สรุปทิศทาง เศรษฐกิจปี 2021 ฉบับสมบูรณ์
ลงทุนแมน X KRUNGSRI EXCLUSIVE
2021 อีกปีที่ท้าทายกับสถานการณ์เศรษฐกิจภายใต้วิกฤติโควิด 19 ไม่แพ้ตอนวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 1997 และ วิกฤติซับไพรม์ในปี 2008 ที่ทำให้นักธุรกิจ และนักลงทุนหลายๆ คนเจ็บหนัก
แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีบางคน ที่เห็นโอกาสในวิกฤติ จนสร้างการเติบโต หรือ ผลกำไรได้อย่างงดงาม
KRUNGSRI EXCLUSIVE บริการการให้คำปรึกษาทางเงิน สำหรับผู้ที่มีเงินฝากเงินลงทุน 5 ล้านบาทขึ้นไปกับธนาคารกรุงศรี จึงจัดสัมมนาพิเศษแบบ new normal ให้ลูกค้าคนสำคัญเข้าร่วมงานผ่านทางออนไลน์ “KRUNGSRI EXCLUSIVE Economic and Investment Outlook 2021” โดยได้เชิญผู้เชี่ยวชาญ ทั้งในและต่างประเทศมาวิเคราะห์ข้อมูลและให้มุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนทางการเงินในหลากหลายมิติ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจและวางกลยุทธ์ในปี 2021 นี้ได้
งานสัมมนาในครั้งนี้ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
1) Global Economic Outlook 2021
เป็นการบรรยายภาพรวมเศรษฐกิจโลก และธีมการลงทุน
โดยคุณ Ben Powell ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนภาคเอเชียแปซิฟิก ของ BlackRock บริษัทจัดการการลงทุนที่ใหญ่สุดในโลก
2) Thailand Economic Outlook 2021
บรรยายถึงภาพรวมและทิศทางเศรษฐกิจไทย โดย
ดร. ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย
และ ดร. สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้บริหารสายงานวิจัย และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
-Global Economic Outlook 2021
คุณ Ben Powell มองว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ จากวิกฤติโควิด 19 จะเหมือนภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมรุนแรง มากกว่าจะเป็นวิกฤติทางการเงิน
เพราะในภาพรวมเศรษฐกิจ จะฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว ต่างจาก วิกฤติทางการเงิน ที่สถาบันการเงินเจ็บหนัก และเศรษฐกิจอาศัยเวลาฟื้นตัวนานกว่า
ซึ่งการกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง จะเป็นตัวกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
และคาดว่าเศรษฐกิจโลก จะกลับมาใกล้เคียง หรือระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิด ในช่วงกลางปีนี้
โดยธีมการลงทุนในมุมมองของ BlackRock ในปีนี้ จะมีหลักๆ 3 อย่าง
1) The New Nominal
ตอนนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำ สอดคล้องกันทั่วโลก
และในบางประเทศมีอัตราดอกเบี้ยที่ติดลบด้วยซ้ำ
ซึ่งคาดว่าธนาคารกลางในประเทศต่างๆ จะยังคงกดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้ต่ำอยู่ไปสักระยะ
เพื่อรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้เต็มที่ก่อน
ในขณะเดียวกัน การดำเนินนโยบายการคลัง คือ รัฐบาลอัดฉีดงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ
อย่าง สหรัฐฯ ที่เพิ่งประกาศงบกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่กว่า 57 ล้านล้านบาท
ควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายการเงิน จากธนาคารกลาง ที่กดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำ และเพิ่มสภาพคล่องเข้าไปในระบบ
ตามมาด้วยสัญญาณการเพิ่มขึ้น ของอัตราเงินเฟ้อ
ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (Real yield) ที่คำนวณจาก อัตราดอกเบี้ยของพันธบัตร หักด้วย อัตราเงินเฟ้อ
ยิ่งน้อยลงไปอีก หรืออาจถึงขั้นติดลบได้
BlackRock จึงปรับนโยบายการลงทุน โดยลดสัดส่วนของตราสารหนี้ลง เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
และเพิ่มสัดส่วนในหุ้น และ ตราสารหนี้ที่ชดเชยเงินเฟ้อ (TIPS) เพื่อเพิ่มอัตราผลตอบแทนของพอร์ตโดยรวม
โดยในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ BlackRock มองว่าน่าลงทุนและให้สัดส่วนในพอร์ตเยอะ คือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และ สุขภาพ (Health care)
เพราะยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่เติบโตได้ดี และอนาคตสดใสอยู่
อีกทั้งยังมองว่า ใน 6-12 เดือนนี้ นักลงทุนเต็มใจที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เพื่อแสดงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น
2) Globalization Rewired
บรรยากาศการค้าโลก มีแนวโน้มกลับมาคึกคักอีกครั้ง
หลังจากที่ โจ ไบเดน เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้เกิดการเจรจา และค้าขายระหว่างประเทศราบรื่นมากขึ้น
ในขณะที่ปี 2020 ที่ผ่านมา กิจกรรมการค้าโลก ก็ฟื้นตัวเร็วกว่าที่ BlackRock คาดการณ์ไว้มาก
โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นประเทศที่น่าจับตามองมากที่สุด
เพราะควบคุมสถานการณ์โรคระบาดได้ดี และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างโดดเด่น และคาดว่าจะกลายเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจโลกในอีกไม่นาน
ซึ่ง World Bank คาดว่าในปีนี้ GDP ของจีน จะโตถึง 7.9%
ด้วยมุมมองที่สดใสของเศรษฐกิจจีน ทำให้ช่วงที่ผ่านมา มีเงินทุนไหลเข้าประเทศจีนเป็นจำนวนมาก ทั้งในรูปแบบการลงทุนโดยตรง (FDI) และตลาดหุ้น
การเข้าลงทุนในสินทรัพย์จีน จึงเป็นอีกหัวใจหลัก ของการลงทุนทั่วโลกตอนนี้
ที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
รวมถึงเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงการลงทุน ในประเทศอื่นนอกเหนือจากสหรัฐฯ
นอกจากจีนแล้ว กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets)
ก็กลายเป็นอีกเป้าหมายการลงทุนที่น่าสนใจ เพราะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก
แต่ต้องดูเป็นรายประเทศไป ไม่ใช่ทุกประเทศจะน่าลงทุน
โดยนักลงทุนจะชอบประเทศที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง และค่าเงินมีเสถียรภาพ
เช่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ ไทย และมาเลเซีย
สรุปแล้ว ทั้งสหรัฐฯ และเอเชีย จะเป็นกลุ่มประเทศที่ขับเคลื่อนตลาดทุนโลกต่อไป
3) Turbocharged Transformations
ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ และความเท่าเทียม ยิ่งรุนแรงขึ้นจากสถานการณ์โควิด
เศรษฐกิจโลกมีการฟื้นตัวในรูปแบบ K Shape
คือ คนรวย จะฟื้นตัวเร็ว และยิ่งรวยขึ้น
ในขณะที่คนจน นอกจากจะจนลงแล้ว ยังฟื้นตัวช้ากว่า
ซึ่งแต่ละประเทศต้องรีบเข้ามาแก้ปัญหาตรงนี้ เพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนจริงๆ
เช่น ปรับปรุงกฎหมายการจัดเก็บภาษีที่ไม่มีประสิทธิภาพ
ในขณะเดียวกันโควิด ก็เร่งทำให้พฤติกรรมของผู้คนเข้าหาโลกออนไลน์กันมากขึ้น
เห็นได้จากการเติบโตของธุรกิจวิดีโอสตรีมมิง และชอปปิ้งออนไลน์ เป็นต้น
แต่ธุรกิจรูปแบบเดิมๆ เช่น ร้านค้าปลีก และศูนย์การค้า ที่มีหน้าร้านจริง กลับยิ่งซบเซา
ทั้งนี้ ต่อไปเทรนด์ของการลงทุน จะไหลเข้าธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับเรื่องของความยั่งยืน หรือ ESG เพิ่มขึ้น อาทิ ธุรกิจที่ช่วยลดการปล่อยของเสีย และคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับพลังงานสะอาด เป็นต้น
-Thailand Economic Outlook 2021
ในปี 2020 ที่ผ่านมา แบงก์ชาติประเมินว่า GDP ของประเทศไทย จะหดตัว -6.6% ซึ่งใกล้เคียงตอนวิกฤติต้มยำกุ้ง
โดยได้รับปัจจัยลบมาจาก ภาคการท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติ หายไปจาก 40 ล้านคน ในปี 2019 เหลือเพียง 6.7 ล้านคน ในปี 2020
การส่งออก ที่สะดุดลง เพราะซัพพลายเชนโลกหยุดชะงัก
การบริโภค และลงทุนภาคเอกชน ที่หดตัวในช่วงการล็อกดาวน์
แต่ประเทศไทยได้รับปัจจัยบวกจาก
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทั้งนโยบายการคลังและการเงิน ที่เข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจเอาไว้ไม่ให้บาดแผลลึกเกินไป
ส่วนในปี 2021 นี้ แบงค์ชาติประเมินว่า GDP ไทยจะโต 3.2%
ในขณะที่กรุงศรี คาดว่าจะเติบโต 2.5% หลังหักผลกระทบจากการระบาดของโควิดระลอกใหม่
ซึ่งที่เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะ ไม่เลวร้ายเหมือนปีก่อน และมีการขยายตัว เป็นเพราะ
ไทยไม่ได้มีการล็อกดาวน์ทั้งประเทศ มีเฉพาะมาตรการควบคุมเฉพาะพื้นที่
และภาครัฐ มีการออกมาตรการควบคุมและช่วยเหลือต่างๆ ได้ตรงจุด อย่างรวดเร็ว กว่าที่ผ่านมา
เพราะมีข้อมูล และประสบการณ์ในการรับมือกับการแพร่ระบาดในระลอกแรก
ผลกระทบทางเศรษฐกิจ จึงไม่เป็นวงกว้างเหมือนในปีก่อน
นอกจากนี้ การส่งออกไทย ซึ่งมีมูลค่าคิดเป็น 45% ของ GDP (ของปี 2019)
ยังมีแนวโน้มขยายตัว จากอานิสงส์เศรษฐกิจโลกฟื้นตัว
และสินค้าส่งออก ที่คิดเป็นสัดส่วนมากสุดของไทย คือ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์
ยังเป็นที่ต้องการอย่างมาก ของผู้บริโภคในตลาดโลก
โดยผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อในต่างประเทศ ต้องการรถยนต์ส่วนตัว เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้รถสาธารณะ
รวมถึงผู้บริโภคในหลายประเทศ ที่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อทำงานที่บ้าน
ดังนั้น การส่งออก จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปีนี้
ซึ่งในระยะยาว สำหรับผู้ประกอบการไทยแล้ว
ตลาดเอเชีย อาจมีความน่าสนใจกว่า ตลาดในแถบตะวันตก
ถึงแม้รายได้เฉลี่ยต่อหัวจะต่ำกว่า แต่ชาวเอเชีย มีอัตราการเติบโตของรายได้สูงกว่า ชาวตะวันตก
ทำให้มีอัตราการบริโภคที่เติบโตเร็วกว่า ซึ่งเป็นอีกโอกาสของผู้ประกอบการไทย
ส่วนความเสี่ยงที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทย ในปีนี้ ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
คือ เรื่องของการกลายพันธุ์ของเชื้อ และความยืดเยื้อของการแพร่ระบาด
รวมถึงการแจกจ่ายวัคซีน จะทั่วถึงครบทุกคนเมื่อไร
เพราะสิ่งเหล่านี้ จะส่งผลกระทบต่อนโยบายด้านการท่องเที่ยวและเปิดประเทศโดยตรง ว่าจะกลับมาเร็วแค่ไหน ซึ่งการท่องเที่ยว ก็เป็นอีกแหล่งรายได้สำคัญของประเทศ
โดย รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ คิดเป็น 12% ของ GDP (ของปี 2019)
ทั้งนี้ ในภาพรวมเศรษฐกิจไทย ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังฟื้นตัว
แต่การฟื้นในแต่ละอุตสาหกรรม จะไม่เท่ากัน
อย่างภาคการผลิต ก็เห็นตัวเลขสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน
ในขณะที่ภาคบริการ โดยเฉพาะ ธุรกิจโรงแรม สายการบิน ร้านอาหาร ยังไม่ฟื้นตัว และเจอความท้าทายอยู่
ที่สำคัญธุรกิจเหล่านี้ เป็นธุรกิจที่มีการจ้างงานค่อนข้างเยอะ
ซึ่งแรงงานจำนวนมากนี้ ก็อาจถูก Layoff และขาดรายได้
จนส่งผลกระทบต่อ การบริโภคภายในประเทศ ในที่สุด
ดังนั้น คาดว่า การบริโภคในปีนี้ จะยังอยู่ในระดับต่ำกว่า ช่วงก่อนโควิด
และภาพรวมเศรษฐกิจไทย จะฟื้นคืนสู่จุดเดิมได้ ในปีหน้า
ปิดท้าย ทางธนาคารกรุงศรีอยุธยา และ แบงก์ชาติ ได้ย้ำว่า
ประเทศไทย และ ภาคธุรกิจ ต้อง Transform ตัวเองครั้งใหญ่ ณ ตอนนี้
เพราะหลังจากเหตุการณ์โควิด กิจกรรมทางเศรษฐกิจ จะเปลี่ยนไปตลอดกาลถึงระดับโครงสร้าง
ไม่ว่าจะเป็น การนำระบบ Automation หรือ AI มาใช้งานกันมากขึ้น
รถยนต์ไฟฟ้า EV ที่เริ่มจะมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย
การค้าออนไลน์ และกิจกรรมบนโลกดิจิทัล ที่มีบทบาทต่อเศรษฐกิจมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้น
ประเทศไทย และ ภาคธุรกิจ ต้องให้ความสำคัญกับ นวัตกรรม และการรีสกิลของแรงงาน
เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก และก้าวไปด้วยกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง..
「world bank economic outlook」的推薦目錄:
- 關於world bank economic outlook 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於world bank economic outlook 在 多益達人 林立英文 Facebook 的最讚貼文
- 關於world bank economic outlook 在 多益達人 林立英文 Facebook 的最讚貼文
- 關於world bank economic outlook 在 World Bank forecasts global economic growth to slow to 4.1 ... 的評價
- 關於world bank economic outlook 在 World Bank raises its forecast for Egypt's economic growth to ... 的評價
world bank economic outlook 在 多益達人 林立英文 Facebook 的最讚貼文
Taxing the rich to fund welfare is Nobel winner’s growth mantra
How do you spur ( ) demand in an economy? By raising direct taxes and distributing the money among the poor, says this year’s winner of the Nobel prize for economics.
Reducing taxes to boost ( ) investments is a myth ( ) spread by businesses, says Abhijit Banerjee, who won the prize along with Esther Duflo of the Massachusetts Institute of Technology (MIT) and Michael Kremer of Harvard University for their approach to alleviating ( ) global poverty. “You are giving incentives ( ) to the rich who are already sitting on tons of cash.”
Countries from China to India to Indonesia are slashing ( ) taxes for businesses to spur growth amid a gloomy ( ) outlook ( ) for global economic expansion. The International Monetary Fund last month made a fifth-straight cut to its 2019 global growth forecast, pegging ( ) it at 3 percent.
“You don’t boost growth by cutting taxes, you do that by giving money to people,” Banerjee said in an interview on Oct. 21, suggesting that cash in the hands of the poor will drive consumption ( ). “Investment will respond to demand.”
China earlier this year rolled out ( ) tax cuts worth US$280 billion on personal income and corporate ( ) profits, while India surprised with a US$20 billion stimulus ( ), taking its corporate tax rate to among the lowest in Asia. Indonesia also plans to lower tax on companies to 20 percent from 25 percent.
MIT Professor Banerjee spoke in New Delhi where he was promoting ( ) his book Good Economics for Hard Times.
Last year, US President Donald Trump unveiled ( ) a US$1.5 trillion tax package, and has promised “very substantial ( )” tax cuts in 2020 for “middle-income” Americans.
It’s the widening inequality ( ) in developed countries such as the US that has angered people and is pushing the world into a trade war, Banerjee said. “It is unbelievable that in the name of growth you have allowed inequality to explode to this point.”
India Slowdown
Growth in India, Asia’s third-largest economy, has slumped ( ) to a six-year low as consumption is weak, prompting the central bank to cut interest rates to the lowest in almost a decade.
The government complemented ( ) the monetary policy easing with a series of measures to reverse ( ) the demand slowdown. Those steps — including scrapping ( ) a tax on foreign funds to allowing tax concessions ( ) on vehicle purchases — have raised concerns of a fiscal ( ) slippage ( ).
“Given the demand slump it’s not a bad thing for the government to be expansionary,” Banerjee said. “If we want to stimulate demand and corporate tax cut doesn’t do that, which is my prediction, then what do we do.”
諾貝爾經濟學獎得主:「劫富濟貧」是良方
在經濟結構中要如何刺激需求?今年的諾貝爾經濟學獎得主認為,應提高直接稅,並將錢分配給窮人。
Abhijit Banerjee與麻省理工學院的Esther Duflo及哈佛大學的Michael Kremer,以其對緩解全球貧窮問題的研究,共同獲得了今年的諾貝爾經濟學獎。Banerjee表示,用減稅來鼓勵投資,是企業所散播的迷思,減稅「是在獎勵富人,而這些有錢人已是坐擁金山銀山」。
全球經濟前景黯淡,從中國到印度再到印尼都在大幅削減企業稅,以刺激經濟成長。國際貨幣基金上個月將二○一九年全球成長率連續第五次下修,將其定為百分之三。
Banerjee十月二十一日在接受採訪時表示:「促進經濟成長不是透過減稅來達成,而是要給人錢」。這表示,窮人手中的現金才會推動消費,「有需求才會有投資」。
今年稍早,中國對個人所得和企業利潤實施減稅,所減之稅額達兩千八百億美元。而印度則出乎意料地祭出兩百億美元的經濟刺激措施,將印度的公司稅稅率降至亞洲最低。印尼還計劃將公司稅由百分之二十五降至百分之二十。
麻省理工學院的Banerjee教授在印度新德里宣傳其著作《艱困時期的好經濟學》時,做出以上表示。
美國總統Donald Trump去年公佈了一項一點五兆美元的稅務方案,並承諾在二○二○年對「中等收入」的美國人實施「很實質性的」減稅。
Banerjee說,激怒人們,並讓世界陷入貿易戰的,是美國等已開發國家日益擴大的不平等。「令人難以置信的是,你打著經濟成長的名號,卻讓不平等迅速擴大到這個地步。」
印度經濟成長下滑
由於消費疲弱,印度這亞洲第三大經濟體,其經濟成長已跌至六年來最低,使得印度央行將利率調降至近十年來最低。
為了避免因貨幣政策寬鬆所造成的需求放緩,印度政府以一系列措施來做配套。這些措施─包括取消對外資課稅,以及購車稅率優惠─引起了人們對政府財政惡化的擔憂。
Banerjee表示:「由於需求下滑,因此增加政府支出並不是件壞事」。「如果我們要刺激需求,而削減公司稅又如我所料達不到這目標,那我們也別無他法。」
#高雄人 #學習英文 請找 #多益達人林立英文
#高中英文 #成人英文
#多益家教班 #商用英文
#國立大學外國語文學系講師
world bank economic outlook 在 多益達人 林立英文 Facebook 的最讚貼文
Taxing the rich to fund welfare is Nobel winner’s growth mantra
How do you spur ( ) demand in an economy? By raising direct taxes and distributing the money among the poor, says this year’s winner of the Nobel prize for economics.
Reducing taxes to boost ( ) investments is a myth ( ) spread by businesses, says Abhijit Banerjee, who won the prize along with Esther Duflo of the Massachusetts Institute of Technology (MIT) and Michael Kremer of Harvard University for their approach to alleviating ( ) global poverty. “You are giving incentives ( ) to the rich who are already sitting on tons of cash.”
Countries from China to India to Indonesia are slashing ( ) taxes for businesses to spur growth amid a gloomy ( ) outlook ( ) for global economic expansion. The International Monetary Fund last month made a fifth-straight cut to its 2019 global growth forecast, pegging ( ) it at 3 percent.
“You don’t boost growth by cutting taxes, you do that by giving money to people,” Banerjee said in an interview on Oct. 21, suggesting that cash in the hands of the poor will drive consumption ( ). “Investment will respond to demand.”
China earlier this year rolled out ( ) tax cuts worth US$280 billion on personal income and corporate ( ) profits, while India surprised with a US$20 billion stimulus ( ), taking its corporate tax rate to among the lowest in Asia. Indonesia also plans to lower tax on companies to 20 percent from 25 percent.
MIT Professor Banerjee spoke in New Delhi where he was promoting ( ) his book Good Economics for Hard Times.
Last year, US President Donald Trump unveiled ( ) a US$1.5 trillion tax package, and has promised “very substantial ( )” tax cuts in 2020 for “middle-income” Americans.
It’s the widening inequality ( ) in developed countries such as the US that has angered people and is pushing the world into a trade war, Banerjee said. “It is unbelievable that in the name of growth you have allowed inequality to explode to this point.”
India Slowdown
Growth in India, Asia’s third-largest economy, has slumped ( ) to a six-year low as consumption is weak, prompting the central bank to cut interest rates to the lowest in almost a decade.
The government complemented ( ) the monetary policy easing with a series of measures to reverse ( ) the demand slowdown. Those steps — including scrapping ( ) a tax on foreign funds to allowing tax concessions ( ) on vehicle purchases — have raised concerns of a fiscal ( ) slippage ( ).
“Given the demand slump it’s not a bad thing for the government to be expansionary,” Banerjee said. “If we want to stimulate demand and corporate tax cut doesn’t do that, which is my prediction, then what do we do.”
諾貝爾經濟學獎得主:「劫富濟貧」是良方
在經濟結構中要如何刺激需求?今年的諾貝爾經濟學獎得主認為,應提高直接稅,並將錢分配給窮人。
Abhijit Banerjee與麻省理工學院的Esther Duflo及哈佛大學的Michael Kremer,以其對緩解全球貧窮問題的研究,共同獲得了今年的諾貝爾經濟學獎。Banerjee表示,用減稅來鼓勵投資,是企業所散播的迷思,減稅「是在獎勵富人,而這些有錢人已是坐擁金山銀山」。
全球經濟前景黯淡,從中國到印度再到印尼都在大幅削減企業稅,以刺激經濟成長。國際貨幣基金上個月將二○一九年全球成長率連續第五次下修,將其定為百分之三。
Banerjee十月二十一日在接受採訪時表示:「促進經濟成長不是透過減稅來達成,而是要給人錢」。這表示,窮人手中的現金才會推動消費,「有需求才會有投資」。
今年稍早,中國對個人所得和企業利潤實施減稅,所減之稅額達兩千八百億美元。而印度則出乎意料地祭出兩百億美元的經濟刺激措施,將印度的公司稅稅率降至亞洲最低。印尼還計劃將公司稅由百分之二十五降至百分之二十。
麻省理工學院的Banerjee教授在印度新德里宣傳其著作《艱困時期的好經濟學》時,做出以上表示。
美國總統Donald Trump去年公佈了一項一點五兆美元的稅務方案,並承諾在二○二○年對「中等收入」的美國人實施「很實質性的」減稅。
Banerjee說,激怒人們,並讓世界陷入貿易戰的,是美國等已開發國家日益擴大的不平等。「令人難以置信的是,你打著經濟成長的名號,卻讓不平等迅速擴大到這個地步。」
印度經濟成長下滑
由於消費疲弱,印度這亞洲第三大經濟體,其經濟成長已跌至六年來最低,使得印度央行將利率調降至近十年來最低。
為了避免因貨幣政策寬鬆所造成的需求放緩,印度政府以一系列措施來做配套。這些措施─包括取消對外資課稅,以及購車稅率優惠─引起了人們對政府財政惡化的擔憂。
Banerjee表示:「由於需求下滑,因此增加政府支出並不是件壞事」。「如果我們要刺激需求,而削減公司稅又如我所料達不到這目標,那我們也別無他法。」
#高雄人 #學習英文 請找 #多益達人林立英文
#高中英文 #成人英文
#多益家教班 #商用英文
#國立大學外國語文學系講師
world bank economic outlook 在 World Bank raises its forecast for Egypt's economic growth to ... 的推薦與評價
CAIRO - 7 June 2022: The World Bank raised its forecast for the growth of the Egyptian economy during 2022 to 6.1 percent, compared to 5.9 ... ... <看更多>
world bank economic outlook 在 World Bank forecasts global economic growth to slow to 4.1 ... 的推薦與評價
WB, 올해 세계성장률 4.1%로 하향... "오미크론 급증시 3.4% 우려"The World Bank has forecast global economic growth to slow to 4-point-1 ... ... <看更多>