เศรษฐีรวยสุดในเอเชีย มีน้องชาย เป็นบุคคลล้มละลาย ได้อย่างไร ? /โดย ลงทุนแมน
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Mukesh Ambani เจ้าของ Reliance Industries กลุ่มธุรกิจที่ใหญ่สุดในอินเดียและเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในเอเชีย มีน้องชายชื่อ Anil Ambani
สำหรับน้องชายของมหาเศรษฐีคนนี้ ก็เป็นเจ้าของธุรกิจที่แยกตัวออกมาจาก Reliance Industries ของพี่ชาย มีชื่อบริษัทว่า Reliance ADA Group
ในปี 2008 Mukesh Ambani มีทรัพย์สิน 1.4 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลก
ในขณะที่ Anil Ambani ตามมาติด ๆ ด้วยทรัพย์สิน 1.37 ล้านล้านบาท และรวยเป็นอันดับ 6 ของโลก
โดยในปีนั้น เศรษฐี 4 อันดับแรกของโลก ได้แก่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (อเมริกัน), คาร์ลอส สลิม (เม็กซิโก),
บิลล์ เกตส์ (อเมริกัน) และลักษมี นิวาส มิตตัล (อินเดีย)
หลังจากผ่านไป 13 ปี Mukesh Ambani มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านล้านบาท
กลายมาเป็นมหาเศรษฐีรวยสุดในอินเดียและเอเชีย และรวยเป็นอันดับ 10 ของโลก
แต่ในปี 2019 Ambani คนน้องกลับมีทรัพย์สิน เพียง 5.6 หมื่นล้านบาท
จนล่าสุด มีหลายคนกล่าวว่าความมั่งคั่งตอนนี้ของ Ambani คนน้อง ลดลงจนเกือบเป็นศูนย์
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับน้องชาย ของคนที่รวยสุดในเอเชีย ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปในปี 1948 หรือเมื่อ 73 ปีก่อน ชายชาวอินเดียวัย 16 ปี
ที่ชื่อ Dhirubhai Ambani ได้ตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านเกิดไปทำงานที่ประเทศเยเมน
ผ่านไป 10 ปี Dhirubhai กลับมาที่อินเดียพร้อมกับเงินเก็บ เพื่อมาเริ่มสร้างธุรกิจเอง
Dhirubhai เริ่มจากการนำเข้าเส้นใยสังเคราะห์และส่งออกเครื่องเทศ ก่อนจะเริ่มทำธุรกิจสิ่งทอ ซึ่งก็เติบโตอย่างรวดเร็ว จน Dhirubhai ได้ขยายกิจการไปในอุตสาหกรรมอื่น และเปลี่ยนมาใช้ชื่อบริษัทว่า “Reliance Industries” ในปี 1973
Reliance Industries สามารถ IPO ได้ในปี 1977 ซึ่งหุ้นของบริษัทก็มีชาวอินเดียสนใจลงทุนเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดเคยจัดประชุมผู้ถือหุ้นที่สเตเดียม
ตั้งแต่ที่กิจการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว Dhirubhai ก็เริ่มให้ลูกชายทั้ง 2 คนของเขา เข้ามาช่วยบริหารงานที่บริษัท
Mukesh Ambani ลูกชายคนโต เป็นประธาน
Anil Ambani ลูกชายคนรอง เป็นกรรมการผู้จัดการ
แต่แล้วในปี 2002 Dhirubhai ได้เสียชีวิตลงและได้ทิ้งกิจการ Reliance Industries ไว้กับลูกชายทั้ง 2 คน
Dhirubhai ที่จากโลกนี้ไปไม่ได้ทำพินัยกรรมและข้อตกลงแบ่งกิจการให้กับลูกแต่ละคนไว้ ซึ่งเขาก็คงไม่คิดว่า จะเกิดปัญหาตามมา
โดยปัญหาที่ว่านั้นเริ่มเกิดขึ้นเพราะลูกชายทั้ง 2 คน ที่เริ่มเข้าทำงานและมีบทบาทในบริษัทมาพร้อม ๆ กัน
กลับตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะเป็นเจ้าของและใครจะดูแลและรับผิดชอบบริษัทไหนบ้าง
สุดท้ายแล้ว ในช่วงปี 2004 ถึง 2005 ผู้เป็นแม่ต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหา
โดยการจ้างบุคคลที่ 3 ให้เข้ามาจัดการเรื่องการแยกบริษัทออกจากกันไปเลย
Mukesh Ambani คนพี่ได้ธุรกิจหลักคือปิโตรเลียม ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการขยายกิจการในส่วนนี้มาตั้งแต่แรก และยังได้ธุรกิจอื่น ๆ อย่างเช่นปิโตรเคมี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจยุคเก่า โดยกลุ่มบริษัทของ Mukesh ใช้ชื่อว่า Reliance Industries
Anil Ambani คนน้องได้ธุรกิจหลักคือ Reliance Communications ธุรกิจโทรคมนาคมที่เพิ่งเริ่มกิจการได้ไม่นาน แต่ก็กลายเป็นบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอินเดีย ซึ่งแม้ว่า Mukesh จะมีบทบาทสำคัญมาตั้งแต่ต้น แต่ Anil ก็อยากได้ธุรกิจนี้เช่นกัน
นอกจากธุรกิจเทเลคอมแล้ว กิจการอื่นที่ Anil Ambani ได้รับไปดูแลอีกก็อย่างเช่น ธุรกิจพลังงาน และบริการทางการเงิน ซึ่งส่วนมากจะเป็นธุรกิจยุคใหม่ โดยกลุ่มธุรกิจของ Anil Ambani ใช้ชื่อว่า “Reliance ADA Group”
หลังจากจบเรื่องการแบ่งธุรกิจแล้ว แต่ละคนก็เริ่มต่อยอดธุรกิจตามเส้นทางของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น
Mukesh Ambani เริ่มทำธุรกิจค้าปลีกในปี 2006 จน Reliance Retail กลายมาเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่สุดในอินเดีย
ในขณะที่ Anil Ambani ก็ได้ต่อยอดทำธุรกิจบันเทิง อย่างเช่นในปี 2005 ได้ซื้อบริษัท Adlabs Films ที่เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ Big Cinemas ซึ่งกลายมาเป็นโรงภาพยนตร์ที่มีสาขามากสุดในอินเดียในอีก 3 ปีถัดมา
ในปี 2008 Reliance Entertainment ของ Anil Ambani ก็ได้เซ็นสัญญากับบริษัทผลิตภาพยนตร์ DreamWorks ของผู้กำกับ Steven Spielberg ซึ่งได้ร่วมผลิตภาพยนตร์ที่ได้รางวัลมากมาย อย่างเช่น The Help และ Lincoln
และปีเดียวกันนี้ Anil Ambani ก็ได้นำบริษัทพลังงานอย่าง Reliance Power จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยมูลค่าการระดมทุนที่สูงเป็นประวัติการณ์ในขณะนั้น
ผ่านไป 6 ปีหลังจากการเสียชีวิตของ Dhirubhai
ดูเหมือนว่าลูกชายของเขาทั้งคู่ก็ต่อยอดกิจการไปได้อย่างสวยงาม
จนทำให้ในปี 2008 Mukesh มีทรัพย์สิน 1.4 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลก และ Anil มีทรัพย์สิน 1.37 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 6 ของโลก
แต่หลังจากนั้น เส้นทางความมั่งคั่งของพี่น้องคู่นี้ กลับเริ่มมีทิศทางที่สวนทางกัน
คนพี่รวยขึ้น ส่วนคนน้องความมั่งคั่งหายไปเกือบหมด
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ?
เรื่องทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจากเงินที่บริษัท Reliance Power ของ Anil Ambani ได้มาจากการ IPO มีแผนจะใช้สร้างโรงไฟฟ้าที่ส่วนใหญ่จะผลิตจากก๊าซ
โดยก๊าซที่ Reliance Power ใช้ ก็มาจากบริษัทก๊าซธรรมชาติในเครือ Reliance Industries ของ Mukesh นั่นเอง
ซึ่งในตอนที่แยกบริษัทกัน สองพี่น้องก็ได้เซ็นสัญญาว่าบริษัทก๊าซของ Mukesh Ambani จะขายก๊าซให้โรงไฟฟ้าของน้องชายที่ราคาหนึ่ง
แต่ในวันที่โรงไฟฟ้าสร้างใกล้จะเสร็จและถึงเวลาที่พี่ชายจะขายก๊าซให้กับน้อง ราคาก๊าซในตลาดโลกกลับเพิ่มสูงขึ้นไปเกือบเท่าตัว
Anil Ambani จึงต้องการซื้อก๊าซในราคาที่ตกลงกัน เพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญต้นทุนก๊าซที่สูงขึ้น
แต่ทาง Mukesh Ambani ไม่สามารถขายก๊าซตามราคาที่ตกลงกันไว้ได้เพราะบริษัทของเขาจะขาดทุน
แต่แทนที่จะเจรจาตกลงกัน Anil Ambani กลับเลือกที่จะยื่นฟ้องบริษัทพี่ชายในปี 2010 เพื่อให้ซื้อก๊าซได้ในราคาเดิมที่เคยตกลงกัน
แต่ศาลก็ได้มีคำสั่งให้ Anil Ambani ซื้อก๊าซในราคาใกล้เคียงกับราคาตลาดโลก ซึ่งเป็นไปตามนโยบายราคาก๊าซของประเทศ
สุดท้ายแล้ว Anil Ambani ที่ต้องแบกรับต้นทุนก๊าซเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จึงไม่สามารถจัดหาก๊าซเพื่อไปใช้ผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าที่สร้างรอไว้แล้วได้
Reliance Power จึงกลายเป็นบริษัทที่มีหนี้มหาศาล จนต้องขายทรัพย์สินและกิจการบางส่วนออกไป เพื่อเอามาใช้หนี้ ซึ่งรวมถึงกิจการโรงภาพยนตร์ Big Cinemas ที่ซื้อมาเมื่อปี 2008 ด้วย
แต่ความผิดพลาดทางธุรกิจของ Anil Ambani ยังไม่ได้จบลงแค่นี้ เพราะเรื่องราวที่ร้ายแรงกว่านั้น เกิดขึ้นกับธุรกิจโทรคมนาคมอย่าง Reliance Communications (RCom)
ในปี 2002 ซึ่งเป็นช่วงที่ RCom เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ RCom เลือกใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่เรียกว่า CDMA ซึ่งใช้เงินลงทุนน้อยกว่า ขณะที่บริษัทคู่แข่งอย่างเช่น Airtel เลือกใช้เทคโนโลยีที่ชื่อ GSM
แม้เทคโนโลยีทั้ง 2 แบบจะใช้ได้ดีกับ 2G และ 3G เหมือนกัน แต่ปัญหาก็คือ CDMA ที่ RCom เลือกใช้ ไม่สามารถรองรับ 4G และ 5G ได้แบบ GSM ที่เหล่าคู่แข่งเลือกใช้
นั่นจึงทำให้ช่วงเวลาที่ทั่วโลกเปลี่ยนผ่านจาก 3G มาเป็น 4G อย่างรวดเร็ว RCom เลยตามคนอื่นไม่ทัน จน RCom กลายเป็นบริษัทที่เริ่มมีหนี้มากขึ้น
และจุดพลิกผันครั้งใหญ่ของ RCom รวมไปถึงทั้งอุตสาหกรรมเทเลคอมของอินเดีย ก็เกิดขึ้นในปี 2016
เมื่อ Mukesh Ambani ได้ก่อตั้งบริษัทย่อยของ Reliance Industries ในชื่อ “Jio” ซึ่งเป็นบริษัท
ที่เน้นบริการด้านเทคโนโลยี รวมถึงการให้บริการโทรคมนาคมแบบเดียวกับ RCom ด้วย
ด้วยชื่อเสียงของ Reliance Industries ก็ทำให้ Jio มีจำนวนผู้ใช้งานเครือข่ายโทรศัพท์เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้กำไรของบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอย่าง Airtel ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้อีก 2 บริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดรองลงมาอย่าง Vodafone และ Idea ต้องควบรวมกิจการกัน
ในเวลาต่อมาบริษัท Jio ของ Mukesh Ambani ก็กลายมาเป็นบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่สุดในอินเดีย ส่วน RCom ของ Anil ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ก็หายไปจากการแข่งขันในตลาดเทเลคอม จนทำให้บริษัทขาดทุนและกลายเป็นหนี้มหาศาล
RCom ต้องยอมขายสินทรัพย์ของกิจการบางส่วนให้กับ Jio เพื่อลดหนี้
แต่นั่นก็ยังไม่ช่วยให้สถานการณ์ของ RCom ดีขึ้น
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 RCom ได้ทำข้อตกลงกับ Ericsson โดยจ้างให้ Ericsson มาเป็นผู้บริหารเครือข่ายในบริเวณทางเหนือและตะวันตกของอินเดีย แต่ผลจากการขาดทุนต่อเนื่องก็ทำให้ RCom ไม่มีเงินจ่ายให้ Ericsson ตั้งแต่ปี 2016
RCom ติดหนี้ Ericsson 2.46 พันล้านบาท ซึ่ง RCom ก็ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนด และขอเลื่อนเวลาการจ่ายหนี้ออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้ว RCom จ่ายหนี้ได้เพียง 528 ล้านบาท นำไปสู่การถูกฟ้องร้องในเวลาต่อมา
ศาลสูงสุดจึงมีคำตัดสินว่า ถ้าภายใน 1 เดือน RCom ยังจ่ายหนี้ให้ Ericsson ไม่ได้ Anil จะต้องถูกจำคุก 3 เดือน
สุดท้ายแล้วพี่ชายของ Anil Ambani อย่าง Mukesh ก็เข้ามาช่วย
โดยการจ่ายหนี้ที่เหลือ มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาทให้
ในขณะที่ บริษัท RCom ก็ต้องยื่นล้มละลาย
แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น เพราะ RCom ยังมีหนี้ก้อนใหญ่อีกก้อน ที่กู้ยืมมาจาก 3 ธนาคารขนาดใหญ่ของจีน ทั้ง ICBC, China Development Bank และ EXIM Bank of China เป็นมูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท
ทั้ง 3 ธนาคารจึงยื่นฟ้อง RCom และ Anil Ambani..
ช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่ง Anil ได้พูดระหว่างพิจารณาคดีออนไลน์กับศาลของประเทศอังกฤษว่า เขาไม่มีเงินใช้หนี้ เพราะความมั่งคั่งของเขาตอนนี้ใกล้จะเป็นศูนย์แล้ว.. ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเขาจะหาเงินจากไหนมาใช้หนี้
จากความขัดแย้งเพื่อแย่งกิจการกันเองในครอบครัว บวกกับการบริหารธุรกิจที่ผิดพลาด การทุ่มเงินลงทุนขนาดใหญ่แต่ได้ผลลัพธ์แย่กว่าที่คาด ทำให้บริษัทก่อหนี้ก้อนโต
ทั้งหมดนี้ก็ได้ส่งผลไปยังทรัพย์สินของผู้ที่เคยรวยติดอันดับ 6 ของโลกอย่าง Anil Ambani ได้หายไปเกือบหมด ในขณะที่พี่ชายที่เติบโตมาพร้อมกัน กลับเดินสวนทางกัน เพราะประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นเศรษฐี ที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย นั่นเอง
ถ้าใครเชื่อว่าชีวิตของเราถูกกำหนดมาแล้วตั้งแต่เกิด
เกิดมาในครอบครัวที่รวย ก็ย่อมมีแรงส่งให้พวกเขารวยขึ้น
ซึ่งมันก็เป็นจริงในหลายกรณี
แต่ในบางกรณี มันก็อาจเป็นตรงกันข้าม
ซึ่งอย่างน้อย มันก็เกิดขึ้นแล้วกับ Anil Ambani น้องชายของ มหาเศรษฐี ที่รวยสุดในเอเชีย นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.businessinsider.in/thelife/personalities/news/anil-ambanis-journey-from-42-billion-net-worth-to-claiming-poverty/articleshow/74028627.cms
-https://www.scmp.com/magazines/style/celebrity/article/3093874/mukesh-vs-anil-why-did-one-ambani-brother-go-bankrupt
-https://economictimes.indiatimes.com/industry/telecom/telecom-news/from-glory-to-dust-an-ambani-brands-journey-to-bankruptcy/articleshow/67837769.cms?from=mdr
-https://www.businesstoday.in/latest/economy-politics/story/anil-ambani-road-to-bankruptcy-how-the-brother-of-indias-richest-man-lost-his-way-271119-2020-08-25
-https://www.moneycontrol.com/news/business/a-timeline-of-reliance-communications-versus-ericsson-case-3661261.html
-https://youtu.be/dBH0E20kc30
-https://www.forbes.com/forbes/2008/0324/080.html?sh=3e185f910f2e
-https://en.wikipedia.org/wiki/Reliance_Industries
-https://en.wikipedia.org/wiki/Reliance_Group
同時也有40部Youtube影片,追蹤數超過40萬的網紅糖餃子Sweet Dumpling,也在其Youtube影片中提到,Hello friends! Today we're going to share with you how to make juicy oven-baked smoked BBQ ribs at home. Copying and practicing a recipe from a famo...
2g 3g 4g 5g 在 台灣物聯網實驗室 IOT Labs Facebook 的精選貼文
從AI晶片自製熱潮 看AI商用應用發展起伏
名家廣場 -2021.09.16
文/夏肇毅 CubicPower晶智能中心創辦人
現在人工智慧的開發越來越廣泛,許多公司為了訓練新的人工智慧模型,必須提供大量的運算資源以供計算。有的公司無法滿足於現有的運算資源,於是便興起了開發適合自己的運算硬體的念頭。像生產電動車的特斯拉,一直致力於開發自動駕駛軟體。為了訓練用於自駕車的人工智慧模型,日前就替自己的公司總部開發了用於訓練的D1晶片。
這陣子許多大公司不約而同地開發自家用晶片,一方面是不想受制於人,另一方面是要為自己的特殊需求來量身訂做開發晶片,以便更符合自身需要,同時也能讓產品和競爭對手做出差異區隔。
像GOOGLE為旗艦手機研製處理器,蘋果也為MAC開發自己的處理器。這些公司在剛開始都是採用現有供應商的產品,用久之後,也許覺得受人把持不合己意,或是覺得花了太多錢在這些供應商上面,所以乾脆自己跳下來做,以便完全掌控開發方向,同時獨享開發成果。
聯發科兩年前開發出5GAI晶片,推出後得到廣大的採用,業績與股價大幅成長。NVIDIA與AMD也因持續採用台積電最先進製程來開發人工智慧繪圖計算晶片,業績與市佔大幅提高。自發現委託台積電來生產HPC晶片變成了讓業績成長的萬靈丹後,大家便爭先恐後的搶用。
相對於在硬體投資上不吝千金的意氣風發,大公司幾年前競相成立的人工智慧應用的機構卻悄悄地關門或重整。像日前新聞報導的Google宣佈解散健康部門Google Health,Open AI解散機器人研究團隊,IBM縮減Watson Health團隊等。不過才短短5、6年,當時重金禮聘的重量級人才與開發團體,如今業務無法推展,在不敵現實壓力下,只好黯然縮編裁撤。
不知道是否看到硬體的廠商生產IC,好像印鈔機在那重複轉動,就可以不斷地印出鈔票,而提供雲端硬體服務的大公司,一個大案就可以拿到十數億美金的合約來。但做軟體應用服務的,每個需求都不同,好像要一小單一小單慢慢地談,費許多心力後才能有一個案子的一次性些許收入。同時這種最新科技的應用,也並不是廣大群眾一時之間就會張開雙手欣然接受的。像手機在上市之後,也是經過了2G,3G,4G,5G等不同世代的改善後,才被廣泛接受為日常生活的一份子。加上人工智慧實際案例應用的準確性,也不如原先宣傳的那麼樂觀,於是推展起來自然阻礙重重。
著名的IT研究與顧問諮詢公司Gartner對於新興科技的發展歷程,有一套稱為Hype Cycle的理論。所有新興科技議題聲量在經過觸發期,攀頂期之後,經過大量供應商增殖,聲望將達到峰頂。之後便開始急遽下墜。其間有供應商倒閉合併,聲量墜落到谷底。存活下來的公司在得到二三輪資金的挹注後,才能夠繼續開發第二代,跟第三代的產品。之後才能通往成熟的高原期,開始得到百分之二十到三十的消費者採用,變成一個成熟商品。
人工智慧產品也一樣,唯有在Edge AI與5G AI手機都廣泛地散佈在人們身旁,各類可靠準確的應用模型被訓練出來後,最後再仰仗加值經銷商VAR的螞蟻雄兵,來將各式人工智慧應用嵌入我們的日常生活中,自然到都不覺得它們的存在。到那時,人工智慧才是真正開花結果了。
附圖:為更符合自身需要,並與對手作出產品出隔,許多大公司投資開發自家用晶片。圖/本報資料照片
資料來源:https://view.ctee.com.tw/technology/32430.html?fbclid=IwAR2y1UfKDMcigrasB-RnK2VAFQ0wFyjxcO5dcstRB74lCqIPDI9NvO_mQ7I
2g 3g 4g 5g 在 Facebook 的最佳解答
SAMSUNG > APPLE – VÁN BÀI XOAY CHUYỂN
Tất nhiên, mình không phải là blog công nghệ hay kênh cập nhật tình hình thị trường điện tử số. Cái mà mình muốn nói ở đây là thiết kế, là tính thời trang nên nếu có tranh cãi nhau về hiệu suất – công năng thì các bạn qua mấy kênh review chuyên nghiệp chứ mình không dám cãi.
Steve Jobs – cha đẻ của Apple và một dàn siêu phẩm trong giới Tech iPod, iPhone, iPad. Thành công của Iphone 2G vào năm 2007 đã mở ra một trang sử mới của ngành viễn thông, điện thoại thông minh cũng như sự lật đổ ngoạn mục của Apple Inc với cái tên đáng gờm lúc đó là Nokia đến từ Phần Lan. Trong tư duy của mình thì Steve Jobs luôn quan niệm Sản phẩm mà ông làm ra không chỉ mang tính đột phá công nghệ mà nó phải “ĐẸP”, phải “ĐẸP”. Tầm nhìn của Steve Jobs dành cho các sản phẩm Apple sản xuất ra sau này đó là không chỉ dừng ở một phạm trù sản phẩm công nghệ thông thường mà nó phải được xem như một loại “Phụ kiện”, một loại “Trang sức” – một thứ khiến người ta phải chao lòng, phải bỏ tiền mua cái sự đổi mới hàng năm. Đó cũng chính là lí do vì sao mà từ thời Iphone 2G rồi 3G, 3GS và bản nâng cấp cứng cựa 4G, 5G rồi X..kèm theo đó là sự ra đời của iPad, Airpods đã gần như tiên phong và loại bỏ các đối thủ mạnh trong mảng thị trường để khiến Apple trở thành thương hiệu nghìn tỉ đô.
NHƯNG – CHÍNH APPLE LẠI LÀ NGƯỜI ĐANG YẾU THẾ TRONG VIỆC MANG CÁI ĐẸP, THỜI THƯỢNG CHO NGƯỜI SỬ DỤNG?
Đã bao lâu rồi mọi người cảm thấy trầm trồ, cảm thấy Woa, cảm thấy kỳ vọng cũng như ham muốn sở hữu một chiếc Iphone vì tính thiết kế của nó. Iphone X, Iphone 11, iPhone 12 và giờ iPhone 13 – Apple có vẻ như vẫn đang quá tự tin về mảng thị trường của mình cũng như người sử dụng của họ. Việc tạo ra 1 hệ sinh thái khép kín Apple bao gồm iPad, iPhone, Apple Watch, Airpod cùng các điều kiện khắt khe trong suốt thập kỉ đã giúp Apple giữ chân được lượng khách hàng của mình. Nhưng – tính thời trang của chiếc iPhone huyền thoại ngày nào, đang bị đe dọa nghiêm trọng.
KHÔNG AI KHÁC CHÍNH LÀ SAMSUNG.
Samsung, ông trùm của ngành công nghệ xứ sở Kim Chi và toàn thế giới thì oái ăm một điều rằng – lại đang tiến hành tốt nhất trong những thương hiệu điện thoại thông minh với tầm nhìn của Steve Jobs. “Biến điện thoại thành 1 dạng phụ kiện, 1 dạng trang sức” và tính tới thời điểm hiện tại, Samsung nhỉnh hơn Apple khá nhiều về tính thiết kế.
Sự ra đời của Samsung Flip và Samsung Fold cùng công nghệ màn hình cảm ứng gập đã cho thương hiệu này gần như là kẻ tiên phong và sở hữu cuộc chơi biến điện thoại thành vật bất ly thân/trang sức này. Với việc không bị giới hạn bởi độ cứng của màn hình, Samsung đã biến smartphone trở thành công cụ, hình dáng gần gũi hơn với từng khách hàng mà thương hiệu đang nhắm tới.
Với Flip thì chúng ta có cảm tưởng đó là chiếc hộp phấn trang điểm, makeup thường được mang bởi chị em hàng ngày. Tay phụ nữ cũng khá nhỏ nên việc cầm những chiếc điện thoại khổ to như iPhone Promax, Samsung S+ khá bất tiện và dễ rơi rớt. Và thế là Flip được tung ra nhằm đánh thẳng vào thị hiếu của chị em cũng như tính thời trang đa dụng hàng ngày. Nên nhớ, xu hướng sử dụng các mini-bag, các pouch nhỏ đến từ các nhãn hàng thời trang cao cấp trong khoảng thời gian gần đây (Đặc biệt là Jacquemus) yêu cầu một chiếc smartphone vừa phải để có thể đựng trong đó. Và Flip đáp ứng được điều đó.
Chưa kể là collab Samsung x Thombrowne cũng hướng tới lượng khách hàng cao cấp, sang trọng và sẵn sàng chi tiền để sở hữu 1 chiếc điện thoại đẳng cấp/ton-sur-ton với bộ đồ đang mặc. Nếu nói về độ unique (Độc lạ) thì màn hình cảm ứng gập ở thời điểm hiện tại là ở vị trí đương kim vô địch rồi. Vừa sang, vừa thời trang.
Còn Fold thì sao?
Fold nhắm tới lượng khách hàng doanh nhân cao cấp với độ chuyên nghiệp trong công việc cao. Ngày xưa có BlackBerry với bàn phím QWERTY cùng nút cuộn đặc trưng thì nay có Samsung Fold 3 như 1 biểu tượng cho sự thành đạt vậy. Fold 3 được thiết kế theo dạng 1 cuốn sách gập nên kiểu cách sử dụng sẽ mang tính “tri thức” – “Sổ sách” – “học thuật” và mang lại giá trị hình ảnh cho người sử dụng hơn. Đó là chưa kể việc ứng dụng Samsung Pens lên smartphone cho phép việc notes các ý nhanh ở các buổi họp mà không thể gõ cạch cạch liên tục được. Apple có nhưng không ứng dụng trên iPhone, phiên bản nhỏ nhất sử dụng được Apple Pens là iPad Mini. Mà kể cả iPad Mini cũng khó lòng ứng dụng mọi lúc mọi nơi như 1 chiếc điện thoại thông minh được.
Kể cả nói thật thì bây giờ iPhone được sử dụng quá nhiều và thông dụng cho nên cái “Đẳng cấp” mà nó mang lại không cao nhiều như ngày xưa. Mà tính các doanh nhân hay những người cao cấp thì lại thích mình ở trên một level khác, giống như ngồi chờ sân bay thì ngồi trong khu Thương gia nó khác bọt hẳn các bạn ạ. Cứ tưởng tượng so sánh hai người, 1 người dùng tay lướt lướt Iphone – 1 người cầm quyển sách “Fold3” dùng bút viết viết thì trông cái nào oách hơn. Bản thân mình là cầm quyển sách nha, cổ điển – hiện đại – tri thức – doanh nhân =))
Về hiệu năng thì không bàn do mình không rành nhưng chắc chắn về tính thiết kế hay thời trang thì Samsung Flip/Fold đang nhỉnh hơn với Apple tại thời điểm hiện tại. Nên nhớ Samsung cũng tạo ra cho mình 1 hệ sinh thái khép kín bao gồm điện thoại, đồng hồ, tablet nhưng còn rộng hơn cả Apple khi thương hiệu này còn sở hữu trong tay dây chuyền của 1 căn nhà khép kín là Tủ lạnh, TV, điều hòa, máy giặt… Một khi mọi thứ đã đồng nhất thì việc thoát ra hệ sinh thái khép kín này cũng là 1 điều rất khó.
Cảm nghĩ của bạn ra sao? Trong tương lai thì mình không biết Apple có lo lắng quá về vấn đề này không nhưng bản thân thấy Samsung Flip và Fold 3 đẹp hơn iPhone rất nhiều (Dù bản thân đang xài iPhone 5s). Ngay cả có những người đang xài iPhoneX họ cũng không có nhu cầu đổi máy nếu quá cũ – vì nhu cầu thực sự cho công việc, gọi điện thì phần cứng X là đủ với họ. Do đó, yếu tố thiết kế tưởng chừng là phụ nhưng quan trọng trong việc thuyết phục khách hàng bỏ tiền ra mua sản phẩm mới.
Ủng hộ mình tại:
Paypal: https://www.paypal.me/triminhle0808
Banking account: Vietinbank
STK: 104005424124 - Chủ tài khoản: Lê Minh Trí.
2g 3g 4g 5g 在 糖餃子Sweet Dumpling Youtube 的最讚貼文
Hello friends! Today we're going to share with you how to make juicy oven-baked smoked BBQ ribs at home.
Copying and practicing a recipe from a famous restaurant is the most challenging thing, but it is very interesting and we learn new things from it. In this video, we copied the taste of the famous pepper ribs, but made some modifications, because some ingredients are not found in this city. Chili’s slow-cooked pork ribs has been a top seller on the menu since 1986 and is still the best seller today. So this is a must try.
To make smoked flavor BBQ ribs without a smoker, we slow cook in the oven, and make the Chili's BBQ sauce with smokey chipotle in adobo, or it can be made by liquid smoke instead. The flavor is found in the sauce, and the cooking secret is slow-braising which can keep the meat juicy and tender like the original. You can use the barbecue sauce suggested in the recipe below or use your favorite homemade or store-bought sauce. Hope you like it. Enjoy. :)
📍 Please follow us on Instagram:: https://www.instagram.com/sweetdumplingofficial/
📍 Welcome to follow us on FB: https://www.facebook.com/sweet.dumpling.studio/
-----------------------------------------------------------------------
How to make Oven-Baked Smoked BBQ Ribs
✎ Ingredients
pork ribs 950g
☞ for dry marinades
coarse salt 70g
black pepper 15g
ground white pepper 4g
cayenne pepper 2g
granulated sugar 3.5g
garlic powder 1.5g
onion powder 1.5g
☞ for BBQ sauce
chipotle peppers in adobo 7g
regular soy sauce 32g
tomato paste 70g
ketchup 20g
chicken broth 30g
apple cider vinegar 35g
dark beer 45g
fresh orange juice 87g
minced garlic 10g
chili powder 1.5g
onion powder 5g
salt 3g
black pepper 2.5g
light brown sugar 130g
1. Combine together coarse salt, black pepper, ground white pepper, cayenne pepper, granulated sugar, garlic powder and onion powder, mix well.
2. Line a baking tray with foil or parchment paper.
3. Place the ribs on the baking tray, pat dry the ribs with paper towels on both sides.
4. Using a sharp knife to take off excess fat. Just keep a little fat.
5. Remove the silver skins or whitish dense skin on the bone side of the ribs.
6. Then turn the meatier side facing up, generously season with 1 tablespoon of dry marinades.
7. Cover with another foil, shiny side out.
8. Preheat the oven to 135C, bake for 2.5~3 hours.
9. While the ribs bake, make the barbecue sauce. Add all the sauce ingredients together, using an immersion blender to blend the ingredients until smooth. Pour into a saucepan and cook over medium-low heat for 15-20 minutes, stirring often until thicker.
10. Once baked, remove foil and transfer to a new baking tray and brush ribs with the barbecue sauce on both sides. Let the bone side facing up.
11. Preheat the oven to 220C, bake for 5 minutes, then turn the meatier side facing up and brush a little bit of sauce and bake for 10 minutes or until ribs have been caramelized.
12. Transfer the ribs to a plate or a cutting board, brush with sauce again if needed and serve.
-----------------------------------------------------------------------
Chapter:
00:00 intro
00:35 Ingredients
01:07 how to make season spice
02:33 prepare the ribs
03:56 slow cook ribs in oven
04:55 how to make smoked BBQ sauce
08:32 caramelized the ribs
11:11 enjoy
-----------------------------------------------------------------------
#BBQRibs
#copycatRecipes
2g 3g 4g 5g 在 糖餃子Sweet Dumpling Youtube 的精選貼文
嗨!大家好,我是 Cassandre, 今天的『食不相瞞』要來複刻一款知名美式餐廳 Chili’s 的招牌料理,軟嫩多汁、吮指回味的 BBQ 燒烤美食:美式煙燻豬肋排。
在家裡用烤箱做出像美式餐廳那樣軟嫩多汁的 BBQ 豬肋排,一直都是我們心願,今年終於實現了(淚)。美式豬肋排美味的關鍵就在於醃料與燒烤醬,當然選擇一副肥瘦均勻的豬肋排也是重要的。
這次的食譜,我們複刻了知名美式餐廳 Chili’s 行政主廚分享的食譜,但因為有少部份食材買不到,所以做了小小的調整,但出來的味道果真令人驚艷,根本就是餐廳等級的風味,經過長時間的低溫慢烤,豬肋排已變得超級軟嫩,輕輕一掰就骨肉分離了;原本還擔心紅色的醬汁會辣口,結果是恰到好處的偏甜滋味。
我們有小小調查過,不同食譜的美式豬肋排燒烤醬,用到的食材都很多,如果你也想要體驗在家端出餐廳等級的美味,那麼儘可能按圖索驥絕對值得;或者也可以買現成的BBQ燒烤醬,再加一點香料做成偷吃步的版本 (影片後面的講評會分享做法) 也完全OK哦!對了,做好的調味香料跟燒烤醬不會一次用完,可以冷藏保存並應用於其它料理,做出名店風的BBQ美味,希望大家會喜歡這支影片。
📍 我們的IG: https://www.instagram.com/sweetdumplingofficial/
📍 我們的FB: https://www.facebook.com/sweet.dumpling.studio/
這支影片還有無人聲的 #ASMR 版本:https://youtu.be/UAENNVvNJq0
-----------------------------------
美式煙燻豬肋排 怎麼作呢?
下面是 美式煙燻豬肋排 的做法與食譜:
✎ 材料 Ingredients
豬肋排 950g, 份量可自由調整
☞ 乾醃料(調味香料)
粗鹽 70g
黑胡椒 15g
白胡椒粉 4g
卡宴辣椒粉 2g, 可用一般辣椒粉
細砂糖 3.5g
大蒜粉 1.5g
洋蔥粉 1.5g
☞ 燒烤醬
墨西哥煙煄辣椒 7g, 可用煙燻紅椒粉或少量煙燻汁(liquid smoke)代替
醬油 32g
番茄糊 70g
番茄醬 20g
雞高湯 30g
蘋果醋 35g
黑啤酒 45g
柳橙原汁 87g
大蒜末 10g
辣椒粉 1.5g
洋蔥粉 5g
鹽 3g
黑胡椒 2.5g
三溫糖或黃砂糖 130g
✎ 做法 Instructions
1. 將粗鹽、黑胡椒、白胡椒, 卡宴辣椒粉、白砂糖、大蒜粉、洋蔥粉混勻
2. 烤盤上舖上錫箔紙或烘焙紙
3. 把洗淨的豬肋排放在烤盤上,用廚房紙巾把兩面的水份擦乾
4. 用一把鋒利的刀去除多餘的脂肪,只留下一點點脂肪
5. 將肋排的骨頭面的一層筋膜撕掉,這樣吃起來口感會比較好
6. 接著把骨面朝下,肉面朝上,均勻地灑上一大匙的調味香料,抹勻
7. 用另一張錫箔紙覆蓋上,亮面朝外,略鬆的把肋排包裏住
8. 烤箱預熱135C, 烘烤 2.5~3 小時,如果肋排太大或太長,可以增加時間,總之要烤到刀子可以輕易插入的柔軟度
9. 在等待豬肋排烘烤的時間來製作醬汁,把所有材料都加在一起,用均質機或果汁機攪打成細緻的質地,再倒入小鍋中用中小火熬煮15-20分鐘,直到顏色變深、質地略稠即完成
10. 肋排烤好後轉移到有網架的烤盤上,然後兩面都均勻刷上特製的煙燻燒烤醬,先讓肋排骨面朝上
11. 烤箱預熱 220C, 烘烤 5-6 分鐘,接著把肋排翻成肉面朝上,再刷上一層醬汁,回到烤箱繼續用 220C 烘烤 8-10 分鐘,或直到表面焦糖化
12. 完成的豬肋排可以視需要再刷上一點燒烤醬,再搭配一些配菜就可以好好享用了
-----------------------------------------------------------------------
影片章節 :
00:00 開場
00:35 食材介紹
01:07 製作肋排調味香料
02:33 處理豬肋排
03:56 低溫慢烤豬肋排
04:55 製作煙燻風味燒烤醬汁
08:32 刷醬汁,焦糖化燒烤豬肋排
11:11 享用美味軟嫩骨肉分離的煙燻豬肋排
12:44 製作煙燻豬肋排技巧分享與注意事項
-----------------------------------------------------------------------
更詳盡的作法與 Tips,可以參考我們的食譜網站喔:
更多的食譜:
https://tahini.funique.info
-----------------------------------------------------------------------
#不用煙燻設備的煙燻豬肋排
#美式名店復刻版
#簡易甜點
More Info:
https://www.sweet-dumpling.com
FB Page:
https://www.facebook.com/sweet.dumpling.studio/
2g 3g 4g 5g 在 Les sens ciel Youtube 的最佳貼文
こんにちはLes sens cielです。
今回は去年出版した書籍の中から一つレシピをご紹介します!秋に食べるケーキとして作りましたが、口溶け抹茶ムースとさっぱりとしたレアチーズが軽やかで夏に食べても元気になれる一品だと思います!
3層のムースで一見難しそうに見えるかもしれませんがオーブンなしで作れるので、一層一層慌てずにしっかり冷やし固めていけばきれいに完成すると思います!
ぜひお試しください!
口溶け抹茶ムースとレアチーズ
Melting matcha mousse and rare cheese
型のサイズ Mold sizeΦ15cm
■Crispy Chocolate
100g cookies
100g white chocolate / chocolat blanc
10g coconut oil / huile de coco
■Matcha mousse
3g gelatin / gélatine en poudre
15g cold water / eau froide
2 egg yolks / jaunes d’oeufs
32g sugar / sucre
75g milk / lait entier
75g heavy cream35% / crème fraîche35%
8g matcha tea / thé matcha
60g heavy cream35% / crème fouettée35%
■Rare cheese cake
4g gelatin / gélatine en poudre
20g cold water / eau froide
120g cream cheese
20g powdered sugar / sucre glace
33g non-sugar yogurt / yogourt nature
100g heavy cream35% / crème fouettée35%
■Matcha milk jelly
2g gelatin / gélatine en poudre
10g cold water / eau froide
60g sweet condense milk / lait concentré
5g matcha tea / thé matcha
60g milk / lait entier
■クリスピーショコラ
クッキー(サクサクほろほろな物)100g
ホワイトチョコレート 100g
ココナッツオイル 10g
■抹茶ムース
粉ゼラチン 3g
冷水 15g
卵黄 2個
グラニュー糖 32g
牛乳 75g
生クリーム35% 75g
抹茶 8g
7割だて生クリーム35% 60g
■レアチーズ
粉ゼラチン 4g
冷水 20g
クリームチーズ 120g
粉糖 20g
無糖ヨーグルト 33g
7割だて生クリーム35% 100g
■抹茶ミルクゼリー
粉ゼラチン 2g
冷水 10g
練乳 60g
抹茶 5g
牛乳 60g
ーーーーーーーーー
レソンシエル初書籍
タイトル:ベルギーパティシエがていねいに教える とっておきのごほうびスイーツ
著者:レソンシエル
価格(本体):1300円
絶賛発売中!!
(アマゾン)
https://www.amazon.co.jp/dp/4046050241/
(楽天)
https://books.rakuten.co.jp/rb/16520405/
このレシピ本の紹介動画↓興味のある方はぜひチェックしてみてください!
https://www.youtube.com/watch?v=9u_ZbybNUYQ
ぜひよろしくお願い致します!!
ーーーーーーーーー
インスタグラムよかったらフォローよろしくお願いします♪
https://www.instagram.com/lessensciel.recette
youtubeには投稿しない様な日常的なことも投稿しています。
Twitterも始めました!インスタより更新頻度やや高め?かも。日々の事気軽にツイートしています。
https://twitter.com/Lessensciel2
ーーーーーーーーーーーーー
♪Music provided by EpidemicSound.com / Youtube Audio Library