Walk down memory lane
Copenhagen, Denmark
.
ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2016 การเดินทางไกลครั้งแรกของเราเกิดขึ้นหลังจากที่เราพึ่งเรียนจบหมาดๆ โดยที่เรามีหมุดหมายเป็นประเทศไอซแลนด์ แต่ก่อนจะไปถึงประเทศไอซแลนด์นั้นเราต้องแวะต่อเครื่องที่ Copenhagen ก่อน ตอนนั้นเราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเมืองนี้เท่าไรเลย รู้แค่ว่าจะต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสามวัน และพอให้อุ่นใจหน่อยที่รู้ว่าค่าครองชีพที่ถูกกว่าเมืองอื่นๆ ในยุโรป เวลานั้นเราเป็นนักศึกษาจบใหม่ ทริปนี้คือรางวัลใหญ่รางวัลแรกในชีวิต เราเลยต้องวางแผนการใช้เงินในทริปนี้ให้ดี แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจแลกเงินเก็บทั้งหมดกับประสบการณ์เปิดโลกครั้งแรก
.
Copenhagen, เรื่องราวการเดินทางสั้นๆ ในเมืองเล็กๆจึงเกิดขึ้น ทันทีที่เครื่องบินเราแลนด์ถึงพื้นเราจำได้ว่าเป็นเวลากว่า 5 ทุ่มแล้ว
เราดูนาฬิกาใหม่อีกทีเพื่อเช็คให้แน่ใจว่า 5 ทุ่ม
แสงของพระอาทิตย์ยังไม่ทันพ้นไปจากท้องฟ้า ผู้คนก็ยังคงใช้ชีวิตกันอย่างปกติ บรรยากาศในเวลา 5 ทุ่มในตอนนั้นเลยดูไม่ต่างกับเวลา 5 โมงเย็นของบ้านเราเลย
.
โคเปนเฮเกนคือเมืองหลวงของประเทศเดนมาร์ค ตั้งอยู่ในแถบสแกนดิเนเวีย ในช่วงที่เราเดินทางไปตอนนั้นเป็นฤดูร้อน ทำให้เมืองมีกลางคืนที่สั้นมาก ราวๆ 2-3 ชั่วโมง หรือที่ใครเคยได้ยินว่า ถ้าหน้าร้อนของยุโรป ยิ่งเข้าใกล้แกนขั้วโลกเหนือเท่าไร เราอาจได้พบเห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนหรือที่เรียกว่า Midnight Sun
.
เรานั่งรถไฟและต่อด้วยรถบัสเพื่อเดินทางเข้าที่พัก ความเย็นของอากาศค่อยๆลดลงเมื่อแสงอาทิตย์เริ่มหายไป รถไฟแล่นผ่านบ้านเรือนต่างๆ เรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ไม่ใช่แค่โครงสร้างของตัวตึก อาคารต่างๆ แต่โทนสีเองก็เป็นไปในโทนเดียวกัน ทำให้เมืองสี Earth Tone นี้กลายเป็นภาพที่แปลกใหม่ ตื่นตาตื่นใจสำหรับเราผู้ที่เพิ่งเคยเเดินทางไกลครั้งแรก
.
เราไม่เคยคิดว่าจะตกหลุมรักเมืองโคเปนเฮเกนได้ขนาดไหน จนกระทั่งเช้าตี 5 ของอีกวัน เราตื่นเร็วกว่าปกติเพราะร่างกายกำลังปรับตัวกับเวลาที่เปลี่ยนไป (เทียบกับที่ไทยตอนนั้น 11 โมงแล้ว) เมื่อข่มตาให้หลับต่อไม่สำเร็จเราเลยตัดสินใจลุกจากเตียง หยิบกุญแจบ้าน ใส่รองเท้าผ้าใบ เสียบหูฟังใส่หูทั้งสองข้างแล้วออกมาเดินเล่นคนเดียว ตี 5 ของที่นั้นในตอนนั้นยังไม่สว่างดี แม้บรรยากาศชวนให้ขี้เกียจนิดหน่อย แต่เราก็ตื่นเต้นที่จะได้เห็นเมืองนี้ในเวลาเช้าวันใหม่ เราเดินตามทางไปเรื่อยๆ พบเห็นอาคารบ้านเรือนที่มีลักษณะคล้ายๆกันทอดตัวยาวไปเรื่อยๆ โครงสร้างอาคารส่วนมากหลักๆ จะประกอบไปด้วยอิฐ ปูน กระเบื้อง เรียกได้ว่าเป็นเมืองที่เน้นการออกแบบสถาปัตย์ให้ออกมาเรียบง่ายและเลือกใช้แต่วัสดุที่เป็นสัจจะวัสดุ โทนสีก็คุมโทน ออกมาเป็นแค่ส้ม แดง น้ำตาลและครีม
ย่านที่เราพักอาศัยอยู่จะเรียกว่า Old Town ก็ไม่เชิง และเพราะทุกตึกถูกกำหนดให้ใช้รูปแบบอาคารรวมถึงสีที่ใกล้เคียงกัน มันเลยกลายเป็นภาพที่ดูแล้วสบายตาสบายใจมากเลยทีเดียว
.
พอสัก 7 โมงเช้าผู้คนเริ่มทยอยกันออกจากบ้าน แม้จะเป็นเวลาเริ่มต้นออกไปทำงาน แต่แปลกมากที่เราไม่ค่อยเห็นผู้คนรีบร้อนออกไปทำงานอย่างเมืองอื่นๆ สังเกตได้จากเสื้อผ้า ความเคร่งเครียดหรือความขวักไขว่ที่มีให้เห็นอย่างบางตา กลายเป็นภาพของทุกคนในเมืองกำลังออกมาใช้ชีวิต คนที่เดินสวนกับเรามีทั้งจูงสุนัขเดินเล่น วิ่งออกกำลังกาย หรือไม่ก็กำลังดูแลต้นไม้ที่หน้าบ้านตัวเอง จนถึงตอนที่เรามีโอกาสได้พูดคุยกับคนที่อาศัยอยู่ในเมือง ตอนนั้นเองเลยได้เข้าใจว่าคุณภาพชีวิตของคนในเมือง คือเวลา เวลาที่มากพอที่จะทำให้เราไม่ต้องรีบร้อนในตอนเช้า การจราจรที่ไม่ติดขัด ผังเมืองที่เอื้อต่อการเดินทาง และการไปทำงานที่ไม่ต้องเผื่อเวลาเยอะๆ เวลานั้นเองที่เราเข้าใจแล้วว่าทำไม Copenhagen ถึงได้รับรางวัลเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกหลายปีซ้อน ก็มันน่าอยู่จริงๆนั่นแหละ
.
พอเริ่มสายหน่อย เราที่กำลังจะขึ้นรถไฟกลับบ้าน แต่ก็ต้องตกใจมากที่รู้ตัวอีกทีว่าลืมเอาตั๋วรถไฟแบบราย 3 วันขึ้นมาด้วยไปสนิท
สำหรับระบบสาธารณะของที่โคเปนเฮเกน ที่นี่ใช้ระบบความเชื่อใจ จะไม่มีการแสกนบัตร แต่ถ้าหากที่เจ้าหน้าที่มาสุ่มขอดูบัตรเราก็จะต้องมีให้เค้าดู แต่เราดันไม่มี และโชคดีซะด้วยที่วันนั้นเราก็บังเอิญเจอเจ้าหน้าที่จริงๆ ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่เรากล่าวขอโทษเจ้าหน้าที่คนนั้น และเสียค่าปรับไปตามกฎระเบียบ นี่ไง เหตุผลที่คนที่นี่เค้าไม่ใช้ชีวิตรีบๆ กันเวลาจะออกจากบ้านเพราะมันจะลืมพกตั๋วรถไฟออกมานี่เอง
.
เรากลับมาถึงบ้านมา เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แต่งตัวสบายๆ ใส่รองเท้าผ้าใบเหมือนเดิมเพราะอยู่ที่นี่เราเน้นเดินเป็นหลัก ตอนนั้นด้วยความที่ไม่ได้ทำการบ้านมาเท่าไหร่ แพลนของเราส่วนใหญ่เลยมีแต่การไปสวนสาธาณะและการไปเยี่ยมชมพระราชวังที่เต็มไปด้วยดอกกุหลาบ กลิ่นของไอหญ้าลอยฟุ้งทั่วเมือง ช่างเป็นเมืองที่หอมกลิ่นธรรมชาติจริงๆ อันนั้นเราไม่ได้พูดเกินจริงแต่อย่างใด ใครที่เคยไปเมืองนี้น่าจะเข้าใจได้ แต่ถึงอย่างนั้นแล้วกลายเป็นว่าที่โคเปนดันจะมีฤดูกาลนึงที่ทุกคนในเมืองจะพร้อมใจกันเป็นภูมิแพ้ เพราะด้วยความที่ต้นไม้เยอะมาก เมื่อถึงฤดูที่ต้นไม้และดอกไม้ผลัดใบเลยทำให้เกสรลอยฟุ้งทั่วเมือง พัดพาไปยังบ้านเรือนต่างๆ ประชากรในเมืองจำนวนไม่น้อยเป็นโรคภูมิแพ้เกสร เราจะเห็นว่าคนในเมืองจะจมูกแดง ตาแดง และจามกันอย่างหนัก แต่เป็นแค่ไม่นานก็หายไป เพราะยังไงใจความสำคัญของที่นี่คือการมีชีวิตในเมืองที่อยู่ใกล้กับธรรมชาติที่สุด
.
และอีกหนึ่งที่ที่ทำให้เราตกหลุมรักโคเปนมากๆ ก็คือการที่มีเขตกัญชาเสรี หรือที่คนที่นี่เรียกว่าหมู่บ้านคริสเตียเนีย อยู่ในย่าน Free town พื้นที่ปกครองตนเองที่สามารถทำอะไรก็ได้ ภายใต้กฏหมาย บรรยากาศในหมู่บ้านข้างในดูแตกต่างจากด้านนอกสิ้นเชิง ราวกับคนละโลก เหมือนเป็นพื้นที่ที่คนในเมืองได้เข้ามาปลดปล่อยจากกฏระเบียบต่างๆ เพิ่มความสุขและอิสระให้กับตัวเอง เลยทำให้มองไปทางไหนเราก็จะคนที่นี่ถึงยิ้มแย้ม หน้าตาสดใสกันตลอดเวลา และเราก็เข้าใจว่าทำไม 🙂
.
ยิ่งช่วงนี้เราได้เห็นภาพของเมืองโคเปนเฮเกนบ่อยๆ จากสื่อต่างๆ ว่าเป็นเมืองที่ได้รับการยอมรับว่ามีผังเมืองที่ดีที่สุด และผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นอันดับต้นๆแม้จะผ่านมาหลายปีจากครั้งที่เราไปมา อดคิดถึงโคเปนเฮเกนขึ้นมาไม่ได้ เมืองที่เราได้ใช้เวลาสั้นๆ แต่ประทับใจ เหมือนนึกถึงเมื่อไรก็รู้สึกได้ถึงลมเย็นๆ ของในเมืองนั้นเลย สำหรับเรา ถ้าถามว่าในหลายๆประเทศที่เคยไปและอยากกลับไปไหนที่สุด ถ้าไม่นับอังกฤษ ที่นี่แหละคือที่ที่เราอยากจะกลับไปใช้เวลาให้มากกว่าเดิม อยากทำความรู้จักโคเปนเฮเกนให้มากกว่านี้
.
Love you since 2016
Mars
#ABOVETHEMARS
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「abovethemars」的推薦目錄:
- 關於abovethemars 在 Facebook 的精選貼文
- 關於abovethemars 在 Facebook 的最佳解答
- 關於abovethemars 在 Facebook 的精選貼文
- 關於abovethemars 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳貼文
- 關於abovethemars 在 大象中醫 Youtube 的精選貼文
- 關於abovethemars 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
- 關於abovethemars 在 ABOVE THE MARS | Facebook 的評價
- 關於abovethemars 在 abovethemars (rongfeet) - Profil | Pinterest 的評價
abovethemars 在 Facebook 的最佳解答
Love you to Himalayas
Namaste Annapurna Base Camp
เนปาล...นานมาแล้ว
.
เรื่องเล่าบทสุดท้ายของการเดินทางสู่หิมาลัย
การเดินทางที่แสนเหนื่อยและคุ้มค่าที่สุดในชีวิต
.
----------------------------------------------------
.
หลังจากออกจาก Poon Hill เราก็ที่จะเริ่มเข้าสู่เขตตีนเขาของหิมาลัย ทางเดินเริ่มมีหลากหลายระดับ และท้าทายความอดทนของร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ ปอดและหัวใจของเราทำงานอย่างหนักหน่วง ช่วงเวลาที่เสียงของลมหายใจดังชัดมาก เมื่อเริ่มเข้าใกล้เทือกเขาหิมาลัย ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวเนปาล ที่เชื่อว่ายอดมัจฉาปูชเรเป็นที่ประทับของพระแม่อุมาเทวี เทพสตรีในศาสนาฮินดูที่ชาวเนปาลให้ความนับถืออย่างมาก ดังนั้นการเดินทางเข้าเขตศักดิ์สิทธิ์นี้นั้น ทำให้อาหารหลักในแต่ละมื้อของเราจะมีเพียงแค่ผักพื้นบ้าน เนื้อสัตว์จะมีเพียงปลาและไข่เท่านั้น จะไม่สามารถนำเนื้อสัตว์ใหญ่เข้าเขตนี้ได้ พวกเราที่พกมาม่าหรือโจ๊กคัพรสไก่มาด้วยก็ต้องระบายเสบียงกันให้หมดก่อน และข้อห้ามเด็ดขาดที่หัวหน้าไกด์บอกกับเราคือ ระหว่างทางเดินห้ามทิ้งขยะลงพื้นเรี่ยราด ห้ามถ่มน้ำลายลงตามพื้นดิน เหล่าผู้ชายทั้งหลายต้องทำธุระเป็นที่ในห้องน้ำเท่านั้น เพราะเชื่อว่าจะทำให้การเดินทางไม่ราบรื่น เมื่อเราทุกคนรับรู้อย่างนั้น แน่นอนเราปฏิบัติตามตามคำบอกของบักตะ เราเคารพธรรมชาติ ความสวยงามขนาดนี้ไม่ควรแปดเปื้อนจากเศษขยะของผู้มาเยือนอย่างเรา
.
เราต้องใช้เวลาเดินอีก 3 วันที่เราจะถึง Base Camp มาถึงจุดที่ร่างกายเริ่มออกอาการงอแง ไม่เคยคิดว่าแค่การก้าวขาไปข้างหน้ามันจะยากเย็นได้ขนาดนี้ ช่วงวัดใจที่แท้จริงมาถึงแล้ว เหนื่อยจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง ใจที่ว่าแข็งก็ยังกลายเป็นความลังเลว่าจะพอแล้วหรือไปต่อเพราะลิมิตของร่างกายมันฟ้อง เท้าที่ก้าวไปพร้อมกับความคิดที่ตีกันในหัวตัวเองไม่หยุด ถ้าขาดเพื่อนกับไกด์ที่คอยเชียร์ให้กำลังใจเรื่อยๆ ไม่แน่เราอาจถอดใจจากหิมาลัยไปแล้วก็ได้ ระหว่างทางเราก็จะได้เจอเพื่อนร่วมทางกลุ่มอื่นๆ และนักเดินทางที่กลับลงมาจากหิมาลัย เราเดินมาเจอกับชาวต่างชาติที่กำลังเดินกลับ เดาว่าหน้าตาเราคงจะเหยเกและดูจะขาดใจเอามากๆ จนผู้หญิงที่กำลังจะเดินผ่านเราไปหยุดแล้วเอามือสองข้างจับที่บ่าของเราแล้วพูดเป็นกำลังใจสั้นๆ ว่า “Slow and Steady” และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ถึงจะชื้นใจขึ้นมาหน่อย แต่สุดแล้วเราสองคนเป็นขาประจำเดินรั้งท้ายสุดอยู่ดี เรามาถึงที่หมายก็ใกล้หมดวันเต็มแก่ แน่ละเราจะถึงเป็นกลุ่มสุดท้ายตลอด ยิ่งตกดึกอากาศยิ่งเบาบางและเย็นจัด อาหารเย็นที่ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมกันตากันอย่างคึกครื้นเวลานี้ค่อนข้างเงียบ เราแทบกินอะไรไม่ลงเลย เพราะความล้าที่สะสม เราต้องอาศัยมาม่ารสต้มยำกุ้ง (ไกด์บอกว่าพกขึ้นมาได้) ประโลมชีวิตให้ได้มีรสชาติบ้างหน่อย
เมื่อจบมื้อเย็นทุกคนแจกจ่ายยาแก้ปวดให้กันแล้วต่างแยกย้ายไปนอน ไม่มีเวลามาจอแจสนุกสนานเหมือนวันแรกๆ เพราะต้องนอนเอาแรงกลับมาให้เยอะที่สุด สำหรับวันรุ่งขึ้น
.
The Mountain Sound
.
เราตื่นกันแต่เช้าตรู่ เดินออกมาจากห้องแล้วสิ่งแรกที่ปะทะสายตาคือหิมาลัยที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เราทุกคนมีสีหน้าเดียวกันคือสองตาวาวเป็นประกาย ใกล้แล้ว ใกล้มากๆ อีกอึดใจเดียวจะถึงแล้ว วันนี้คือวันสุดท้ายที่เราจะถึง Base Camp เราเดินผ่านลำธารเล็กๆ ข้ามเนินเขา และเลียบแม่น้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะบนยอดเขา วิวสองข้างทางกลายเป็นหินผา ทุ่งหญ้าสีเหลือง เราแทบไม่เห็นความเขียวขจีเหมือนกับก่อนหน้านี้แล้วคงเพราะด้วยอุณหภูมิที่ลดลงต่ำของอากาศบริเวณตีนเขา ความซับซ้อน และชันของแต่ละเนิน บวกกับอากาศที่เย็นทำให้เราเดินช้าลงยิ่งกว่าเดิม จนทิ้งท้ายจากคนอื่นๆ เหลือแค่เรากับเป็ปและบอลลี่กันแค่สามคน หมอกเริ่มลอยต่ำจนแทบไม่เห็นข้างทางและทางข้างหน้าเท่าไหร่แล้ว บอลลี่กำชับให้เรารีบทำเวลาเพราะสภาพอากาศดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจ เราอาจจะเจอกับพายุหิมะได้ เราเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ปลายทางเพราะหมอกที่หนาขึ้นเรื่อยๆ จมูกเริ่มแสบจนต้องหายใจทางปากช่วย ขอบตาและหน้าชาไปด้วยความเย็น พอเดินไปได้สักพักเราก็รู้สึกเหมือนหยดน้ำเล็กๆ ตกลงมาบนหน้า ฝนโปรยปรายลงมาแล้ว เราพยายามรีบเดินเท่าที่เท้าจะก้าวไหว ตอนนี้ละอองฝนเปลี่ยนไปเป็นก้อนน้ำแข็งจิ๋วๆ นิ่มๆ เราหันไปถามบอลลี่ด้วยความตื่นเต้นว่านี่คือหิมะใช่ไหม บอลลี่ยิ้มและบอกว่าไม่ใช่ นี่คือลูกเห็บจิ๋วๆ ถ้าเป็นหิมะมันจะลอยพลิ้วอยู่ในอากาศ พร้อมกับทำมือประกอบให้เราดู ว่าอย่างนั้นแล้วเราก็เดินกันต่อ อากาศเริ่มดูท่าจะแย่ลงสองข้างทางเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน หมอกทึบจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า เราเปิดเพลง Your Bone ฟังซ้ำๆๆ พยายามให้มีสมาธิอยู่กับลมหายใจมากที่สุด และอย่างที่บอกเวลานั้นทำนองและเนื้อหาของ Of Monster and Men เป็นอะไรที่เข้ากับบรรยากาศที่สุดแล้ว ทำนองของกลองเต้นเป็นจังหวะเดียวกับเสียงหัวใจของเราในตอนนั้น
.
in the spring we made a boat
out of feathers, out of bones.
we set fire to our homes,
walking barefoot in the snow.
.
และแล้วเกร็ดน้ำแข็งสีขาวเล็กๆ ก็ปลิวลงมาผ่านหน้าเราไป เรายืนมือออกมาเกร็ดหิมะค่อยๆ ร่วงลงบนมือเราอย่างช้าๆ เหมือนกับภาพสโลว์ในฉากหนัง เราตะโกนถามบอลลี่ทันที ว่าใช่ไหม ใช่รึยัง บอลลิ่ยิ้มให้เหมือนเดิมแล้วพยักหน้า เราหันไปมองหน้าเป็ปแล้วตื่นเต้นกันสองคน แต่สิ่งที่เป็ปตื่นเต้นไม่ใช่แค่หิมะ แต่เป็นป้ายไม้ที่ตั้งอยู่กลางหิมะเขียนว่า "Namaste Annapurna Base Camp Warmly Welcome to all internal & External Visitors" เป็นการดีใจที่สุดแต่ไม่มีเสียง ฮ่าๆ ถึงแล้ววววว เรามาถึงแล้วในที่สุดดดด เราขอบอลลี่หยุดถ่ายรูปสักพักกับหิมะแรกของวัน และถ่ายรูปคู่กับป้าย ไม่นานหิมะก็ดูท่าจะตกหนักขึ้น เราเลยต้องรีบเดินเข้าเบสแคมป์ เราเห็นเหล่าลูกหาบของกลุ่มเรายืนโบกมือให้อยู่หน้าที่พัก เราเดินผ่านซุ้มโค้งที่ประดับด้วยใบไม้แห้งๆ กับธงมนต์ เหมือนเป็นประตูชัยของการเดินทางครั้งนี้ ยิ้มออกได้ในที่สุดเมื่อก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย พร้อมเสียงปรบมือของลูกหาบและไกด์ที่ยืนรอ เราหันไปขอบคุณบอลลี่ และเข้าไปพักที่โถงกลาง ที่เป็นเหมือนห้องกินข้าว บนนี้ไม่มีเครื่องให้ความอบอุ่นเพราะอุณหภูมิที่ติดลบของที่นี่ทำให้การจุดไฟจะยิ่งทำให้อากาศบางลงกว่าเดิม แม้ตัวจะเย็นเฉียบแต่หัวใจเรากลับอุ่นไปด้วยไฟจุดเล็กๆ
.
troubled spirits on my chest where they laid to rest.
the birds all left my tall friend as your body hit the sand.
million stars up in the sky formed a tigers eye
that looked down on my face, out of time and out of place.
so hold on, hold on to what we are,
hold on to your heart.
.
บรรยากาศของอาหารเย็นเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทุกคนตื่นเต้นกับการพิชิต ABC ได้สำเร็จ และที่สำคัญสมาชิกทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ปลาทูต้มหวานที่ส่งตรงมาจากบ้านเพื่อนเราที่ชุมพรกลายเป็นอาหารแสนอร่อยและหรูหราที่สุดบนหิมาลัย เราแบ่งปลาทูแพ็คที่เหลือให้กับไกด์ ลูกหาบ เจ้าของเบสแคมป์ และกลุ่มพี่ๆ คนไทยโต๊ะข้างๆ ที่ออกเดินทางมาพร้อมๆ กันกับกลุ่มของเรา เราแลกเปลี่ยนพูดคุยกันอย่างสนิทสนม คงเป็นเพราะประสบการณ์ร่วมของการเดินทางครั้งนี้ แต่ละคนออกคุยอย่างออกรสกันสนุกสนานเพราะเหมือนเพิ่งรอดตายมาได้สดๆ ร้อนๆ เมื่อพอหอมปากหอมคอกันแล้ว พวกเราก็ต่างบอกลาและแยกย้ายกันเข้าห้องนอน เพราะพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญที่ต้องตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น
.
Love You To Himalayas
.
หมดพายุจากเมื่อวานแล้วหลงเหลือแต่กองหิมะสีขาวโพลน ที่ตอนนี้ปกคลุมไปทั่วทุกที่ ยอดเขาที่เราหมายใจเอาไว้อยู่เบื้องหน้าเราแล้ว แม้จะเช้าแล้วแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเห็นแสงสว่างจากพระอาทิตย์ เพราะเมฆหนาสีเทา ภาพบรรยากาศเลยเหมือนถูกย้อมด้วยสีฟ้าหม่นๆ เราซึบซับภาพตรงหน้าไว้นานเท่าที่ร่างกายจะทนความหนาวได้ ใช้เวลาอยู่กับปัจจุบันในขณะนั้นอย่างตั้งใจ เพราะไม่มีสักนาทีเลยที่อยากจะละสายตาไปเลย หิมาลัยอยู่ตรงนั้น หิมาลัยอันทรงสง่า แม้จะผ่านกาลเวลาเนิ่นนานปีแล้วปีเล่าก็ยังคงงดงามตลอดมาและตลอดไปเท่าอายุขัยของโลกใบนี้
.
เราใช้เวลาเสพสมกับรางวัลตรงหน้าของเราอยู่นาน เรากลับเข้ามาที่ห้องโถง นั่งลงและเขียนโปสการ์ดที่ติดขึ้นมาด้วย ใบนึงถึงตัวเองและที่เหลือถึงเพื่อนสนิท เมื่อเขียนเสร็จเราถามกับเจ้าของเบสแคมป์ว่าจะรบกวนส่งโปสการ์ดนี้ให้เราได้ไหม เพราะเราอยากได้ตราแสตมป์ของ ABC เค้ามองหน้าเราแล้วอมยิ้มเล็กๆ พร้อมกับขอโปสการ์ดไปและแสตมป์ตรา ABC ลงวันที่ 12 April 2018 ลงไป ดีใจมากกกกก ขอบคุณเค้าแล้วยิ้มไม่หยุดเลย (หลังจากนั้นอีกสามอาทิตย์โปสการ์ดก็ถึงมือทุกคน) เราทานอาหารเช้ากันพร้อมหน้าพร้อมตา คุยเล่นกันตามประสา และแน่นอนมื้อนั้นเป็นอาหารเช้าที่วิวสวยที่สุดในชีวิต ถึงช่วงสายๆ เราเตรียมตัวและเตรียมใจกันบอกลาหิมาลัย เพื่อจะเดินกลับแล้ว ยากที่จะบอกลาเหมือนกัน เหมือนยังใช้เวลาไม่พอ เสพยังไม่เต็มอิ่ม แต่เราคิดว่านั่นเองที่ทำให้หิมาลัยงดงามตรึงอยู่ในหัวใจเราจนถึงทุกวันนี้
.
ขาเดินกลับเป็นอะไรที่ทรหดมาก วันขาลงจาก ABC เราต้องรวบระยะทางของขามา 2 วันให้เหลือวันเดียว แทบตายแบบตายของจริง เริ่มด้วยอากาศหนาวสุดๆ พอกลับลงมาก็เจอกับอากาศร้อน และพลาดไม่ได้เลยคือตามมาด้วยฝน และเพราะทางลาดลงทำให้หัวเข่าเราเริ่มเจ็บแปลบ จากที่เดินช้ามากๆ อยู่แล้วคราวนี้ยิ่งไปกันใหญ่ รั้งท้ายห่างจากคนอื่นๆ ไกลขึ้นเรื่อยๆ เราเดินทำเวลากันอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟ้าค่อยๆ มืดลงจนพวกเราที่รั้งท้ายเริ่มกังวล ทั้งไม่แน่ใจว่าระยะทางอีกไกลแค่ไหนและไหนจะทางลาดชันลื่นๆ อีก ในที่สุดความมืดครอบคลุมจนเรามองไม่เห็นอะไรอีกเลย มีเพียงแค่ไฟฉายดวงเดียวของบอลลี่เท่านั้นที่นำทางเรา ตอนนั้นมีแค่เสียงลมหายใจและฝนที่โปรยปรายลงมาไม่หยุด เราก้มหน้าก้มตาเดินจ้ำอ้าวเพื่อไปให้ถึงบ้านพักเร็วที่สุด เราเดินกันไปอย่างไม่รู้เวลาร่ำเวลา จนมีเงาลางๆ ข้างหน้าเราเห็นเหมือนมีคนกำลังเดินสวนมา พวกเราต่างคิดในใจกันว่าคงจะเป็นชาวบ้าน จนเมื่อใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แล้วฝั่งนั้นทักมาว่า นมัสเต เราเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัน ปรับสายตาให้โฟกัส แล้วก็ร้องดีใจออกมาว่า พี่ตี๋!!! พี่ตี๋คือพี่แก๊งลูกหาบของกลุ่มเราเอง เค้าเดินมารับพวกเราเพราะเริ่มกังวลว่ายังมาไม่ถึงสักที ดีใจจนน้ำตาไหลเลย พี่ตี๋คุยกับบอลลี่แล้วบอกว่าอีกประมาณ 15 นาทีก็จะถึงจะบ้านพักแล้ว เป็นเวลาเกือบสามทุ่มที่เรามาถึงเป็นกลุ่มสุดท้าย บักตะที่รอพวกเราอยู่พาไปยังห้องพักและพาไปกินข้าว แต่พวกเราเหนื่อยและล้ากันเกินกว่าจะกินอะไรลง เลยขอแค่น้ำขิงผสมน้ำผึ้ง แล้วเข้านอนเลย
.
ในตอนเช้าเราเลยปรึกษากันในกลุ่มว่าอาจจะเดินกลับอย่างที่เดินขามาไม่ไหว เพราะนอกจากเราสองคนกันเอง คนอื่นๆ เองก็เริ่มล้าและเจ็บหัวเข่าตามๆ กันแล้ว พวกเราเลยคุยกับบักตะถึงว่าจุดไหนที่รถเข้าถึง ที่ใกล้มากที่สุด เราจะไปที่นั่นและนั่งรถยิงยาวเข้าไปที่โพคาราเลย ข่าวดีคือเดินเพียง 1 วันเท่านั้น เท่ากับว่าเย็นนี้เราไปถึงหมู่บ้านที่ว่า และเช้าวันถัดไปก็เดินต่ออีกนิดนึงไปขึ้นรถกลับ เรี่ยวแรงเริ่มกลับมาฮึดอีกครั้งพอรู้ว่าเป็นวันสุดท้ายแล้ว เรามาถึงหมู่บ้านที่จะเป็นที่พักคืนสุดท้ายของการเดินประมาณเกือบ 4 โมง ตอนนี้ทุกคนดูจะสดใสที่จะได้รู้ว่าจะมีรถมารับในวันพรุ่งนี้รวมถึงเราด้วย ที่นี่พอมีสัญญาณโทรศัพท์อยู่หน่อยทุกคนเลยรีบแยกยัายกันไปโทรหาที่บ้าน เพราะขาดการติดต่อไปหลายวัน จากนั้นทุกคนก็มานั่งรวมตัวกันที่ห้องเดียว แล้วคุยเกี่ยวกับทริปนี้ จำรายละเอียดไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไรบ้าง แต่จำได้ว่าหัวเราะกันท้องแข็ง คุยกันไป เราเริ่มได้ยินเสียงจากด้านนอกดังเข้ามาสู้เสียงในห้องเรา พวกเราเปิดประตูออกไป เหล่าไกด์และลูกหาบของเราและกลุ่มอื่นกำลังนั่งลอมวงร้องเพลงสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน เราฉุกคิดขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ 14 เมษา วันขึ้นปีใหม่ของชาวเนปาล ทุกคนร้องเพลง ปรบมือเป็นจังหวะแล้วออกมาเต้นกันอย่างมีความสุข พวกเราเองก็ไปร่วมวงด้วยอยู่สักพักนึงพร้อมกับอวยพรสวัสดีปีใหม่กับผู้นำทางของเรา เป็นบรรยากาศที่เรียบง่าย อบอุ่น และน่ารักจนเราอดไม่ได้ที่จะยิ้มและอบอุ่นหัวใจตามไปด้วย
.
วันรุ่งขึ้นเราขึ้นรถกลับมาพักที่โพคาราหนึ่งคืน และกลับมายังกาฐมาณฑุอีกหนึ่งคืนก่อนบินกลับบ้านในวันถัดมา จู่ๆ เวลาก็ผ่านไปไวอย่างน่าเหลือเชื่อ เราพูดกับตัวเองในวันนั้นว่าโชคดีจริงๆ สำหรับการตัดสินใจออกเดินทางในครั้งนี้ แม้จะเหนื่อยที่สุดในชีวิต แต่มันก็คุ้มค่าที่สุดในชีวิตเช่นกัน เราทิ้งความคิดถึงเอาไว้ที่นั่น เราเก็บความทรงจำที่ดีที่สุดกลับมา
.
การเดินทางที่ดีคือการเดินทางที่ทำให้กาลเวลาได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง ทริปนี้เป็นทริปที่เรายังคิดถึงอยู่เนืองๆ คุยกี่ครั้งกี่ทีก็ไม่เบื่อ บอกทุกคนที่มีโอกาสให้ได้ลองไป ลองไปเห็นด้วยตา ไปค้นพบหิมาลัยของตัวเอง
.
จากวันนั้นเราค้นพบหิมาลัยของเราแล้ว งดงาม เรียบง่าย
และไม่ว่าชีวิตจะเป็นเช่นไร ย่อมมีความงามซ่อนอยู่ ณ ที่ใดสักแห่งเสมอ
.
Love you to Himalayas,
Mars
.
#ABOVETHEMARS
#NEPAL
abovethemars 在 Facebook 的精選貼文
Traveling Through People — 02
with Patcha Kitchaicharoen
We’re all beautifully connected with each other
by a love for travel.
Sometimes it’s not just meant to seeking around the world,
but a whole world of someone’s mind.
The journey can change you, that might hurt sometimes,
or can even break your heart or leaves a beautiful mark on your memory, you will take it within your heart, your body, your soul and you leave something good behind...
.
‘การเดินทางผ่านผู้คน’
.
การเดินทางท่องไปในโลกของใครสักคนเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นไม่น้อยกว่าการเก็บกระเป๋าลากออกจากบ้าน มันเป็นเสน่ห์ที่น่าดึงดูดมากๆ สำหรับเราคงพูดได้เต็มปาก เพราะด้วยรู้สึกดีทุกครั้งเวลาได้มีส่วนร่วม ได้ฟังประสบการณ์ มุมมอง และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันผ่านบทสนทนาเหล่านั้น จะว่าเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของใครของมันก็คงได้ เพราะแต่ละเรื่องราวจะถูกเล่าออกมาแตกต่างกันออกไป ต่อให้ไปเที่ยวสถานที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน แต่เราต่างคนต่างเสพบริบทได้ไม่เหมือนกัน และนั่นเองที่เราคิดว่ามันคือหัวใจสำคัญที่ทำให้เรื่องของแต่ละมันคนพิเศษ… พิเศษในแบบของตัวเอง
.
อย่างที่บอกเราว่าโลกอาจไม่สวยงามและมีชีวิตชีวาได้เลย หากไม่มีการบอกเล่าต่อ
.
Traveling Through People ครั้งนี้เราคิดถึงพี่แพรว Patcha Preaw ขึ้นมาเป็นคนแรกๆที่อยากไปนั่งคุยด้วย ด้วยความที่เราสองคนรู้จักพี่แพรวอยู่แล้ว เคยสังสรรค์กันเป็นครั้งคราวตามงานปาร์ตี้มหาลัย ในฐานะรุ่นน้องเราเห็นพี่แพรเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ผ่านประสบการณ์มากมายทั้งในเรื่องการทำงาน ความรัก และชีวิตส่วนตัวอื่นๆ เรามองว่าสิ่งเหล่านั้นมันหล่อหลอมให้พี่แพรวแข็งแรง สวยงามอย่างพอดีพอเหมาะอย่างที่เป็นจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่มีอะไรได้มาอย่างง่ายดาย แต่ชีวิตนั้นเองที่ขัดเกลาให้เราเป็นเราในทุกวันนี้
.
จริงๆ การถ่ายทำนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อกลางปีที่แล้ว เราใช้เวลานานมากจริงๆ ในการคัด ตัดต่อ เพราะวันนั้นจำได้ว่าสิ่งที่เราคุยกันมันเยอะแยะไปหมด และไร้สาระไม่น้อยด้วย 555 ขอบคุณพี่แพรวอีกครั้งที่ให้เราได้ไปเที่ยวเล่นนั่งคุยด้วย มันสนุกมากๆ และสปาเกตตี้กุ้ง เมนูจาก #girlwhotrytocook อร่อยจนกินหมดจานเลย
.
และตอนนี้พี่แพรวกำลังออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อเติมเต็มและสานต่อกับโปรเจกต์ส่วนตัวเราสองคนหวังว่าจะได้กลับมานั่งฟังเรื่องสนุกๆ ของพี่แพรวอีก เราขอฝาก Travelling Through People ของตอนนี้เอาไว้เผื่อได้เป็นจุดประกายเล็กๆ ให้ชีวิตได้รู้สึกมีพลังขึ้นมากับช่วงที่เราโหยหาการเดินทางมากยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
.
With love,
from Mars
.
#ABOVETHEMARS
#TRAVELLINGTHROUGHPEOPLE
abovethemars 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳貼文
abovethemars 在 大象中醫 Youtube 的精選貼文
abovethemars 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
abovethemars 在 abovethemars (rongfeet) - Profil | Pinterest 的推薦與評價
Lihat apa yang ditemukan abovethemars (rongfeet) di Pinterest, koleksi ide terbesar di dunia. ... <看更多>
abovethemars 在 ABOVE THE MARS | Facebook 的推薦與評價
We travel not to escape life. But, for life not escape us. Page · Personal blog. [email protected]. abovethemars.com ... ... <看更多>