หุ้นเทคโนโลยี กำลังครอบครองดัชนี S&P500 /โดย ลงทุนแมน
ดัชนี S&P500 ไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา
เนื่องจากเป็นตัวแทนของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่จำนวน 500 บริษัท
แต่ดัชนีนี้ยังเป็นหนึ่งในดัชนีที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุนจำนวนมาก
ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน
โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการมาลงทุนในกองทุนดัชนี
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าวันนี้ดัชนี S&P500 กำลังถูกถ่วงน้ำหนัก
โดยหุ้นของบริษัทเพียงไม่กี่แห่ง
เรื่องนี้เป็นอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ดัชนี S&P500 ก่อตั้งขึ้นในปี 1957 หรือเมื่อ 63 ปีก่อน
ปัจจุบัน มูลค่าของบริษัทใน S&P500 นั้นอยู่ที่ 918 ล้านล้านบาท
ซึ่งใหญ่กว่าตลาดหุ้นไทยประมาณ 57 เท่า
ดัชนี S&P500 คำนวณมาจากหุ้นขนาดใหญ่จำนวน 500 ตัว
จากทั้งตลาดหุ้น NYSE และตลาดหุ้น Nasdaq ซึ่งเป็น 2 ตลาดหลักในสหรัฐอเมริกา
โดยหุ้นที่ถูกนำมาคำนวณในดัชนีต้องเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูง และมีสภาพคล่องที่ดี
และด้วยความที่รวบรวมบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ทำให้นักลงทุนมองดัชนี S&P500 ว่าสามารถช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนได้
หลายบริษัทที่พอเอ่ยชื่อ
จะเป็นบริษัทที่ทุกคนคุ้นเคย เช่น
Alphabet บริษัทแม่ของ Google
Amazon บริษัทเทคโนโลยีด้าน E-commerce รายใหญ่ของโลก
Apple บริษัทเทคโนโลยีจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รายใหญ่ของโลก
Exxon Mobil บริษัทพลังงานรายใหญ่ของโลก
Microsoft ผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ของโลก
หรือแม้แต่ Starbucks เชนร้านกาแฟรายใหญ่ของโลก
ครั้งหนึ่ง แม้แต่วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังของโลก เคยกล่าวเอาไว้ว่า “ถ้าคุณไม่รู้ว่าจะลงทุนอะไร ให้ลงทุนในกองทุนดัชนีที่คิดค่าธรรมเนียมต่ำ เพราะในระยะยาวมันจะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีให้คุณได้”
คำพูดนี้ก็คงจะไม่ผิดอะไร เพราะการซื้อดัชนี S&P500 ก็เหมือนเราได้ร่วมเป็นเจ้าของบริษัทชั้นนำระดับโลกที่กล่าวมาทั้งหมด ซึ่งนับวันก็มีแต่ขยายกิจการ ขยายรายได้ ขยายกำไร ให้เติบโตขึ้นทุกปี
นับตั้งแต่ปี 1970-2019
ผลตอบแทนรวมของดัชนี S&P500 เฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 10.6%
หมายความว่า ถ้าเราลงทุนด้วยเงิน 1 ล้านบาท
มาวันนี้เราจะมีเงินทั้งหมด 139 ล้านบาท จากระยะเวลาการลงทุนประมาณ 50 ปี
อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 นั้นถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตลาด (Capitalization-Weighted Index)
อธิบายแบบง่ายๆ ก็คือ หุ้นที่มีขนาดใหญ่ หรือ Market Cap สูง จะมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีสูงกว่าหุ้นที่มีขนาดเล็ก หรือมี Market Cap ต่ำกว่า
หมายความว่า ต่อให้มีหุ้นจำนวน 500 ตัวประกอบอยู่ในดัชนี แต่ถ้าหุ้นเพียงแค่ 5 ตัวมีน้ำหนักต่อดัชนีมาก
การเคลื่อนไหวของหุ้น 5 ตัวนั้นก็จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของดัชนีมาก ไม่ว่าหุ้นจำนวนที่เหลือราคาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
และนั่นคือ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับดัชนี S&P500 ในเวลานี้
นั่นก็เพราะว่า ณ วันนี้ บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 5 บริษัทกำลังมีอิทธิพลสำคัญต่อการเคลื่อนไหวของดัชนี
Apple มีมูลค่าหลักทรัพย์เท่ากับ 44 ล้านล้านบาท
Microsoft มีมูลค่าหลักทรัพย์เท่ากับ 44 ล้านล้านบาท
Amazon มีมูลค่าหลักทรัพย์เท่ากับ 34 ล้านล้านบาท
Alphabet มีมูลค่าหลักทรัพย์เท่ากับ 33 ล้านล้านบาท
Facebook มีมูลค่าหลักทรัพย์เท่ากับ 19 ล้านล้านบาท
เพียงแค่มูลค่าหลักทรัพย์ของ 5 บริษัทเทคโนโลยีนี้ ก็มีสัดส่วนกว่า 19% ของมูลค่าทั้งหมดของบริษัทในดัชนี S&P500
ที่น่าสนใจก็คือ
ถ้านับเฉพาะมูลค่าหุ้น Apple และ Microsoft รวมกัน ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ 88 ล้านล้านบาทนั้น กลับมีมูลค่ามากกว่ามูลค่ารวมของหุ้นทุกตัวในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมพลังงาน สาธารณูปโภค อสังหาริมทรัพย์ หรือเหมืองแร่เสียอีก
ในปี 2019
ดัชนี S&P500 นั้นเพิ่มขึ้นกว่า 28.8% เพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2013
แน่นอนว่าทำให้คนที่ลงทุนในดัชนีดังกล่าวได้ผลตอบแทนที่ดี ส่วนหนึ่งก็มาจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหุ้นเทคโนโลยีดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ถ้าเรามองลึกลงไป
คนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน
ณ ตอนนี้ อาจกำลังพบกับความเสี่ยงที่เกิดจากการกระจุกตัวของอุตสาหกรรมที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี
เพราะหุ้นเทคโนโลยีกำลังครองสัดส่วนหลักในดัชนี S&P500
แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง ดัชนีนี้ก็คงไม่ผิดอะไร
ถ้าเราคิดว่า ชีวิตมนุษย์กำลังดำเนินเข้าสู่โลกใหม่
โลกที่ถูกครอบงำโดยเทคโนโลยี..
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://markets.businessinsider.com/index/s&p_500
-https://markets.businessinsider.com/index/s&p_500
-https://edition.cnn.com/…/inv…/sp-500-tech-stocks/index.html
-https://ycharts.com/stocks
microsoft photos download 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
ความเป็นที่สุดของ สหรัฐอเมริกา /โดย ลงทุนแมน
ทุกคนรู้ดีว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกไม่ว่าจะเป็นทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาและวัฒนธรรมต่างๆ ที่หลายประเทศล้วนได้รับอิทธิพลมาจากสหรัฐอเมริกา
แต่เราเคยสงสัยไหมว่า
รายละเอียดในแต่ละแง่มุม
สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำของโลกในด้านไหนบ้าง
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เริ่มกันที่เรื่องเศรษฐกิจก่อน
ในปี 1820 เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนเพียง 1.8% ของเศรษฐกิจโลก
แต่ในปี 2019 สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มถึง 25% ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน
ตลาดผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกานั้นมีมูลค่ากว่า 464 ล้านล้านบาท เป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก
นอกจากนี้ สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังเป็นสกุลเงินที่ถูกใช้ในการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก
ปัจจุบัน สินทรัพย์ในรูปเงินตราต่างประเทศที่อยู่ในทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางต่างๆ มีมูลค่ารวมกันกว่า 201 ล้านล้านบาท
โดย 62% ของทุนสำรองระหว่างประเทศในโลกนี้อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ในตลาดซื้อขายเงินตราต่างประเทศนั้น กว่า 90% จะถูกซื้อขายด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ
ในปี 2019 มูลค่าตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกมีมูลค่ารวมกันเท่ากับ 2,550 ล้านล้านบาท โดยตลาดหุ้นของสหรัฐอเมริกามีสัดส่วนกว่า 53% ของมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก..
ขณะที่ Walmart บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกาเป็นบริษัทที่มีรายได้มากที่สุดในโลก โดยมีรายได้กว่า 15.4 ล้านล้านบาท ซึ่งพอๆ กับ GDP ของประเทศไทยทั้งประเทศ
นอกจากนี้ รายชื่อบริษัทชั้นนำของโลก 500 บริษัท ที่จัดอันดับโดยนิตยสาร Fortune นั้น เป็นบริษัทจากสหรัฐอเมริกาถึง 121 บริษัท มากที่สุดเมื่อเทียบกับบริษัทจากประเทศอื่น
บริษัทของสหรัฐอเมริกาหลายบริษัท พอพูดชื่อมาคนจำนวนมากในโลกแทบจะรู้จักทันที เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีฐานลูกค้าอยู่ทั่วโลก เช่น
Apple, Google, Microsoft, Coca-Cola, Amazon, Facebook, Starbucks, McDonald’s
ไม่เพียงแต่ด้านเศรษฐกิจเท่านั้น ด้านการศึกษา สหรัฐอเมริกาก็เป็นผู้นำ จากการจัดอันดับสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งมักตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา
อย่างกรณีของ MIT ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน เป็นมหาวิทยาลัยที่ศิษย์เก่าไปก่อตั้งบริษัทหลายแห่ง จนสร้างรายได้รวมกันกว่า 60 ล้านล้านบาท ซึ่งตัวเลขดังกล่าวมากกว่า GDP ของประเทศอิตาลีเสียอีก
กรณีอุตสาหรรมภาพยนตร์ เราจะเห็นได้ชัดว่า สหรัฐอเมริกามี Hollywood ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งประวัติศาสตร์การถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ภาพยนตร์หลายเรื่องได้ส่งผลให้ประเทศอื่นๆ รับอิทธิพลหลายอย่างจากสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี วัฒนธรรม วิถีชีวิตของคนอเมริกันไปไม่น้อย
แม้แต่ในด้านกีฬา ซึ่งสหรัฐอเมริกานั้นเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด โดยในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกตั้งแต่ปี 1896 ถึง 2018 ที่จัดมาทั้งหมด 50 ครั้งนั้น สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่คว้าเหรียญทองมากที่สุดคือ 1,127 เหรียญ
อีกเรื่องทื่ลืมไม่ได้คือ ความสามารถทางการทหาร สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีงบประมาณในการป้องกันประเทศมากที่สุดในโลกโดยมีมูลค่ากว่า 22 ล้านล้านบาท มากกว่าอันดับที่ 2 อย่างจีนถึง 4 เท่า
สหรัฐอเมริกายังเป็นประเทศแรกที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งปัจจุบัน สหรัฐอเมริกามีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ 6,185 ลูก มากเป็นอันดับที่ 2 ของโลก ขณะที่ยังมีจำนวนเครื่องบินรบจำนวนกว่า 2,362 ลำ ซึ่งแน่นอนว่ามากที่สุดในโลกอีกเช่นกัน
ซึ่งจะเห็นว่า ในหลายเรื่องที่กล่าวถึงนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ ทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ที่นี่จะถูกมองว่าเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก ณ ปัจจุบัน
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้ไหมว่า รัฐอะแลสกาของสหรัฐอเมริกานั้น อดีตเป็นของรัสเซียมาก่อน
จนในปี 1867 สหรัฐอเมริกาได้ตกลงซื้อขายดินแดนแห่งนี้กับรัสเซียในราคา 223 ล้านบาท
ซึ่งการที่รัสเซียต้องการขายให้เนื่องจากตอนนั้นเศรษฐกิจของรัสเซียกำลังตกต่ำ และรัสเซียเกรงว่าดินแดนนี้อาจถูกอังกฤษยึดถ้าเกิดสงคราม รัสเซียจึงขายอะแลสกาให้กับสหรัฐอเมริกา
ซึ่งในตอนนั้นประชาชนในสหรัฐอเมริกาก็มีจำนวนมากที่ไม่เห็นด้วยกับการซื้ออะแลสกา ซึ่งผู้คัดค้านบอกว่าเป็นการซื้อที่โง่เขลา
ในปี 2018 รัฐอะแลสกามีปริมาณสำรองน้ำมันดิบประมาณ 2,421 ล้านบาร์เรล ซึ่งถ้าให้ราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หมายความว่า แค่ปริมาณสำรองน้ำมันดิบที่รัฐอะแลสกามีก็มีมูลค่าสูงถึง 4.5 ล้านล้านบาท..
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.thebalance.com/world-currency-3305931
-https://howmuch.net/arti…/worlds-top-reserve-currencies-2019
-http://news.mit.edu/2015/report-entrepreneurial-impact-1209
-https://www.army-technology.com › features › biggest-military-budgets-world
-https://www.careerindia.com/…/qs-world-university-rankings-…
-https://www.statista.com/…/distribution-of-stock-market-si…/
-https://www.worldatlas.com/…/29-largest-armies-in-the-world…
-https://www.businessinsider.com/most-powerful-militaries-in…
-https://www.eia.gov/dnav/pet/PET_CRD_PRES_DCU_SAK_A.htm
microsoft photos download 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
ความสำเร็จของ แอชตัน คุชเชอร์ ที่ลงทุนใน Airbnb Spotify /โดย ลงทุนแมน
หลายคนอาจจะรู้จัก “แอชตัน คุชเชอร์” ในฐานะนักแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูด
โดยเฉพาะจากเรื่อง Jobs หนังอัตชีวประวัติที่เขารับบทนำเป็น สตีฟ จอบส์
แต่รู้หรือไม่ว่าในชีวิตจริง เขาคือนักลงทุนแนว Venture Capital ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
โดยสตาร์ตอัปที่เปลี่ยนวิถีชีวิตมนุษย์ เช่น Airbnb, Uber, Spotify ล้วนได้เงินทุนไปจากเขาทั้งสิ้น
เรื่องราวของผู้ชายคนนี้เป็นอย่างไร
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
คริสโตเฟอร์ แอชตัน คุชเชอร์ เป็นชาวอเมริกัน
เกิดเมื่อปี 1978 ปัจจุบันมีอายุ 42 ปี
เขาเข้าสู่วงการบันเทิง ด้วยการเป็นนายแบบ และถ่ายโฆษณาให้แบรนด์ดังอย่าง Calvin Klein อยู่หลายครั้ง
เมื่ออายุ 20 ปี เขาได้มุ่งหน้าสู่ฮอลลีวูด เพื่อเป็นนักแสดง
และไม่นาน ก็เริ่มมีชื่อเสียง จากการแสดงนำในซีรีส์เรื่อง That ’70s Show ซึ่งออกฉายนานถึง 8 ซีซัน รวมทั้งหมด 200 ตอน
ทำให้ต่อมา เขาได้เล่นเป็นพระเอกในภาพยนตร์ดังอีกหลายเรื่อง เช่น Dude, Where’s My Car?, The Butterfly Effect และ Jobs
มีการประเมินว่า แอชตัน คุชเชอร์ สามารถสร้างรายได้ตลอดอาชีพนักแสดงราว 1,500 ล้านบาท
หลายคนอาจคิดว่า เขาประสบความสำเร็จในชีวิตจากการโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง
แต่ความจริงแล้ว บทบาทนอกจอทีวีต่างหาก ที่ทำให้เขาร่ำรวยขึ้นหลายเท่า
สมัยมหาวิทยาลัย คุชเชอร์ เป็นเด็กหัวดี มีความสนใจเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นพิเศษ
เขาเรียนอยู่สาขาวิศวกรรมชีวเคมี ก่อนที่จะลาออกไปเป็นนักแสดง
ด้วยอาชีพที่เป็นบุคคลสาธารณะ ทำให้เขามีโอกาสพบปะกับนักธุรกิจจากซิลิคอนแวลลีย์ และได้เรียนรู้เกี่ยวกับสตาร์ตอัปมากมาย
ปี 2009 คุชเชอร์ ลงทุนใน Skype แพลตฟอร์มบริการสื่อสารผ่านวิดีโอคอลล์ ด้วยเงินส่วนตัว 30 ล้านบาท
ก่อนที่ 2 ปีถัดมา Microsoft จะซื้อกิจการไป ซึ่งสร้างผลตอบแทนให้เขาถึง 4 เท่า
หลังจากเห็นโอกาสที่ดี ในการลงมือทำสิ่งที่หลงใหล
เขาจึงได้ร่วมก่อตั้งบริษัทชื่อ A-Grade Investments เพื่อลงทุนในสตาร์ตอัป ด้วยเงินตั้งต้น 900 ล้านบาท
โดยบริษัทจะมุ่งเน้นสนับสนุนทุนตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของกิจการที่น่าจะเข้ามา DISRUPT ตลาด และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิมของผู้บริโภค
ยกตัวอย่างการลงทุนที่น่าสนใจของ A-Grade Investments
ปี 2010 Spotify แพลตฟอร์มฟังเพลง Streaming ออนไลน์ ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการ 248 ล้านบัญชี
ใช้เงินลงทุนไป 90 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 เท่า
ปี 2011 Airbnb แพลตฟอร์มจองที่พักแบบ Sharing Economy ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการคืนละ 2 ล้านราย
ใช้เงินลงทุนไป 760 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าได้เพิ่มขึ้นเป็น 2,700 ล้านบาท
ปี 2012 Uber แพลตฟอร์มเรียกรถแนว Sharing Economy ที่ปัจจุบันมีผู้ใช้บริการ 110 ล้านรายทั่วโลก
ใช้เงินลงทุนไป 15 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,800 ล้านบาท
ด้วยเหตุนี้ มูลค่าพอร์ตการลงทุนโดยรวมของบริษัท A-Grade Investments จึงเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7,600 ล้านบาท
หลังจากนั้น คุชเชอร์และหุ้นส่วน ยังได้ต่อยอดด้วยการตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์อีกหนึ่งแห่งชื่อ Sound Ventures
คราวนี้พวกเขามีเงินระดมทุนสูงถึง 3,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายจะกระจายการลงทุนไปในสตาร์ตอัปราว 60-70 แห่ง
จากความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ทรัพย์สินส่วนตัวของ แอชตัน คุชเชอร์ เพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ล้านบาท
เรื่องราวนี้แสดงให้เห็นว่า การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
ย่อมสร้างโอกาสให้เราเปิดประตูไปสู่โลกใหม่ได้เสมอ
แม้คุชเชอร์ จะทำได้ดีในเรื่องการแสดงอยู่แล้ว
แต่เขาก็ยังศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสตาร์ตอัป
และลงมือทำจนประสบความสำเร็จมากขึ้นไปอีกขั้น
ดังนั้น ถึงแม้วันนี้เราจะเก่งในด้านใดด้านหนึ่งอยู่แล้ว
ก็อย่าหยุดติดอาวุธทางความรู้ให้กับตัวเอง
เพราะว่าสักวันหนึ่ง มันจะเปิดโอกาสให้เราสำเร็จกว่าเดิมก็เป็นได้..
╔═══════════╗
Blockdit ที่สุดของแอปมีสาระ
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://percentotech.com/bobb…/ashton-kutcher-entrepreneurs/
-https://www.cheatsheet.com/…/ashton-kutcher-net-worth-how-…/
-https://www.forbes.com/…/how-ashton-kutcher-and-guy-osear…/…
microsoft photos download 在 How to Download and Install Microsoft Photos APP ... - YouTube 的推薦與評價
... <看更多>