Activision Blizzard ค่ายเกมระดับโลก ที่มีต้นกำเนิดจาก นักศึกษามหาวิทยาลัย /โดย ลงทุนแมน
หากเรามาดูบริษัท ที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับเกม ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
Tencent 22.9 ล้านล้านบาท
Sea (Garena) 4.6 ล้านล้านบาท
Sony 4.1 ล้านล้านบาท
NetEase 2.4 ล้านล้านบาท
Activision Blizzard 2.3 ล้านล้านบาท
บรรดาเจ้าของธุรกิจเกมยักษ์ใหญ่เหล่านี้ ล้วนมีรากฐานมาจากเอเชีย
Tencent และ NetEase จากประเทศจีน Sony จากญี่ปุ่น และ Sea จากสิงคโปร์
Activision Blizzard เป็นเพียงบริษัทเดียว ที่มาจากสหรัฐอเมริกา
แต่บริษัทแห่งนี้ ก็เป็นเจ้าของเกมระดับโลกมากมาย
นอกจากที่กล่าวมานั้น Activision Blizzard ยังเป็นเจ้าของเกมอะไรบ้าง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
จุดเริ่มต้นของบริษัทแห่งนี้ เกิดขึ้นในปี 1991
Allen Adham, Michael Morhaime และ Frank Pearce นักศึกษาปริญญาตรีจบใหม่จาก University of California, Los Angeles หรือ UCLA ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Silicon & Synapse, Inc. จากความชื่นชอบในการเล่นเกม
ก่อนที่บริษัทจะถูกเข้าซื้อกิจการไปโดย Davidson & Associates บริษัทผู้จัดจำหน่ายเกม
ตั้งแต่ปี 1994 หรือหลังจากก่อตั้งได้เพียง 3 ปี ด้วยมูลค่าราว 375 ล้านบาท
บริษัทแห่งนี้ ก็ได้พัฒนาเกม ที่กลายมาเป็นเกมท็อประดับโลกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น Warcraft, StarCraft, Call of Duty, Guitar Hero, Diablo, Hearthstone และ Overwatch
จะเห็นได้ว่าหลายเกมเป็นเกมที่เราคุ้นหูกันเป็นอย่างดี
โดยที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ฐานผู้เล่นเกมของทางบริษัท
ก็ได้เพิ่มสูงขึ้นตามนักเล่นเกมและการเติบโตของยุคคอมพิวเตอร์
หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของ Blizzard Entertainment เกิดขึ้นในปี 2004
ซึ่งเป็นปีที่ทางบริษัทได้เปิดตัวเกม “World of Warcraft” ออกสู่ตลาดโลก
เกมดังกล่าวได้เข้ามาปฏิวัติโมเดลการหารายได้ของหลาย ๆ สตูดิโอเกมทั่วโลก
เพราะการที่ผู้เล่นจะสามารถเล่นเกม World of Warcraft ได้นั้น จำเป็นต้องสมัครสมาชิก
โดยสมาชิกที่ว่านี้จะอยู่ในรูปแบบ Subscription หรือสมาชิกรายเดือน
ซึ่งก็ถือเป็นโมเดลที่แปลกมากในสมัยนั้น เพราะหากว่าเกมไม่ได้ฮิตจริง
การที่ผู้เล่นจะยอมจ่ายสมาชิกรายเดือนเพื่อเล่นเกม แทบเป็นไปไม่ได้เลย
อย่างไรก็ตาม หลังจาก World of Warcraft เปิดตัวไปได้เพียง 6 ปี
เกมนี้ก็ได้เติบโตและประสบความสำเร็จอย่างมาก
จนมียอดสมาชิกที่จ่ายเงินรายเดือนให้กับเกมมากกว่า 12 ล้านบัญชี เลยทีเดียว
จากความสำเร็จของเกม World of Warcraft ก็ได้ทำให้ Blizzard Entertainment
กลายเป็นที่สนใจของบริษัทอื่น
บริษัท Blizzard Entertainment จึงถูกเข้าซื้อกิจการจาก Vivendi บริษัทสัญชาติฝรั่งเศส เจ้าแห่งการควบรวมกิจการ และในท้ายที่สุดก็ถูกควบรวมอีกครั้งจากบริษัท Activision
จนกลายมาเป็นบริษัท “Activision Blizzard” ในปัจจุบัน
โดยดีลการซื้อกิจการครั้งนั้นมีมูลค่ามากถึง 6 แสนล้านบาท เลยทีเดียว
ทีนี้เรามาดูกันว่าผลประกอบการของ Activision Blizzard ที่ผ่านมา เป็นอย่างไร ?
ปี 2017 รายได้ 2.2 แสนล้านบาท กำไร 0.9 หมื่นล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 2.4 แสนล้านบาท กำไร 5.9 หมื่นล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 2.1 แสนล้านบาท กำไร 4.8 หมื่นล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 2.6 แสนล้านบาท กำไร 7.0 หมื่นล้านบาท
จากผลประกอบการที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทมีกำไรที่เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาทางบริษัทก็ได้มีการปรับตัวตามพฤติกรรมการเล่นเกมบนสมาร์ตโฟน
อย่างในกรณีล่าสุดก็คือการเข้าควบรวมกับบริษัท King Digital เจ้าของ Candy Crush เกมสมาร์ตโฟนยอดฮิตระดับโลก ด้วยมูลค่ามากถึง 1.9 แสนล้านบาท รวมถึงการนำแบรนด์เกมที่บริษัทเป็นเจ้าของอยู่แล้วมาพัฒนาเป็นเกมบนสมาร์ตโฟน เช่น Diablo, Call of Duty รวมถึง Overwatch ที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา
ปัจจุบัน Activision Blizzard ถือเป็น 1 ใน 5 บริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับเกม
ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าบริษัทมากถึง 2.3 ล้านล้านบาท
ปิดท้ายด้วยสิ่งที่หลายคนอาจจะสงสัยว่า Warcraft และ Dota 2 เกี่ยวข้องอะไรกัน ?
จริง ๆ แล้ว Dota 2 เรียกได้ว่ามีรากฐานตัวละครมาจากเกม Warcraft แทบจะทั้งหมด
เหตุผลก็เพราะว่าในอดีต Activision Blizzard เคยอนุญาตให้ผู้เล่นทั่วไป
สามารถตกแต่งหรือเปลี่ยนข้อมูลของเกมได้
จึงทำให้นักพัฒนาที่ชื่อว่า “IceFrog” นำตัวเกม Warcraft มาดัดแปลงเป็นเกม Dota
แต่ต่อมาทาง Valve Corporation ก็ได้ว่าจ้าง IceFrog ให้เข้ามาพัฒนาตัวเกมดังกล่าวอย่างจริงจัง
จนในที่สุด ก็ได้พัฒนาออกมาเป็นเกม Dota 2 เกมระดับโลก ที่มีเงินรางวัลระดับพันล้าน
ที่แม้จะได้ไอเดียมาจาก Warcraft แต่ทางบริษัท Activision Blizzard จะไม่ได้รับส่วนแบ่งอะไรเลย..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.britannica.com/topic/Activision-Blizzard-Inc#ref1116598
-https://www.videogameschronicle.com/news/blizzards-player-base-has-fallen-29-over-the-last-3-years/
-https://www.investopedia.com/5-companies-owned-by-atvi-5093046
-https://www.engadget.com/2012-05-11-blizzard-and-valve-settle-dota-argument-blizzard-dota-is-now-bl.html
-https://www.thegamer.com/blizzard-things-you-didnt-know/
-https://www.uselessdaily.com/tech/blizzard-entertainment-trivia-30-facts-about-the-most-successful-gaming-company/
-https://investor.activision.com/static-files/09bb50e3-b2e8-4407-9ee3-2aec3c7bc29d
-https://companiesmarketcap.com/video-games/largest-video-game-companies-by-market-cap/
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「largest tech companies」的推薦目錄:
largest tech companies 在 多益達人 林立英文 Facebook 的最讚貼文
How Big Is Amazon, Really?
By Shira Ovide
I’m fond of ( ) repeating a shopping statistic ( ) that often surprises people. In the United States — even during the pandemic — only about $14 out of each $100 worth of stuff we buy is spent online. Amazon is responsible for roughly $5 of that.
So is Amazon a giant that dominates ( ) our internet spending or a blip ( ) in America’s shopping universe? It depends on how you look at the numbers. Amazon is huge in internet sales, but puny ( ) relative to all the goods Americans buy.
Our perception ( ) of Amazon’s size influences how the public and policymakers think about the company. And yet while the company’s share of spending matters, it also doesn’t tell us everything.
Permit me to get a little nerdy ( ) about numbers. Without a doubt, Amazon is the king of online shopping in the United States. Research firm eMarketer estimated that Amazon will be responsible for more than 40% of Americans’ e-commerce spending this year. The second-largest internet store, Walmart, is far behind at about 7%.
Back to my point, though, that internet shopping remains relatively ( ) small. The picture is a little different depending on how you count.
U.S. government data on online shopping plus those eMarketer estimates ( ) put Amazon at about 5% of all U.S. retail sales.
(And there’s a wrinkle ( ): A trade group for retailers recently told me that there could be inaccuracies in the government counting of shopping that blurs ( ) the line between stores and online, such as picking up online orders in person.)
Data can be a weapon. Amazon often uses a version of the 5% sales figure to counter ( ) critics who say the company is too big and powerful. But government investigations into big technology companies are looking at the behavior of Big Tech, not just their size. They’re trying to answer whether companies abuse their power to get advantages over competitors and hurt us.
Amazon has had a profound ( ) influence on people’s behavior, the strategies of entire industries and our communities no matter what the numbers say.
What we’re seeing in real life from Amazon and beyond are big ripple effects ( ) from a small market share.
So, is Amazon big? Yes and also no. And the reality is that no matter what the numbers say, Amazon commands ( ) the attention of people, other companies and governments because it’s influential in reshaping the world.
亞馬遜到底算不算大?
我喜歡重述一個常讓人吃驚的購物統計數字。在美國,即便是疫情期間,我們每購買100美元商品,僅14美元是在網上消費,其中亞馬遜約占了5美元。
所以,亞馬遜究竟是主宰我們網路消費的巨人,還是美國購物世界乍現的一個小光點呢?端視你如何看待這些數字。亞馬遜網路銷售金額龐大,但跟美國人總體商品購買額相比卻微不足道。
我們對亞馬遜規模的感受,影響著民眾和決策者對該公司的看法。然而,該公司在消費者支出中所占比率固然重要,卻並不代表一切。
且容我在數字上再多著墨些。無疑地,亞馬遜是美國網路購物之王。研究公司eMarketer估計,亞馬遜將占今年美國民眾電子商務支出的40%以上。第二大網路商店沃爾瑪則以7%左右遠遠落後。
不過,回到我原先談到的重點,網路購物規模仍相對較小。隨著計算方式的不同,情況也會有些差異。
根據美國政府有關網路購物的數據及eMarketer的估計,亞馬遜約占美國零售總額的5%。
(還有一個小問題是,一個零售業的同業組織日前告訴我,政府對購物數字的統計可能不準確,因為模糊了實體商店和網路商店的界限,例如在網路下單卻親赴實體商店取貨。)
數據可以是一種武器。亞馬遜經常用5%的銷售比率來反駁那些認為該公司太強大的批評者,但政府對大型科技公司的調查不僅關注其規模,還關注行為。他們正嘗試查明這些公司是否濫用權力來獲得超越競爭對手的優勢,並對我們造成傷害。
無論這些數字代表什麼,亞馬遜對人們的行為、各種產業的整體策略,以及我們的社群,都有著深遠影響。
我們在現實生活中從亞馬遜及其他公司身上看到的是,來自低市占率的巨大連漪效應。
那麼,亞馬遜很大嗎?是,也不是。現實的情況是,不管這些數字代表什麼,亞馬遜都吸引著人們、其他企業和政府的注意,因為它在重塑這世界上具有影響力。
#高雄人 #學習英文 請找 #多益達人林立英文
#高中英文 #成人英文
#多益家教班 #商用英文
#國立大學外國語文學系講師
largest tech companies 在 AppWorks Facebook 的最佳貼文
【Origin Stories - Kass Monzon , Co-founder/CEO of Workbean AW#21】
I never anticipated becoming an entrepreneur. In fact I made every effort not to. My dad was an entrepreneur, and my brother ended up starting his own company as well. I wanted to do something different, chart my own path.
I dove head first into the corporate world, racking up logo and after logo in internships and early work experiences, eventually building up a pretty good career in sales. That eventually led me to a reputable multinational tech company based out of SG, where I became the youngest employee ever to take on the role of regional account manager.
I thought it was everything I wanted. But reality soon set in. In fact, I was miserable. The culture was the complete opposite of what I was expecting. It was extremely cutthroat, with no sense of inclusion or belonging. My work was constantly devalued despite hitting all my numbers, and whatever I did and no matter how much effort I put in, felt like it was never enough.
I ended up suffering from clinical depression. It was perhaps the lowest point in my life. But it also made me dig deep to really think about what it means to be happy at work, and how to properly educate yourself when looking for a job.
Not long after, I moved back to the PH to start Workbean. Two years in now and I’ve never looked back. There’s of course been many sleepless nights, and I’m constantly ripe with imposter syndrome, but hearing stories of job seekers finding their dream jobs, where they can learn, add value, and feel a sense of belonging has been a powerful driver to get me through the days.
***
Workbean (AW#21) is building Asia’s largest directory of company cultures to help companies attract the best talent while helping job seekers find meaningful work in companies where they will belong. They’re now working with over 100,000 digital job seekers and 32 companies across the region. For other startups targeting AI/Blockchain/NFT/SEA, applications for AW#23 are now open: https://bit.ly/2Tr069v