยอรมันเท่านั้น
Volkswagen ยังซื้อกิจการรถยนต์ของอังกฤษอย่าง Bentley เข้ามารวมอยู่ในอาณาจักรด้วย
สำหรับ Mercedes-Benz ก็ได้เติบโตจนครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในแบรนด์รถหรูของโลกนี้มาอย่างยาวนาน
และ BMW ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้นำด้านสมรรถนะของรถยนต์ในช่วงที่ผ่านมา
จากจุดเริ่มต้นของการให้ความสำคัญกับการศึกษาวิศวกรรม และวิชาชีพช่างเทคนิค
องค์ความรู้เหล่านี้สร้างวิศวกรยานยนต์เก่งๆ ที่ทำให้รถยนต์เยอรมันมีสมรรถนะ ฟังก์ชันการใช้งาน และการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร
สำหรับแบรนด์รถยนต์เยอรมันแล้ว
การผ่านสงครามโลกมาถึงสองครั้ง
วิกฤติเศรษฐกิจหลายต่อหลายครั้ง
ผ่านพรรคนาซี และสงครามเย็น
และถึงแม้จะมีอุปสรรคในวันข้างหน้า
ก็คงเป็นเพียงหลุมเล็กๆ ที่รถยนต์เยอรมันจะฝ่าฟันและขับเคลื่อนผ่านไปได้ เหมือนที่ผ่านมา..
เตรียมพบกับซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ในตอนถัดไป เร็วๆ นี้..
╔═══════════╗
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงประวัติเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1100 ไล่ยาวไปจนถึง ค.ศ. 2019
สั่งซื้อได้ที่ (ซื้อตอนนี้มีส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.carmudi.com.ph/journal/infographic-history-of-bmw/
-https://www.daimler.com/company/tradition/company-history/1945-1949.html
-https://www.daimler.com/company/tradition/company-history/1949-1960.html
-https://www.mercedes-benz.co.th/en/passengercars/the-brand/history/trademark.module.html
-https://www.porsche.com/international/aboutporsche/#from=/international/aboutporsche/principleporsche/
เยอรมนีตะวันตก 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
สรุปปรากฏการณ์ Mutual Friend ที่ทำให้ทั้งโลกติด โควิด-19 /โดย ลงทุนแมน
ถ้าเรามองการระบาดของโควิด-19 ผ่านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
เราจะมองเห็นว่าแต่ละประเทศมีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันอยู่
ถ้าเปรียบเทียบ ประเทศเหล่านั้นด้วยหลักการ Mutual Friend
Mutual Friend หมายถึง เพื่อนที่มีร่วมกัน
ตัวอย่างเช่น เจน นุ่น และโบว์
เจน เป็นเพื่อนกับนุ่น ส่วนนุ่น เป็นเพื่อนกับโบว์
ทั้งเจน และโบว์ ไม่รู้จักกัน แต่ต่างมีเพื่อนที่มีร่วมกัน คือ นุ่น
การระบาดจากประเทศหนึ่งไปสู่อีกประเทศหนึ่ง
จะถูกเชื่อมโยงด้วยความสัมพันธ์ ที่คล้ายกันกับ Mutual Friend
บางประเทศที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับประเทศที่มีการระบาดของโควิด-19 มากนัก
แต่ท้ายที่สุดก็เกิดการระบาดได้ เพราะมีประเทศที่เป็น Mutual Friend เป็นผู้เชื่อมต่อ
ตัวอย่างจริงของเรื่อง Mutual Friend นี้น่าสนใจอย่างไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ขอยกตัวอย่างที่น่าสนใจ คือประเทศรัสเซีย ตุรกี และเยอรมนี
ในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2020 ขณะที่ยุโรปและเยอรมนีเกิดการระบาดของโควิด-19 อย่างหนัก จำนวนผู้ป่วยในรัสเซียยังมีไม่มาก
แต่พอมาถึงช่วงปลายเดือน จำนวนผู้ป่วยในรัสเซียกลับเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
รัสเซียไม่ได้มีการติดต่อกับประเทศยุโรปที่มีการระบาดมากนัก
แต่รัสเซียมี Mutual Friend เหมือนกันกับเยอรมนี คือ “ตุรกี”
หากลองค้นหาความสัมพันธ์ของตุรกี และรัสเซีย ควบคู่กันไป
ก็จะพบว่า ชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวตุรกีมากที่สุดก็คือ ชาวรัสเซีย
เป็นจำนวนถึง 7 ล้านคน ในปี 2018
รัสเซียเป็นประเทศที่พื้นที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตหนาว แม้จะมีชายฝั่งทะเลยาวมาก
แต่ส่วนใหญ่ก็จะกลายเป็นน้ำแข็งในช่วงฤดูหนาว สิ่งที่ชาวรัสเซียโหยหาก็คือ ทะเลเขตอบอุ่น
แต่ทะเลเขตอบอุ่นในยุโรปส่วนใหญ่ก็ตั้งอยู่ในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป
การที่ชาวรัสเซียจะเดินทางไปท่องเที่ยวในยุโรปจึงจำเป็นต้องขอวีซ่า
แต่ถัดลงมาทางตอนใต้ ไม่ไกลจากรัสเซียนัก ยังมีอยู่ประเทศหนึ่งที่มีชายฝั่งทะเลสวยงาม
แถมยังมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ประเทศนั้นก็คือ ตุรกี
ตุรกีเป็นประเทศที่ติดชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนยาวเหยียด ชาวรัสเซียสามารถเดินทางมาตุรกีโดยไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า และด้วยระยะทางที่ไม่ไกล
ชาวรัสเซียจึงเดินทางมาตุรกีเป็นจำนวนมหาศาล
จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า ถ้าประเทศตุรกีมีผู้ติดเชื้อมาก
จะทำให้ชาวรัสเซียที่มาท่องเที่ยวติดโรคโควิด-19 จากตุรกี
แล้วถ้าชาวรัสเซียติดโรคมาจากตุรกี แล้วชาวตุรกีจะติดมาจากใคร?
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ตุรกีเริ่มพบผู้ติดเชื้อในช่วงกลางเดือนมีนาคม..
ประเทศที่มีการระบาดของโควิด-19 อย่างหนักในช่วงกลางเดือนมีนาคม
ส่วนใหญ่จะอยู่ในยุโรปตะวันตก
ถ้าเชื่อมโยงหาความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับประเทศในยุโรปก็จะพบว่า ประเทศที่มีชาวตุรกีอพยพไปอาศัยและทำงานมากที่สุดก็คือ “เยอรมนี”
ซึ่งเยอรมนีเองก็มีจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก
ในเยอรมนีมีชาวตุรกีอาศัยอยู่เกือบ 3 ล้านคน
โดยความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศนี้อาจต้องย้อนกลับไปในช่วงสงครามเย็น ราวทศวรรษ 1960
หลังจากพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง
เยอรมนีถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ
คือ เยอรมนีตะวันตก ซึ่งเป็นประเทศทุนนิยมเสรี มีสหรัฐอเมริกาคอยให้ความช่วยเหลือ
กับเยอรมนีตะวันออก ซึ่งเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ มีสหภาพโซเวียตคอยให้ความช่วยเหลือ
เศรษฐกิจของเยอรมนีตะวันตกเติบโตอย่างรวดเร็ว อุตสาหกรรมได้รับการฟื้นฟู
แต่สิ่งที่เยอรมนีตะวันตกขาดแคลนก็คือ แรงงาน
รัฐบาลในขณะนั้นจึงจำเป็นต้องนำเข้าแรงงานจากต่างประเทศ
แต่ในเวลานั้น ทวีปยุโรปถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วการเมือง โดยมี “ม่านเหล็ก”
กั้นระหว่างยุโรปตะวันตกซึ่งเป็นโลกทุนนิยม กับยุโรปตะวันออกซึ่งเป็นโลกคอมมิวนิสต์
ประเทศในยุโรปตะวันตกมีการรวมกลุ่มกัน เรียกว่า นาโต (NATO)
เพื่อให้ความช่วยเหลือทั้งการทหารและเศรษฐกิจ เพื่อต่อสู้กับฝั่งคอมมิวนิสต์ของโซเวียต
นอกจากประเทศในยุโรปตะวันตกแล้ว ประเทศสมาชิกนาโตยังมีสมาชิกอีกประเทศหนึ่ง คือ ตุรกี
ตุรกีมีประชากรมาก แต่อุตสาหกรรมยังไม่พัฒนา ทำให้ประชากรหลายล้านคนอพยพมาเป็นแรงงานในเยอรมนีตะวันตก แรงงานเหล่านี้ถูกเรียกว่า “Gastarbeiter”
หลายคนพาลูกหลานมาอยู่ด้วย เมื่อเวลาผ่านไป
แรงงานเหล่านี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของประชากรเยอรมนีในปัจจุบัน
เมืองใหญ่หลายแห่งในเยอรมนี จึงสามารถพบเห็นร้านอาหารตุรกี มีมัสยิดไว้ประกอบพิธีทางศาสนา เพราะคนตุรกีส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม
ทุกวันนี้มีชาวตุรกีมากมายที่เดินทางไปมาหาสู่ญาติในเยอรมนี
เช่นเดียวกับที่ชาวเยอรมันเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศตุรกี
จึงกล่าวได้ว่า แม้รัสเซีย กับเยอรมนี อาจไม่ได้มีความสัมพันธ์กันมากนัก
แต่ทั้ง 2 ประเทศ ต่างมี Mutual Friend เหมือนกัน คือ “ตุรกี”
ท้ายที่สุด โควิด-19 ก็ลามจากเยอรมนี มาสู่รัสเซีย
แล้วผู้ป่วยชาวเยอรมันส่วนใหญ่ ติดเชื้อมาจากที่ไหน?
คำตอบจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ นอกจากศูนย์กลางการระบาดของยุโรป อย่าง อิตาลี..
อิตาลีเป็นประเทศที่มีสถานที่ท่องเที่ยว จัดได้ว่า “ครบครัน” มากที่สุด ประเทศหนึ่งในยุโรป
ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีป จึงทำให้มีอากาศอบอุ่นกว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป
อิตาลีมีชายฝั่งทะเลที่งดงาม ในขณะที่ตอนเหนือของประเทศก็มีเทือกเขาแอลป์เหมาะแก่การเล่นสกี
อิตาลียังมีแหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์แทบทุกยุคทุกสมัย
เรียกได้ว่า มีทั้ง ทะเล ภูเขา และวัฒนธรรม..
ด้วยการคมนาคมขนส่งที่เพียบพร้อม มีรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อกับหลายประเทศ
อิตาลีจึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางของผู้คนจากทั่วยุโรป
โดยเฉพาะยุโรปเหนือ เช่น เยอรมนี ที่ฤดูหนาวจะมีอากาศหนาวจัด ชายฝั่งทะเลก็มีลมแรง
ในปี 2018 ชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวอิตาลีมากที่สุด ก็คือ ชาวเยอรมัน
มาเยือนอิตาลีถึงปีละ 12.2 ล้านคน
และนั่นก็ก่อให้เกิดขึ้นอีกหนึ่ง Mutual Friend..
ตุรกี กับ อิตาลี อาจไม่ได้มีความสัมพันธ์กันมากนัก
แต่ทั้ง 2 ประเทศมี Mutual Friend เหมือนกัน คือ “เยอรมนี”
ท้ายที่สุด โควิด-19 ก็ลามจากอิตาลี มาสู่ตุรกี
แล้วถ้าย้อนกลับไปในช่วงแรกเริ่มของการระบาดที่ประเทศจีน
ประเทศในยุโรปที่มีนักท่องเที่ยวจีนมาเยือนมากที่สุด ก็คือ อิตาลี
อิตาลี จึงเปรียบเสมือนเป็น Mutual Friend ของประเทศในยุโรป กับประเทศจีน
ท้ายที่สุด โควิด-19 ก็ลามจากจีน มาระบาดหนักในยุโรป
อย่างไรก็ตาม ก็มีบางหลักฐานที่พบผู้ป่วยปอดอักเสบในอิตาลีมาตั้งแต่เดือนธันวาคม ซึ่งเป็นช่วงก่อนการระบาดในเมืองอู่ฮั่น
ก็ไม่แน่ว่า บางทีจีนอาจจะนำเข้าเชื้อจากอิตาลีก็เป็นไปได้..
บนโลกที่แต่ละประเทศล้วนมีพรมแดน
แต่ก็ไม่อาจขวางกั้นความสัมพันธ์ที่โยงใยกันไปมา
แม้หลายประเทศจะไม่มีสัมพันธ์กันมากนัก
แต่ก็สามารถเชื่อมโยงไปถึงได้ ผ่าน Mutual Friend
ใครจะไปคิดว่า
ความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงกันเหล่านี้เอง
ส่งผลให้คนทั้งโลกต้องประสบชะตากรรมร่วมกันในท้ายที่สุด
ชะตากรรมที่สุดท้าย ทุกคนต้องมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งหมด
และเราทุกคนจะผ่านไปด้วยกัน
We will get through this time together..
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.istat.it/it/files//2019/12/Asi-2019.pdf
-https://www.statista.com/statistics/901197/number-of-arrivals-from-china-in-tourist-accommodations-in-italy/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Tourism_in_Turkey
-https://en.wikipedia.org/wiki/Turks_in_Germany
เยอรมนีตะวันตก 在 รัสเซียเตือน!ตอบโต้ตะวันตก เยอรมนีห้ามใช้อาวุธตะวันตกโจมตี 的推薦與評價
![影片讀取中](/images/youtube.png)
รัสเซีย เตือนจะตอบโต้รุนแรงขึ้น หลังจากสหรัฐจัดส่งอาวุธล้ำสมัยให้ยูเครน ลั่นพร้อมใช้อาวุธทุกประเภทเพื่อป้องกันตัวเอง ด้านนายกฯ เยอรมนี ... ... <看更多>
เยอรมนีตะวันตก 在 ผู้นำเยอรมนีปราม สงครามประมูลอาวุธยูเครน เรียกร้องชาติตะวันตกอย่า ... 的推薦與評價
![影片讀取中](/images/youtube.png)
นายกรัฐมนตรี เยอรมนี ยืนยันอีกครั้ง จะไม่มีการส่งเครื่องบินรบของ เยอรมนี ให้ยูเครน หลังรับปากส่งรถถังให้ไปแล้ว และเรียกร้องชาติ ตะวันตก อย่าร่วมใน ... ... <看更多>
เยอรมนีตะวันตก 在 รวมประเทศเยอรมนี พังกำแพงเบอร์ลิน สร้างความเท่าเทียมทั่วประเทศ 的推薦與評價
ประเทศ เยอรมนี หลังจากถูกแบ่งออกเป็นตะวันออกและ ตะวันตก ในช่วงสงครามเย็น โดยมีกำแพงเบอร์ลินเป็นเส้นแบ่งระหว่าง เยอรมนี ตะวันออกและ ตะวันตก ... ... <看更多>