【後疫情時代中國面對的經濟環境】
本文嘗試用一個廣角、簡略但直入重點的方式分析中國在疫情之後所面對的全球經濟環境。
國家競爭力的經濟學概念與中國縣競爭制度
根據經濟學比較優勢定理,國家之間的競爭始終被比較成本所局限。而在分析國家競爭力上,我摒棄華而不實的哈佛商學院Michael Poter的鑽石競爭理論,回歸最基本但正確的經濟學成本概念,其中尤受諾貝爾經濟學獎得主R. Coase的「The Problem of Social Costs」鴻文啓發:
國家競爭成本 = 直接生產成本 + 間接生產成本 + 制度費用
特別說明我所謂的「間接生產成本」更接近上頭成本,本身除了牽涉到整體租值外也會涉及到產業乃至於社會國家的路徑依賴。
在相同供應層面,某國是否可以用更低成本下滿足同樣的需求,以及是否可以善用比較優勢定理。後者包含了前者的同時,也是國家與國家之間的角色不單純只是競爭關係,而是有更多供需關係。後者之所以尤為重要在於「買方與賣方永遠不存在競爭關係」。因此在供應鏈上彼此依賴的買賣雙方國家,依賴程度越深入越廣泛,則敵對的成本將等比級數增加。
換個角度來說,Covid-19疫情本身帶來上述三種成本的同步增加。這也意味著在疫苗逐漸普及的後疫情時代,能夠以更快速地降低上述三種成本的國家將在新一輪全球經濟重新平衡的過程中取得更佳的競爭優勢地位。
在張五常「The Economic Structure of China」一書闡述的中國曾有的1990年代末到2010年間之縣競爭制度下,中國借此享受人類近代少有的超低制度費用與間接生產成本,佐以原本享有的人口紅利帶來的在中低階工廠流水線上較低直接生產成本,中國製造橫掃全世界九成以上的中低階工業領域。
但隨著中國中央政府出台勞動法與加強反托拉斯管制與大大小小的管制措施,上述獨有的縣競爭制度似乎已不復存在。這也為疫情後面對全世界新的經濟環境中國是否還具有經濟學謂「低制度費用」的高彈性與快速適應力埋下變數。
瞭解這個重要局限條件改變後,我們來看看疫情後中國所面對的全球經濟挑戰有哪些。
1 全球通貨膨脹可能帶給中國輸入性通膨
美國建國以來90%以上的M0貨幣發行量是在最近15年內產生,尤其疫情後Fed諸多舉措都可說是「瘋狂印鈔」,在世界多數原物料與貿易均以美元定價與結算的前提下,世界性通貨膨脹必然來到。
站在2021年5月這個時間點看,美國股市、房市、債市與全世界的大宗期貨、能源價格都受到局部性通膨影響,尤其主要農產品、金屬期貨價格多在52周以來新高。(見圖)
(美國M0通貨)
(美國股市)
(美國房市)
(美國債市)
(石油價格)
中國改革開放以來相當長一段時間貨幣匯率政策緊盯美元。2010年代以後雖然改盯一籃子貨幣,但明眼人都看得出美元的比重。故,在美元瘋狂印鈔的環境下,人民幣相應的輸入性通膨也必然發生。
這一塊我們可以預測,在貨幣學 Impossible trinity law的局限,以及中國對人民幣國際化的追求下,中國人民銀行應將在近年內逐步脫鈎對美元匯率的政策,同時部分放寬外匯管制,以得到更多貨幣主權。
同時取消或降低部分關稅,以及放寬戶口管制,都可以是中國政府提高國家競爭力可能採取的措施。
二、 全球局部地區將因疫情影響出現糧食危機
很明顯Covid-19疫情影響了糧食生產與輸布,全球局部地區的糧食危機已經開始出現。根據聯合國2020年糧食安全報告估計到2020年底全球因疫情而陷入經濟衰退與飢餓的人口數達8300萬~1.32億人。其引發的糧食價格增長將加重中國輸入性通膨下,百姓生活的負擔
中國家戶支出30%花費在食物品項,又中國國內大豆需求90%依賴進口滿足,因此可預見中國的飼料與肉品市場價格恐將上揚且吃緊。
(中國主要糧食供需狀況)
全球能源市場也會因疫情與之前負油價事件影響一段時間內失去部分供給彈性,意味著能源市場價格伴隨通膨因素影響的上揚也是可以預期,這一塊同樣也會加重中國未來將面對的輸入性通膨壓力。
因此我們會看到中國在人民幣國際化推廣上會施以更大力道,例如與更多國家簽訂貨幣清算與貨幣交換協議,嘗試在糧食/能源品項上更多地採人民幣定價結算。如此方可在不過度犧牲中國世界供應煉地位的前提下,減少輸入性通膨對人民的衝擊,尤其是輸入性通膨下中國國內資本投資的資源錯置現象將可以得到一定程度約束。當然這部分中國政府應該還會採取價格管制或其他市場管制措施相佐之,但政府干預與介入本身又會帶來更多訊息費用、交易費用,甚至政府本身就成為資源錯置的問題根本,也是極為可能。這些都是身為投資人的我們值得持續觀察與因應。
三、 中美衝突與戰爭風險提高
如前述,國家邊際競爭成本,尤其邊際間接生產成本與邊際制度費用,增加速率大過他國之速率,則一國之國力衰退,或更精准地說,國家相對競爭優勢衰退。反之則可視為國家相對競爭優勢增加。
在人民幣國際化過程將直接與美元產生競爭關係且削弱美國對全球徵收「美元稅」的能力,經濟邏輯上的效果是:2008年金融危機後的QE之所以沒有在美國發生嚴重通膨,正是因為美元在國際貿易與國際金融的霸主地位可以對全球抽取美元稅,意味著美國可以將貨幣濫發帶來的經濟成本移轉給全世界承擔,其中以世界貿易額佔比越高者承擔越多,故身為世界第一大商品出口國的中國自然也承擔大部分苦果,這也是為何我長時間以來主張美元的地位相當程度是由中國支撐。
而在人民幣競爭之下(我們假設人民幣國際化真取得成效),美國不再能輕易移轉自身國家競爭成本給全世界時,通貨膨脹將回歸隨著貨幣發行量增長而提高,這對美國而言代表聯邦政府與州政府等一系列債券、連動債務的利息支出成本將提高,未來借貸成本也將提高。在一定程度上,美國政府或州政府可能因此停擺,甚或我們會看到州政府、市政府因此破產。
因此美國必然會嘗試在各方面阻止之。
提高上述中國的國家邊際競爭成本也無可避免會是美國未來數十年的整體戰略目標。
所以我們看到美國從President Trump任期開始,嘗試尋找各種可以提高中國國家邊際競爭成本的手段。
然而在當今真實世界供應煉、服務煉、金流、資訊流高度分工交雜的局限條件下,我推斷任何一任美國政府、智庫都難以清楚釐清自身採取的任何競爭戰略是否會帶來意料之外的後果(unintentional consequences)。
a 舉例來說,比如美國政客錯誤判斷關稅手段制裁中國會有效,於是我們看到Trump任期貿易戰初期就是違背WTO規範,片面無理對中國出口商品加重關稅或其他非關稅貿易手段。
然而真正懂經濟學邏輯者看法多如我當時寫下的預判一樣 — 如果美國以關稅手段要抑制中國出口經濟,但關稅提高幅度不夠大不夠全面的話,則中美之間的貿易逆差狀況不但不會縮減,反而在某些不同彈性系數之下會增加。(見圖)
(中國出口美國統計圖)
反之,美國經濟將因自身對中國的片面關稅障礙而受創。
更進一步,若美國政客傻到真的將制裁關稅提到夠高,足以發生抑制中國出口額的效果,則美國經濟將必須付出重大代價,其中包括美元地位將大幅動搖。如前述貨幣政策問題,不但聯邦政府利息支出將壓垮政府財政,州政府乃至市政府破產潮亦不遠。故,我們看到即便是Trump也被迫停止更瘋狂的關稅壁壘措施。
b 再以半導體產業的光刻機為例,美國施壓荷蘭ASML禁止出貨中國廠商已經付費採購的光刻機,其結果反而是給中國光刻機或EDA廠商創造市場,協助排除了原本ASML強力的競爭。從經濟學角度來看這是一件很諷刺事情。
這是因為全球光刻機市場是一個高度技術集成的天然寡頭壟斷市場,除非有類似當年ASML與日本佳能之間的技術彎道超車(浸潤式UV光刻技術)特殊情況發生,否則後來者都會因為技術認證與攻克的巨大前期投資成本而被排除於競爭之外。
然而,從經濟學競爭的角度看,美國禁止ASML對中國出口,結果反而是讓中國半導體製造廠被迫轉向投資與採購其他中國光刻機供應商,使得原本在市場上幾乎無競爭力的後者,因美國的禁令創造的「競爭真空」環境而有了成長空間。
因此我們放大時間尺度來看,20年、30年後如果中國半導體設備商有了長足的進展,肯定要回過頭感謝美國政府政府的錯誤干預所創造的商機。
說到商機身為投資人的我們可以注意,在上述政客的錯誤決策中,一些轉瞬即逝的投資機會也會因政府干預而起。例如下一點。
c. Super Micro 間諜晶片事件,2018年10月美國知名商業性雜誌Bloomberg刊登新聞「The Big Hack: How China Used a Tiny Chip to Infiltrate U.S. Companies」聲稱Super Micro這家公司利用一顆米粒大小的間諜晶片替中國政府竊取資訊。
姑且不提一顆米粒大小,本身毫無無線射頻天線的晶片在當時技術上幾乎不可能竊取什麼資訊,2年多後海潮退去,不但美國政府或Bloomberg都未提出更進一步有力證據,整件事甚至根本就被遺忘。
當年我不但寫了幾篇文章駁斥這種謬論栽贓。還親自動手買入這家粉紅單公司,短短三天就賺了台轎車。
香港2019年暴動事件、2021年新疆奴隸棉花事件、最近新冠病毒向中國求償事件...等,我們都可以看到美國政客在試圖提高中國競爭成本的過程,會創造大大小小系統性或個體性的災難風險,例如前述Super Micro因栽贓性假消息股價從$20.61美元在一兩日內崩跌至$13左右,但隨著栽贓者無力提供更多證據,市場回歸均衡的過程,截至2021年5月28日,Super Micro股價已經來到$35。
這是說,某些因政治干預造成的個體性或系統性風險,雖然屬於不可預測的風落(windfall),但其中不乏類似Super Micro的例子,在隨後回到正常的價值位置。如W. Buffett所言:市場短期是投票機,但長期是磅秤。
d. 美國知名橋水基金創辦人Ray Dalio在其將於2021年11月初版的書籍」The Changing World Order」 已提前公開的第七章」US-China Relations and Wars」提出綜合國力歷史計算與國力表(見圖)
提出美國正處於信用擴張後期的大國階段,而歷史上處於此階段與新興國力上生階段的國家一旦發生國力曲線交叉時,多半發生大規模戰爭以重新均衡雙方與整體國際關係。
依其推論,中美兩國發生戰爭的風險來到史上最高點。
但這部分我持較保留態度,特別是新任President Biden政府的高達$6 triilion美元的聯邦預算案出台,我們注意到一者,美國聯邦政府支出繼續維持二次世界大戰以來的GDP高佔比--達25%,二者,預算增幅最大均在健康醫療(成長23.1%)、商務(27.7%)與環保(21.3%),然在國防(1.6%)與國家安全(0.2%)幾乎未有成長,甚至計入通貨膨脹因素,後二部門的預算是實質減少的。因此可推估此任政府對發生大型戰爭的預期心理。
四、 變種病毒的不確定性
這是最後最難評估的風險,在現階段的資產配置決策中不可忽略卻又幾乎難以估計。拔高到國家決策層面來看,這也是中國面對的最棘手風險之一。
結論:
以上是我從經濟學角度出發,非常簡略地預測中國在疫情後將面對的國內外經濟環境與挑戰。其中任何一項單獨提出要深入探討都會是長篇大論。還有一些我認為相對重要性較低的現象與局限條件轉變,本文也尚未涵蓋。
BTW,最後多提一句台灣獨有的風險:後疫情時代是否接種過疫苗有可能在相當時間內成為國際旅遊的必要條件。然如果台灣政府真的壓寶在台灣國產疫苗上,則在現今環境下有沒有可能不被世界多數國家組織承認?會是一個額外的成本。
參考文獻:
* The Wall Street Journal, 「Biden is the $6 Trillion Man」 (May 28, 2021), https://www.wsj.com/articles/biden-is-the-6-trillion-man-11622241749
* The Financial Times, 「The summer of inflation: will central banks and investors hold their nerve?」 (May 15, 2021), https://www.ft.com/content/414e8e47-e904-42ac-80ea-5d6c38282cac
* Ronald Coase, 「The Problems of Social Cost」 (1960)
* Ray Dalio, 「The Changing World Order: Why Nations Succeed and Fail」 (2021)
* Irving Fisher, 「The Money Illusion」 (1928)
* Mundell, Robert A. (1963). "Capital mobility and stabilization policy under fixed and flexible exchange rates". Canadian Journal of Economics and Political Science. 29 (4)
* Milton Friedman and Anna Schwartz, 「A Monetary History of the US, 1867-1960」 (1963)
* Milton Friedman, 「Money and the Stock Market」 The Journal of Political Economy, Vol. 96, No. 2 (Apr., 1988), pp. 221-245 「
* Allan Meltzer, 「Learning about Policy from Federal Reserve History」 (Spring 2010)
* Armen A. Alchian, 「Effects of Inflation Upon Stock Prices" (1965)
* 張五常, 「Will China Go Capitalist?」 (1982)
* 張五常, 「The Economic Structure of China」 (2007)
* Ronald Coase and Ning Wang, 「How China Became Capitalist」 (2012)
* Alfred Marshall, 「Principles of Economics (8th ed.)」 (1920)
文章連結:
https://bit.ly/3vD1B2o
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過3萬的網紅POPA Channel,也在其Youtube影片中提到,「如果你今次測驗攞到100分,我就買架全新的搖控玩具車俾你啦!」當小朋友有良好表現時,很多家長都想獎勵他,一粒糖又好,一張星星貼紙又好,為的是希望鼓勵小朋友繼續這些良好行為。有父母甚至會出動金錢「利誘」,認為可以早點讓小朋友認識到以努力賺取回報的概念,但這種以外在誘因強化行為的管教方法是否真的有效?...
journal of financial economics 在 คุยการเงินกับที Facebook 的最佳貼文
Political Cycle ประกาศผลการเลือกตั้ง หุ้นจะขึ้นหรือจะลง?
.
วันที่เราจะได้รู้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐก็อยู่อีกไม่ไกลแล้ว
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์และกระแสมากมายจากสำนักข่าวทั่วโลก
นักข่าวและนักวิเคราะห์มากมายได้พูดถึงผลกระทบต่างๆในด้านนโยบายของประธานาธิบดีสองคนนี้
.
ไม่ว่าจะเป็น นโยบายต่างประเทศกับจีน, Trans-Pacific Partnership, การเพิ่มภาษีกลุ่มบริษัท Technology, ผลประโยชน์ต่อบริษัทกลุ่ม renewable energy, ถ้าไบเดนได้ หุ้นจะลง? หุ้นจะขึ้น?, ฯลฯ และอีกมากมาย
เรื่องเหล่านี้หาอ่านได้จากหลายบทความและหลายสำนักข่าว
การคาดเดาอนาคตที่ทุกคนก็พยายามจะตีความ, ทำนายและกะเก็งราคาไปต่างๆนาๆ
.
แต่...การเลือกตั้งไม่ใช่สิ่งใหม่ที่คนเพิ่งสนใจ
แน่นอน! ตั้งแต่ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาดำรงตำแหน่งในปี 1789 สหรัฐอเมริกามีประธานาธิบดีมา 45 คน (รวมถึง Donald Trump)
และผ่านการเลือกตั้งมาหลายต่อหลายครั้ง ย่อมไม่แปลกที่จะมีนักเศรษฐศาสตร์และนักวิจัยจำนวนมาก
ให้ความสนใจถึงผลกระทบของตลาดการเงินและทำการศึกษาและตีพิมพ์ผลงานวิจัยออกมาอย่างมากมายเลยครับ
.
วันนี้ผมอยากจะมาเล่าอีกมุมมองหนึ่งของการเลือกตั้งและตลาดการเงิน
ผ่านมุมมองของงานวิจัยแบบ empirical evidence (หลักฐานที่เกิดขึ้นจริงในอดีต) เรามาดูกันดีกว่าว่า มีประเด็นอะไรที่น่าสนใจบ้างครับ !
.
* อย่าลืมว่านี่เป็นเพียงการศึกษาจากหลักฐานและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งอาจไม่ได้เป็นตัวชี้วัดได้ 100% กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
** บทความนี้ไม่ได้เป็นการชี้แนะให้ซื้อหรือขายหุ้นแต่อย่างใด อยากให้ทุกคนลงทุนอย่างระมันระวังกันด้วยนะครับ
*** ผมไม่ได้เชียร์ใครเป็นพิเศษนะครับ เพียงแต่อยากจะเอา empirical fact มาพูดให้เพื่อนๆฟังกันครับ
.
=============
.
เริ่มกันเลยดีกว่า
มาดูกันว่าจากงานวิจัยมากมายที่ได้รับการตีพิมพ์ในสำนักพิมพ์ชั้นนำระดับโลก มีการกล่าวถึงหัวข้อนี้อย่างไร
.
1. การเลือกตั้ง หมายถึง ความผันผวนที่เพิ่มขึ้น และ ผลตอบแทนระยะสั้นอาจะเป็นขาลง
.
(Increase Volatility & Short Term Negative Impact)
ในหนึ่งปีหลังการเลือกตั้ง ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นมักจะน้อยกว่าปีอื่นเล็กน้อย ข้อมูลจากปี 1926 - 2019 พบว่า CRSP index (ดัชนีหนึ่งที่บ่งบอกถึงผลตอบแทนตลาดหุ้นทั่วโลก อะไรคือ CRSP index? อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://riskproadvisor.com/factsheets/tpfgtamp/strategy1/models/VG_CRSP_100__Equity_063017_17-07-31-07-05.pdf)
.
ในปีมีการเลือกตั้ง ผลตอบแทนอยู่ที่ 10.6% เทียบกับปีอื่นๆที่อยู่ที่ 11.9%
ถึงแม้พิจารณาค่าเฉลี่ยดูไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าพิจารณารายปีแล้ว 23 ครั้งที่มีการเลือกตั้ง ดัชนี CRSP มีผลตอบแทนติดลบถึง 7 ครั้ง
.
ในขณะที่ปีอื่นๆที่ไม่ได้มีการเลือกตั้งนั้น ผลตอบแทนเป็นบวกทั้งหมด
นอกเหนือจากนั้น การที่ประธานาธิบดีคนปัจจุบันได้ดำรงตำแหน่งต่อไป หากดูจากผลตอบแทน S&P500 index ย้อนหลังตั้งแต่ปี 1928 - 2019
พบว่าผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 13.9% ในปีเลือกตั้ง ในขณะที่ถ้าประธานาธิบดีคนใหม่ได้รับการเลือกตั้งนั้น ผลตอบแทนอยู่ที่ 9.3%
คนเราไม่ชอบความไม่แน่นอนครับ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากความไม่มั่นใจในนโยบายทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและแน่นอนจะส่งผลต่อความผันผวนระยะสั้นดังที่ได้กล่าวไว้ในงานวิจัยโดย Zorina et al ในปี 2019 หัวข้อ With Greater Uncertainty Comes Greater Volatility ตีพิมพ์ใน Journal of Index Investing
ว่าความผันผวนในระยะสั้นนั้น (วัดโดย VIX: Cboe Volatility Index (VIX) อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.investopedia.com/terms/v/vix.asp) มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการเลือกตั้งที่มีความสูสีคู่คี่มากครับ
.
2. ถ้าพรรคที่เชียร์ได้ เราจะมีมุมมองบวกต่อการลงทุน
.
ทุกคนย่อมมีพรรคการเมืองที่ตนเองชอบทั้งนั้น สำหรับสหรัฐแล้วคงหนีไม่พ้นสองพรรคใหญ่อย่าง Democrat และ Republican
จากงานวิจัยโดย Yosef, et al ในปี 2012 หัวข้อ Political Climate, Optimism, and Investment Decisions พบว่า
คนที่เชียร์พรรคอะไรอยู่มักจะมองว่า พรรคที่ตัวเองได้จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น และส่งผลให้ประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริงได้
.
อย่างที่ทราบกันว่า ก็มีคนที่ชื่นชอบทั้งสองพรรค ดังนั้นมุมมองและความคาดหวังของนักลงทุนในด้านที่ใครจะได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี ไม่ได้เป็นปัจจัยส่งผลโดยตรงต่อตลาดหรือสามารถใช้ในการทำนายตลาดได้เลยครับ
แต่ที่น่าสนใจกว่านั่นคือ หัวข้อถัดไป
.
3. Democrat vs. Republican and Medium term
.
งานวิจัยที่โด่งดัง โดย Santa-Clara และ Valkano ตีพิมพ์ใน Journal of Finance ปี 2003 ในหัวข้อ The Presidential Puzzle: Political Cycles and the Stock Market ได้ทำการศึกษาข้อมูลตั้งแต่ปี 1927 - 1998, ตั้งแต่ Roosevelt จนถึงสมัย Clinton มีบทสรุปที่น่าสนใจว่า
.
- ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นแตกต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ
ในปีที่ ประธานาธิบดี Democrat ได้รับการเลือกตั้ง ผลตอบแทนจาก Largest Firms (หุ้นกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่) สูงกว่าในปีที่ Republican ได้รับเลือก ถึง 7% และยิ่งไปกว่านนั้น สำหรับ Smallest Firms (หุ้นกลุ่มบริษัทขนาดเล็ก) ผลตอบแทนในสมัยของ Democrat มากกว่าถึง 22%! โดยเฉลี่ยแล้วผลตอบแทนของ CRSP ต่างกันมากถึง 16%!นอกจากนั้น 3 month Treasury Bill โดยเฉลี่ยแล้ว ในสมัยของ Democrat ก็ยังคงสูงกว่าถึง 9%
.
- Santa-Clara และ Valkano พิสูจน์ว่าผลตอบแทนที่ต่างกันนั้นไมเกี่ยวข้องกับ Business Cycle Variable (ปัจจัยที่เกี่ยวกับวงจรของธุรกิจ)
- ความแตกต่างของผลตอบแทนไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างการเลือกตั้ง แต่ใช้เวลาในการเกิดขึ้นหลังจากได้รับการเลือกตั้งแล้ว
- ความผันผวนมักจะสูงกว่า ในสมัยที่ ประธานาธิบดีจาก Republican ได้รับการเลือกตั้ง !
.
ซึ่งนี่แปลว่า พรรค Democrat ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐและของโลกโดยรวม ใช่หรือไม่?
อาจจะไม่ใช่! เพราะว่าอะไร? เรามาดูกันในหัวข้อถัดไปกันครับ
.
4. Risk Aversion & Risk Premium
.
Risk Aversion คือ การที่คนหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (เช่นการลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่น้อยลง อาจจะลงในอย่างอื่นเช่นพันธบัตรมากขึ้นหรือเลือกท่ีจะเก็บในบัญชีธนาคารมากกว่า มีความระวังมากขึ้น รอลงเมื่อหุ้นราคาลงมามากๆเท่านั้น)
.
Risk Premium คือ อัตราส่วนต่างที่เราต้องการเพื่อเป็นค่าความเสี่ยง เหมือนเป็นส่วนต่างไว้กันเหนียว (เช่น ถ้าเรามองหุ้นบริษัท ก ไก่ มีความเสี่ยงมาก เราจะขอ Risk Premium มากขึ้น คือหุ้นต้องราคาต่ำมากจริงๆ มี Risk Premium มากจริงๆ ถึงจะกล้าซื้อ)เป็นธรรมดาที่คนเราจะกล้ารับความเสี่ยงที่มากขึ้น เวลาเราคิดว่าเศรษฐกิจกำลังจะไปได้ดี, และเป็นธรรมดาที่เมื่อเรากล้ารับความเสี่ยงที่มากขึ้น โอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนน้อยลงก็มากขึ้นเพราะขาด Risk Premium ที่สมเหตุสมผล ในขณะเดียวกัน ถ้าเรามองเศรษฐกิจไม่ดี เราจะมี Risk Aversion ที่มากขึ้นและต้องการ Risk Premium มากขึ้น และโอกาสในการกำไรก็มากขึ้น
.
ในช่วงเวลาที่คนมีความกลัวและรู้สึกถึงความไม่แน่นอน คนมักจะเลือกพรรคการเมืองที่เป็นฝ่ายซ้าย หรือ Democrat (งานวิจัยที่สนับสนุนเรืองนี้มากมาย เช่น จาก Pastor & Veronesi, Political Cycles and Stock Returns ปี 2019 และ L. Guiso et al., Time varying risk aversion ปี 2018) ด้วยความกลัวความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจ, การตกงาน, ความฝืดเคือง และส่งผลให้คนแสวงหารัฐสวัสดิการมากขึ้น
.
ดังนั้น จากหลักฐานเท่าที่มีเราอาจจะกล่าวได้ว่า ไม่ใช่ Democrat ที่ทำให้ผลตอบแทนของตลาดทุนไปได้ดี แต่เป็นเพราะว่า คนมักเลือก Democrat ในจังหวะที่คนมี Risk Aversion และเพราะ Risk Aversion ต่างหากที่ทำให้คนมีความรอบคอบในการลงทุนที่มากขึ้น และนั่นเองส่งผลให้ผลการตอบแทนในการลงทุนเป็นไปได้ดีครับ
.
==========
.
Risk Averse นั้น สำคัญมาก เพราะไม่มีอะไรแน่นอนครับ
.
ในปี 2016 ที่ Donald Trump แข่งกับ Hillary Clinton ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าปี Trump จะชนะ จนกระทั่งประกาศผล
อเมริกาก็เพิ่งเคยมีประธานาธิบดีแบบ Donald Trump ที่สำหรับนักวิเคราะห์หลายๆสำนักแล้ว ยากที่จะเดาทางได้ เล่นเอาปวดหัวกันไปทั่วโลก
ไม่มีใครคาดว่าจะเกิด Covid-19 และจะเกิดการระบาดขนาดนี้และส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกไปอีกหลายปี
.
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ขอให้ทุกคนลงทุนอย่างระมัดระวังและรอบคอบครับ
Risk Averse ไม่ใช่การไม่รับความเสี่ยงแต่คือการรับความเสี่ยงแต่พอประมาณ
ลงทุนด้วยความไม่ประมาท กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
และขอให้ผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ด้วยกันนะครับ
.
ขอบคุณข้อมูลจาก
.
https://www.forbes.com/sites/kristinmckenna/2020/08/18/heres-how-the-stock-market-has-performed-before-during-and-after-presidential-elections/?sh=595fb9754f86
ช่อง Common Sense Investing by Ben Felix: https://www.youtube.com/watch?v=HYHu9PMY_C4
https://eprints.pm-research.com/17511/34817/index.html?49834
[2019] Pageant Media. Republished with permission of PMR Journal of Index Investing [With Greater Uncertainty Comes Greater Volatility, Inna Zorina, Jamie Khatri, Carol Zhu, and James J. Rowley Jr., Volume 10, Issue 3]
https://papers.ssrn.com/sol3/papers.cfm?abstract_id=1509168
Bonaparte, Yosef and Kumar, Alok and Page, Jeremy K., Political Climate, Optimism, and Investment Decisions (February 26, 2012). AFA 2012 Chicago Meetings Paper, Available at SSRN: https://ssrn.com/abstract=1509168 or http://dx.doi.org/10.2139/ssrn.1509168
Pastor, Lubos and Veronesi, Pietro, Political Cycles and Stock Returns (May 26, 2019). Chicago Booth Research Paper No. 17-01, Fama-Miller Working Paper, Available at SSRN: https://ssrn.com/abstract=2909281 or http://dx.doi.org/10.2139/ssrn.2909281
https://papers.ssrn.com/sol3/papers.cfm?abstract_id=2909281
Luigi Guisoa,b , Paola Sapienza b,c,d, Luigi Zingales, Time varying risk aversion / Journal of Financial Economics 128 (2018) 403–421
http://www.eief.it/eief/images/Guiso-Sapienza-Zingales_JofFE_2018.pdf
แอดโจ
journal of financial economics 在 IEObserve 國際經濟觀察 Facebook 的最佳貼文
各路平民股神湧現
[鄉民:巴菲特恐懼我貪婪! 連擦鞋童都開始買股票代表高點到了? 資產價格科學紀錄告訴我們的二件事]
「散戶們正在接手專業投資人不敢碰的風險」, WSJ 6/10
---
這週美國勞動部表態"反對"下一輪的發失業金法案。然後,財報陸續反映了歷史紀錄的虧損。
然後呢,雖然Fed號稱透過 Fed 的初級、次級市場企業融資機制 (PMCCF、SMCCF) 來購買公司債,提供貸款給缺錢企業。
但是你要不要猜猜Fed買了多少阿。友站股癌文章發表前問了我這個問題來確認數據,我也非常好奇地去看國會報告書。結果呢,雖然有600 Billion的銀彈在手,根據 5/29 的國會報告書,統計到5/19日,PMCCF 買了 0元。😅😅😅
----
鄉民陸續在喊:巴菲特恐懼我貪婪!
隔壁棚 王柏達觀點: 「糟,剛接小孩聽到幼兒園老師們在討論股票跟石油……」
今天華爾街日報次頭版就寫著「散戶們正在接手專業投資人不敢碰的風險」
即將破產的Hertz 近日累積報酬率 70% !
Elon Musk 在5月喊自己股價太高,然後..然後現在特斯拉現在就破千了唷
-----
有傳說說,如果連擦鞋童都買股票 就是高點到了! 真的嗎?
擦鞋童錯了嗎?
-----
這問題很多人有想過,也算是投資科學最重要的議題之一。
要知道擦鞋童有沒有什麼魔力,必須要了解幾件事情。
首先,這無關理不理性。就算是理性市場,價格還是可以很偏離基本面。
前幾週我們已經看過Zoom的例子,投資人買錯Zoom 然後價格就飆漲1600%,結果真的Zoom只有漲一點點。
這價格,難道機構投資人真的不知道太扯了嗎?
當然知道。但是,就算知道又怎樣? Zoom漲錯的時候,其實也不是真的能夠去放空的。因為你擁有不知道放空會不會直接把身家賠光。從Zoom的故事,如果你知道股價高估、真的在高估的時候放空,最多可以賠到超過16倍的資產。
於是,Insider正確的理性作法其實是不動,或是跟著做多 (De Long et al 1990)。
於是呢,成交價格看到的永遠會是 (1) 基本面 + (2) Noise Trader Demand 市場上的需求 (無關基本面) + (3) 價格猜測 (基於資訊) 的線性函數 (Grossman and Stiglitz 1980, Kyle 1985)。
而不是市場傳說的 理性= 基本面 這回事。理性的機構投資人,有些時候是眼看著市場瘋狂,或是跟著買進參與地。
----
第二件事情,
高價格低報酬,可預測地 (Cochrane 2011)。
其實這個發現可以追回到 Robert Shiller (諾貝爾經濟學獎2013)的博士論文。
而報酬的可預測性,在幾十年研究後,投資科學已經大概下了結論不再繼續管這件事了。參考 "Four centuries of return predictability" (Golenz and Koudijs 2018)。
高價格低報酬,這是一個有點廢話又不太廢話的東西。大量數據顯示,有許多靠普的方式來預測接下來1~7年的報酬,其中一項最簡易取得的是 現在價格的高低,定義為 價格與股利的比率。
Cochrane 2011 總結了股票、房地產等市場,發現當價格大量高出股利時,接下來1~7年的報酬率會顯著的低。但短期並沒有預測效果。
這點與科斯托蘭尼的說法一致。
有些股票本益比短期可以上升至300倍,而定存的本益比也不過50倍,唯有高度成長才能支持300倍的本益比,但投資人願意等多久讓這300倍本益比的成長實現?
簡單來說,上面的研究結果隱含了這種300倍本益比難以持續達7年。
----------
所以,
擦鞋童買股有什麼特別魔力嗎?
擦鞋童買股沒有問題,只要 價格 與基本面掛勾就可以了。
就像買錯的Zoom,如果出價是合理的價格,那麼後續就不
會有任何問題哦~
而搶進HERTZ 賭破產也沒有什麼問題,只要不要買太貴,那麼就不會有太差的報酬。
要賭博,也得看看賠率的合理性。
但如果出的價格是偏離基本面的高價格,那麼,後續(1-7年)預期低報酬是可以預見的。
就像
假Zoom漲了1600%後,現在再次歸零了 : )
而美國人現在全城上下信心爆棚到一個程度..
--
References:
[1] Cochrane, John H. "Presidential address: Discount rates." The Journal of finance 66.4 (2011): 1047-1108.
[2] De Long, J. Bradford, et al. "Noise trader risk in financial markets." Journal of political Economy 98.4 (1990): 703-738.
[3] Golez, Benjamin, and Peter Koudijs. "Four centuries of return predictability." Journal of Financial Economics 127.2 (2018): 248-263.
[4] Grossman, Sanford J., and Joseph E. Stiglitz. "On the impossibility of informationally efficient markets." The American economic review 70.3 (1980): 393-408.
[5] Kyle, Albert S. "Continuous auctions and insider trading." Econometrica: Journal of the Econometric Society (1985): 1315-1335.
journal of financial economics 在 POPA Channel Youtube 的最讚貼文
「如果你今次測驗攞到100分,我就買架全新的搖控玩具車俾你啦!」當小朋友有良好表現時,很多家長都想獎勵他,一粒糖又好,一張星星貼紙又好,為的是希望鼓勵小朋友繼續這些良好行為。有父母甚至會出動金錢「利誘」,認為可以早點讓小朋友認識到以努力賺取回報的概念,但這種以外在誘因強化行為的管教方法是否真的有效?
參考資料
Allan, B., & Fryer, R. (2011). The Power and Pitfalls of Education Incentives. Discussion Paper Series (Hamilton Project)(7), 1-2,5-32.
Fryer, R. (2011). Financial Incentives and Student Achievement: Evidence from Randomized Trials. The Quarterly Journal of Economics, 126(4), 1755.
Tough, P. (2016). Helping children succeed : what works and why. Boston: Houghton Mifflin Harcourt.
McNerney, S. (2012, May 31). What Motivates Creativity? Retrieved from Big Think
journal of financial economics 在 Journal of Financial Economics 的相關結果
The Journal of Financial Economics (JFE) is a leading peer-reviewed academic journal covering theoretical and empirical topics in financial economics. ... <看更多>
journal of financial economics 在 Guide for authors - Journal of Financial Economics - Elsevier 的相關結果
Get more information about Journal of Financial Economics. Check the Author information pack on Elsevier.com. ... <看更多>
journal of financial economics 在 Journal of Financial Economics | ScienceDirect.com by Elsevier 的相關結果
The Journal of Financial Economics (JFE) is a leading peer-reviewed academic journal covering theoretical and empirical topics in financial economics. ... <看更多>