How Big Is Amazon, Really?
By Shira Ovide
I’m fond of ( ) repeating a shopping statistic ( ) that often surprises people. In the United States — even during the pandemic — only about $14 out of each $100 worth of stuff we buy is spent online. Amazon is responsible for roughly $5 of that.
So is Amazon a giant that dominates ( ) our internet spending or a blip ( ) in America’s shopping universe? It depends on how you look at the numbers. Amazon is huge in internet sales, but puny ( ) relative to all the goods Americans buy.
Our perception ( ) of Amazon’s size influences how the public and policymakers think about the company. And yet while the company’s share of spending matters, it also doesn’t tell us everything.
Permit me to get a little nerdy ( ) about numbers. Without a doubt, Amazon is the king of online shopping in the United States. Research firm eMarketer estimated that Amazon will be responsible for more than 40% of Americans’ e-commerce spending this year. The second-largest internet store, Walmart, is far behind at about 7%.
Back to my point, though, that internet shopping remains relatively ( ) small. The picture is a little different depending on how you count.
U.S. government data on online shopping plus those eMarketer estimates ( ) put Amazon at about 5% of all U.S. retail sales.
(And there’s a wrinkle ( ): A trade group for retailers recently told me that there could be inaccuracies in the government counting of shopping that blurs ( ) the line between stores and online, such as picking up online orders in person.)
Data can be a weapon. Amazon often uses a version of the 5% sales figure to counter ( ) critics who say the company is too big and powerful. But government investigations into big technology companies are looking at the behavior of Big Tech, not just their size. They’re trying to answer whether companies abuse their power to get advantages over competitors and hurt us.
Amazon has had a profound ( ) influence on people’s behavior, the strategies of entire industries and our communities no matter what the numbers say.
What we’re seeing in real life from Amazon and beyond are big ripple effects ( ) from a small market share.
So, is Amazon big? Yes and also no. And the reality is that no matter what the numbers say, Amazon commands ( ) the attention of people, other companies and governments because it’s influential in reshaping the world.
亞馬遜到底算不算大?
我喜歡重述一個常讓人吃驚的購物統計數字。在美國,即便是疫情期間,我們每購買100美元商品,僅14美元是在網上消費,其中亞馬遜約占了5美元。
所以,亞馬遜究竟是主宰我們網路消費的巨人,還是美國購物世界乍現的一個小光點呢?端視你如何看待這些數字。亞馬遜網路銷售金額龐大,但跟美國人總體商品購買額相比卻微不足道。
我們對亞馬遜規模的感受,影響著民眾和決策者對該公司的看法。然而,該公司在消費者支出中所占比率固然重要,卻並不代表一切。
且容我在數字上再多著墨些。無疑地,亞馬遜是美國網路購物之王。研究公司eMarketer估計,亞馬遜將占今年美國民眾電子商務支出的40%以上。第二大網路商店沃爾瑪則以7%左右遠遠落後。
不過,回到我原先談到的重點,網路購物規模仍相對較小。隨著計算方式的不同,情況也會有些差異。
根據美國政府有關網路購物的數據及eMarketer的估計,亞馬遜約占美國零售總額的5%。
(還有一個小問題是,一個零售業的同業組織日前告訴我,政府對購物數字的統計可能不準確,因為模糊了實體商店和網路商店的界限,例如在網路下單卻親赴實體商店取貨。)
數據可以是一種武器。亞馬遜經常用5%的銷售比率來反駁那些認為該公司太強大的批評者,但政府對大型科技公司的調查不僅關注其規模,還關注行為。他們正嘗試查明這些公司是否濫用權力來獲得超越競爭對手的優勢,並對我們造成傷害。
無論這些數字代表什麼,亞馬遜對人們的行為、各種產業的整體策略,以及我們的社群,都有著深遠影響。
我們在現實生活中從亞馬遜及其他公司身上看到的是,來自低市占率的巨大連漪效應。
那麼,亞馬遜很大嗎?是,也不是。現實的情況是,不管這些數字代表什麼,亞馬遜都吸引著人們、其他企業和政府的注意,因為它在重塑這世界上具有影響力。
#高雄人 #學習英文 請找 #多益達人林立英文
#高中英文 #成人英文
#多益家教班 #商用英文
#國立大學外國語文學系講師
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「walmart e-commerce」的推薦目錄:
- 關於walmart e-commerce 在 多益達人 林立英文 Facebook 的最佳解答
- 關於walmart e-commerce 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
- 關於walmart e-commerce 在 คุยการเงินกับที Facebook 的精選貼文
- 關於walmart e-commerce 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳貼文
- 關於walmart e-commerce 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
- 關於walmart e-commerce 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
- 關於walmart e-commerce 在 Walmart, AMZ, Facebook (E-commerce) Sell Profitable ... 的評價
- 關於walmart e-commerce 在 Walmart's eCommerce Fulfillment Center Network - YouTube 的評價
walmart e-commerce 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
Walmart และ Target ค้าปลีกดั้งเดิม เติบโตไม่แพ้ Amazon / โดย ลงทุนแมน
แม้ว่ายอดขายจากช่องทางค้าปลีกทั้งหมด
ในสหรัฐอเมริกาจะมาจากทางออนไลน์เพียง 14%
แต่การเติบโตอย่างรวดเร็วของอีคอมเมิร์ซก็ได้
เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งธุรกรรมค้าปลีกมาโดยตลอด
ยิ่งในช่วงโรคระบาด ที่คล้ายกับบังคับให้คนหันมาซื้อของทางออนไลน์มากขึ้น
ทำให้หลายคนอาจจะคิดว่าผู้ที่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ก็น่าจะเป็นบริษัท Amazon
ที่เป็นผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาและของโลก
แต่จริง ๆ แล้ว ร้านค้าปลีกดั้งเดิม โดยเฉพาะ Target และ Walmart
กลับได้รับผลประโยชน์จากวิกฤติโรคระบาดไม่แพ้กัน
เพราะอะไร ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Amazon
ผู้นำแห่งวงการอีคอมเมิร์ซ ที่รายได้เติบโตอย่างรวดเร็ว
เฉลี่ยราว 20% ต่อปีมาอย่างยาวนาน
เมื่อเทียบกับร้านค้าปลีกดั้งเดิม
อย่างเช่น Walmart และ Target ที่คล้าย Lotus’s ในบ้านเรา
มีการเติบโตของยอดขายต่อสาขาอยู่ในระดับคงที่ราว 2% ต่อปี
เป็นระยะเวลายาวนานมาหลายสิบปีแล้ว
ในปี 2015 Amazon ที่ก่อตั้งมาได้ 21 ปี ได้กลายเป็นบริษัทค้าปลีกที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
โดยสามารถเอาชนะ Walmart ร้านค้าปลีกยักษ์ใหญ่แบบดั้งเดิม ที่มีอายุกว่า 50 ปี
ซึ่งแน่นอนว่าร้านค้าปลีกดั้งเดิมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ
ผู้ที่ไหวตัวทันอย่าง Walmart และ Target ก็ได้เริ่มพัฒนาช่องทางขายแบบออนไลน์มาสู้
จนในไตรมาส 3 ปี 2019 ยอดขายทางออนไลน์ของทั้ง 2 บริษัทก็มีอัตราการเติบโต
ที่สูงกว่าการเติบโตของ Amazon ได้เป็นครั้งแรก
ต่อเนื่องมาถึงปี 2020 ที่เกิดวิกฤติโควิด 19
แม้ว่าผู้ค้าปลีกทั้งกลุ่ม จะได้ผลบวกจากนโยบายเงินเยียวยาของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
และผู้ขายที่มีช่องทางออนไลน์ ก็ยังได้เปรียบจากการค้าขายในช่วงโรคระบาด
แต่ใช่ว่าผู้ประกอบการทุกคน จะเติบโตได้อย่างสดใส
เพราะมีอยู่เพียง 3 บริษัท ที่มีส่วนแบ่งตลาดในช่องทางอีคอมเมิร์ซเพิ่มขึ้น
โดยเทียบข้อมูลส่วนแบ่งตลาดในช่องทางอีคอมเมิร์ซต้นปี 2021 กับต้นปี 2020
อันดับ 1 Amazon ส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซ 40.4% เพิ่มขึ้นจาก 38.7% ในปีก่อนหน้า
อันดับ 2 Walmart ส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซ 7.1% เพิ่มขึ้นจาก 5.3% ในปีก่อนหน้า
อันดับ 6 Target ส่วนแบ่งตลาดอีคอมเมิร์ซ 2.2% เพิ่มขึ้นจาก 1.2% ในปีก่อนหน้า
ซึ่งยอดขายออนไลน์ของ Walmart ก็สามารถแซง eBay
ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2 ได้เป็นครั้งแรกในปี 2020 และยังรักษาตำแหน่งไว้ได้
ส่วน Target ที่ล่าสุดอยู่ในอันดับที่ 6 ก็ขยับขึ้นมา
จากอันดับ 8 ในปี 2020 และอันดับ 11 ในปี 2019
นอกจากเรื่องที่ใครครองส่วนแบ่งมากกว่ากันแล้ว
อีกหนึ่งสิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญ นั่นก็คือตัวเลขการเติบโต
โดยอัตราการเติบโตของยอดขายอีคอมเมิร์ซในปี 2020 ของแต่ละบริษัท เป็นดังนี้
Amazon เติบโต 44% เพิ่มขึ้นจาก 21% ในปีก่อนหน้า
Walmart เติบโต 37% เพิ่มขึ้นเท่ากับปีก่อนหน้า
Target เติบโต 145% เพิ่มขึ้นจาก 20% ในปีก่อนหน้า
แม้ยอดขายของ Amazon จะถือว่าเติบโตสูงเมื่อเทียบกับขนาดส่วนแบ่งตลาด
แต่ที่น่าจับตามองมากกว่าก็คือ อัตราการเติบโตในช่องทางออนไลน์ของค้าปลีกดั้งเดิม
ที่ถือได้ว่าเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดโดยเฉพาะ Target
และการเติบโตของยอดขายจากช่องทางออนไลน์ของค้าปลีกดั้งเดิมเหล่านี้
ไม่ได้มาจากเพียงแค่เรื่องฐานยอดขายเดิมที่ยังน้อยกว่า Amazon มาก
แต่ร้านค้าเหล่านี้ ยังมีจุดได้เปรียบที่สำคัญ
นั่นก็คือการมีหน้าร้านอยู่หลายสาขา
ที่ได้กลายเป็นปัจจัยส่งเสริมช่องทางออนไลน์ได้อย่างแข็งแกร่ง
ในช่วงที่โควิด 19 เพิ่งเริ่มแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง
ชาวอเมริกันต่างรีบซื้อหาสินค้าจำเป็น
โดยเน้นไปที่การสั่งซื้อทางออนไลน์
แต่กลายเป็นว่า ความต้องการสินค้าที่เข้ามาพร้อมกันอย่างล้นหลาม
ก็ได้ทำให้อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon ประสบปัญหา
ในการจัดการห่วงโซ่อุปทานอยู่นานหลายเดือน
ทั้งในเรื่องของสินค้าหมดสต็อก โดยเฉพาะสินค้าที่จำเป็นในช่วงการแพร่ระบาด
อย่างกระดาษชำระ ถุงมือยาง หน้ากากอนามัย และแอลกอฮอล์ล้างมือ
แต่ร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้
เพราะด้วยสาขาจำนวนมาก จึงมีพื้นที่ให้สต็อกสินค้ามากตามไปด้วย
แล้วค้าปลีกแต่ละรายมีสาขามากขนาดไหน ?
Amazon มีร้านค้า 589 สาขา และศูนย์กระจายสินค้า 110 สาขา
Walmart มี 4,756 สาขา
Target มี 1,897 สาขา
จะเห็นได้ว่าจำนวนสาขาของทั้ง Walmart และ Target มีมากกว่าสาขาของ Amazon หลายเท่า
และแม้ว่า Amazon จะแก้เกมด้วยการเร่งเปิดศูนย์กระจายสินค้าขนาดเล็กให้ทั่วถึงมากขึ้น
แต่สาขาจำนวนมากที่มีอยู่เดิมของร้านค้าปลีก ก็เปรียบเสมือนศูนย์กระจายสินค้าแบบที่ไม่ต้องลงทุนก่อสร้างใหม่ และเป็นจำนวนที่กระจายเข้าสู่ลูกค้าอย่างทั่วถึง
และเรื่องนี้จึงนำมาซึ่งจุดได้เปรียบอีกหนึ่งอย่าง
ของช่องทางออนไลน์ของร้านค้าปลีกดั้งเดิม
นั่นก็คือสินค้าสามารถถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากปัญหาสินค้าหมดแล้ว
Amazon ยังไม่สามารถส่งสินค้าได้ตามเวลา
และกลายเป็นว่าสมาชิกที่จ่ายค่า Amazon Prime
กลับไม่ได้ของภายใน 2 วัน ตามเงื่อนไขของการเป็นสมาชิก
แต่ร้านค้าปลีกที่มีหน้าร้านบางเจ้า ลูกค้าสามารถสั่งซื้อทางออนไลน์
แล้วไปรับสินค้าที่สาขาที่สะดวกได้ภายในวันที่สั่งซื้อ โดยจะลงจากรถไปรับสินค้าเอง
หรือจะใช้บริการขับรถไปรับแบบ Drive Through ที่ไร้การสัมผัสกับพนักงานก็ได้
และวิธีนี้ก็เป็นที่นิยมอย่างมาก อย่าง Target เองก็มียอดขายที่เติบโตจากช่องทางนี้เกือบ 10 เท่า
นอกจากนี้ Walmart ยังมีบริการส่งสินค้าภายในวันถัดไป
หรืออย่าง Target ก็มีบริการส่งสินค้าภายในวันที่สั่งซื้อเลย โดยไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม
ซึ่งบริการนี้ของ Target จากเดิมก็เป็นที่นิยมอยู่แล้ว
ในช่วงวิกฤติก็ยิ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นไปอีก
จนเติบโตขึ้นกว่า 2.4 เท่า และคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ออนไลน์ทั้งหมด
มาถึงตรงนี้ ก็อาจคิดได้ว่าการเพิ่มขึ้นของยอดขายออนไลน์ในกลุ่มร้านค้าปลีกดั้งเดิม เกิดจากการดึงยอดขายจากหน้าร้านมาสู่ออนไลน์ เพราะลูกค้าแค่เปลี่ยนช่องทางซื้อสินค้าหรือเปล่า
คำตอบก็คือ “ไม่ใช่” เพราะเมื่อดูจากยอดขายจากหน้าร้านต่อสาขาเดิม
ของ Walmart ยังเติบโตได้ในระดับเดิมที่ 2.8%
ขณะที่ Target มีอัตราการเติบโตพุ่งขึ้นมาที่ 7.2% เมื่อเทียบค่าเฉลี่ยเดิมที่ 2.3%
และจากการเติบโตควบคู่กันของทั้งยอดขายหน้าร้านและทางออนไลน์นี้
จึงทำให้ในภาพรวมของปี 2020 ร้านค้าปลีกเหล่านี้มีอัตราการเติบโต
ที่กลับมาฟื้นตัว เมื่อเทียบกับการเติบโตที่ระดับ 2% ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะ Target ที่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดกว่า 19.3%
ถึงแม้ว่าตอนนี้ ส่วนแบ่งตลาดของร้านค้าปลีกดั้งเดิม
จะยังเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวในตลาดอีคอมเมิร์ซที่มี Amazon เป็นผู้นำ
แต่เมื่อมองเทียบกับตัวบริษัทเองในอดีต
ก็น่าสนใจว่าช่องทางออนไลน์
ที่เริ่มเห็นผลมาตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2019
และมีปัจจัยโควิด 19 ช่วยเป็นตัวเร่งในปี 2020
และนี่อาจเป็นสัญญาณว่า ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิมอย่าง Walmart และ Target จะกลับมาท้าชนกับเจ้าตลาดค้าปลีกออนไลน์สมัยใหม่อย่าง Amazon ได้อย่างสูสีหรือไม่ เรื่องนี้จะได้เห็นกัน เร็ว ๆ นี้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://edition.cnn.com/2021/03/02/business/target-earnings-sales-pandemic/index.html
-https://www.washingtonpost.com/technology/2020/07/30/amazon-struggles-coronavirus/
-https://www.cnbc.com/2020/08/19/target-tgt-q2-2020-earnings.html
-https://techcrunch.com/2020/02/24/target-breaks-into-the-top-10-list-of-u-s-e-commerce-retailers/
-https://www.marketwatch.com/story/walmart-surpasses-ebay-in-us-e-commerce-for-the-first-time-amazon-still-tops-emarketer-2020-06-15
-https://www.emarketer.com/content/amazon-dominates-us-ecommerce-though-its-market-share-varies-by-category
-https://corporate.walmart.com/newsroom/events/fy2020-q4-earnings-release
-https://corporate.target.com/press/releases/2021/03/Target-Corporation-Reports-Fourth-Quarter-and-Ful
walmart e-commerce 在 คุยการเงินกับที Facebook 的精選貼文
หุ้น JD.Com : หุ้น e-commerce สัญชาติจีนที่เติบโตได้อย่างยอดเยี่ยม
JD - JD.com ,Inc.
Price : 75.51$(08/05/2021)
PE(FWD) : 41.86
Market cap : 1.16 เเสนล้านเหรียญ
JD.com เป็นบริษัท ที่ทำธุรกิจ เกี่ยวกับ ecommerce อย่างที่ทุกคนรู้กัน ในปัจจุบัน เเต่ความเป็นจริงเเล้ว ก่อตั้งโดย ริชาร์ด หลิว มาตั้งเเต่ปี 2531 โดยทำธุรกิจเกี่ยวกับขายอุปกรณ์ไอที เป็นหลัก
จนกระทั่งในปี 2547 ริชาร์ด ก็ปรับรูปเเบบ ธุรกิจของตัวเองไปสู่การทำ ecommerce เพื่อให้รับกับกระเเสของโลกที่กำลังมาในขณะนั้น ซึ่ง jd.com เน้นไปที่การสร้างระบบ logistics ที่ดีก่อน ทำให้ในปัจจุบัน มีความโดดเด่น ในการจัดส่งสินค้าต่างๆ ได้รวดเร็ว ภายใน 1 วัน (เเตกต่างจาก alibaba ที่ให้รายย่อยขายสินค้าเอง เเต่ jd.com เป็นผู้จัดจำหน่ายเอง)
จุดพลิกพลันของธุรกิจ คือ การได้รับกานลงทุน จาก tencent เเละ walmart ที่ล้มเหลวในการมำ ecommerce ในจีน จากจุดนี้ทำให้ jd.com รุดหน้าไปอย่สงรวดเร็ว เเละ กระจายไปสู่ธุรกิจ jd.finance เเละ cloud เพื่อต่อยอดความสำเร็จไปอีก
...........
ทีนี้กลับมาในเเง่ ของการลงทุน
จากในช่วงที่ผ่านมา ทั้ง alibaba , tencent รวถึงตัว jd เองที่ได้รับความกังวลจาก ภาวะของการเข้ามายุ่งโดยรัฐบาลจีน ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงมา พอสมควร ซึ่งนับว่าราคานี้ ได้รับการ price in ไปเเล้ว จึงมี downside ทีค่อนข้างต่ำถ้าไม่ได้มีปัจจัยเเย่มาเพิ่มเติม
เเต่ในส่วนของ upside คือ trade ในระดับ 18เท่า ของราคาหุ้นต่อ กระเเสเงินสดอิสระ (2021 ) เเละยังมีการเติบโตในฝั่งของรายได้ที่มีการเติบโต....
2016 37,199 ล้านเหรียญ
2017 55,685 ล้านเหรียญ
2018 67,168 ล้านเหรียญ
2019 82,851 ล้านเหรียญ
2020 114,250 ล้านเหรียญ
ภายใน 5 ปี โตขึ้นมาถึง 3 เท่า (เติบโตที่ 30-40% ต่อปีโดยเฉลี่ย)
ในส่วนของ 3 ปีย้อนหลัง ก็สามารถ มีกระเเสเงินสดจากการดำเนินงานกลับมาเป็นบวกได้ เเละ เริ่มมีกำไรเช่นกัน
ในส่วนของจุดอ่อน ก็คือ การที่ jd.com เน้นการทำธุรกิจ เเบบขายสินค้าเเบบจัดจำหน่ายเอง ทำให้ การเติบโตของรายได้ ที่เพิ่มขึ้น ก็จริง เเต่ gross profit ไม่ได้เพิ่มสูง เพราะ มีต้นทุนที่สูงขึ้น
เเละเนื่องจาก jd เองก็รู้ถึงจุดอ่อนนี้ จึงทำ jd.finance เเละ ระบบ cloud มาเพื่อ เพิ่ม gross profit ตัวเองให้สูงขึ้น เเละยังลงทุนใน infrastructure ค่อนข้างสูง เพื่อเพิ่มการพึ่งพิงจากร้านค้า
........................................
ติดตามข้อมูล เศรษฐกิจ การลงทุนในต่างประเทศ ในไทย ได้ที่คุยการเงินกับที
........................................
Ref : https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/910135
JD.com: Solid Growth, Strong Free Cash Flow - Why It's Worthwhile Considering
https://seekingalpha.com/article/4419966-jd-com-solid-growth-strong-free-cash-flow-why-worthwhile-considering
Trin T
walmart e-commerce 在 Walmart, AMZ, Facebook (E-commerce) Sell Profitable ... 的推薦與評價
Startup Description. DFY Walmart Amazon and Facebook E-Commerce Store. If you're looking for a recession proof business, that works 24/7 365 that ... ... <看更多>