Joe:「美股在2020Q4的財報表現相當不錯,上半年的財報,較高機率也會不錯。」
美股財報季進入尾聲,根據FactSet調查,已發布2020年第4季財報的S&P 500企業已達74%,其中,優於預期比例80%,高於近5年74%的平均值。而且,獲利年增率約2.9%,一甩2020年底預期衰退近1成的情形。若細究個別產業,以通訊服務、資訊科技優於預期比例分別達95%、91%,其次是金融、工業製造都有82%,隨疫情改善,今年美股企業獲利將重回成長軌道,促使資金追逐成長型股票資產。
根據最新申報資料,「股神」Buffett旗下的Berkshire Hathaway在2020年最後幾個月減持蘋果(Apple),減碼之舉讓Berkshire在2020年底對這家iPhone製造商的持股剩9.076億股,Berkshire買了威瑞森通訊公司(Verizon Communications Inc.)、保險服務商威達信(Marsh & McLennan)以及石油公司雪佛龍(Chevron),這些交易在第3季申報時獲准保密,不對外公布。
Berkshire也在2020年最後3個月調整了對部分其他類股的押注,包括減持銀行股,出清摩根大通(JPMorgan Chase)、PNC金融服務集團(PNC Financial Services Group Inc.),以及M&T銀行(M&T Bank Corp.),並調降富國銀行(wells Fargo & Co.)持股達59%。該公司也調節對藥廠的押注,增持默克(Merck & Co Inc.)、艾伯維(Abbvie Inc.)和必治妥施貴寶(Bristol-Myers Squibb Co.),在此同時出清最近對輝瑞的投資,Berkshire並出脫金礦股Barrick Gold Corp.。 這筆投資2020年公布時頗令外界吃驚,因為Buffett這幾年一直很嫌棄黃金。
方舟投資創辦人Cathie Wood因為早早布局特斯拉、比特幣方向神準,成為美國新一代股神,最近,她在其他機構出脫台積電ADR之際,反手買進,她預測,包括特斯拉、以及台積電在內的科技股,未來只會更瘋漲。但領薪水的族群卻有一大隱憂:AI進步太快了。
首先,Biden政府最近推了新一波的紓困方案,可望在3月中通過。Wood認為,目前紓困帶來的熱錢,有點太多了。由於美國經濟景氣已觸底反彈,疫苗的面世也讓狀況變好中。未來預計M2貨幣供給量會續升兩成以上,熱錢只會推升股價漲到更驚人價格、房市更是旺到不行,還得預防通貨膨脹的發生,換句話說,外傳股市泡沫將破,短期內不至於發生。
她依然最看好電動車,不只是比較環保,符合Biden政策,她認為集合自動化、電池等多種創新於一身的特斯拉電動車,性能就是比較好,同時成本正持續降低。預計在2025年,電動車與燃油車的價格會黃金交叉,接班態勢已經出現。
另外,因為熱錢多,勇於創新的新科技產業,更會被投資人大膽投注。像是區塊鏈、人工智慧、太空產業與遠距醫療,都是非常被看好的新領域。
股市、房市看來大好,唯一讓Wood看法負面的,竟是領薪族最該擔心的事:工作機會被人工智慧取代的趨勢,疫後更回不去了,主因是包括Biden在內的許多國家政府,為了保障人民工作機會,都採取調升基本工資的政策,這個看似善意的政策,卻在最不好的時機點推出,因為,全球研發的人工智慧技術,在疫情期間不但升級快,更厲害的是成本迅速降低。AI就像養小孩,最困難的是教育訓練,然而現在訓練AI成本是每年少37%,非常驚人,這結果將促使企業更積極採用AI取代人力;同時間AI公司也會得到資源讓技術更精良,如此循環下,今年可能就是人工智慧取代人力的全面起飛年。
以美國為例,Wood發現在疫情期間,運輸業與餐飲業,已經順利導入無人化技術隔絕傳染,未來無人貨櫃車、無人機送貨與自動化餐飲製作技術,會是更加火紅的新科技,但也會取代很多人的工作,這也讓她感嘆,未來上班族,一定要趕緊發展出不被人工智慧取代的能力。當然工作機會還是有,許多的科技創新,仍需要人去研發。但這些人才更需要全新的教育方式,她認為教育也將被網路顛覆。
https://udn.com/news/story/7238/5258704
https://www.gvm.com.tw/article/77772
https://money.udn.com/money/story/5599/5254506
berkshire gold 在 KIM Property Live Facebook 的最佳解答
สรุปข่าวรอบสัปดาห์ ข่าวดีเพียบ หุ้นขึ้น Bitcoinพุ่ง ทองร่วง แต่IMFเตือนให้ระวัง ( ไลฟ์วันที่ 24 พ.ย.2563)
1.มีแต่ข่าวดี ดันดัชนีดาวโจนส์ และSET พุ่ง หุ้นกลุ่มแบงค์เริ่มกลับตัว
หากกล่าวถึงภาพรวมเศรษฐกิจตอนนี้ ตัวเลขตลาดหุ้นต่างๆของโลก ออกมาในทิศทางที่ดี อย่างเช่น ตลาดหุ้นดาวโจนส์ตอนนี้ทำ All Time High เป็นที่เรียบร้อย แล้วตลาดหุ้นบ้านเราก็แตะ 1400 จุด เช่นกัน โดยหุ้นกลุ่มธนาคาร ที่เรากล่าวถึงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็ดีดตัวขึ้นเช่นกัน อย่างเช่น Kbank ขึ้นจาก 77 บาท เป็นหลักร้อยแล้ว ขึ้นมาประมาณกว่า 40%
การส่งสัญญาณแบบนี้ คำถามก็คือเศรษฐกิจมันกำลังจะฟื้นตัวจริงๆหรือไม่ เพราะถ้าวิกฤตเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว อย่างไรกลุ่มธนาคารก็ยังมีความเสี่ยงสูง หุ้นธนาคารก็เป็นหุ้นที่พักตัวมานาน หมายความว่า ราคาดิ่งลงในช่วงไวรัสโควิด หุ้นตัวอื่นดีดกลับขึ้นมา แต่หุ้นธนาคารยังไม่ขึ้นตาม แต่ตอนนี้หุ้นธนาคาร ดีดกลับขึ้นมาแล้ว มันเป็นสัญญาณที่บอกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวใช่หรือไม่?
ซึ่งหากดูภาพรวมจากข่าว มีสัญญาณที่ดี อย่างเช่น
- ข่าววัคซีน ที่ออกมาบ่อยขึ้น อาจมองได้ว่า การได้ใช้วัคซีนจริงๆอาจจะใกล้เข้ามา
- ข่าวการเมืองของสหรัฐ ตอนนี้ โจ ไบเดน กำลังจัดคณะทำงานแล้ว รวมทั้งโดนัลด์ทรัมป์ ออกมาประกาศว่ายอมหลีกทางให้ โจ ไบเดน ขึ้นรับตำแหน่งแล้ว
เมื่อมองภาพเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ละประเทศก็มีตัวเลขการผลิตที่ดีขึ้น เหมือนว่าจุดต่ำสุดได้ผ่านไปแล้ว การส่งออกติดลบน้อยลง องค์ประกอบทุกอย่างออกมาดี แล้วมาลองดูกันครับ ว่าเงินจะไหลไปทิศทางใด?
เราจะเห็นได้ว่า เงินไหลเข้ากองทุนของสหรัฐ 53,000 ล้านบาท ในสัปดาห์ล่าสุด ทำสถิติสูงสุดในรอบ 4 ปี เมื่อ โจ ไบเดน เข้ามารับตำแหน่ง
2. Warren Buffett ซื้อหุ้นมากที่สุดในรอบปี สัญญาณดีของเศรษฐกิจโลก?
ไม่ทราบว่าเป็นสัญญาณหรือไม่ เมื่อ Warren Buffett ได้เข้าซื้อหุ้นมากที่สุดในรอบปี แต่ที่น่าสนใจคือ เงินลงทุนมาจากที่ใด?
จากที่เรารู้กันว่า Warren Buffett ถือเงินสดมานาน จึงสามารถเข้าซื้อหุ้นได้ทันที ซึ่งเป็นเรื่องมุมมอง ที่หลายคนบอกว่า เราต้องซื้อหุ้นตาม Warren Buffett พอร์ตถึงจะเติบโต แล้วทำไมการเข้าซื้อของ Warren Buffett ถึงมีศักยภาพ นั่นก็คือ Warren Buffett ใช้เงินของ Berkshire Hathaway เป็นบริษัทลงทุนระดับโลกลงทุนด้วย เพราะฉะนั้นก็จะมีบทบาทอีกอย่างหนึ่ง คือ การดูแลการรักษาการเงิน
ในทางกลับกัน หากเรามองในสัดส่วนการลงทุนของเราเอง เราลงทุนในสิ่งที่เราไม่รู้มากกว่า อีกอย่างคือความเหลื่อมล้ำของการรับรู้ข้อมูล ปัจจุบัน โมเดลทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง พฤติกรรมผู้บริโภคก็เปลี่ยน เราจึงไม่สามารถคาดการณ์ผลประกอบการได้เลย
3.ภาคการเงิน ทั้ง IMF, FED และ ECB มองทิศทางเดียวกันว่า “เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว”
ในด้านของตลาดคือ กำลังมองบวก แต่ทางด้านเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว เพราะว่าตลาดหุ้นจะรับข่าวอนาคตมากกว่าอยู่แล้ว ตามความคาดหวังของคน แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ภาคการเงิน ทั้ง FED หรือ ECB หรือธนาคารกลางประเทศต่างๆ กล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า ยังคงมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะ IMF ออกมาประกาศว่า ระวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจตอนนี้จะหยุดชะงัก เพราะแต่ละประเทศยังอยู่ในระดับที่เสี่ยง ทั้ง การระบาดและการเงิน อย่างเช่นทาง ECB ออกมาประกาศว่า การแจกเงินต้องแจกอย่างมีคุณภาพด้วย หรือกล่าวอย่างมีนัยว่า “ภาคการเงินยังไม่ฟื้นตัว”
จะเห็นได้จากหนี้ของแต่ละประเทศยังคงสูง เพราะว่าเรื่องการระบาดยังไม่สิ้นสุด เรื่องการช่วยเหลือยังไม่สิ้นสุด รวมถึงสิ้นสุดแล้วก็ต้องมีการกู้เงินก้อนใหญ่อีกหลายก้อน เพื่อที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจขึ้นมา ซึ่ง IMF กล่าวว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วมีแข็งแกร่ง อย่างเช่น ยุโรป, สหรัฐ, ญี่ปุ่น เพราะแต่ละประเทศสามารถพิมพ์เงินแก้ปัญหาได้
แต่ประเทศที่กำลังมีปัญหาคือ ประเทศเกิดใหม่ ที่ค่าเงินมีปัญหา ภาระหนี้สูง แต่รายได้จากการเก็บภาษีต่ำ ถ้าประเทศเหล่านี้พิมพ์เงินเพื่อมาใช้หนี้ หรือใช้ธนาคารกลางเข้าไปซื้อตราสารทางการเงิน จะทำให้เสถียรภาพทางการเงินเปราะบางลงไปอีก นี่คือจุดเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก ซึ่งประเทศเหล่านี้มีเป็นร้อยประเทศ จะเห็นได้ว่าภาคธุรกิจจริง กับภาคการเงิน ซึ่งแยกออกจากกันชัดเจน เรารอลุ้นทั้งสองภาคที่เข้ามาบรรจบกัน เลยอยากเตือนให้ทุกคนอย่าประมาท
4. พิมพ์เงินเข้าระบบเยอะ ดันตัวเลขเศรษฐกิจสูงเกินจริง จะอยู่ได้นานแค่ไหน
มาวิเคราะห์กันว่า ทิศทางของโลกตอนนี้กำลังไปทิศทางใด อาจเป็นไปได้ว่า ตัวเงินหรือ Money Supply ผลักดันให้ตัวเลขต่างๆ ดูเกินจริง ต้องยอมรับว่า ดอกเบี้ยตอนนี้เข้าใกล้ศูนย์ ล่าสุดตอนนี้ทาง FED ออกมาประกาศว่า “การพิมพ์เงินและการแจกเงินเป็นสิ่งจำเป็นมาก”
Money Supply ของแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ อังกฤษ ยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เติบโตอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากเราสังเกตปริมาณเงินมันเยอะมาก ที่ไหลเข้าตลาดหุ้น เข้าไปซื้อหุ้นกู้ ไปแจกเงินในระบบ ทำให้ผลักดันสินทรัพย์ในตลาดสูงขึ้นด้วย
ซึ่งปัจจุบันดอกเบี้ยต่ำ อาจจะเกิดจากการกดอัตราดอกเบี้ยด้วย ในความเป็นจริงไม่ควรจะต่ำขนาดนี้ ตลาดเงินกำลังถูกบิดเบือน ประเด็นคือ ขณะนี้ได้ถูกบิดเบือนมานานแล้ว จนทำให้คนไม่รู้สึกกลัวแล้ว ตั้งแต่ปี 2008 ยังไม่เกิดอะไรขึ้นเลย
การที่เราเข้าใจว่า การบิดเบือนตลาดนั้นจะอยู่ได้ไม่นาน อย่างเช่น การที่อเมริกาพิมพ์เงินเข้าระบบไม่นานเศรษฐกิจคงจะพัง แต่ปัจจุบันก็ยังยืนอยู่ได้ คือฉีกตำราเศรษฐศาสตร์ทั้งหมด ซึ่งตอนนี้ก็ไม่มีใครสามารถวิเคราะห์ได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นข้างหน้า หลายคนเข้าใจว่า หุ้นขึ้นแล้ว เศรษฐกิจจะฟื้นตัว คนที่อยู่ในตลาดจะมีอารมณ์ร่วมสูง สุดท้ายแล้วมูลค่ากิจการก็ต้องมาจากกำไรสุทธิที่กิจการนั้นทำได้ในอนาคตอยู่ดี
แต่ก็มีข่าวดีอย่างที่ทุกคนรู้คือ วัคซีนมาแล้ว ลุ้นที่จะเปิดเมือง ถึงทั่วโลกจะเปิดเมืองแล้วก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกประเทศจะฟื้นตัว เพราะฐานะทางการเงินและหนี้สินสูงมาก ถ้าจะขึ้นดอกเบี้ยทุกคนพังหมด และเป็นไปได้ที่จะมีการอัดฉีดเงินนอกระบบรอบใหม่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณ
เรามากล่าวถึง โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีอเมริกา จากพรรคเดโมแครต ซึ่งนโยบายของพรรคนี้ค่อนข้างที่จะใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมากจึงมีโอกาสขาดดุลงบประมาณหนักขึ้น ทำให้หลายคนคาดการณ์ว่าการที่ โจ ไบเดน เข้ามาอาจทำให้หนี้ของสหรัฐสูงขึ้นไปอีก
5.ทองคำร่วง Bitcoin พุ่ง ลุ้นทองคำกลับมา
เรามาทิ้งท้ายกันที่เรื่องทองคำ และ Bitcoin เรามาเริ่มที่ทองคำกันครับ ต้องยอมรับว่าทองคำนั้นร่วงจริงๆ แต่ก็มีเหตุผลของมัน คือ 1.วัคซีนเข้ามา 2. ทุกอย่างดูคลี่คลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจภาพรวม เรื่องของทรัมป์ยอมหลีกทางให้ไบเดน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่ทองคำจะลง เพราะเมื่อทุกคนมองว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ความเชื่อมั่นมากขึ้น คนก็จะย้ายเงินจากทองคำที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ไปลงทุนที่สินทรัพย์เสี่ยง อย่างเช่นตลาดหุ้น มากขึ้น
แต่ให้ความสนใจไปที่ Bitcoin เพราะแต่ก่อนเราเชื่อกันว่า Bitcoin เปรียบเสมือน Digital Gold ที่จะเคลื่อนไหวไปตามทองคำ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ ทองคำลง แต่ Bitcoin ราคาสูงขึ้น จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะว่า Bitcoin มันจะไม่เคลื่อนไหวตามสินทรัพย์ใดๆเลย
หากกล่าวถึง ข่าวความมั่นใจของคนนั้นสูงมาก ดันตัวเลขหุ้นดาวโจนส์สูงขึ้น ผมคิดว่า คนมั่นใจในตัวเลขเศรษฐกิจปีหน้าจะดี แต่สำหรับตัวผมมองว่ามันยังอ่อนไหว โครงสร้างทางการเงินยังมีความเสี่ยงสูง อาจจะมองได้ว่า ข่าวดีเกินจริงหรือไม่ เพราะไม่มีผู้ใดกล่าวถึงการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร ยังไม่เห็นทางออกคำถามคือโลกเราจะขับเคลื่อนไปด้วยหนี้จำนวนมหาศาลได้อย่างไร?
การแก้ปัญหาเป็นไปได้ยาก ไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้ ไม่สามารถขึ้นภาษีได้ สุดท้ายแล้วการเดินทางแบบนี้ ต้องมีจุดสิ้นสุด ต้องกลับไปที่จุดสมดุล สมเหตุสมผล ในความคิดของผม ยังไงทองคำก็จะกลับมา เพราะถ้ามีปัญหาแบบนี้ ต้องแก้ด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไป เมื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปแล้วก็จะทำให้เกิดเงินเฟ้อ เมื่อเงินเฟ้ออาจผลักดันให้ราคาทองคำขึ้น เราก็เห็นได้จากจีนยังคงถือทองคำอยู่ จะขึ้นมากขึ้นน้อยเราไม่สามารถรู้ได้
ส่วน Bitcoin นั้น ยังเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจและควรที่จะศึกษา เพราะเป็นทรัพย์สินที่ไม่เคยมีมาก่อนบนโลกใบนี้ เป็นทรัพย์สินดิจิตอลทางเลือกทางหนึ่ง มีราคาขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของคน ยิ่งคนเชื่อมั่นมาก ราคาก็จะยิ่งสูงขึ้นไปด้วยครับ
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้ก็เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ ที่มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ต้องใช้วิจารณญาณของคุณเอง ที่จะเลือกลงทุน
แล้วเพื่อน ๆ มีความเห็นอย่างไรกันบ้างครับ มาแชร์กันครับ
.
แอดปลา
เเจ้งข่าว สัมมนารอบต่อไป
เริ่มต้นอาชีพนายหน้าอสังหาฯ รุ่นที่ 6
วันที่ 6 ธ.ค. 2563
ดูรายละเอียดที่ลิงค์ในคอมเมนท์ครับ
berkshire gold 在 KIM Property Live Facebook 的最佳解答
บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นมากที่สุดในรอบปี สัญญาณดีของเศรษฐกิจโลก?
บรรยากาศการลงทุนในสัปดาห์นี้กลับมาคึกคักกันอีกครั้งตอบรับกับข่าวดีหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะวัคซีนที่ทั้งทาง Moderna และ Pfizer ต่างก็ประกาศผลการทดสอบประสิทธิภาพของวัคซีนที่สูงถึง 95% เรียกว่าไม่ยอมน้อยหน้ากันเลยทีเดียว ซึ่งก็ถือเป็นการสร้างขวัญกำลังใจและทำให้ผู้คนทั่วโลกมีความหวังว่าสถานการณ์เลวร้ายต่าง ๆ จะจบลงในไม่ช้า
โดยบรรดานักวิเคราะห์ก็ได้ออกมาคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกกำลังจะฟื้นตัวกลับมาในปีหน้าพร้อมกับแนะนำให้เริ่มสะสมหุ้นดี ๆ กันได้แล้วก่อนที่คุณจะตกรถ
อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจกำลังจะดีขึ้นคือทิศทางการลงทุนของตำนานที่มีชีวิตอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมานั้นมีหลายประเด็นที่น่าสนใจมากเลยครับ
ไปดูในภาพรวมกันก่อนคือตั้งแต่ต้นปีก่อนโควิด19 ระบาดนั้นบริษัท Berkshire Hathaway ของบัฟเฟตต์ถือเงินสดมากที่สุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ราว ๆ 1.37 แสนล้านดอลลาร์และในไตรมาส 2 ที่โควิด19 ระบาดหนักนั้นบัฟเฟตต์ก็ได้ทำการขายหุ้นสุทธิไป 1.28 หมื่นล้านดอลลาร์
แต่ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมานั้นปริมาณซื้อ-ขายสุทธิของ Berkshire นั้นกลับมาเป็นฝั่งบวกหรือ “ซื้อสุทธิ” อีกครั้ง โดยซื้อสุทธิไป 4.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากที่สุดในรอบ 1 ปี (นับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2019) และนี่ยังไม่นับรวมการซื้อหุ้นคืนอีกกว่า 9 พันล้านดอลลาร์ นั่นแสดงให้เห็นว่าตอนนี้คุณปู่บัฟเฟตต์เริ่มหาจุดหมายปลายทางให้กับเงินสดมหาศาลที่ถือมานานได้แล้ว
ประเด็นที่สำคัญกว่าตัวเลขการซื้อขายสุทธิคือเมื่อเปรียบเทียบหมวดอุตสาหกรรมของหุ้นที่บัฟเฟตต์ซื้อและขาย ระหว่างไตรมาส 2 กับไตรมาส 3 แล้วมันสะท้อนให้เห็นมุมมองและกลยุทธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ในไตรมาส 1 และ 2 นั้นบัฟเฟตต์ได้ทำการขายหุ้นสายการบินทิ้งทั้งหมด โดยเขาให้เหตุผลว่า “มองไม่เห็นอนาคต”
และเขายังได้ทำการขายหุ้นธนาคารออกไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีหลายตัวที่เขายังถืออยู่โดยเฉพาะ Bank of America ที่เขาได้ทำการซื้อเพิ่มด้วย ซึ่งนักวิเคราะห์ก็ตีความกันว่านี่คือบริษัทผู้ชนะของกลุ่มสถาบันการเงินในสายตาของบัฟเฟตต์
ส่วนหุ้นที่ซื้อในไตรมาส 2 นั้นจะเป็นกลุ่มที่เน้นกระแสเงินสด นิ่ง ๆ ไม่ผันผวน ได้แก่
1. การเข้าซื้อสินทรัพย์ของบริษัทพลังงานอย่าง Dominion Energy
2. ซื้อหุ้นเหมืองทองคำทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบทองคำมาตลอด
3. ซื้อหุ้น 5 บริษัทการค้าขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น
แต่ในไตรมาสที่ 3 นี้ทิศทางการซื้อขายหุ้นนั้นมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือบัฟเฟตต์ได้ทำการขายหุ้นเหมืองทอง Barrick Gold ที่พึ่งซื้อมาสด ๆ ร้อน ๆ ไปถึง 42% จากที่ถืออยู่และได้ทำการขายหุ้น Apple ออกไปเล็กน้อยเมื่อเทียบกับที่มีทั้งหมดกว่าครึ่งพอร์ต ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าในกรณีของ Apple นั้นน่าจะเป็นการขายเพื่อปรับสมดุลของพอร์ตเท่านั้น เนื่องจากราคาของหุ้น Apple ขึ้นมาค่อนข้างเยอะในปีนี้
ส่วนสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยคือทิศทางของหุ้นสถาบันการเงิน โดยในไตรมาสที่ 3 นี้บัฟเฟตต์ได้ทำการขายหุ้นของ Wells Fargo, M&T Bank, PNC Financial และ JPMorgan Chase ออกไปอีก จนบางตัวคือแทบจะหมดพอร์ตแล้ว และยังได้ทำการซื้อ Bank of America สวนทางตัวอื่นเพิ่มอีกรอบด้วย
ไฮไลท์สำคัญคือหุ้นที่บัฟเฟตต์ซื้อในไตรมาส 3 ที่ประกอบด้วย
1. หุ้นของบริษัทยา 4 บริษัทได้แก่ AbbVie, Bristol-Myers, Merck และ Pfizer ที่พึ่งประกาศความสำเร็จในการทดสอบวัคซีนในเฟส 3 ไป กลุ่มนี้เรียกว่าซื้อปุ๊บก็ขึ้นปั๊บ เรียกศรัทธาในตัวปู่กลับมาอีกครั้ง
2. หุ้น IPO ของ Snowflake อย่างที่สร้างเสียงฮือฮากันไปก่อนหน้านี้
3. หุ้น GM หรือ General Motor ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของโลก
4. หุ้น Kroger ที่เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตเก่าแก่ที่มีการปรับตัวมาทำตลาดออนไลน์เพื่อสู้กับ Amazon
5. หุ้น T-Mobile US ผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สายชั้นนำในสหรัฐอเมริกา
จะเห็นได้ว่ากลุ่มของหุ้นที่ซื้อในไตรมาส 3 นี้บัฟเฟตต์มีความบู๊มากขึ้น คือเป็นการเดิมพันว่าการวิจัยวัคซีนจะสำเร็จในไม่ช้า ทำให้เศรษฐกิจจะฟื้นตัวกลับมา โดยเฉพาะการบริโภคที่มากขึ้นก็จะเป็นผลดีกับบริษัทเหล่านี้ ต่างจากในไตรมาสที่ 2 ที่จะซื้อหุ้นปลอดภัยเน้นกระแสเงินสดเป็นหลัก
ก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีของเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ปู่คงไม่ทำให้ผิดหวังนะครับ เพื่อน ๆ คนไหนเป็นสาวกของวอร์เรน บัฟเฟตต์บ้าง คิดยังไงกับการซื้อหุ้นรอบนี้ของเขาครับ?
.
แอดปุง
เเจ้งข่าว สัมมนารอบต่อไป
เริ่มต้นอาชีพนายหน้าอสังหาฯ รุ่นที่ 6
วันที่ 6 ธ.ค. 2563
ดูรายละเอียดที่ลิงค์ในคอมเมนท์ครับ
berkshire gold 在 The Berkshire Gold & Silversmith | Great Barrington MA 的推薦與評價
The Berkshire Gold & Silversmith, Great Barrington, Massachusetts. 1128 likes · 14 were here. Over 500 handcrafted designs made in Great Barrington,... ... <看更多>