🌈 การพัฒนาเว็บไซต์ในปัจจุบันก็มี Framework ให้เราได้เลือกใช้อย่างหลากหลาย เพื่อช่วยให้เราทำงานได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งใน Python ก็มี Framework ที่สุดฮิตและมาแรงมาก ๆ ในยุคนี้ นั่นคือ Flask และ Django มาให้ชาวเว็บเดฟแบบเรา ๆ ได้เลือกใช้กัน
.
แล้วทั้งสองมันดียังไง ต่างกันยังไง แล้วเราจะเลือก Framework ตัวไหนให้มันเหมาะกับงานของเราดี ? เก็บคำถามเหล่านี้ไว้ แล้วมาคำตอบไปพร้อมกันกับแอดในโพสต์นี้เลยจ้า !!
.
👉 รู้จัก Flask
.
Flask เป็นไมโครเฟรมเวิร์กที่มีคอร์ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ใช้งานง่าย โครงสร้างไม่ซับซ้อน สำหรับการพัฒนาเว็บแอปพลิชัน ทำให้เราสามารถเริ่มต้นสร้างเว็บได้อย่างรวดเร็ว มี Library หลากหลายสำหรับช่วยในการพัฒนา และยังสามารถใช้พัฒนาไมโครเซอร์วิสและ API ได้อีกด้วย
.
✨ จุดเด่นของ Flask
.
🔸 ใช้งานง่าย
สามารถเริ่มต้นสร้างเว็บได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องตั้งค่าอะไรให้ยุ่งยาก Coding ได้ง่ายและสั้นกว่า Django และสามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลได้อย่างง่ายดาย
🔸 ยืดหยุ่น
กำหนดค่าได้ง่ายและยืดหยุ่น ไม่ขึ้นกับ Framework ใด ๆ สามารถใช้ได้กับส่วยขยายหรือ Framework ภายนอกเพื่อช่วยในการพัฒนาเว็บได้อย่างอิสระ เช่น เลือกใช้ SQLAlchemy เพื่อเชื่อมต่อกับฐานข้อมูล
.
🔸 มีแหล่งเรียนรู้เพียบ
เป็น Framework มาแรงและฮิตมาก จึงมีแหล่งเรียนรู้ให้เราได้ศึกษามากมายทั้งใน GitHub และที่อื่น ๆ
.
🔸 ปรับขยายได้ง่าย
Flask สามารถเปลี่ยนได้ในภายหลังเพื่อเพิ่มฟังก์ชันการทำงานและทำให้มันซับซ้อนยิ่งขึ้น จึงทำให้มีความยืดหยุ่นในการขยายแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็ว
.
👥 Flask เหมาะกับใคร ?
เหมาะสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการ Framework ในการพัฒนาเว็บได้อย่างอิสระ ไม่เน้นโครงสร้างเยอะ สามารถติดตั้งส่วนเสริมหรือปลั๊กอินต่าง ๆ เพื่อช่วยในการพัฒนาเว็บได้ตามที่เราต้องการ และหากอนาคตมีการปรับขยายสเกลของเว็บไซต์ก็สามารถทำได้ง่าย
.
บริษัทที่มีชื่อเสียงที่ใช้ Flask ได้แก่ Netflix, Reddit, Lyft, MIT
.
.
รู้จัก Django
.
Django เป็น Framework สำหรับพัฒาเว็บแอปพลิเคชันมีมาตรฐานสำหรับสร้างเว็บที่ปลอดภัยและบำรุงรักษาได้ง่าย แถมยังเป็น Open-source ใช้งานได้ฟรี มีนักพัฒนาใช้งานกันอย่างหลากหลาย ทำให้มี Community ขนาดใหญ่ และ Document ให้เราได้เรียนรู้เพียบ !! ทำให้สามารถสร้างเว็บไซต์ที่สมบูรณ์แบบได้อย่างรวดเร็ว
.
✨ จุดเด่นของ Django
.
🔸 ใช้งานได้หลากหลาย
เป็นเฟรมเวิร์กที่ใช้งานได้หลากหลาย สามารถสร้างเว็บที่มีเนื้อหาในรูปแบบใดก็ได้ เช่น HTML, XML, JSON และอื่น ๆ ทำงานควบคู่กับ Client-side Framework ได้อย่างดี
.
🔸 ปลอดภัย
มีมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยจากช่องโหว่ต่าง ๆ เช่น การจัดการบัญชีผู้ใช้, จัดการธุรกรรม, Cross-site Request Forgery, Clickjacking และอื่น ๆ
.
🔸 ปรับขนาดและบำรุงรักษาได้
อินเทอร์เฟซที่สร้างขึ้นส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการ CRUD และสามารถปรับแต่งได้อย่างอิสระ เป็นเฟรมเวิร์กแบบคอมโพเนนต์ แต่ละเลเยอร์จึงเป็นอิสระจากกันทำให้แอปพลิเคชันสามารถปรับขนาดได้
.
🔸 ใช้งานง่ายและรวดเร็ว
ใช้หลักการออกแบบและทำซ้ำสามารถปรับแต่งโค้ดในโปรเจกต์ของเราได้อย่างรวดเร็ว และมี Interface ที่ใช้งานง่าย มีผู้ใช้งานอย่างหลากหลายทำให้เมื่อติดปัญหาใด ๆ ก็สามารถหาวิธีแก้ได้อย่างรวดเร็ว
.
👥 Django เหมาะกับใคร ?
.
เหมาะสำหรับการสร้างเว็บไซต์ที่ปลอดภัยโดยที่ไม่ต้องใช้เวลาไม่นาน และเหมาะกับโปรเจกต์ใหญ่ ๆ มี Library มากมายที่ช่วยในการพัฒนาเว็บ
.
บริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Instagram, Coursera, และ Udemy ต่างก็เลือกใช้ Django ในการพัฒนาเว็บ
.
.
และนี่คือความแตกต่างของเจ้า Flask และ Django หวังว่าจะเลือกใช้กันถูกแล้วเนอะ หากเพื่อน ๆ คนไหนมีอะไรเพิ่มเติม หรืออยากจะแชร์เกี่ยวกับเจ้าสองตัวนี้ สามารถมาคอมเมนต์พูดคุยกันได้เลยน้า ❤️
.
borntoDev - 🦖 สร้างการเรียนรู้ที่ดีสำหรับสายไอทีในทุกวัน
#flask #django #framework #BorntoDev
「cross-site request forgery」的推薦目錄:
- 關於cross-site request forgery 在 BorntoDev Facebook 的精選貼文
- 關於cross-site request forgery 在 BorntoDev Facebook 的精選貼文
- 關於cross-site request forgery 在 BorntoDev Facebook 的最佳解答
- 關於cross-site request forgery 在 ossa/dg_cross-site-request-forgery-csrf.rst at master - GitHub 的評價
- 關於cross-site request forgery 在 Cross Site Request Forgery (CSRF) - amitrai99/knowledge ... 的評價
cross-site request forgery 在 BorntoDev Facebook 的精選貼文
🖥️ การจะสร้างเว็บออกมาสักหนึ่งเว็บในเมื่อก่อนเราอาจจะต้องใช้เวลานานมากกกก แต่ในปัจจุบันมี Framework มากมายมาช่วยให้เราทำเว็บได้สะดวกรวดเร็วมากขึ้น !
.
👉 ซึ่งแต่ละ Framework ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาก็จะมีข้อดีแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกใช้งานแบบไหน ให้มันเหมาะสมกับงานของเรานั่นเอง
.
และอีกหนึ่ง Framework สำหรับพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันที่เขาฮิตกันมากในยุคนี้ 🔥 และแอดจะนำมาพูดถึงในวันนี้อย่าง Django เนี่ยมันดียังไง ? ทำไมเหล่า Dev ถึงต้องเลือกใช้ ? เจ้านี่มันทำอะไรได้บ้าง ? เก็บข้อสงสัยทั้งหมดนี้ แล้วมาหาคำตอบไปพร้อมกับแอดในโพสต์นี้ได้เลย !!
.
ก่อนอื่นเราทำความรู้จักกับ Django กันก่อน…
.
Django เป็น Framework ที่ช่วยพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันได้อย่างง่ายดาย แถมยังสามารถช่วยจัดการ Database ที่ซับซ้อนได้อีกด้วย เขียนด้วยภาษา Python เป็น Open Source ใช้งานได้ฟรี !!
.
มาดูข้อดีของเจ้า Django กันบ้างดีกว่า...ว่าทำไมเหล่า Dev ถึงต้องเลือกใช้ตัวนี้ ?
.
🐍 ใช้ภาษา Python
.
Django ใช้ภาษา Python ในการพัฒนา อย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่า Python เป็นอีกหนึ่งภาษาโปรแกรมมิ่งยอดฮิตมากที่สุดในยุคนี้ เรียนรู้ง่าย หากคุ้นเคยกับภาษานี้ดีอยู่แล้วการจะใช้ Django ในการพัฒนาเว็บก็จะทำได้รวดเร็วมากขึ้น แถมถ้าใช้แล้วเกิดมีปัญหาใด ๆ ก็สามารถหาข้อมูลมาแก้ไขได้ง่ายนั่นเอง
.
⚡ ใช้งานง่ายและรวดเร็ว
.
ใช้หลักการทำซ้ำ ทำให้เราพัฒนาโปรเจกต์ได้อย่างรวดเร็ว สามารถใช้โค้ดเดิมที่เราเขียนไว้ก่อนหน้ามาประยุกต์ใช้กับโปรเจกต์ปัจจุบันของเราได้เลย โดยไม่ต้องเริ่มทำใหม่ทั้งหมด เพียงแค่ปรับแต่งค่าบางอย่าง เช่น URL หรือ Template เพื่อให้เหมาะสมกับโปรเจกต์ใหม่ของเรานั่นเอง
.
⚙️ สถาปัตยกรรมแบบ MVT
.
ใช้สถาปัตยกรรมแบบ MVT (Model View Template) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งช่วยให้แอปพลิเคชันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ
.
Model - ช่วยในการจัดการฐานข้อมูล CRUD (Create, Read, Update, และ Delete) สามารถทำงานร่วมกับฐานข้อมูล PostgreSQL, MySQL, SQLite, และ Oracle ได้อย่างง่ายดาย
.
View - จัดการในเรื่องของตรรกะและการดำเนินการต่าง ๆ ดึงข้อมูลจาก Model เพื่อส่งให้ Template แสดงหรือประมวลผลนั่นเอง
.
Template - จัดการในส่วน User Interface ใช้แสดงข้อมูลหรือเนื้อหาต่าง ๆ ซึ่งจะรับข้อมูลมาจาก View แล้วมาแสดงผลนั่นเอง
.
✅ ปลอดภัยสุด ๆ
.
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความปลอดภัยของเว็บนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่เหล่า Dev นั้นต้องคำนึงอยู่เสมอ ซึ่งเจ้า Django จะเป็น Framework ที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีมาก ช่วยรักษาความปลอดภัยจากช่องโหว่ต่าง ๆ อย่างเช่น Clickjacking, SQL Injection, XSS, และ CSRF (Cross-Site Request Forgery) ให้เว็บของเราปลอดภัยมากขึ้น
.
📚 Libraries หลากหลาย
.
Django มีชุด Libraries มากมายที่จะช่วยให้เราพัฒนาเว็บได้ง่ายมากขึ้น เช่น Django REST ที่ช่วยในการสร้าง Interface ในการเขียนโปรแกรม, Django CMS ออกแบบมาเพื่อจัดการเนื้อหาบนหน้าเว็บ, และ Django-allauth ที่ช่วยสำหรับการตรวจสอบสิทธิ์ จัดการบัญชี เป็นต้น และยังมี Libraries อีกมากมาย หากใครสนใจสามารถเข้าไปดูกันได้ในลิงค์ด้านล่างเลยจ้า 👇
.
📑 Link : https://sunscrapers.com/blog/10-django-packages-you-should-know/
.
🖥️ รองรับ SEO
.
การจะทำเว็บให้ติดอันดับการค้นหาบน Search Engine สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือการจัดการ SEO นั่นเอง ซึ่งเจ้า Django เป็นหนึ่งใน Framework ที่ช่วยจัดการ SEO ได้อย่างมีประสิทธิภาพมีเครื่องมือที่ช่วยจัดการ SEO ที่ช่วยให้เหล่า Dev ประหยัดเวลามากขึ้น
.
🗂️ รองรับ ORM
.
ใน Django จะมี ORM หรือ Object Relational Mapper เป็นตัวช่วยจัดการฐานข้อมูล ทำให้เราไม่ต้องเขียน SQL เพื่อติดต่อกับฐานข้อมูลตรง ๆ โดยเจ้า ORM จะมี Class ให้เราใช้ ทำให้เราติดต่อกับฐานข้อมูลได้รวดเร็วมากขึ้นนั่นเอง ไม่ว่าจะดึงข้อมูล สร้างตาราง หรืออัปเดตข้อมูล ก็ทำได้ง่าย ๆ
.
🔧 ยืดหยุ่น ปรับขนาดได้
.
Django มีความยืดหยุ่น และปรับขนาดตามโครงสร้างของเว็บได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นเว็บขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกับ Traffic ของหรือปรับให้ทำงานได้ในอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน มีปลั๊กอินที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บ ให้โหลดใช้งานกันอย่างหลากหลาย และนี่เป็นสิ่งสำคัญที่เว็บไซต์เจ้าดัง อย่างเช่น Instagram, Pinterest, และ Disqus เลือกใช้งานเจ้า Django นั่นเอง
.
และนี่คือส่วนหนึ่งในข้อดีของเจ้า Django ! เพื่อน ๆ ล่ะมีข้อดีอะไรนอกเหนือจากทั้งหมดนี้อยากจะแชร์มั้ย คอมเมนต์มาพูดคุยกันได้เลยน้าาาา ❤️
.
borntoDev - 🦖 สร้างการเรียนรู้ที่ดีสำหรับสายไอทีในทุกวัน
#Django #python #framework #webdeveloper #BorntoDev
cross-site request forgery 在 BorntoDev Facebook 的最佳解答
🏆 หลายคนอาจเคยได้ยินชื่อ ASP.NET มาอยู่แล้ว โดยเฉพาะใครเขียน C# แล้วอยากทำเว็บนี่บอกเลยว่ามันง่ายมาก ๆ
.
แต่ในยุคที่เครื่องมือการพัฒนาโปรแกรมมันเต็มไปหมดแบบนี้ อะไรคือจุดที่ทำให้เราต้องเลือกใช้ อะไรคือข้อดีของ ASP.NET
.
✅ มาเริ่มต้นที่ข้อแรก ASP.NET สร้างบนพื้นฐาน .NET ของ Microsoft ที่แข็งแรงมาก ๆ ใช้กันมาหลายยุคหลายสมัย เครื่องมือการพัฒนาโปรแกรมอย่าง Visual Studio ตัวเต็มนั้น ทรงพลังมาก ๆ
.
✅ ประกอบกับข้อ 2 ที่ Library เต็มไปหมด ทั้งรูปแบบฟรี และ Commercial ที่น่าเชื่อถือ และ ไว้ใจได้ ทำให้ปัจจุบัน ASP.NET เป็นหนึ่งทางเลือกหลักขององค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชัน
.
✅ ต่อมาที่ข้อ 3 ที่การพัฒนาเว็บแอปบน ASP.NET นั้นมีประสิทธิภาพ ความรวดเร็วในการทำงานที่สูงมาก ๆ จากการเปรียบเทียบของ TechEmpower พบว่า ASP.NET สามารถรองรับ Request ได้ถึง 7.33 ล้าน Requests / วินาที
.
โดยถ้าเทียบกับ Java Servlet อยู่เพียง 7-8 แสน Request / วินาที และ Node.js อยู่ที่ 0.88 Request / วินาทีเท่านั้น
.
✅ ข้อที่ 4 คือความไว้ใจได้ และ น่าเชื่อถือด้านความปลอดภัย เพราะ ASP.NET นั้นมีการรองรับ Authentication Protocols เบื้องต้นที่มาเป็นมาตรฐานเลย ทั้งการป้องกัน Cross-site scripting (XSS) ไปถึง Cross-site Request Forgery (CSRF)
.
✅ ข้อสุดท้าย ข้อที่ 5 คือเรื่องการเรียนรู้ที่ทำได้ง่ายมาก ๆ ใครเคยเขียน Java มาจะรัก C# สุด ๆ มีแหล่งเรียนรู้ และ Community ให้สอบถามได้ตลอดเลยนั่นเอง
.
หลังจากที่ Microsoft เริ่มปรับตัว และ ให้การสนับสนุน Open Source, Linux มากขึ้น ทำให้ของเด็ด ๆ เหล่านี้กลับมาได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
.
หากใครอยากลองเริ่มทำเว็บแอปสายองค์กร ASP.NET ก็เป็นหนึ่งทางเลือกที่ดีที่ควรค่าแก่การพิจารณาครับ <3
.
#BorntoDev - 🦖 Coding Academy ให้การพัฒนาเทคโนโลยีเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน
cross-site request forgery 在 Cross Site Request Forgery (CSRF) - amitrai99/knowledge ... 的推薦與評價
Cross-Site Request Forgery (CSRF/XSRF) is an attack that forces an end user to execute unwanted actions on a web application in which they're currently ... ... <看更多>
cross-site request forgery 在 ossa/dg_cross-site-request-forgery-csrf.rst at master - GitHub 的推薦與評價
Use CSRF tokens to avoid CSRF attacks. Cross-Site Request Forgery (CSRF) a.k.a. session riding occurs when sensitive web services have no protection to ... ... <看更多>