สหรัฐอเมริกา ทำ QE อย่างหนัก แต่ทำไมเงินไม่เฟ้อ ในปีที่ผ่านมา /โดย ลงทุนแมน
Quantitative Easing หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า QE
เป็นเครื่องมือหนึ่งที่สำคัญ ที่ธนาคารกลางทั่วโลกหยิบมาใช้
อธิบาย QE แบบง่าย ๆ ก็คือ การอัดฉีดเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ระบบเศรษฐกิจ
โดยหลักการแล้ว การเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบจำนวนมาก
สิ่งที่มักจะตามมาก็คือ การเกิด “ภาวะเงินเฟ้อ”
ที่น่าสนใจคือ ในปีที่ผ่านมาธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED (Federal Reserve)
ได้ทำ QE อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินจำนวนมหาศาล
แต่รู้ไหมว่า.. อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาในปี 2020 ที่ผ่านมา กลับลดลง
ทำไมเรื่องนี้ ถึงสวนทางความเข้าใจของหลายคน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด 19
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ FED ได้อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงินด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้รัฐบาลท้องถิ่น และตราสารหนี้เอกชน เพื่อให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีสภาพคล่อง มีเงินไปกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และอัดเข้าสู่ระบบต่อไป
ซึ่งกระบวนการที่กล่าวมานี้คือ สิ่งที่เราเรียกกันสั้น ๆ ว่า QE
เราลองมาดูจำนวนเงินที่ FED ใช้สำหรับมาตรการ QE ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
- ปี 2019 จำนวนเงินที่ใช้สำหรับมาตรการ QE เท่ากับ 131 ล้านล้านบาท
- ปี 2020 จำนวนเงินที่ใช้สำหรับมาตรการ QE เท่ากับ 228 ล้านล้านบาท
โดยปีที่ผ่านมา ปริมาณเงินที่ FED อัดฉีดเข้าสู่ตลาดการเงินนั้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 97 ล้านล้านบาท ซึ่งมูลค่านี้มากพอ ๆ กับ GDP ของสหราชอาณาจักร
โดยเป้าหมายของ FED ก็เพื่อที่จะเพิ่มปริมาณเงินในมือของภาครัฐและภาคเอกชน จนส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ การเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลของ FED นั้น ยังเป็นการกดให้ Yield หรือผลตอบแทนของพันธบัตรลดต่ำลงมา ซึ่งจะส่งผลไปยังดอกเบี้ยในตลาดการกู้ยืมให้ลดลง จนเกิดแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมากู้ยืมเงินไปลงทุนและจ้างงานในระบบเศรษฐกิจต่อไป
อย่างไรก็ตาม ความกังวลที่มาพร้อมกับการใช้มาตรการ QE
ก็คือ อัตราเงินเฟ้อ ที่อาจเพิ่มสูงขึ้น จากปริมาณเงินที่ถูกอัดฉีดเข้าสู่ระบบอย่างมหาศาล
แล้วที่ผ่านมาอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกา ปรับเพิ่มขึ้นไหม ?
- สิ้นปี 2019 อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกา 1.81%
- สิ้นปี 2020 อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกา 1.25%
เห็นแบบนี้หลายคนอาจจะแปลกใจว่า ทำไมผลที่ออกมาไม่ตรงตามทฤษฎี
ทำไม FED อัดฉีดเข้าสู่ตลาดการเงินจำนวนมาก
แต่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกากลับลดลง ในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมา
ที่เป็นแบบนี้ ปัจจัยสำคัญก็คือ “ความเปราะบางทางเศรษฐกิจ”
โดยตัวเลขที่ชี้ให้เห็นเรื่องนี้ได้ดี ก็อย่างเช่น อัตราการว่างงาน
หลังการระบาดหนักของโควิด 19 ในสหรัฐอเมริกา
อัตราการว่างงานในสหรัฐอเมริกา เคยขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 14.7% ในเดือนพฤษภาคม ปีที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นอัตราที่สูงสุด นับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในช่วงปี 1930
อัตราการว่างงานที่สูง ทำให้กำลังซื้อของชาวอเมริกันลดลงอย่างมาก
อีกประเด็นคือ ความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ ทำให้ชาวอเมริกันเอาเงินไปฝากธนาคารมากขึ้น เพื่อเก็บเงินสดไว้ใช้ แม้แทบจะไม่ได้ดอกเบี้ยเลยก็ตาม
ซึ่งเรื่องนี้ สะท้อนได้จาก การเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกา
โดยในช่วงมีนาคมถึงพฤษภาคม 2020 เงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นกว่า 62 ล้านล้านบาท
เมื่อคนเก็บเงินมากขึ้น รวมถึงคนที่มีกำลังซื้อลดลงจากการไม่มีงานทำ
ก็ย่อมหมายถึงการใช้จ่ายในประเทศที่ลดลง
พอคนใช้จ่ายลดลง ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในภาพรวม ก็ลดลงตามไปด้วย
จึงเป็นที่มาให้ อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 2020 ลดลงนั่นเอง
ซึ่งตัวชี้วัดหนึ่งของเรื่องนี้ก็คือ “Output Gap”
Output Gap คือส่วนต่างระหว่างมูลค่า GDP ที่เกิดขึ้นจริง เทียบกับ ค่าคาดการณ์ หรือมูลค่าที่ควรจะเป็น ของ GDP ในช่วงเวลานั้น ๆ
- ถ้าค่า Output Gap เป็นบวก หมายความว่า มูลค่า GDP ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงนั้น ดีกว่า ศักยภาพที่ควรเป็น
- ถ้าค่า Output Gap เป็นลบ หมายความว่า มูลค่า GDP ที่เกิดขึ้นจริงในช่วงนั้น แย่กว่า ศักยภาพที่ควรเป็น
ซึ่งถ้าลองมาดู Output Gap ของสหรัฐอเมริกาในปี 2020
- ไตรมาส 1/2020 Output Gap -0.55%
- ไตรมาส 2/2020 Output Gap -9.90%
- ไตรมาส 3/2020 Output Gap -3.48%
- ไตรมาส 4/2020 Output Gap -2.77%
จะเห็นว่าทั้ง 4 ไตรมาสในปี 2020 เปอร์เซ็นต์ Output Gap ของสหรัฐอเมริกา ติดลบต่อเนื่อง
หมายความว่า เศรษฐกิจของประเทศ ยังไม่ฟื้นตัวมาอยู่ในระดับที่ควรจะเป็น
ซึ่งมันก็สะท้อนได้ถึง การจ้างงานและการจับจ่ายของภาคเอกชน ที่ยังไม่ฟื้นตัวดี ซึ่งนี่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ยังกดดันอัตราเงินเฟ้อให้ไม่สูงขึ้นด้วยนั่นเอง
สรุปแล้ว ที่สหรัฐอเมริกาทำการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบมหาศาล แต่เงินยังไม่เฟ้อนั้น
ปัจจัยสำคัญเพราะ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังคงเปราะบาง
การจ้างงานในประเทศในปีที่ผ่านมายังไม่ฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิม
และแม้ภาครัฐจะพยายามอัดฉีดเงินช่วยเหลือ และกระตุ้นให้คนเอาเงินออกมาใช้ แต่คนในประเทศจำนวนมาก ก็ยังคงเลือกเก็บเงินสดจำนวนมากเอาไว้เผื่อยามจำเป็น
กำลังซื้อที่ยังไม่ค่อยฟื้นตัว บวกกับคนไม่ค่อยกล้าเอาเงินออกมาใช้
ก็เลยทำให้อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาในช่วงปลายปี 2020 ยังไม่ได้สูงขึ้น
แม้ธนาคารกลางจะอัดเงินเข้าระบบอย่างหนัก นั่นเอง
อย่างไรก็ตามมีหลายคนคาดการณ์ว่า ในปี 2021 เป็นต้นไป เงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาจะค่อย ๆ ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว จากการที่ประชากรได้ฉีดวัคซีนกัน และสามารถควบคุมโรคระบาดได้แล้ว..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
แม้ว่า การทำ QE ของ FED จะไม่ได้ทำให้อัตราเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกาปรับตัวขึ้นมาก
แต่สภาพคล่องในส่วนนี้ กลับไหลไปทำให้ราคาสินทรัพย์การเงินหลายตัว ปรับตัวขึ้นอย่างมาก จนนำไปสู่ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Asset Price Inflation”
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.atlanticcouncil.org/blogs/econographics/global-qe-tracker/
-https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_27Jul2020.aspx
-https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_countries_by_GDP_(nominal)
-https://www.macrotrends.net/countries/USA/united-states/inflation-rate-cpi
-https://www.youtube.com/watch?v=3-dvi1f_2vA
-https://www.washingtonpost.com/business/2020/05/08/april-2020-jobs-report/
-https://fred.stlouisfed.org/series/DPSACBW027SBOG
-https://www.brookings.edu/blog/up-front/2021/02/22/what-is-potential-gdp-and-why-is-it-so-controversial-right-now/
-https://ycharts.com/indicators/us_percent_gdp_gap#:~:text=US%20Output%20Gap%20is%20at,term%20average%20of%20%2D0.65%25.
-https://tradingeconomics.com/united-states/unemployment-rate
-https://tradingeconomics.com/united-states/non-farm-payrolls
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「unemployment rate usa」的推薦目錄:
unemployment rate usa 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
เศรษฐกิจย่ำแย่ แต่หุ้นขึ้น /โดย ลงทุนแมน
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ธนาคารกลางประเทศอังกฤษคาดการณ์ว่า GDP ปีนี้
จะตกต่ำลงกว่า 14% ซึ่งถือเป็นการลงที่รุนแรงที่สุดในรอบ 300 ปี
300 ปี เป็นตัวเลขที่น่าสนใจเพราะยุคนั้นเป็นยุคของเซอร์ไอแซก นิวตัน
ผู้คิดค้นทฤษฎีแรงโน้มถ่วง หรือประเทศไทยก็คือ ยุคกรุงศรีอยุธยา..
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าวิกฤติในปีนี้ มีมูลค่าความเสียหายรุนแรง
ยิ่งกว่ายุคสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง และวิกฤติเศรษฐกิจทั้งหมดที่คนรุ่นเราพอจะนึกออก
นอกจากประเทศอังกฤษ อีกหลายประเทศก็กำลังเผชิญหน้า
กับเศรษฐกิจที่ย่ำแย่สุดในรอบประวัติศาสตร์ ไม่ต่างกัน
สัปดาห์ก่อน ประเทศสหรัฐอเมริการายงานตัวเลข
การว่างงานพุ่งทะลุ 20.5 ล้านคน ในเดือนเมษายน
รวมถึงมีรายงานว่าบริษัทอเมริกันยื่นล้มละลายไปแล้วกว่า 78 แห่ง
เรื่องนี้ส่งผลให้อัตราว่างงานชาวอเมริกันอยู่ที่ระดับ 14.7%
ซึ่งถือเป็นระดับที่ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์
นับตั้งแต่ Great Depression ในปี ค.ศ. 1929 หรือ 91 ปีก่อน
วิกฤติในครั้งนั้น ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา (Dow Jones)
ลดลงจากจุดสูงสุดที่ 381.17 จุด ตกลงมาสู่จุดต่ำสุดที่ 41.22 จุด
คิดเป็นการตกลงถึง 89% ภายในระยะเวลา 3 ปี
การตกลง 89% ของตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกาในตอนนั้นใกล้เคียงกับการตกลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทย
จากจุดสูงสุดที่ 1,789 จุด ตกลงมาสู่จุดต่ำสุด 204 จุด ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี พ.ศ. 2540
ซึ่งในปีถัดมา GDP ประเทศไทย ติดลบ 7.6%
ในขณะที่ปีนี้ IMF คาดการณ์ว่า GDP ประเทศไทยปีนี้ จะติดลบ 6.7%
เท่ากับว่าวิกฤติปัจจุบัน ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยกำลังเผชิญกับเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงสุดครั้งหนึ่งในรอบประวัติศาสตร์
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดทุน
ทั้งในสหรัฐอเมริกา ไทย รวมถึงทั่วโลก
กลับไม่ได้ตกต่ำรุนแรงเหมือนในอดีต..
แล้วสถานการณ์ตอนนี้กับในอดีต ต่างกันอย่างไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ถ้าบอกว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่ย่ำแย่สุดในรอบประวัติศาสตร์
ทุกคนก็คงยอมรับ
แต่นโยบายทางการเงินที่ธนาคารกลางหลายประเทศทั่วโลก กำลังทำอยู่ตอนนี้
ก็ถือว่าเป็นนโยบายที่บ้าบิ่นที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นกัน
เพราะตอนนี้ ธนาคารกลางในหลายประเทศหั่นอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง
รวมถึงอัดฉีดเงินเข้าระบบมหาศาล แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การอัดฉีดเงินเข้าระบบ หรือ Quantitative Easing (QE) เป็นนโยบายทางการเงิน
ที่เริ่มต้นมาจากประเทศสหรัฐอเมริกาในยุควิกฤติซับไพรม์ ปี ค.ศ. 2008
ซึ่งใช้ได้ผลดี และทำให้สหรัฐอเมริกาฟื้นจากวิกฤติมาได้อย่างรวดเร็ว
และก็เหมือนคนเคยเจ็บป่วย กินยาหาย
เมื่อป่วยอีกก็อยากกินยานั้นอีกครั้ง..
ซึ่งรอบนี้ การอัดฉีดเงินในประเทศสหรัฐอเมริกาก็ได้วิวัฒนาการเป็น Unlimited Quantitative Easing หรือ การพิมพ์เงินอัดเข้าไปพยุงสภาพคล่อง และธุรกิจไม่จำกัดวงเงิน ไม่จำกัดระยะเวลา
ถึงตอนนี้ธนาคารกลางประเทศสหรัฐอเมริกาอัดฉีดเงินเข้าระบบไปแล้วกว่า 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 58 ล้านล้านบาท คิดเป็นกว่า 3.6 เท่าเมื่อเทียบกับ GDP ประเทศไทยปีที่ผ่านมา
ทั้งหมดนี้สะท้อนไปยังความเชื่อมั่นในตลาดทุนที่ฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจะเกิด Circuit Breaker หลายครั้งในหลายประเทศตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา
การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วแบบนี้ สะท้อนให้เห็นว่าตอนนี้หลายคนยังมองวิกฤติโรคระบาด
มีแนวโน้มที่กำลังจะสิ้นสุดภายในไม่กี่เดือนที่จะถึงนี้ และนโยบายทางการเงินที่บ้าคลั่งกำลังจะรักษาวิกฤตินี้ได้
อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า “สิ่งที่เราต้องจ่าย” จากการดำเนินนโยบายทางการเงินที่บ้าบิ่นขนาดนี้ จะส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจในรูปแบบไหนบ้างในอนาคต
หากทุกอย่างกลับมาเป็นปกติโดยสมบูรณ์
ผู้คนเดินทางเป็นปกติ ไปเที่ยวเป็นปกติ
ความต้องการ กำลังซื้อของเรากลับมาที่จุดเดิม
เงินที่ล้นระบบจากนโยบายทางการเงินในวันนี้
ก็จะถูกทำให้ลดลงในอนาคต
และในวันนั้น
บุคคลที่ติดยา แต่ให้หยุดเสพ
เราก็จะได้รู้กัน ว่าอาการเป็นอย่างไร..
╔═══════════╗
อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 5
หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงประวัติเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1100 ไล่ยาวไปจนถึง ค.ศ.2019
สั่งซื้อได้ที่ (ซื้อตอนนี้มีส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/p…/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.history.com/…/great-de…/great-depression-history
-https://www.thebalance.com/the-great-depression-of-1929-330…
-https://www.bloomberg.com/…/fed-slows-treasury-buying-again…
-https://www.investopedia.com/t…/a/asian-financial-crisis.asp
-https://www.britannica.com/event/Asian-financial-crisis
-tradingview.com
-investing.com
Economy is bad but stocks are up / by Investing Man.
A few days ago, the British Central Bank predicted GDP this year.
Going down 14 % which is the most severe down in 300 years.
300 years are interesting numbers because that era is Sir Isaac Newton era.
The inventor of gravity theory or Thailand is the era of Krungsri Ayutthaya..
╔═══════════╗
Blockdit Analytical Article Source
Deep content penetrating
Recently, a podcast feature has been published.
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
This reflects this year's crisis worth of severe damage.
Even more than the 2 world wars era and all economic crisis that our generation can imagine.
Apart from England, many other countries are facing.
With the worst economy in history, there is no difference.
Last week USA reported numbers
Unemployment surpassed 20.5 million people in April.
Including 78 American companies have been filed bankruptcy.
This resulted in the American unemployment rate at 14.7 % level.
Which is the worst level in history.
Since Great Depression in July Prof. 1929 or 91 years ago
Crisis at that time, U.S. stock market index (Dow Jones)
Dropped from 381.17th highs, fell to 41.22th lowest point.
Think about 89 % in 3 years.
A 89 % deal of U.S. stock market at that time was close to the agreement of the Thailand Stock Exchange Index.
From the highest point at 1,789 points, I fell to the lowest point of 204 points during the crisis. Tom Yum Kung Pip. B.E. 2540
GDP Thailand is 7.6 % negative.
While this year, IMF predicts GDP Thailand will be 6.7 % negative.
It's equal to the current crisis, countries around the world, including Thailand, are facing the most severe economic crash once in history.
But what happened to the capital market
Both in USA, Thailand and around the world.
Back to back, not as severe as in the past..
So what's the difference between now and past situation?
Investing man will tell you about it.
If we say we are now in the worst economic crisis in history
Everyone would accept it.
But the monetary policy that many central banks around the world are doing now.
It's considered the craziest policy in history too.
Because now, central banks in different countries cut interest rate policies down.
Including pumping money into the system like never before.
Pumping money into a system or Quantitative Easing (QE) is a monetary policy.
Starting from USA in subprime crisis era B.E. 2008
Which works well and quickly revives the U.S. crisis.
And it's like someone who has been sick. Take medicine to heal.
When I'm sick again, I want to take that pill again..
This time, the money pumping in USA evolves into Unlimited Quantitative Easing or printing money to support liquidity and business. Unlimited amount of money. No time limit.
Until now, the Central Bank of USA has pumped over 1.8 trillion USD or 58 trillion Baht. It's more than 3.6 times compared to GDP Thailand last year.
This all reflects confidence in rapidly reviving capital markets.
Despite the Circuit Breaker many times in different countries for the last 2 months.
A speedy recovery like this reflects that many people are still looking at the epidemic crisis.
It's likely to end within the next few months and insane monetary policies are going to cure this crisis.
However, no one knows what ′′ we have to pay ′′ from implementing this crazy financial policy will impact future economic system.
If everything is completely back to normal
People travel normally, go on a regular trip.
Our purchase demands are back at the same spot.
Money overflowing from monetary policy today
Will be dropped in the future
And on that day
A person who is addicted to drugs but stop using them.
We will know how the symptoms are..
╔═══════════╗
If you want to know the possibility of the world economy, you must understand the
World economy 1,000 years. 5th typing.
This book will talk about the world economic history from July. Prof. 1100 will keep chasing until July. B.E. 2019
Order at (Buy now and get 10 % discount from the cover price of 350 baht)
Lazada: https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee: https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
Follow to invest in man at
Website - longtunman.com
Blockdit-blockdit.com/longtunman
Facebook-@[113397052526245:274: lngthun mæn]
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram-instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.history.com/topics/great-depression/great-depression-history
-https://www.thebalance.com/the-great-depression-of-1929-3306033
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-05-08/fed-slows-treasury-buying-again-to-7-billion-a-day-next-week
-https://www.investopedia.com/terms/a/asian-financial-crisis.asp
-https://www.britannica.com/event/Asian-financial-crisis
-tradingview.com
-investing.comTranslated
unemployment rate usa 在 Mohd Asri Facebook 的最佳貼文
"If you don't follow the stock market, you are missing some amazing drama."
[SIX REASONS WHY BURSA COMPOSITE INDEX WILL BREAK 2,000 BY END 2015 BY DR. NAZRI KHAN]
I am going to stick my neck out here and making a gutsy speculation that KLCI will break above 2,000 level, two years from now. Yes, seriously as early as December 2015.
While that might sound crazy (KLCI is still struggling with 1800 this week), let me humbly justify with SIX undisputable reasons why Bursa will hit 2,000 magic numbers.
REASON 1 : Subprime Crisis Is Over. Solid USA & European Economies.
The USA economy is in its best performance since the depths of the financial recession in 2008. Bloomberg consensus expect USA to post solid economic growth of more than 3% through 2016 and 6% unemployment rate by end 2014, the best rate in five years. The worst is also over for Europe. Europe especially the PIGS (Portugal, Ireland, Greece and Spain) had an extremely severe reaction to the 2008 financial panic due to sovereign debt but as last quarter 2013 their economies are no longer shrinking and in fact are making a modest incremental economic growth since 2008. Both the USA and Europe are Malaysia largest trading partner and represents important sources of demand for goods from every other region. Solid economic recovery in the USA and Europe suggest stronger exports, higher corporate earnings and of course higher Bursa price.
REASON 2 : Average KLCI Annual Gains Since 1977 Is 30%
Look and check this out on Bloomberg, KLCI has easily gained 135% since 2008 and a total of 2015% since 1977 (meaning average of 26% per year). So when you start to look at a 26% price gain per year, and you add in Bursa average of 4% dividends, you are talking about a 30% return average every years. 2000 magic numbers will only represent a cheap 5% gain for KLCI per year from here. Now don’t tell me KLCI hitting 2000 psycho level is a big deal.
REASON 3 : Improved External + Cheap Valuation = More Foreign Inflows.
Fundamentally speaking, the remarkable fact is that even after this incredible 2008-2013 run-up the FBMKLCI index is only selling at 15.5 times estimated 2014 earnings. Reasonable price, at least compared to the super glory time in 1990-1994 where KLCI valuation is 40 times! Remember, I haven’t talk about the foreign inflow which now stand at three years low. S&P 500 companies alone are sitting on USD3 trillion in cash equivalents. Assuming 1% of inflow will inject extra RM100bil per year into Bursa equity. And that could be another reason the market will continue to rise.
REASON 4 : Huge Untapped Liquidity. Millions Of Retailers Are Yet To Jump.
Secondly, only 0.4% of Malaysian are currently actively invested in the market (based on 100,000 active retail investors and 28 million Malaysian population as at Dec 2013). Headlines speak to the fact that as the market advanced, more money is moving back into equities. And that is true. And don’t forget, as at end last year, we have RM326 billion funds invested in unit trust which will plough back into Bursa Malaysia. So given this untapped liquidity, I can easily bet there appears to be an imminent euphoria here in the Malaysia market especially when KLCI broke above 1900 this year.
REASON 5 : Current Bull Is Still Young
2014 should be the sixth year of the bull run which started since 2009. Well, since 1977, the average duration of a Malaysian bull market is 9.8 years, and the average return is 275%. We should understand the bull momentum gradually became stronger as the bull market continued year after year, and normally grow exponentially in the last five years. This bull starting in October 2008 has not even matched that average. It is now only 5.5 years old running with a return of 135%. Meaning we have at least another 4.3 years (till July 2019) and further 140% upside to whack
REASON 6 : Retail Traders Are Roaring
Last but not least, I am impressed by looking at the tiger attitude of retail traders especially the younger ones. Out of nowhere, I see thousands of retail investors from colourful background (engineers, teachers, MLM product owners to idle housewives) fully embraced 2013 bull market, ignoring any threat from the hottest 2013 Malaysia general election and chasing stocks like there is no tomorrow. Trading gallery now is full to the brim and training seminar is packed like a world class soccer match. Buying into speculatively unknown and underperforming names such as Tiger, Palette, Nicorp, Ingenco, Winsun, AMedia & Luster. This strong retail trend should signal more good times to come. I just can’t wait for the last bull stage in 2019 where taxi drivers, mamak staller and even house maids to jump and buy Iris, Sumatec and KNM.
I Rest My Case.
xxxxx
Affin Long Term View : Runaway Bull 2015-2016, Euphoria Bull 2017-2018, Buying Climax & Next Crash 2019-2020
Long Term Strategy : Buy Any Local Bluechips Warrants OR Buy MSCI Malaysia ETF Long Term Options (EWM), Hold Five Years
Affin Low Risk Favourites (Watch For 5 Year Warrants If Available) :
TENAGA (Price RM11.85)
TM (Price RM5.55)
SKPETRO (Price RM4.51)
AIRPORTS (Price RM8.11)
BIMB (Price RM4.29)
TAKAFUL (Price RM10.26)
BURSA (Price RM7.79)
POS (Price RM5.55)
QL RESOURCES (Price RM2.98)
BRAHIM (Price RM2.30)
xxxxx
unemployment rate usa 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳解答
unemployment rate usa 在 大象中醫 Youtube 的最讚貼文
unemployment rate usa 在 大象中醫 Youtube 的最讚貼文
unemployment rate usa 在 The Employment Situation - October 2021 - Bureau of Labor ... 的相關結果
down by 0.2 percentage point to 4.6 percent, the U.S. Bureau of Labor ... The unemployment rate edged down to 4.6 percent in October. ... <看更多>
unemployment rate usa 在 Unemployment Rate (UNRATE) | FRED | St. Louis Fed 的相關結果
U.S. Bureau of Labor Statistics, Unemployment Rate [UNRATE], retrieved from FRED, Federal Reserve Bank of St. Louis; https://fred.stlouisfed.org/series/UNRATE, ... ... <看更多>
unemployment rate usa 在 United States Unemployment Rate | 2021 Data | 2022 Forecast 的相關結果
The US unemployment rate likely fell last month to 4.7 percent, the lowest since March 2020, as the labor market gradually recovers helped by a ... ... <看更多>