Anger, aggression and bitterness are like thieves in the night who steal our ability to love and care. Is it possible to turn that negativity around and chill out so we can wish our abuser well? This may sound challenging or even absurd, but it can make life's difficulties far more tolerable.
🌞 Recognize no one harms another unless they are in pain themselves. : Ever noticed how, when you're in a good mood, it's hard for you to harm or hurt anything? But when you are in bad mood, you are more impulsive.
🌞 No one can hurt you unless you let them: When someone hurts us, we are inadvertently letting them have an emotional hold over us. Instead, if someone yells at you, let them scream; it makes them happy!
🌞 Respect yourself enough that you want to feel good: Don't respond to them with negativity, turn it around within yourself and began to wish them well.
🌞 Consider how you may have contributed to the situation: It's all too easy to point fingers and blame the perpetrator, but no difficulty is entirely one-sided. So contemplate your piece in the dialogue or what you may have done to add fuel to the fire.
🌞 Extend kindness: That doesn't mean you're like a doormat that lets others trample all over you while you lie there and take it. But it does mean letting go of negativity sooner than you might have done before so that you can replace it with compassion.
🌞 Meditate: Meditation takes the heat out of things and helps you cool off, so you don't overreact. A daily practice we use focuses on a person we may have difficulty with or have a problem with us. We hold them in our hearts and say: "May you be well! May you be happy! May all things go well for you!"
Been there, done that and I know by first-hand experience that reacting to hate and bitterness is only allowing yourself to feel bad for something you didn't do (in most cases). The best thing you can do is put yourself out of the drama and be at peace.
What do you do when someone mistreats or angers you? Comment below.
#thegiftofgiving #peacefulvibes #becompassionate #personalgrowthjourney #socialmediainfluencer #healingthroughwords #sharminjeet
同時也有60部Youtube影片,追蹤數超過92萬的網紅ochikeron,也在其Youtube影片中提到,DAISO Mess Tin (500yen) became very popular in June 2020 and still hot now in 2021. I recorded this video last year btw 😅 It was pretty fun to cook r...
fire the hold 在 Facebook 的最佳解答
Topic: Struggling with Stress Eating
This was me 7 days ago
I resisted eating like a mad dog for 5 days after my recent F Up, but sadly I just repeated another stress eating, finished devouring so much fast food all under 5-10 min
I shot this pic to remind myself that I fk up again…
Normally my instinct is to Go to the Gym & Lift
But this time I didn’t do that, instead I just ate like a mad man again who looked like he hasn’t eaten for 45 days
And I’ve faced this episode - many many times
This was one of those things I know that if I kept doing, it’s just gonna end up really bad for myself
And the truth is, I wasn’t willing to deal with the stress at the time and kept holding on to it, ending in another terrible binge eat that made me felt depressed & pissed off about myself
It was a downward spiral as I started to depend on Food more than ever - Not for energy & health purpose but more towards mental temporary relief
And I had enough
Enough of the BS I tell myself - that it’s okay to just eat and enjoy the moment
Enough of Stress Eating - it’s time to earn back self control & discipline
It starts now
I’m sharing this, not to gain pity, but because I know how fkn hard stress eating messes up my body and I didn’t know whom to talk to - because normally it’s people who reached out to me!
I felt ashamed as I tell people to show up and keep the fire burning, but my own fire is being put off by myself
Whatever my personal reasons are - it is not an excuse to keep fking up, and that’s why I’m sharing this publicly to hold myself accountable to all of you, and to commit to a Plan
I don’t believe in perfection - but I believe in owning up to my shit & to take full control to transform into the Beast I know I am Capable of being
I hope this simple sharing can give some of you who struggle with the same problem - some courage & energy to change something for the better
I know it’s tough af, but you’re not alone and that you can be in control, as long as you’re willing to put in the effort 🔥
We are in this together - Let’s do this 💯
#KeepTheFireBurning
fire the hold 在 Facebook 的最佳解答
Love you to Himalayas
Namaste Annapurna Base Camp
เนปาล...นานมาแล้ว
.
เรื่องเล่าบทสุดท้ายของการเดินทางสู่หิมาลัย
การเดินทางที่แสนเหนื่อยและคุ้มค่าที่สุดในชีวิต
.
----------------------------------------------------
.
หลังจากออกจาก Poon Hill เราก็ที่จะเริ่มเข้าสู่เขตตีนเขาของหิมาลัย ทางเดินเริ่มมีหลากหลายระดับ และท้าทายความอดทนของร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ ปอดและหัวใจของเราทำงานอย่างหนักหน่วง ช่วงเวลาที่เสียงของลมหายใจดังชัดมาก เมื่อเริ่มเข้าใกล้เทือกเขาหิมาลัย ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวเนปาล ที่เชื่อว่ายอดมัจฉาปูชเรเป็นที่ประทับของพระแม่อุมาเทวี เทพสตรีในศาสนาฮินดูที่ชาวเนปาลให้ความนับถืออย่างมาก ดังนั้นการเดินทางเข้าเขตศักดิ์สิทธิ์นี้นั้น ทำให้อาหารหลักในแต่ละมื้อของเราจะมีเพียงแค่ผักพื้นบ้าน เนื้อสัตว์จะมีเพียงปลาและไข่เท่านั้น จะไม่สามารถนำเนื้อสัตว์ใหญ่เข้าเขตนี้ได้ พวกเราที่พกมาม่าหรือโจ๊กคัพรสไก่มาด้วยก็ต้องระบายเสบียงกันให้หมดก่อน และข้อห้ามเด็ดขาดที่หัวหน้าไกด์บอกกับเราคือ ระหว่างทางเดินห้ามทิ้งขยะลงพื้นเรี่ยราด ห้ามถ่มน้ำลายลงตามพื้นดิน เหล่าผู้ชายทั้งหลายต้องทำธุระเป็นที่ในห้องน้ำเท่านั้น เพราะเชื่อว่าจะทำให้การเดินทางไม่ราบรื่น เมื่อเราทุกคนรับรู้อย่างนั้น แน่นอนเราปฏิบัติตามตามคำบอกของบักตะ เราเคารพธรรมชาติ ความสวยงามขนาดนี้ไม่ควรแปดเปื้อนจากเศษขยะของผู้มาเยือนอย่างเรา
.
เราต้องใช้เวลาเดินอีก 3 วันที่เราจะถึง Base Camp มาถึงจุดที่ร่างกายเริ่มออกอาการงอแง ไม่เคยคิดว่าแค่การก้าวขาไปข้างหน้ามันจะยากเย็นได้ขนาดนี้ ช่วงวัดใจที่แท้จริงมาถึงแล้ว เหนื่อยจนแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง ใจที่ว่าแข็งก็ยังกลายเป็นความลังเลว่าจะพอแล้วหรือไปต่อเพราะลิมิตของร่างกายมันฟ้อง เท้าที่ก้าวไปพร้อมกับความคิดที่ตีกันในหัวตัวเองไม่หยุด ถ้าขาดเพื่อนกับไกด์ที่คอยเชียร์ให้กำลังใจเรื่อยๆ ไม่แน่เราอาจถอดใจจากหิมาลัยไปแล้วก็ได้ ระหว่างทางเราก็จะได้เจอเพื่อนร่วมทางกลุ่มอื่นๆ และนักเดินทางที่กลับลงมาจากหิมาลัย เราเดินมาเจอกับชาวต่างชาติที่กำลังเดินกลับ เดาว่าหน้าตาเราคงจะเหยเกและดูจะขาดใจเอามากๆ จนผู้หญิงที่กำลังจะเดินผ่านเราไปหยุดแล้วเอามือสองข้างจับที่บ่าของเราแล้วพูดเป็นกำลังใจสั้นๆ ว่า “Slow and Steady” และเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ถึงจะชื้นใจขึ้นมาหน่อย แต่สุดแล้วเราสองคนเป็นขาประจำเดินรั้งท้ายสุดอยู่ดี เรามาถึงที่หมายก็ใกล้หมดวันเต็มแก่ แน่ละเราจะถึงเป็นกลุ่มสุดท้ายตลอด ยิ่งตกดึกอากาศยิ่งเบาบางและเย็นจัด อาหารเย็นที่ทุกคนพร้อมหน้าพร้อมกันตากันอย่างคึกครื้นเวลานี้ค่อนข้างเงียบ เราแทบกินอะไรไม่ลงเลย เพราะความล้าที่สะสม เราต้องอาศัยมาม่ารสต้มยำกุ้ง (ไกด์บอกว่าพกขึ้นมาได้) ประโลมชีวิตให้ได้มีรสชาติบ้างหน่อย
เมื่อจบมื้อเย็นทุกคนแจกจ่ายยาแก้ปวดให้กันแล้วต่างแยกย้ายไปนอน ไม่มีเวลามาจอแจสนุกสนานเหมือนวันแรกๆ เพราะต้องนอนเอาแรงกลับมาให้เยอะที่สุด สำหรับวันรุ่งขึ้น
.
The Mountain Sound
.
เราตื่นกันแต่เช้าตรู่ เดินออกมาจากห้องแล้วสิ่งแรกที่ปะทะสายตาคือหิมาลัยที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เราทุกคนมีสีหน้าเดียวกันคือสองตาวาวเป็นประกาย ใกล้แล้ว ใกล้มากๆ อีกอึดใจเดียวจะถึงแล้ว วันนี้คือวันสุดท้ายที่เราจะถึง Base Camp เราเดินผ่านลำธารเล็กๆ ข้ามเนินเขา และเลียบแม่น้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะบนยอดเขา วิวสองข้างทางกลายเป็นหินผา ทุ่งหญ้าสีเหลือง เราแทบไม่เห็นความเขียวขจีเหมือนกับก่อนหน้านี้แล้วคงเพราะด้วยอุณหภูมิที่ลดลงต่ำของอากาศบริเวณตีนเขา ความซับซ้อน และชันของแต่ละเนิน บวกกับอากาศที่เย็นทำให้เราเดินช้าลงยิ่งกว่าเดิม จนทิ้งท้ายจากคนอื่นๆ เหลือแค่เรากับเป็ปและบอลลี่กันแค่สามคน หมอกเริ่มลอยต่ำจนแทบไม่เห็นข้างทางและทางข้างหน้าเท่าไหร่แล้ว บอลลี่กำชับให้เรารีบทำเวลาเพราะสภาพอากาศดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจ เราอาจจะเจอกับพายุหิมะได้ เราเดินไปข้างหน้าอย่างไม่รู้ปลายทางเพราะหมอกที่หนาขึ้นเรื่อยๆ จมูกเริ่มแสบจนต้องหายใจทางปากช่วย ขอบตาและหน้าชาไปด้วยความเย็น พอเดินไปได้สักพักเราก็รู้สึกเหมือนหยดน้ำเล็กๆ ตกลงมาบนหน้า ฝนโปรยปรายลงมาแล้ว เราพยายามรีบเดินเท่าที่เท้าจะก้าวไหว ตอนนี้ละอองฝนเปลี่ยนไปเป็นก้อนน้ำแข็งจิ๋วๆ นิ่มๆ เราหันไปถามบอลลี่ด้วยความตื่นเต้นว่านี่คือหิมะใช่ไหม บอลลี่ยิ้มและบอกว่าไม่ใช่ นี่คือลูกเห็บจิ๋วๆ ถ้าเป็นหิมะมันจะลอยพลิ้วอยู่ในอากาศ พร้อมกับทำมือประกอบให้เราดู ว่าอย่างนั้นแล้วเราก็เดินกันต่อ อากาศเริ่มดูท่าจะแย่ลงสองข้างทางเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน หมอกทึบจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า เราเปิดเพลง Your Bone ฟังซ้ำๆๆ พยายามให้มีสมาธิอยู่กับลมหายใจมากที่สุด และอย่างที่บอกเวลานั้นทำนองและเนื้อหาของ Of Monster and Men เป็นอะไรที่เข้ากับบรรยากาศที่สุดแล้ว ทำนองของกลองเต้นเป็นจังหวะเดียวกับเสียงหัวใจของเราในตอนนั้น
.
in the spring we made a boat
out of feathers, out of bones.
we set fire to our homes,
walking barefoot in the snow.
.
และแล้วเกร็ดน้ำแข็งสีขาวเล็กๆ ก็ปลิวลงมาผ่านหน้าเราไป เรายืนมือออกมาเกร็ดหิมะค่อยๆ ร่วงลงบนมือเราอย่างช้าๆ เหมือนกับภาพสโลว์ในฉากหนัง เราตะโกนถามบอลลี่ทันที ว่าใช่ไหม ใช่รึยัง บอลลิ่ยิ้มให้เหมือนเดิมแล้วพยักหน้า เราหันไปมองหน้าเป็ปแล้วตื่นเต้นกันสองคน แต่สิ่งที่เป็ปตื่นเต้นไม่ใช่แค่หิมะ แต่เป็นป้ายไม้ที่ตั้งอยู่กลางหิมะเขียนว่า "Namaste Annapurna Base Camp Warmly Welcome to all internal & External Visitors" เป็นการดีใจที่สุดแต่ไม่มีเสียง ฮ่าๆ ถึงแล้ววววว เรามาถึงแล้วในที่สุดดดด เราขอบอลลี่หยุดถ่ายรูปสักพักกับหิมะแรกของวัน และถ่ายรูปคู่กับป้าย ไม่นานหิมะก็ดูท่าจะตกหนักขึ้น เราเลยต้องรีบเดินเข้าเบสแคมป์ เราเห็นเหล่าลูกหาบของกลุ่มเรายืนโบกมือให้อยู่หน้าที่พัก เราเดินผ่านซุ้มโค้งที่ประดับด้วยใบไม้แห้งๆ กับธงมนต์ เหมือนเป็นประตูชัยของการเดินทางครั้งนี้ ยิ้มออกได้ในที่สุดเมื่อก้าวพ้นบันไดขั้นสุดท้าย พร้อมเสียงปรบมือของลูกหาบและไกด์ที่ยืนรอ เราหันไปขอบคุณบอลลี่ และเข้าไปพักที่โถงกลาง ที่เป็นเหมือนห้องกินข้าว บนนี้ไม่มีเครื่องให้ความอบอุ่นเพราะอุณหภูมิที่ติดลบของที่นี่ทำให้การจุดไฟจะยิ่งทำให้อากาศบางลงกว่าเดิม แม้ตัวจะเย็นเฉียบแต่หัวใจเรากลับอุ่นไปด้วยไฟจุดเล็กๆ
.
troubled spirits on my chest where they laid to rest.
the birds all left my tall friend as your body hit the sand.
million stars up in the sky formed a tigers eye
that looked down on my face, out of time and out of place.
so hold on, hold on to what we are,
hold on to your heart.
.
บรรยากาศของอาหารเย็นเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทุกคนตื่นเต้นกับการพิชิต ABC ได้สำเร็จ และที่สำคัญสมาชิกทุกคนอยู่กันพร้อมหน้า ปลาทูต้มหวานที่ส่งตรงมาจากบ้านเพื่อนเราที่ชุมพรกลายเป็นอาหารแสนอร่อยและหรูหราที่สุดบนหิมาลัย เราแบ่งปลาทูแพ็คที่เหลือให้กับไกด์ ลูกหาบ เจ้าของเบสแคมป์ และกลุ่มพี่ๆ คนไทยโต๊ะข้างๆ ที่ออกเดินทางมาพร้อมๆ กันกับกลุ่มของเรา เราแลกเปลี่ยนพูดคุยกันอย่างสนิทสนม คงเป็นเพราะประสบการณ์ร่วมของการเดินทางครั้งนี้ แต่ละคนออกคุยอย่างออกรสกันสนุกสนานเพราะเหมือนเพิ่งรอดตายมาได้สดๆ ร้อนๆ เมื่อพอหอมปากหอมคอกันแล้ว พวกเราก็ต่างบอกลาและแยกย้ายกันเข้าห้องนอน เพราะพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญที่ต้องตื่นเช้ามาดูพระอาทิตย์ขึ้น
.
Love You To Himalayas
.
หมดพายุจากเมื่อวานแล้วหลงเหลือแต่กองหิมะสีขาวโพลน ที่ตอนนี้ปกคลุมไปทั่วทุกที่ ยอดเขาที่เราหมายใจเอาไว้อยู่เบื้องหน้าเราแล้ว แม้จะเช้าแล้วแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะเห็นแสงสว่างจากพระอาทิตย์ เพราะเมฆหนาสีเทา ภาพบรรยากาศเลยเหมือนถูกย้อมด้วยสีฟ้าหม่นๆ เราซึบซับภาพตรงหน้าไว้นานเท่าที่ร่างกายจะทนความหนาวได้ ใช้เวลาอยู่กับปัจจุบันในขณะนั้นอย่างตั้งใจ เพราะไม่มีสักนาทีเลยที่อยากจะละสายตาไปเลย หิมาลัยอยู่ตรงนั้น หิมาลัยอันทรงสง่า แม้จะผ่านกาลเวลาเนิ่นนานปีแล้วปีเล่าก็ยังคงงดงามตลอดมาและตลอดไปเท่าอายุขัยของโลกใบนี้
.
เราใช้เวลาเสพสมกับรางวัลตรงหน้าของเราอยู่นาน เรากลับเข้ามาที่ห้องโถง นั่งลงและเขียนโปสการ์ดที่ติดขึ้นมาด้วย ใบนึงถึงตัวเองและที่เหลือถึงเพื่อนสนิท เมื่อเขียนเสร็จเราถามกับเจ้าของเบสแคมป์ว่าจะรบกวนส่งโปสการ์ดนี้ให้เราได้ไหม เพราะเราอยากได้ตราแสตมป์ของ ABC เค้ามองหน้าเราแล้วอมยิ้มเล็กๆ พร้อมกับขอโปสการ์ดไปและแสตมป์ตรา ABC ลงวันที่ 12 April 2018 ลงไป ดีใจมากกกกก ขอบคุณเค้าแล้วยิ้มไม่หยุดเลย (หลังจากนั้นอีกสามอาทิตย์โปสการ์ดก็ถึงมือทุกคน) เราทานอาหารเช้ากันพร้อมหน้าพร้อมตา คุยเล่นกันตามประสา และแน่นอนมื้อนั้นเป็นอาหารเช้าที่วิวสวยที่สุดในชีวิต ถึงช่วงสายๆ เราเตรียมตัวและเตรียมใจกันบอกลาหิมาลัย เพื่อจะเดินกลับแล้ว ยากที่จะบอกลาเหมือนกัน เหมือนยังใช้เวลาไม่พอ เสพยังไม่เต็มอิ่ม แต่เราคิดว่านั่นเองที่ทำให้หิมาลัยงดงามตรึงอยู่ในหัวใจเราจนถึงทุกวันนี้
.
ขาเดินกลับเป็นอะไรที่ทรหดมาก วันขาลงจาก ABC เราต้องรวบระยะทางของขามา 2 วันให้เหลือวันเดียว แทบตายแบบตายของจริง เริ่มด้วยอากาศหนาวสุดๆ พอกลับลงมาก็เจอกับอากาศร้อน และพลาดไม่ได้เลยคือตามมาด้วยฝน และเพราะทางลาดลงทำให้หัวเข่าเราเริ่มเจ็บแปลบ จากที่เดินช้ามากๆ อยู่แล้วคราวนี้ยิ่งไปกันใหญ่ รั้งท้ายห่างจากคนอื่นๆ ไกลขึ้นเรื่อยๆ เราเดินทำเวลากันอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟ้าค่อยๆ มืดลงจนพวกเราที่รั้งท้ายเริ่มกังวล ทั้งไม่แน่ใจว่าระยะทางอีกไกลแค่ไหนและไหนจะทางลาดชันลื่นๆ อีก ในที่สุดความมืดครอบคลุมจนเรามองไม่เห็นอะไรอีกเลย มีเพียงแค่ไฟฉายดวงเดียวของบอลลี่เท่านั้นที่นำทางเรา ตอนนั้นมีแค่เสียงลมหายใจและฝนที่โปรยปรายลงมาไม่หยุด เราก้มหน้าก้มตาเดินจ้ำอ้าวเพื่อไปให้ถึงบ้านพักเร็วที่สุด เราเดินกันไปอย่างไม่รู้เวลาร่ำเวลา จนมีเงาลางๆ ข้างหน้าเราเห็นเหมือนมีคนกำลังเดินสวนมา พวกเราต่างคิดในใจกันว่าคงจะเป็นชาวบ้าน จนเมื่อใกล้ขึ้นเรื่อยๆ แล้วฝั่งนั้นทักมาว่า นมัสเต เราเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกัน ปรับสายตาให้โฟกัส แล้วก็ร้องดีใจออกมาว่า พี่ตี๋!!! พี่ตี๋คือพี่แก๊งลูกหาบของกลุ่มเราเอง เค้าเดินมารับพวกเราเพราะเริ่มกังวลว่ายังมาไม่ถึงสักที ดีใจจนน้ำตาไหลเลย พี่ตี๋คุยกับบอลลี่แล้วบอกว่าอีกประมาณ 15 นาทีก็จะถึงจะบ้านพักแล้ว เป็นเวลาเกือบสามทุ่มที่เรามาถึงเป็นกลุ่มสุดท้าย บักตะที่รอพวกเราอยู่พาไปยังห้องพักและพาไปกินข้าว แต่พวกเราเหนื่อยและล้ากันเกินกว่าจะกินอะไรลง เลยขอแค่น้ำขิงผสมน้ำผึ้ง แล้วเข้านอนเลย
.
ในตอนเช้าเราเลยปรึกษากันในกลุ่มว่าอาจจะเดินกลับอย่างที่เดินขามาไม่ไหว เพราะนอกจากเราสองคนกันเอง คนอื่นๆ เองก็เริ่มล้าและเจ็บหัวเข่าตามๆ กันแล้ว พวกเราเลยคุยกับบักตะถึงว่าจุดไหนที่รถเข้าถึง ที่ใกล้มากที่สุด เราจะไปที่นั่นและนั่งรถยิงยาวเข้าไปที่โพคาราเลย ข่าวดีคือเดินเพียง 1 วันเท่านั้น เท่ากับว่าเย็นนี้เราไปถึงหมู่บ้านที่ว่า และเช้าวันถัดไปก็เดินต่ออีกนิดนึงไปขึ้นรถกลับ เรี่ยวแรงเริ่มกลับมาฮึดอีกครั้งพอรู้ว่าเป็นวันสุดท้ายแล้ว เรามาถึงหมู่บ้านที่จะเป็นที่พักคืนสุดท้ายของการเดินประมาณเกือบ 4 โมง ตอนนี้ทุกคนดูจะสดใสที่จะได้รู้ว่าจะมีรถมารับในวันพรุ่งนี้รวมถึงเราด้วย ที่นี่พอมีสัญญาณโทรศัพท์อยู่หน่อยทุกคนเลยรีบแยกยัายกันไปโทรหาที่บ้าน เพราะขาดการติดต่อไปหลายวัน จากนั้นทุกคนก็มานั่งรวมตัวกันที่ห้องเดียว แล้วคุยเกี่ยวกับทริปนี้ จำรายละเอียดไม่ได้แล้วว่าเรื่องอะไรบ้าง แต่จำได้ว่าหัวเราะกันท้องแข็ง คุยกันไป เราเริ่มได้ยินเสียงจากด้านนอกดังเข้ามาสู้เสียงในห้องเรา พวกเราเปิดประตูออกไป เหล่าไกด์และลูกหาบของเราและกลุ่มอื่นกำลังนั่งลอมวงร้องเพลงสังสรรค์กันอย่างสนุกสนาน เราฉุกคิดขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันที่ 14 เมษา วันขึ้นปีใหม่ของชาวเนปาล ทุกคนร้องเพลง ปรบมือเป็นจังหวะแล้วออกมาเต้นกันอย่างมีความสุข พวกเราเองก็ไปร่วมวงด้วยอยู่สักพักนึงพร้อมกับอวยพรสวัสดีปีใหม่กับผู้นำทางของเรา เป็นบรรยากาศที่เรียบง่าย อบอุ่น และน่ารักจนเราอดไม่ได้ที่จะยิ้มและอบอุ่นหัวใจตามไปด้วย
.
วันรุ่งขึ้นเราขึ้นรถกลับมาพักที่โพคาราหนึ่งคืน และกลับมายังกาฐมาณฑุอีกหนึ่งคืนก่อนบินกลับบ้านในวันถัดมา จู่ๆ เวลาก็ผ่านไปไวอย่างน่าเหลือเชื่อ เราพูดกับตัวเองในวันนั้นว่าโชคดีจริงๆ สำหรับการตัดสินใจออกเดินทางในครั้งนี้ แม้จะเหนื่อยที่สุดในชีวิต แต่มันก็คุ้มค่าที่สุดในชีวิตเช่นกัน เราทิ้งความคิดถึงเอาไว้ที่นั่น เราเก็บความทรงจำที่ดีที่สุดกลับมา
.
การเดินทางที่ดีคือการเดินทางที่ทำให้กาลเวลาได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง ทริปนี้เป็นทริปที่เรายังคิดถึงอยู่เนืองๆ คุยกี่ครั้งกี่ทีก็ไม่เบื่อ บอกทุกคนที่มีโอกาสให้ได้ลองไป ลองไปเห็นด้วยตา ไปค้นพบหิมาลัยของตัวเอง
.
จากวันนั้นเราค้นพบหิมาลัยของเราแล้ว งดงาม เรียบง่าย
และไม่ว่าชีวิตจะเป็นเช่นไร ย่อมมีความงามซ่อนอยู่ ณ ที่ใดสักแห่งเสมอ
.
Love you to Himalayas,
Mars
.
#ABOVETHEMARS
#NEPAL
fire the hold 在 ochikeron Youtube 的最佳解答
DAISO Mess Tin (500yen) became very popular in June 2020 and still hot now in 2021.
I recorded this video last year btw 😅
It was pretty fun to cook rice outdoor with kids.
For future use, I am keeping this in our emergency bag 👍
---------------------------------
DAISO Mess Tin (How to Cook Japanese White Rice in a Camping Cookware)
Difficulty: Very Easy
Time: 1hr
Number of servings: 1~2 people
Necessary Equipment:
Mess Tin
solid fuel
trivet
aluminum plate for the fuel
lighter
parchment paper
1 cup = 160g (5.6oz.) Japanese rice
200ml water
cotton gloves
towel
Direction:
1. Wash rice and place it in Mess Tin lined with parchment paper. Add water and leave for 15~30 minutes to let it absorb water. * I did not rest the rice but the result was pretty good.
2. Place the solid fuel on the aluminum plate. Place it in the center of trivet. Set fire, place the Mess Tin, and cook until the fire goes out.
3. Wear the cotton gloves and hold the lid securely. Then flip it over and leave to steam for 15 minutes. If you have a towel wrap Mess Tin to steam. *Flipping over is to cook rice more uniformly but some people say it is not necessary.
↓レシピ(日本語)
https://cooklabo.blogspot.com/2021/05/Mess-Tin.html
---------------------------------
Music by
YouTube Audio Library
Follow me on social media. If you have recreated any of my food, you can share some pictures #ochikeron. I am always happy to see them.
♥FOLLOW ME HERE♥
http://instagram.com/ochikeron/
https://www.facebook.com/ochikeron
https://plus.google.com/+ochikeron
http://twitter.com/ochikeron
♥My COOKBOOK available on Amazon Kindle♥
http://amzn.to/2EwR3ah
NO MORE hard copies... those who got one are lucky!
♥More Written Recipes are on my BLOG♥
http://createeathappy.blogspot.com/
♥My Recipe Posts in Japanese♥
http://cooklabo.blogspot.jp/
http://cookpad.com/ami
http://twitter.com/alohaforever
♥and of course PLEASE SUBSCRIBE♥
http://www.youtube.com/user/ochikeron?sub_confirmation=1
fire the hold 在 陳希瑀Kimi Youtube 的最佳解答
聽到這首歌感受到的第一歌感覺是『改革』。
我們人類一直在從中學習、蛻變、覺醒。我們希望我們的自由意識能被發揚光大、能被清楚地被聽見。我們一步一步往前走、往前看著我們的未來。
我聽完這首歌,我也不知道為什麼突然就有很多的靈感,我開始拿起筆跟紙寫下我的感受,改編了一些。希望你們會喜歡😉
歌詞:
Got a fire in my soul
I've lost my faith in this broken system
Got love for my home
But if we cry is there anyone listening?
We're the forgotten generation
We want an open conversation
Follow me on this road
You know we gotta let go
All the pain we take
All the soul we make
All the times they say it's impossible
All the lie they fake
All the God for sake
Let me know what’s real and reliable
Let us break the wall
Cuz we aint gonna fall
No way they can defeat us all
We stand together for the name of love
And the world will know we’re unstoppable
I'm not afraid to tear it down and build it up again
It's not our fate, we could be the renegades (renegades)
I'm here for you, oh
Are you here for me too?
Let's start again (again), we could be the renegades (renegades)
Ooh, ooh, ooh, ooh
Hold on to this hope cuz we’ll stay till the end
One way or the other you know that our souls mend
People showing their faith
Ending this hate
Send this message away cuz you know
Take a deep breath, close your eyes and get ready
Take a deep breath, close your eyes and get ready
Take a deep breath, close your eyes and get ready to fly
I'm not afraid to tear it down and build it up again
It's not our fate, we could be the renegades (renegades)
I'm here for you, oh
Are you here for me too?
Let's start again (again), we could be the renegades (renegades)
Ooh, ooh, ooh, ooh
You see this journey is now my own
This road taught me the love I’ve known
We take this victory as we fly fly fly fly
Subscribe to my YouTube Account and other accounts!
⬇️
Instagram: __kimi_xiyu__ (陳希瑀 Kimi)
Facebook: 陳希瑀 Kimi
#renegades #oneokrock #musiccover #rapremix #OOR #10969 #ワンオクロック
fire the hold 在 National Football News Youtube 的最佳解答
UNDISPUTED | Skip "on fire" AD can hold down the fort until LeBron returns for playoffs